มิถุนายน 2563 : ไม่พบคนติดโควิดในประเทศ 36 วันต่อเนื่อง ไทยไม่พบคนติดโควิดในประเทศ 36 วันต่อเนื่อง ยกเลิก 'เคอร์ฟิว' ตั้งแต่ 'ห้าทุ่ม' 14 มิ.ย. ครม. ไฟเขียวต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน-ปลดล็อกเฟส 5 กิจกรรมที่อนุญาตหลัง ‘ผ่อนปรนเฟส 4’ 15 มิ.ย. ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินจังหวัดชายแดนใต้อีก 3 เดือน สภาผ่าน 3 ‘พ.ร.ก.’ กู้เงิน วงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท สภารับหลักการ พ.ร.ก.โอนงบฯ พร้อมตั้ง กมธ.วิสามัญ 49 คน 'ศบค.' ไฟเขียว 6 กลุ่มต่างชาติ เข้าประเทศไทยได้ ให้อากาศยานนำผู้โดยสารเข้าไทยได้บางส่วน 1 ก.ค. ไทย ติด 1 ใน 14 ชาติ 'EU' อนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศได้แล้ว กลาโหม-สธ.สำรองห้องพัก เป็น State Quarantine 9,000 ห้อง สั่งเพิ่ม 500 บาทให้ ‘อสม.’ รพ.สต. ได้ 2 แสนบริการประชาชน เงินเยียวยาถึงมือเกษตรกรแล้วกว่า 7 ล้านราย รบ. ช่วยเกษตรกร 4 แสนราย มีที่ดินทำกิน ธนาคารไม่เสี่ยงหนี้สูญ ครม. อัดงบฯหมื่นล้านช่วยชาวไร่อ้อยฤดูการผลิตปี 2562/2563 ครม. ยกเว้นค่าธรรมเนียมโรงแรม 40 บาท/ห้อง/ปี โพลเผย 'คนไทย' ตกงานมีเงินสำรองอยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน ครม. ผ่อนปรน 'แรงงานต่างด้าว' ทำงานในไทยถึง 31 ก.ค. ปรับลดอัตราภาษีโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 90% ครม. อนุมัติไทยเที่ยวไทย 3 แพ็คเกจ ครม. อนุมัติ 4 โครงการช่วยเหลือ-เยียวยา-ชดเชย ผลกระทบ 'โควิด' ครม. เห็นชอบร่าง กม.ทรมาน-บุคคลสูญหาย คุ้มครองสิทธิประชาชน เตรียมแผน ‘ทราเวล บับเบิ้ล’ จับคู่ประเทศเพื่อการท่องเที่ยว นิวนอมอล หลังควบคุมโควิด-19 ได้ 1 ก.ค.! ท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติแบบ New Normal สภาฯ ตั้ง 49 กมธ.วิสามัญศึกษาผลกระทบลงนาม CPTPP พปชร. ได้ กก.บห. ใหม่ แทนชุดเก่าลาออก ศาล รธน.รับวินิจฉัยคุณสมบัติ 'ธรรมนัส' ปมต้องคำพิพากษาคดียาเสพติด ปฏิรูปกองทัพ! ครม. ไฟเขียวเคาะเกณฑ์ 'ลดยศ-ตำแหน่ง' ทางทหาร ประกาศกรมเจ้าท่า ห้ามดื่มเหล้าในท่าเรือ-บนเรือโดยสารสาธารณะ 'คณะก้าวหน้า' เปิดตัว 'Common School' เปิดตัวกลุ่ม 'CARE'!!! ชูธง 'คิดเคลื่อนไทย' กกต. เผย ‘ปชป.’ มีสมาชิกพรรคมากที่สุด ยึด 'อาวุสงคราม-ระเบิด' ล็อตใหญ่ โยงกลุ่มเคลื่อนไหวการเมือง 'พรรคกล้า' รับหนังสือรับรอง กกต. ฎีกาพิพากษายืน สั่งคุก '4 แกนนำ นปช.' ไม่รอลงอาญา ไทยไม่พบคนติดโควิดในประเทศ 36 วันต่อเนื่อง       สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยดีอย่างต่อเนื่อง ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 ในประเทศยังคงไม่พบผู้ติดเชื้อต่อเนื่องเป็นเวลาถึง 36 วัน ผู้ติดเชื้อล้วนเดินทางมาจากต่างประเทศและอยู่ระหว่างการกักตัวเฝ้าระวังในศูนย์ที่รัฐจัดเตรียมไว้       ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 “ศูนย์ข้อมูลโควิด-19” รายงานสถานการณ์ผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย มียอดผู้ติดเชื้อสะสม 3,171 ราย ป่วยเพิ่ม 2 ราย กำลังรักษาตัวในโรงพยาบาล 57 ราย หายแล้ว 3,056 ราย รวมยอดผู้เสียชีวิตสะสมยังคงเดิมที่ 58 ราย       สำหรับสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อรวมทั้งสิ้น 10,407,855 ราย เสียชีวิตรวม 508,077 ราย โดยบราซิลซึ่งเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดในละตินอเมริการายงานพบผู้ป่วยใหม่ 30,476 รายช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ส่งผลให้จำนวนผู้ป่วยสะสมสูงถึง 1,344,143 ราย ทั้งยังพบผู้เสียชีวิตใหม่ 552 ราย ดันยอดสะสมให้อยู่ที่ 57,622 ราย ทำให้ บราซิลขึ้นแท่นอันดับที่ 2 ของโลกทั้งในแง่ยอดผู้ป่วยและยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 โดยเป็นรองเพียงสหรัฐฯ ยกเลิก 'เคอร์ฟิว' ตั้งแต่ 'ห้าทุ่ม' 14 มิ.ย.       เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2563 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ข้อกำหนดตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติในวันที่ 12 มิถุนายน ให้ยกเลิก “เคอร์ฟิว” มาตรการห้ามออกนอกเคหสถานทั่วราชอาณาจักร ระหว่างเวลา 23.00-03.00 น. โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป       อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคตามมาตรฐานสากลอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า การเว้นระยะห่างทางสังคม และการยอมรับระบบติดตามตัวผ่านแอปพลิเคชั่นทางโทรศัพท์มือถือ ครม.ไฟเขียวต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน-ปลดล็อกเฟส 5       เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2543 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบต่ออายุการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ต่อไปอีก 1 เดือน ตั้งแต่ 1-31 กรกฎาคม 2563 ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 หรือ ศบค. ชุดใหญ่เสนอ นอกจากนี้ยังเห็นชอบผ่อนปรนมาตรการระยะ 5 ได้แก่ การผ่อนผันการใช้อาคารสถานที่ของโรงเรียน หรือ สถาบันการศึกษา โดยจะมีการเปิดทั้งหมดทั้งของรัฐ-เอกชนในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมิวนิตี้มอลล์ ให้เวลาเปิด/ปิดการดำเนินกิจการได้ตามความเหมาะสมของพื้นที่ ศูนย์การค้าควรปิดเวลา 22.00 น. และร้านสะดวกซื้อสามารถเปิดได้ 24 ชั่วโมง สถานบันเทิง ผับ บาร์คาราโอเกะ อาบอบนวด ร้านเกมและร้านอินเทอร์เน็ต ที่ต้องมีใบอนุญาตประกอบการที่ถูกต้อง กิจกรรมที่อนุญาตหลัง ‘ผ่อนปรนเฟส 4’ 15 มิ.ย.       วันที่ 12 มิถุนายน 2563 นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงถึงมาตรการผ่อนปรนที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2563 หลังยกเลิกเคอร์ฟิว ดังนี้ ให้ใช้สถานที่ของสถาบันการศึกษาเพื่อจัดการเรียนการสอนหรือการฝึกอบรม ในโรงเรียน สถาบันหรือมหาวิทยาลัย หลักสูตรนานาชาติ โรงเรียนนอกระบบประเภทกวดวิชา โรงเรียนที่มีนักเรียนไม่เกิน 120 คน ส่วนการเปิดการเรียนและรูปแบบการเรียนการสอนให้เป็นไปตามที่ ศธ. หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนด ให้ผ่อนคลายการดำเนินกิจกรรม ด้านเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิต ในการจัดการประชุม การอบรม การจัดสัมมนา การจัดนิทรรศการ การจัด สดงสินค้า ที่จัดเลี้ยง งานพิธี การแสดงนาฏศิลป์ ดนตรี คอนเสิร์ต หรือกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นในโรงแรม โรงมหรสพ ห้องประชุม ศูนย์ประชุม ศูนย์แสดงสินค้า โรงภาพยนตร์ หรือในสถานที่อื่นๆ สถานรับเลี้ยงเด็ก ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ศูนย์เด็กพิเศษ สถานดูแลผู้สูงอายุ สถานที่บริการดูแล สถานที่พำนักอาศัย