![]() ![]() ![]() |
![]() |
![]() ![]() |
![]() |
![]() |
|
![]() ระบบเศรษฐกิจการตลาดเพื่อสังคม - Social Market Economy : การก่อรูปของแนวคิด (ต่อจากฉบับที่แล้ว)
ทิพย์พาพร ตันติสุนทร ดังได้กล่าวไว้ในฉบับที่แล้วว่า การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศเยอรมันมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมากภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้เพียงช่วงทศวรรษเศษ นอกจากนี้ ระบบการเมืองและสังคมในเวลาเดียวกันนี้ก็มีความมั่นคง สังคมเยอรมันมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเป็นอย่างยิ่ง เรียกได้ว่า แม้จะเพิ่งพ้นจากความพังพินาศทั้งประเทศจากพิษภัยมหาสงครามโลกที่ตนเองเป็นผู้ก่อ แต่กลับสามารถที่จะลุกขึ้นมาผงาดอย่างองอาจชนิดที่พลิกความคาดหมายของชาติมหาอำนาจผู้ชนะสงครามในซีกฝั่งเยอรมันตะวันตก และยังเป็นช่วงเวลาของการสร้างรากฐานของเยอรมันใหม่ที่ทั้งมั่นคง มั่งคั่งและยังทอดระยะตามมาอย่างยืนยาวถึงยุคปัจจุบัน นับว่าเป็นความยั่งยืนของระบบเศรษฐกิจใหม่ที่ค้นพบ และสร้างขึ้นโดยชาวเยอรมัน และเพื่อแผ่นดินเยอรมันในช่วงสถานการณ์อันยากลำบากที่สุดในขณะนั้น เพียงระยะเวลา 15 ปี หลังสงครามโลกสิ้นสุดนี้เอง ประวัติศาสตร์เยอรมันและของโลกจึงจารึกว่า เป็น “ยุคเศรษฐกิจมหัศจรรย์” (Economic Miracle Era) ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้นำเยอรมันยุคใหม่ นามว่า คอนราด อาเดนาวร์ (Konrad Adenauer) ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีติดต่อกันถึง 3 สมัย ซึ่งมาจากพรรคคริสเตียนเดโมแครต (Christian Democrat Union- CDU) อันเป็นพรรคเก่าแก่และครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศเยอรมันมากที่สุด จวบจนถึงปัจจุบัน ยุคสมัยของเขาได้รับการจดจำและยกย่องว่าเป็น “ยุคของอาเดนาวร์” (Adenauer Era) ด้วยเช่นกัน ประเทศเยอรมันตะวันตก ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง จึงถูกกอบกู้ประเทศขึ้นมาใหม่ด้วยการเปลี่ยนแนวคิดใหม่ในการพัฒนาประเทศ เพื่อแก้ไขความล้มเหลว ความผิดพลาด และความหายนะ ทั้งที่เกิดขึ้นกับตนเองและต่อมนุษยชาติ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และการศึกษา
ต่อเมื่อสิ้นสุดสงครามที่แพ้ย่อยยับ ไม่เพียงทำให้ชาวเยอรมันตายไปประมาณ 8 ล้านคน ประเทศถูกแบ่งแยก และถูกปกครองโดยชาติมหาอำนาจ คนเยอรมันจึงถูกแยกไปอยู่ตามโซนที่มหาอำนาจครอบครอง 18 ล้านคนอยู่ฟากเยอรมันตะวันออก และอีก 14 ล้านคนอยู่ฝั่งเยอรมันตะวันตก นับเป็นสภาพของบ้านแตกสาแหรกขาด บ้านที่อยู่อาศัยถูกทำลายยับเยิน โรงงานอุตสาหกรรม เส้นทางคมนาคมขนส่ง และการขนส่งทุกชนิดถูกทำลาย สภาพที่คนนับล้านเผชิญกับชะตาที่ขาดแคลน กดดัน และหิวโหย สิ่งที่พอหาได้ก็ต้องผ่าน “ตลาดมืด” ทั้งอาหาร เสื้อผ้า ยารักษาโรค ฯลฯ สภาพย่ำแย่แบบนี้ ผลก็คือ การขาดความเชื่อมั่นในระบบเงินตรา และระบบเศรษฐกิจในขณะนั้น แผนปฏิรูประบบเศรษฐกิจ ด้วยการปฏิรูประบบการเงินตามแผนการความช่วยเหลือภายหลังสงครามที่เรียกว่า แผนมาร์แชล (Marshall Plan) เพื่อฟื้นฟูเยอรมันจึงเริ่มขึ้นในปี 1947 แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งหลังสงครามโลกครั้งที่สองนั้น แม้เยอรมันจะล้มตายไปมากถึง 8 ล้านคน แต่คุณภาพและทักษะของความเป็น “เยอรมัน” ไม่ได้ถูกทำลาย ทำให้ชาวเยอรมันที่เหลืออยู่สามารถที่จะจัดการกับตัวเองได้ภายใต้สภาพความขาดแคลนและยากลำบาก จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า เยอรมันขณะนั้น เรียกได้ว่า “จน” (poor) แต่ขณะเดียวกัน ก็ถูกพัฒนา (developed) มาแล้ว กระบวนการมีส่วนร่วมในทุกระดับในระหว่างการปฏิรูประบบการเงินและเศรษฐกิจ จึงได้รับการจัดการไปสู่การปฏิบัติที่สั่งสมความสำเร็จอย่างเป็นขั้นเป็นตอน สู่การพัฒนาแนวคิดของระบบเศรษฐกิจใหม่ ที่เรียกว่า “ระบบเศรษฐกิจการตลาดเพื่อสังคม” ฉบับหน้าจะได้รู้ว่าใครต้นคิด และใครร่วมคิดจนผลักดันสู่นโยบายของประเทศเยอรมันใหม่และใช้ต่อเนื่องจวบจนปัจจุบันได้สำเร็จ |
![]() |