หรือสถานสงเคราะห์อื่นๆ แบบรายวัน ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา อุทยานวิทยาศาสตร์ ศูนย์วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม กองถ่ายภาพยนตร์ดำเนินการได้โดยไม่เกิน 150 คน และมีผู้ชมไม่เกิน 50 คน สามารถบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในภัตตาคาร สวนอาหาร โรงแรม โดยงดกิจกรรมส่งเสริมการขาย แต่ยกเว้นสถานบริการ ผับ บาร์ และคาราโอเกะ ให้ออกกำลังกาย ทำกิจกรรมการดูแลสุขภาพหรือออกกำลังกาย เช่น อบตัว อบสมุนไพร อบไอน้ำแบบรวมหรือการนวดบริเวณใบหน้า ในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ สปาหรือนวดแผนไทย ยกเว้นในสถานอาบ อบ นวด ให้ออกกำลังกายแบบกลุ่มในสวนสาธารณะ ลานกิจกรรม พื้นที่กิจกรรมสาธารณะ หรือลานกีฬากลางแจ้ง ให้ใช้สวนน้ำ สนามเด็กเล่น สวนสนุกได้ ยกเว้นเครื่องเล่นแบบชั่วคราวหรือเครื่องเล่นพื้นผิวสัมผัสมาก เช่น บ้านบอล บ้านลม ให้ใช้สนามกีฬา สถานที่ออกกำลังกาย ยกเว้นสนามชนโค สนามชนไก่ สนามกัดปลา โดยการแข่งขันกีฬาโดยการถ่ายทอดโทรทัศน์ได้ แบบไม่มีผู้ชมในสนาม ให้มีการขนส่งสาธารณะข้ามเขตจังหวัดได้       อย่างไรก็ตาม ยังมีรายละเอียดอื่นๆ ประกอบ เช่น การจัดประชุม อบรม สัมมนา จัดนิทรรศการ งานพิธี การจัดเลี้ยง ดนตรี นาฏศิลป์ คอนเสิร์ต และการจัดกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นในโรงแรม ศูนย์ประชุม ศูนย์การแสดงสินค้า โรงภาพยนตร์ และในสถานที่อื่นๆ ซึ่งใช้เกณฑ์ 24 ตารางเมตรต่อคน เพราะฉะนั้นการจัดเลี้ยง อีเว้นท์เปิดตัวสินค้า การประกวด แข่งขันกีฬา ทำได้แล้ว แต่ต้องมีระยะนั่ง ยืน ห่างกันอย่างน้อย 1 เมตร       ในส่วนของการแสดงดนตรี งานคอนเสิร์ต ต้องมีการดูแลเรื่องของความหนาแน่น ต้องไม่แออัดเกินไป หรือไร้ระเบียบ ใช้เกณฑ์ 5 ตารางเมตรต่อคน       ส่วนการบริโภคสุรา หรือเครื่องดื่ม สามารถขายเหล้าได้ในภัตตาคาร สวนอาหาร ศูนย์อาหาร โรงแรม ร้านอาหารหรือเครื่องดื่มทั่วไป หรือในสถานที่ที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย และได้ผ่อนคลายให้เปิดดำเนินการอยู่ก่อนแล้วให้สามารถทำได้ ยกเว้นสถานบริการ สถานบันเทิง คาราโอเกะ โรงเบียร์ยังไม่อนุญาตเปิดดำเนินการ และไม่อนุญาตเปิดอาบ อบ นวด       สนามกีฬา และสถานที่ออกกำลังกาย ลานกีฬา หรือเพื่อการเรียนการสอนในทุกประเภทกีฬา สามารถจัดการแข่งขัน และจัดให้มีการถ่ายทอดโทรทัศน์ได้ แต่ต้องไม่มีผู้ชมอยู่ในสนามแข่งขัน และการจัดการแข่งขันต้องดำเนินการตามขั้นตอนและวิธีการที่ทางราชการกำหนด โดยการออกกำลังกายในที่สาธารณะ ต้องไม่เกิน 50 คน ต่อ 5 ตารางเมตร       สำหรับการขนส่งข้ามจังหวัดนั้น เครื่องบินสามารถดำเนินการได้โดยให้มีผู้โดยสาร เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะการเดินทางในประเทศใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง แต่ความเสี่ยงติดเชื้อต้องนั่งติดกันถึง 2 ชั่วโมง แต่ต้องใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา ในส่วนของรถโดยสารนั้นให้มีผู้โดยสาร 70 เปอร์เซ็นต์ ทุกมาตรการต้องยึดหลักการเฝ้าระวัง ป้องกันการแพร่ระบาด ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินจังหวัดชายแดนใต้อีก 3 เดือน       เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2563 สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้เห็นชอบการขยายระยะเวลาการประกาศ สถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ต่อไปอีก 3 เดือน (ครั้งที่ 60) ตั้งแต่ 20 มิถุนายน -19 กันยายน 2563 โดยยกเว้น อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี, อ.เบตง จ.ยะลา และ อ.สุไหงโก-ลก อ.สุคิริน, อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส ซึ่งจะต้องผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีต่อไป สภาผ่าน 3 ‘พ.ร.ก.’ กู้เงิน วงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท       วันที่ 31 พฤษภาคม 2563 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติผ่านร่างพระราชกำหนดจำนวน 3 ฉบับ ได้แก่ พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 วงเงิน 1.1 ล้านล้านบาทด้วยมติเห็นชอบ 274 คะแนน งดออกเสียงจำนวน 207 คน พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 วงเงิน 5 แสนล้านบาท ด้วยคะแนน 275 คะแนน ไม่เห็นด้วย 1 คะแนน งดออกเสียง 205 คะแนน พระราชกำหนดการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ. 2563 วงเงินไม่เกิน 4 แสนล้านบาท มีมติเห็นชอบ 274 คน ไม่เห็นชอบ 195 คน งดออกเสียง 12 คน ไม่ลงคะแนนเสียง 1 คน       และต่อมาเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2563 ที่ประชุมวุฒิสภาลงมติให้ความเห็นชอบ พ.ร.ก.กู้เงิน ทั้งสามฉบับ ได้แก่ พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 วงเงิน 1.1 ล้านล้านบาท ลงมติเห็นชอบด้วยคะแนน 242 ต่อ 0 งดออกเสียง 4‬‬ พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือทางการเงินผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 วงเงิน 5 แสนล้านบาท เห็นชอบด้วยคะแนน 244 ต่อ 0 งดออกเสียง และ พ.ร.ก.รักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ วงเงินไม่เกิน 4 แสนล้านบาท เห็นชอบด้วยคะแนน 243 ต่อ 0 งดออกเสียง 4 สภารับหลักการ พ.ร.บ. โอนงบฯ พร้อมตั้ง กมธ.วิสามัญ 49 คน       เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2563 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ลงมติให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... วงเงิน 88,452 ล้านบาท ในวาระแรก ด้วยคะแนน 264 ต่อ 4 งดออกเสียง 185 ไม่ลงคะแนนเสียง 1 พร้อมกับตั้ง กมธ.วิสามัญ 49 คน ขึ้นมาพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 7 วัน       โดยมีหลักการและเหตุผลให้โอนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ของหน่วยรับงบประมาณเป็นบางรายการไปตั้งไว้เป็นงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพิ่มเติม หลังวงเงิน 96,000 ล้านบาทที่ตั้งไว้ในงบประมาณปี 2563 นั้น ไม่เพียงพอ ต่อการนำไปใช้จ่ายสนับสนุนในการแก้ไขปัญหาและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รวมไปถึงกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินจำเป็นจากสถานการณ์ภัยแล้ง และสาธารณภัยอื่นที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหลือของปีงบประมาณ       สำหรับรายละเอียดที่แต่ละหน่วยงานได้มีการโอนงบประมาณ 2563 คืนรัฐบาลเพื่อตั้งเป็นงบกลางไว้สำหรับแก้ไขปัญหาโควิด 'ศบค.' ไฟเขียว 6 กลุ่มต่างชาติ เข้าประเทศไทยได้       เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2563 นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) แถลงผลประชุมของ ศบค.ชุดใหญ่ว่า ที่ประชุมได้พิจารณามาตรการผ่อนคลายการเข้ามาในราชอาณาจักร ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอการขยายกลุ่มชาวต่างชาติที่สามารถเดินทางเข้าประเทศไทย 6 กลุ่ม คือ คู่สมรสและบุตร ผู้ที่ได้รับอนุญาตทำงานในราชอาณาจักร ผู้มีสัญชาติไทย ซึ่งมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร คู่สมรสต่างชาติและบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้มีสัญชาติไทย ผู้ที่ไม่มีสัญชาติไทย แต่มีความจำเป็นต้องเข้ามารับการรักษาพยาบาลในประเทศไทยและมีผู้ติดตาม นักเรียน นักศึกษาต่างชาติ และผู้ปกครองของบุคคลดังกล่าว และ ผู้ที่ไม่มีสัญชาติไทยที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรตามข้อตกลงพิเศษกับประเทศเป้าหมาย ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มนักธุรกิจและมีความเชี่ยวชาญด้านเทคนิค โควตาที่กำหนดต้องสอดคล้องกับสถานที่พักที่รัฐกำหนด (ASQ) อาจกำหนดจำนวนเกิน 200 คนต่อวัน โดยประเทศเป้าหมาย คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน ฮ่องกง และสิงคโปร์ ซึ่งจะพิจารณาผู้ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ และการจัดทำข้อตกลงดังกล่าวจะแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ ผู้เดินทางมาแบบธรรมดา ซึ่งอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานาน จะต้องอยู่ในสถานที่ที่รัฐกำหนด 14 วัน และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง และกลุ่มที่ 2 คือ ผู้เดินทางมาแบบเร่งด่วน กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มนักธุรกิจ ผู้เชี่ยวชาญ ที่มีความสำคัญกับเศรษฐกิจของไทย เดินทางมาระยะสั้นต่ำกว่า 14 วัน       และที่ประชุมยังพิจารณาหลักเกณฑ์ในการรองรับการเดินทางแขกของรัฐบาล ต้องมาเป็นคณะเล็ก ไม่เกิน 10 คน เดินทางเป็นระยะสั้น ตรวจเชื้อโควิดก่อนเดินทางและมาถึงไทย ให้หน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพเชิญแขกระดับสูง จัดเจ้าหน้าที่ประจำคณะ และต้องมีสาธารณสุขและฝ่ายความมั่นคงติดตามประจำคณะ       ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยยังได้เสนอเปิดด่านเพิ่ม 9 จุดทั่วประเทศ จากเดิมเปิดอยู่แล้ว 28 แห่งใน 22 จังหวัด และตามที่มีข่าวในโซเชียลมีเดียว่ามีการลักลอบผ่านแดนทางช่องทางธรรมชาติ มีการรายงานตัวเลขการลักลอบผ่านแดนช่องทางธรรมชาติทั่วประเทศ เฉพาะเดือนมิถุนายน จำนวน 2,498 คน จึงต้องขอความร่วมมือประชาชนสอดส่องดูแลให้มั่นใจว่าไม่มีผู้ที่ติดเชื้อเข้ามา       ขณะที่กระทรวงคมนาคมยกเว้นข้อกำหนดการเว้นที่นั่งระหว่างบุคคลบนรถโดยสารสาธารณะ แต่ต้องใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา และความหนาแน่นผู้โดยต้องไม่เกิน 70 เปอร์เซ็นต์ ให้อากาศยานนำผู้โดยสารเข้าไทย ได้บางส่วน 1 ก.ค.       สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ออกประกาศเรื่องเงื่อนไขในการอนุญาตให้อากาศยานทำการบินเข้าออกประเทศไทยบางส่วน เมื่อได้รับการอนุญาตการบินจากสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ได้แก่ อากาศยานราชการหรือที่ใช้ในราชการทหาร (State or Military Aircraft) อากาศยานที่ขอลงฉุกเฉิน (Emergency landing) อากาศยานที่ขอลงทางเทคนิค (Technical landing) โดยไม่มีผู้โดยสารออกจากเครื่อง อากาศยานที่ทำการบินเพื่อให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม ทำการบินทางการแพทย์ หรือการขนส่งสิ่งของเพื่อสงเคราะห์แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด –19 (Humanitarian aid, medical and relief flights) อากาศยานที่ได้รับอนุญาตให้ทำการบินรับส่งบุคคลกลับประเทศไทยหรือกลับ ภูมิลำเนา (Repatriation) อากาศยานขนส่งสินค้า (Cargo aircraft)       สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยได้ห้ามอากาศยานทำการบินเข้าสู่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราวมาตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2563 เพื่อสนับสนุนการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 ไทย'ติด 1 ใน 14 ชาติ 'EU' อนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศได้แล้ว       เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2563 สหภาพยุโรป (EU) ได้ออกประกาศอนุญาตให้ชาวต่างชาตินอกกลุ่ม EU จำนวน 14 ประเทศ ได้แก่ แอลจีเรีย ออสเตรเลีย แคนาดา จอร์เจีย ญี่ปุ่น มอนเตเนโกร โมร็อกโก นิวซีแลนด์ รวันดา เซอร์เบีย เกาหลีใต้ ไทย ตูนิเซียและอุรุกวัย เดินทางเข้าประเทศกลุ่ม EU ได้ กลาโหม-สธ.สำรองห้องพัก เป็น State Quarantine 9,000 ห้อง       เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2563 พลโท คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงกลาโหม และกระทรวงสาธารณสุข กำลังดำเนินการจัดหาโรงแรมเพิ่มเติม เพื่อเป็นสถานที่กักกันตัวของรัฐ หรือ State Quarantine ให้ได้ถึง 9,000 ห้องเพื่อรองรับคนไทยที่จะเดินทางกลับเข้าประเทศมากขึ้น ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ต่างประเทศยังมีการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง โดยพยายามเพิ่มความสามารถรองรับคนไทยเพิ่มขึ้นเป็น 500 คนต่อวัน       โดยทุกโรงแรมต้องเป็นไปตามมาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ผู้ที่เดินทางเข้ามาในประเทศจะต้องรับการกักตัวคนละ 14 วัน ซึ่งเป็นระยะฟักตัวของเชื้อ ก่อนเดินทางเข้าจะต้องมีใบรับรองการตรวจเชื้อว่าไม่พบเชื้อ ระหว่างการกักตัว จะมีการตรวจเชื้อในวันที่ 5 ของการเข้าพัก และวันที่ 12 ก่อนจะครบ 14 วัน ซึ่งหากพบผู้ติดเชื้อก็นำส่งโรงพยาบาลรักษาตัวต่อไปทันที สั่งเพิ่ม 500 บาทให้ ‘อสม.’ รพ.สต. ได้ 2 แสนบริการประชาชน       ตามที่กระทรวงสาธารณสุข ได้รับงบประมาณ 45,000 ล้านบาท เพื่อนำไปสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบสาธารณสุขไทยนั้น นายอนุทิน ชาญวีระกุล รัฐมนตรีว่าการได้กล่าวว่า ส่วนหนึ่งจะนำไปเพิ่มค่าตอบแทนการทำงานให้แก่ อสม. ท่านละ 500 บาทต่อคนต่อเดือน ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 จนถึงกันยายน 2564 เพื่อเป็นกำลังใจและช่วยเหลือค่าเดินทาง ค่าปฏิบัติงาน และอีกส่วนจะนำไปเพิ่มศักยภาพ ขีดความสามารถของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หรือ รพ.สต. ด้วยการจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือแพทย์ และเวชภัณฑ์ สำหรับให้บริการประชาชน เงินเยียวยาถึงมือเกษตรกรแล้วกว่า7ล้านราย       เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2563 นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ได้รายงานว่า ธ.ก.ส. ได้โอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรแล้วตั้งแต่วันที่ 15 - 31 พฤษภาคม 2563 จำนวน 7,103,721 ราย รวมเงิน 35,518 ล้านบาท ส่วนเกษตรกรที่มาขึ้นทะเบียนไว้ภายใน 15 พฤษภาคม ธ.ก.ส. จะเร่งโอนเงินให้แล้วเสร็จภายในต้นเดือนมิถุนายน สำหรับเกษตรกรที่ยังไม่เสร็จสิ้นขั้นตอนการขึ้นทะเบียน จะได้รับเงินครั้งเดียว 15,000 บาท ภายใน 15 สิงหาคม 2563 โดยเกษตรกรที่ได้ขึ้นทะเบียนโครงการช่วยเหลือเยียวยา แต่ยังไม่ได้รับเงินเยียวยา สามารถดำเนินการอุทธรณ์ได้แล้วจนถึงวันที่ 5 มิถุนายน 2563 ส่วนเกษตรกรชุดสุดท้ายสามารถอุทธรณ์ได้จนถึง 15 สิงหาคม 2563 รบ.ช่วยเกษตรกร 4 แสนราย มีที่ดินทำกิน ธนาคารไม่เสี่ยงหนี้สูญ       เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2563 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลได้ดำเนินการโอนเงินงวดแรกถึงบัญชีเกษตรกรแล้ว จำนวน 7.1 ล้านราย รวมเงิน 3.5 หมื่นล้านบาท       ในส่วนของการปรับโครงสร้างหนี้เกษตรกร ณ เวลานี้ได้ความชัดเจนเรื่องแนวทางการเจรจาเงื่อนไขและหลักเกณฑ์การชำระเงินต้นและดอกเบี้ยกับธนาคารของรัฐ 4 แห่ง คือ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และจะเริ่มกระบวนการเจรจาจากนี้ไป ครม. อัดงบฯหมื่นล้านช่วยชาวไร่อ้อยฤดูการผลิตปี 2562/2563       เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2563 คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบอัตราการจ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยในโครงการเงินช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยเพื่อซื้อปัจจัยการผลิต ฤดูการผลิตปี 2562/2563 ตามที่ ครม.เคยอนุมัติในหลักการไปแล้ว เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2563 โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ วงเงิน 6,500 ล้านบาท สำหรับชาวไร่อ้อยที่ส่งอ้อยเข้าโรงงานทุกรายในอัตราตันละ 85 บาท รายละไม่เกิน 5,000 ตัน และวงเงิน 3,500 ล้านบาท สำหรับช่วยเหลือเฉพาะชาวไร่อ้อยที่ตัดอ้อยสดเข้าโรงงานทุกตันอ้อยในอัตราตันละ 92 บาท (ตามมาตรการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 จากการเผาอ้อย)       นอกจากนี้ ครม. ยังรับทราบการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี 2562/2563 โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้จ่ายเงินชดเชยส่วนต่างราคาจากโครงการประกันรายได้เกษตรผู้ปลูกมันสำปะหลังปี 2562/2563 (ข้อมูล ณ วันที่ 23 พฤษภาคม 2563) ไปแล้ว 4,842 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 51 คงเหลืองบประมาณจ่ายขาดอีก 5,047 ล้านบาท มีเกษตรกรได้รับเงินชดเชยจากโครงการจำนวนทั้งสิ้น 398,704 ครัวเรือน ครม. ยกเว้นค่าธรรมเนียมโรงแรม 40 บาท/ห้อง/ปี       เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2563 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติยกเว้นค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจโรงแรมปีละ 40 บาทต่อห้องพัก ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563-30 มิถุนายน 2564 เพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม ลดค่าใช้จ่ายในการประกอบการช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 คาดว่ารัฐสูญเสียรายได้ 31 ล้านบาทต่อปี จากจำนวนห้องพักของโรงแรม 783,855 ห้อง ในปี 2562 โพลเผย'คนไทย'ตกงานมีเงินสำรองอยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน       เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2563 นายเดชรัต สุขกำเนิด อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เผยแพร่ผลสำรวจเรื่อง “แนวทางการจัดระบบสวัสดิการสังคมเพื่อรองรับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด–19” ซึ่งสอบถามความคิดเห็นของประชาชนกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,998 คน จากทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 14-24 พฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมา พบว่า       1. ชีวิตก่อนวิกฤติไวรัสโควิด-19 แบ่งเป็น              1.1 ด้านการงาน กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 70 มีงานทำประจำอยู่แล้ว และมีเพียงร้อยละ 10 ที่ระบุว่าว่างงาน              1.2 ด้านรายรับ-รายจ่าย กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 45 มีรายได้ใกล้เคียงรายจ่าย รองลงมา ร้อยละ 25 มีรายจ่ายมากกว่ารายได้ อันดับ 3 ร้อยละ 24 มีรายได้มากกว่ารายจ่าย และอันดับ 4 ร้อยละ 6 ไม่มีรายได้เลย และ 1.3 ด้านหนี้สิน กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 35 มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน รองลงมา ร้อยละ 27 มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน อันดับ 3 ร้อยละ 21 ไม่มีหนี้สิน และอันดับ 4 ร้อยละ 16 มีหนี้สินแต่ไม่มีทรัพย์สิน       2. ด้านเงินออมสำรองยามวิกฤติ หรือ “กันชนทางการเงิน” กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 36 มีเงินสำรองอยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน รองลงมา ร้อยละ 20 มีเงินสำรองอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือน อันดับ 3 ร้อยละ 19 มีเงินสำรองอยู่ได้ไม่เกิน 1 เดือน และอันดับ 4 ร้อยละ 7 มีเงินสำรองอยู่ได้ถึง 1 ปี ส่วนกลุ่มตัวอย่างอีกร้อยละ 18 ระบุว่า ไม่เคยประเมินกันชนทางการเงินของตนเอง       3. ผลกระทบต่อชีวิตในช่วงวิกฤติไวรัสโควิด-19 แบ่งเป็น              3.1 ประเภทของผลกระทบ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 51 ระบุว่า ยอดขายหรือรายได้ลดลง รองลงมา ร้อยละ 28 สถานที่ค้าขายหรือทำงานถูกปิดทั้งหมด อันดับ 3 ร้อยละ 26 สถานที่ค้าขายถูกปิดทั้งหมดหรือบางส่วน อันดับ 4 ร้อยละ 14 ถูกเลิกจ้าง และอันดับ 5 ร้อยละ 10 คู่ค้าไม่สามารถส่งมอบสินค้าได้ โดยมีกลุ่มตัวอย่างเพียงร้อยละ 10 เท่านั้นที่ระบุว่าไม่ได้รับผลกระทบใดๆ              อย่างไรก็ตาม หากถามถึงระดับความรุนแรงของผลกระทบแต่ละประเภท กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ เกือบร้อยละ 75 หรือ 3 ใน 4 ระบุว่า การถูกเลิกจ้าง หรือการที่สถานที่ค้าขายหรือที่ทำงานถูกปิดทั้งหมด ส่งผลกระทบรุนแรงที่สุด       3.2 ผลกระทบด้านรายได้ พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ มี 2 กลุ่ม เท่ากันคือกลุ่มละร้อยละ 27 กลุ่มหนึ่งระบุว่า รายได้ลดลงกว่าร้อยละ 75 อีกกลุ่มระบุว่ารายได้ลดลงตั้งแต่ร้อยละ 50-74       รองลงมา ร้อยละ 18 รายได้ลดลงร้อยละ 25-49 อันดับ 3 ร้อยละ 11 รายได้ลดลงร้อยละ 10-24 และอันดับ 4 ร้อยละ 6 รายได้ลดลงน้อยกว่าร้อยละ 10 โดยมีกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 11 ที่รายได้เท่าเดิม (ไม่เพิ่ม-ไม่ลด เทียบกันระหว่างก่อน-หลังวิกฤติไวรัสโควิด-19) แต่ที่น่าสนใจคือ มีกลุ่มตัวอย่างไม่ถึงร้อยละ 1 ที่ระบุว่า มีรายได้เพิ่มขึ้นในช่วงสถานการณ์ไวรัสโควิด-19       3.3 ผลกระทบด้านรายจ่าย กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 51 ระบุว่า มีรายจ่ายเพิ่มขึ้น ในจำนวนนี้แบ่งเป็น ร้อยละ 16 เพิ่มขึ้นร้อยละ 10-24 ร้อยละ 14 เพิ่มขึ้นร้อยละ 50 ร้อยละ 12 เพิ่มขึ้นร้อยละ 25-50 และร้อยละ 9 เพิ่มขึ้นไม่ถึงร้อยละ 10 นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 30 มีรายจ่ายเท่าเดิม ส่วนกลุ่มตัวอย่างอีกร้อยละ 19 ระบุว่า มีค่าใช้จ่ายลดลง ในจำนวนนี้แบ่งเป็น ร้อยละ 9 รายจ่ายลดลงร้อยละ 10-50 ร้อยละ 7 รายจ่ายลดลงน้อยกว่าร้อยละ 10 และร้อยละ 3 รายจ่ายลดลงมากกว่าร้อยละ 50 ครม. ผ่อนปรน 'แรงงานต่างด้าว' ทำงานในไทยถึง 31 ก.ค.       เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2563 คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบผ่อนปรนให้แรงงานต่างด้าว สัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและการทำงาน ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ถึง 31 กรกฎาคม 2563 เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 หรือกลายเป็นแรงงานผิดกฎหมาย รวมทั้งช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนแรงงานของสถานประกอบการ เพื่อประโยชน์ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ปรับลดอัตราภาษีโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 90%       เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2563 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบออกพระราชกฤษฎีกาลดอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลด 90 เปอร์เซ็นต์ เฉพาะปี 2563 เนื่องจากได้ออก พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่ออกมา ดังนั้น ถ้าเก็บเต็มอัตราตาม พ.ร.บ.ฉบับใหม่ ประชาชนก็มีความเดือดร้อนในช่วงนี้ จึงให้ปรับลดภาษีนี้ในปี 2563 ก่อน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับภาษีรายได้ต่อไปในอนาคตด้วย และการขยายเวลาชำระภาษีภายในเดือนเมษายน 2563 เป็นเดือนสิงหาคม 2563 ขณะที่ท้องที่และท้องถิ่นอาจจะมีปัญหาในเรื่องของงบประมาณที่จะต้องเก็บภาษีมาใช้จ่าย จึงจำเป็นต้องหารือมาตรการต่างๆ ที่เหมาะสมต่อไป ครม.อนุมัติไทยเที่ยวไทย 3 แพ็คเกจ       เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2563 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว “ไทยเที่ยวไทย” เพื่อกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ ตั้งแต่กรกฎาคม-ตุลาคม 2563 วงเงินกว่า 2.2 หมื่นล้านบาท โดยจะดำเนินการ ใน 3 แพ็คเกจ ดังนี้ “เที่ยวปันสุข” ช่วยเหลือสายการบินต้นทุนต่ำ รถเช่า โดยรัฐสนับสนุนค่าใช้จ่ายค่าเดินทางในอัตรา 40% แต่ไม่เกิน 1,000 บาท เบื้องต้นสายการบินต้นทุนต่ำที่เข้าร่วมโครงการให้กำหนดราคาขายตั๋วเครื่องบินในประเทศไป-กลับ ในราคา 2,500 บาท “เราไปเที่ยวกัน” กระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศของคนไทย โดยรัฐบาลจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายโรงแรม ที่พักในอัตรา 40% ต่อคืน ไม่เกิน 3,000 พันบาทต่อคืนสูงสุดไม่เกิน 5 คืน หรือ 15,000 บาท และสนับสนุนเงินในลักษณะวงเงินอีวอลเล็ท หรือเงินอิเล็กทรอนิกส์ ให้ 600 บาทต่อคืน สูงสุดไม่เกิน 5 คืน หรือ 3,000 บาท เพื่อให้นำไปใช้จ่ายกิจกรรมในด้านการท่องเที่ยวอื่นๆ ทั้งนี้ หากไม่ได้นำไปใช้จ่ายภายในระยะเวลาการเดินทางท่องเที่ยว ก็จะถูกยึดคืนแพ็คเกจ “กำลังใจ”เพื่อตอบแทนบุคลากรแนวหน้าในการรับมือโควิด-19 โดยให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) รวม 1.2 ล้านคน โดยจะให้ได้รับสิทธิพิเศษเดินทางท่องเที่ยวฟรีผ่านบริษัทนำเที่ยว 2 วัน 1 คืน โดยรัฐบาลจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ 2,000 บาทต่อคน ครม. อนุมัติ 4 โครงการช่วยเหลือ-เยียวยา-ชดเชย ผลกระทบ 'โควิด'       เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2563 คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ 4 โครงการช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชย แก่ประชาชนกลุ่มต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 มีรายละเอียด ดังนี้ ช่วยเหลือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยจ่ายให้กับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือเยียวยาจากโครงการของภาครัฐ ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จำนวน 1,164,222 คน เดือนละ 1,000 บาท ระยะเวลา 3 เดือน (พฤษภาคม - กรกฎาคม 2563) โดยจ่ายผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ วงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 3.49 พันล้านบาท ช่วยเหลือผู้ที่ลงทะเบียนไม่สำเร็จตามโครงการเราไม่ทิ้งกัน ของกระทรวงการคลัง ซึ่งมีจำนวน 302,160 คน ที่ตรวจสอบความซ้ำซ้อนแล้ว ยังไม่เคยได้รับความช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชย จากโครงการของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมทั้งไม่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 กรอบวงเงินงบประมาณ ไม่เกิน 906 ล้านบาท โดยให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังไปพิจารณากำหนดกลุ่มเป้าหมายและกลไกการความช่วยเหลือให้ชัดเจน และส่งให้คณะกรรมการกลั่นกรองเงินกู้ฯ พิจารณาใน 1 เดือน ช่วยเหลือกลุ่มผู้เปราะบาง ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เสนอ กลุ่มเปราะบาง รวมทั้งหมด 6,781,881 คน ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่ได้รับการเยียวยาจากมาตรการอื่นของรัฐ และไม่ซ้ำซ้อนกับระบบประกันสังคม และระบบสวัสดิการของภาครัฐ ประกอบด้วย 1) เด็กจากครัวเรือนยากจน (ตั้งแต่แรกเกิด – 6 ปี) จำนวน 1,394,756 คน 2) ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 4,056,596 คน 3) ผู้พิการ จำนวน 1,330,529 คน โดยจ่ายเงินเยียวยารายละ 1,000 บาทต่อเดือน เพิ่มเติมจากเงินอุดหนุนเพื่อเลี้ยงเด็กแรกเกิด เพิ่มเติมจากเบี้ยความพิการ และเพิ่มเติมจากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม – กรกฎาคม 2563 กรอบวงเงินงบประมาณ รวมทั้งสิ้น 2.03 หมื่นล้านบาท ช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 4.1 เพิ่มกลุ่มเป้าหมายเกษตรกร รวมถึงเกษตรกรที่ด้อยโอกาสและยังไม่สามารถเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านการเกษตร จำนวน 137,093 ราย ทั้งนี้ ต้องเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 และผ่านการตรวจสอบความซ้ำซ้อนกับผู้ได้รับสวัสดิการผ่านระบบข้าราชการของกรมบัญชีกลางและระบบประกันสังคมของสำนักงานประกันสังคม รวมทั้งมาตรการอื่นใดของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการเยียวยาจากผลกระทบของโรคโควิด-19 แล้ว เพื่อให้ความช่วยเหลือเกษตรกรกลุ่มดังกล่าวเป็นไปอย่างเท่าเทียม 4.2 การขยายเวลาการจ่ายเงินให้แก่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ที่ไม่สามารถขึ้นทะเบียนและปรับปรุงทะเบียนเกษตรได้อย่างสมบูรณ์ ภายในวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 จำนวนประมาณ 120,000 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรไว้กับกรมส่งเสริมการเกษตรในรอบการผลิตที่ผ่านมาแล้ว โดยมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดำเนินการลงทะเบียนเกษตรกรให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2563 ครม.เห็นชอบร่างกม.ทรมาน-บุคคลสูญหาย คุ้มครองสิทธิประชาชน       เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2563 คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. .... โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ให้ความคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการกระทำทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อป้องกันปราบปราม และ เยียวยาผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำในลักษณะดังกล่าว รวมถึงการขจัดปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรงและสร้างหลักประกันความเป็นธรรมแก่ประชาชน       เนื่องจากปัจจุบันยังมีการกระทำทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายเกิดขึ้นอยู่ และมีการร้องเรียนไปยังสหประชาชาติโดยเฉพาะประเด็น การงดเว้นโทษให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ ประกอบกับยังไม่มีการกำหนดความผิด บทลงโทษ รวมถึงมาตรการป้องกันและการเยียวยากรณีการกระทำทรมานและกระทำให้บุคคลสูญหายไว้ในกฎหมาย ทางกระทรวงยุติธรรมจึงได้ตราร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยกำหนดฐานความผิด อาทิ 1. กำหนดฐานความผิดการกระทำทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย โดยกำหนดให้ไม่เป็นความผิดทางการเมือง ซึ่งสามี ภรรยา บุพการี ผู้สืบสันดานของผู้เสียหายสามารถดำเนินการฟ้องร้องคดีได้ 2. กำหนดให้ความผิดตาม พ.ร.บ. ในเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษ ให้เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ มีอำนาจหน้าที่สอบสวนเป็นหลัก เว้นแต่กรณีเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษตกเป็นผู้ต้องหา ให้ตำรวจเป็นผู้มีอำนาจสืบสวนแทน 3. กำหนดระวางโทษความผิดฐานกระทำทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย เช่น ผู้ใดกระทำความผิดฐานกระทำทรมานหรือกระทำให้บุคคลสูญหาย มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท หากกรณีผู้ถูกกระทำได้รับอันตรายสาหัส มีโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 15 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000 บาท ถึง 300,000 บาท และกรณีผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตาย มีโทษจำคุกตั้งแต่ 10 ปี ถึง 20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 200,000 บาท ถึง 400,000 บาท ทั้งนี้ เมื่อ ครม. เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวแล้ว จะส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป       ทั้งนี้ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม จะเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการปฏิบัติตามร่างพระราชบัญญัติฯนี้       ที่ผ่านมา กระทรวงยุติธรรมได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัตินี้ เมื่อวันที่ 4 – 31 ธันวาคม 2562 ผ่านเว็บไซต์ และจัดเวทีประชุมเชิงปฏิบัติการใน 4 ภูมิภาค พร้อมทั้งเผยแพร่ผลการรับฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์ผลกระทบจากกฎหมายต่อประชาชนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และลำดับต่อไปหลังจาก ครม. มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติฯ ในวันนี้ จะส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป เตรียมแผน ‘ทราเวล บับเบิ้ล’ จับคู่ประเทศเพื่อการท่องเที่ยว       เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2563 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงความคืบหน้าแผนทราเวล บับเบิ้ล หรือการจับคู่ประเทศท่องเที่ยว ว่าขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้หารือกับสถานทูตหลายประเทศ โดยได้เริ่มร่างกรอบ กติกา และเงื่อนไข ทราเวล บับเบิ้ล การจับคู่ท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ที่มีความสามารถในการควบคุมบริหารสถานการณ์โควิด-19 ได้ดี มีจำนวนผู้ติดเชื้อน้อยหรือไม่มีเลย หรือประเทศที่มีธุรกิจเร่งด่วนที่จะต้องเข้ามาดำเนินการในประเทศไทย โดยจะจำแนกประเทศเป็นกลุ่มๆ ซึ่งวิธีการคือต้องต่างตอบแทนกัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดการยอมรับการคัดกรองผู้ที่จะเดินทางเข้าประเทศ นิวนอมอล หลังควบคุมโควิด-19ได้       เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2563 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงการณ์ “วิธีการทำงานแบบ New Normal” ว่า การระบาดของโควิด ลดลงไปอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ และได้รับการยอมรับว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่รับมือกับโควิดได้ดีที่สุดในโลก อย่างไรก็ตาม ทุกคนยังต้องระมัดระวังให้มาก ต้องใส่หน้ากาก หมั่นล้างมือ และยังคงต้องเว้นระยะห่างทางสังคม ตลอดจนหลีกเลี่ยงกิจกรรมการรวมตัวกันในที่คนเยอะ เพราะเห็นตัวอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศอื่นๆ แล้วว่าโควิดสามารถกลับมาระบาดรอบ 2 ได้ตลอดเวลาหากประมาท       ยังต้องเตรียมรับมือกับสิ่งที่รอเราอยู่ข้างหน้าคือการทำให้คนไทยสามารถกลับมาทำมาหากินกันได้ดังเดิมอีกครั้ง หลังจากที่วิกฤตโควิดได้ทำลายธุรกิจทุกขนาด และบังคับให้หลายล้านครัวเรือนต้องนำเงินออมที่เคยเก็บไว้ ออกมาใช้จนหมด ทั่วโลกยังคงวิตกกังวล และไม่มีใครรู้ว่า จะสามารถกลับไปใช้ชีวิตกันเหมือนเดิมได้อีกเมื่อใด       จากนี้เป็นต้นไป การทำงานของรัฐบาลจะต้อง New Normal ปรับเปลี่ยนเป็นวิธีการทำงานแบบใหม่ด้วย หนึ่ง "ผนึกทุกภาคส่วนร่วมวางอนาคตประเทศไทย" ต่อไปนี้รัฐบาลจะต้องทำงาน โดยดึงทุกภาคส่วนและทุกระดับในสังคมเข้ามามีส่วนร่วมและมีบทบาทมากขึ้น ในการช่วยกันกำหนดอนาคตของประเทศ       หลังโควิด จะปรับวิธีการวางแผน และกำหนดนโยบายหรือมาตรการต่างๆ ของรัฐบาล โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนซึ่งเป็นผู้ที่จะได้รับผลจากนโยบายต่างๆ เหล่านั้น ได้มีส่วนร่วมมากขึ้น ไม่ใช่แค่รับรู้นโยบายต่างๆ จากการอ่านข่าวทางหนังสือพิมพ์หรือสื่อออนไลน์เหมือนที่ผ่านๆ มา ต่อไปนี้ประชาชนต้องมีโอกาสมีส่วนร่วม รัฐบาลต้องได้ยินเสียงของประชาชน และรับฟังความคิดเห็นของประชาชนให้มากขึ้น       สิ่งที่ต้องทำ ในฐานะผู้นำประเทศ คือ เปิดโอกาสให้คนมากมายที่มีความปรารถนาดี และอยากจะช่วยกันขับเคลื่อนประเทศ แต่ไม่เคยมีโอกาสมาก่อน ได้มีโอกาสและมีส่วนร่วมมากขึ้น ช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ       อย่างที่สอง ที่ต้องเปลี่ยน คือ "การประเมินผลงานภาครัฐ โดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตัวจริง" โดยเปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมมากขึ้น ต้องเปลี่ยนระบบประเมินผลการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย เพื่อประเมินผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการทำงานของรัฐ ว่ามันได้สร้างประโยชน์ให้กับประชาชนตามที่เราคาดหวังไว้หรือไม่ ต้องกำจัดสิ่งที่ทำแล้วเสียเปล่า ไม่มีประโยชน์ ต่อประชาชน ออกไปให้ได้มากที่สุด สิ่งที่จะทำให้เกิดขึ้นเป็นอันดับต่อไปก็คือ จะเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีบทบาทในการประเมินผล และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการต่างๆ ของภาครัฐ ให้ผู้บริหารระดับสูงในรัฐบาลได้รับทราบโดยตรงได้ด้วย       อย่างที่สาม ที่ต้องทำ คือ "การทำงานเชิงรุก" ในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง เราต้องทำงานให้บูรณาการมากขึ้น โดยจะกำหนดนโยบายสำคัญเร่งด่วนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่จะสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม ให้กับกระทรวงต่างๆ ทำขึ้นมาขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี จะติดตามกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ขึ้นจริง อย่างมีประสิทธิภาพ 1 ก.ค.! ท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติแบบ New Normal       ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นไป อุทยานแห่งชาติในทุกจังหวัดจะเปิดให้ประชาชนเข้าท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติแบบวิถีใหม่ New Normal โดยจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวในแต่ละวันให้เหมาะสม เปิดให้มีการลงทะเบียนเพื่อเข้าล่วงหน้า 70% อีก 30% ให้ลงทะเบียนที่หน้าอุทยานตามขั้นตอน คือ นักท่องเที่ยวลงทะเบียนจองล่วงหน้าเข้าอุทยานแห่งชาติ ผ่านแอปพลิเคชั่น คิวคิว (QueQ) (เลือกอุทยาน เลือกวัน เลือกช่วงเวลา จำนวนคน ใส่เบอร์โทรศัพท์ รหัสการจอง) เมื่อนักท่องเที่ยวมาถึงอุทยานแห่งชาติ ณ ด่านจัดเก็บค่าบริการ แสดงคิวจองให้เจ้าหน้าที่ทราบ เพื่อตรวจสอบรหัสการจอง ชำระค่าบริการเข้าอุทยานแห่งชาติ นักท่องเที่ยว Check in ผ่านระบบ “ไทยชนะ” ผ่านจุดคัดกรองมาตรการป้องกัน COVID-19 (ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย สวมหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ) ท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติตามจุดต่างๆ ที่มีการจำกัดนักท่องเที่ยว หลังท่องเที่ยวเสร็จ นักท่องเที่ยวต้อง Check out ผ่านระบบ “ไทยชนะ” ก่อนออกพื้นที่อุทยานทุกครั้ง       สำหรับกิจกรรมการท่องเที่ยวภายในอุทยานแห่งชาติ ยังคงต้องตระหนักถึงการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social distancing) ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวเองจะต้องเตรียมร่างกายให้พร้อม สวมหน้ากากอนามัยระหว่างท่องเที่ยว รับประทานอาหารในจุดที่กำหนดไว้ ช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อม ทิ้งขยะในจุดที่เจ้าหน้าที่จัดเตรียมไว้ หรือเข้าร่วมโครงการขยะคืนถิ่นกับทางอุทยานด้วยการนำขยะออกจากอุทยานแห่งชาติ เพื่อลดปริมาณขยะตกค้างในอุทยาน ตลอดจนเป็นการช่วยกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้สะอาด และป้องกันสัตว์ป่าไปกัดกินจนเกิดการสูญเสียชีวิตได้ตามที่เคยปรากฏเป็นข่าว รวมทั้งปฏิบัติตามกฎระเบียบต่างๆ ของอุทยานแห่งชาติด้วย สภาฯ ตั้ง 49 กมธ.วิสามัญศึกษาผลกระทบลงนาม CPTPP       เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2563 สภาผู้แทนราษฎร มีการพิจารณาญัตติด่วนเรื่อง การตั้งกรรมาธิการ(กมธ.) วิสามัญศึกษาผลกระทบการลงนามข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) รวม 7 ฉบับ และได้ตั้ง กมธ.วิสามัญ พิจารณาผลกระทบการลงนาม CPTPP จำนวน 49 คน โดยไม่มีการลงมติ เนื่องจาก ส.ส. ทุกคนอภิปรายเป็นแนวทางเดียวกัน กมธ. พิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน พปชร. ได้ กก.บห. ใหม่ แทนชุดเก่าลาออก       ตามที่คณะกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรคพลังประชารัฐ จำนวน 18 คน ได้ทำหนังสือขอลาออก โดยมีผลวันที่ 1 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป จึงเป็นเหตุให้จำนวน กก.บห. ว่างลงเกินกึ่งหนึ่งของ กก.บห. ทั้งหมด ทำให้ กก.บห. พรรคทั้ง 34 คน พ้นจากตำแหน่ง เป็นไปตามข้อบังคับพรรค และพรรคต้องมีการเลือกผู้ที่จะเป็นคณะกรรมการบริหารชุดใหม่นั้น       เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2563 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จัดประชุมใหญ่สามัญ เพื่อเลือกตั้งหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ตามระเบียบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ทั้งนี้ ผลการเลือกตั้งแบบลับ ที่ประชุมใหญ่ได้เลือกให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นหัวหน้าพรรคฯ คนใหม่ โดยไม่มีคู่แข่งขัน และให้นายอนุชา นาคาศัย เป็นเลขาธิการพรรคคนใหม่ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เป็นเหรัญญิกพรรคและนายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ เป็นนายทะเบียนพรรค       โดย พลเอกประวิตร ได้คะแนน 516 คะแนน นายอนุชา นาคาศัย เลขาธิการพรรค 485 คะแนน นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิก 480 คะแนน และนายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ นายทะเบียนพรรค 494 คะแนน       นอกจากนี้ ที่ประชุมพรรคยังแก้ไขข้อกำหนดจำนวนกรรมการบริหารพรรคให้มีจำนวนไม่น้อยกว่า 11 คน แต่ไม่เกิน 29 คน ประกอบด้วย หัวหน้าพรรค รองหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค ผู้อำนวยการพรรคการเมือง เหรัญญิกพรรคการเมือง นายทะเบียนสมาชิกพรรคการเมือง กรรมการบริหารอื่นของพรรคการเมือง และให้หัวหน้าพรรค มีอำนาจแต่งตั้งกรรมการบริหารอื่นของพรรคการเมืองที่ได้รับเลือกเป็นรองหัวหน้าพรรค จำนวนไม่เกิน 9 คนพร้อมกับมอบหมายอำนาจหน้าที่ให้       และแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการพรรคการเมือง 1 คน ทั้งนี้ และหัวหน้าพรรคมีหน้าที่และอำนาจถอดถอนรองหัวหน้าพรรคออกจากตำแหน่งหรือเปลี่ยนแปลงหน้าที่ที่ได้รับมอบอำนาจหรือมอบหมาย และมีอำนาจถอดถอนผู้อำนวยการพรรคหรือ เปลี่ยนแปลงหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย       สำหรับผู้ได้รับเลือกให้เป็นกรรมการบริหารชุดใหม่ ได้แก่ นายสันติ พร้อมพัฒน์, นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ, นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ, นายสมศักดิ์ เทพสุทิน, นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์, ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า, นายวิรัช รัตนเศรษฐ, นายไพบูลย์ นิติตะวัน, นายสุชาติ ชมกลิ่น, นายอิทธิพล คุณปลื้ม, นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์, นายสุพล ฟองงาม, นายพงษ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ, นายชาญวิทย์ วิภูศิริ, นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์, นายนิโรธ สุนทรเลขา, นายไผ่ ลิกค์, นายสัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ, นายสัมฤทธิ์ แทนทรัพย์, นายสุรชาติ ศรีบุศกร, นายนิพันธ์ ศิริธร, นางประภาพร อัศวเหม และ นายสกลธร ภัททิยกุล รวมทั้งหมด 27 คน       คณะกรรมการบริหารชุดใหม่ ทั้ง 26 คน นอกเหนือจาก พลเอกประวิตร แล้ว จะพบว่ามีการรักษาดุลอำนาจในพรรคโดยกระจายตำแหน่งตัวแทนกลุ่มหลักในพรรคอย่างทั่วถึงโดยแบ่งเป็น “กลุ่ม กทม.” มีนายณัฏฐพล, นายพุทธิพงษ์, นายชาญวิทย์ และนายสกลธี “กลุ่มสามมิตร” มีนายสมศักดิ์, นายสุริยะ, นายอนุชา, นายพงษ์กวิน, นายสรวุฒิ, นายนิโรธ, นายสัมฤทธิ์ และนายสุรชาติ” กลุ่มนายสันติ” มีนายสันติ และ น.ส.นฤมล “กลุ่มผู้กอง” มี ร.อ.ธรรมนัส, นายไผ่ และนายบุญสิงห์ “กลุ่มนายวิรัชและนายสุชาติ” มีนายวิรัช, นายสุชาติ, นายไพบูลย์, นายชัยวุฒิ, นายสุพล และนายสัมพันธ์ ขณะที่ นายอิทธิพล, นายนิพันธ์ และนางประภาพร ถือเป็นตัวแทนกลุ่มสัดส่วนของภาค และขึ้นตรงกับ พลเอกประวิตร       เป็นที่น่าสังเกตว่ารายชื่อกรรมการบริหารชุดใหม่ ยังเป็นรายชื่อกรรมการบริหารชุดเดิมทั้งสิ้น เพียงแต่ตัดโควตา ในส่วนของกลุ่ม 4 กุมาร จำนวน 8 ราย คือ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษาฯ และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นายสันติ กีระนันท์, นายวิเชียร ชวลิต, นายพรชัย ตระกูลวรานนท์ และนายชวน ชูจันทร์ เท่านั้น       นอกจากนั้น มีการแก้ไขเพื่อเปิดทางให้ย้ายที่ทำการพรรคแห่งใหม่ จากเดิมตั้งอยู่ที่อาคารปานศรี ย่านประชาชื่น ไปยังอาคารรัชดาวัน ถนนรัชดาภิเษก ตรงข้ามศาลอาญา       ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2563 “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,108 คน (สำรวจทางออนไลน์) ระหว่างวันที่ 15-19 มิถุนายน 2563 หัวข้อ “การปรับเปลี่ยนในพรรคพลังประชารัฐ” เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของประชาชนต่อกรณีกระแสข่าวการปรับเปลี่ยนในพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งกำลังเป็นที่จับตามองจากหลายฝ่าย เนื่องจากเป็นพรรคใหญ่และเป็นแกนนำหลักของรัฐบาล ซึ่งมีการวิเคราะห์ว่าการปรับเปลี่ยนครั้งนี้น่าจะเป็นไปเพื่อการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายหลังการบริหารประเทศผ่านไปแล้ว 1 ปี สรุปผลได้ ดังนี้ ประชาชนคิดอย่างไร? กับ การปรับเปลี่ยนในพรรคพลังประชารัฐ อันดับ 1 เป็นการแย่งชิงอำนาจ 62.16% อันดับ 2 มีปัญหาภายในพรรค 57.22% อันดับ 3 เป็นเกมการเมือง 56.12% อันดับ 4 สร้างความวุ่นวายให้บ้านเมือง 27.79% อันดับ 5 สมบัติผลัดกันชม 25.78% อันดับ 6 เพื่อปรับ ครม. 25.59% อันดับ 7 เพื่อปรับเปลี่ยนการทำงานใหม่ 18.65% ประชาชนคิดว่าถึงเวลาที่จะมีการปรับเปลี่ยนในพรรคพลังประชารัฐหรือยัง? อันดับ 1 ถึงเวลาแล้ว 72.20% เพราะไม่มีผลงาน ขาดประสิทธิภาพ การทำงานจะได้ดีขึ้น ต้องการผู้ที่เหมาะสมมีความรู้จริง เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ฯลฯ อันดับ 2 ยังไม่ถึงเวลา 27.80% เพราะยังมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่า เสียเวลา ควรทำงานต่อไป ถึงเปลี่ยนใหม่ปัญหาต่างๆ ก็ยังเหมือนเดิม ฯลฯ ประชาชนคิดว่าใคร? สมควรจะเป็น “หัวหน้าพรรค” อันดับ 1 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ 54.26% อันดับ 2 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ 14.36% อันดับ 3 นายวิรัช รัตนเศรษฐ 13.83% อันดับ 4 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ 9.57% อันดับ 5 นายไพบูลย์ นิติตะวัน 7.98% การปรับเปลี่ยนภายในพรรคพลังประชารัฐ จะทำให้การเมืองไทยเป็นอย่างไร? อันดับ 1 เหมือนเดิม 54.15% อันดับ 2 แย่ลง 25.99% อันดับ 3 ดีขึ้น 19.86% ศาล รธน. รับวินิจฉัยคุณสมบัติ 'ธรรมนัส' ปมต้องคำพิพากษาคดียาเสพติด       เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2563 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งความเห็นของ ส.ส. 51 คน ขอให้วินิจฉัยว่าสมาชิกภาพ ส.ส. ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101(6) ประกอบมาตรา 98(10) และความเป็นรัฐมนตรีของ ร.อ.ธรรมนัส สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 17 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบ มาตรา 160(6) และ มาตรา 98 (10) หรือไม่       โดยรับไว้พิจารณาวินิจฉัย และแจ้งประธานสภาผู้แทนราษฎรทราบแล้ว พร้อมส่งสำเนาคำร้องให้ ร.อ.ธรรมนัส เพื่อให้ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้องตาม พ.ร.ป. ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 54 โดยศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้มีมติให้ ร.อ.ธรรมนัส หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. หรือรัฐมนตรี โดยให้เหตุผลว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องยังไม่มีเหตุอันควรสงสัยที่จะมีคำสั่ง จึงมีคำสั่งว่า ร.อ.ธรรมนัส ไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสอง       ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่ ร.อ.ธรรมนัส ถูกพรรคฝ่ายค้านกล่าวว่าถูก ศาลออสเตรเลียตัดสินว่า มีความผิดฐานนำเข้าและค้ายาเสพติด สั่งจำคุก 6 ปีแต่จำคุก 4 ปี ก่อนถูกเนรเทศกลับประเทศไทย จึงมีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่ง ส.ส. และรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98(10) ปฏิรูปกองทัพ! ครม. ไฟเขียวเคาะเกณฑ์ 'ลดยศ-ตำแหน่ง' ทางทหาร       เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2563 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้รับทราบร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ระเบียบข้าราชการพลเรือนกลาโหม ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการกำหนดตำแหน่งการบรรจุ การแต่งตั้ง การปรับตำแหน่งเลื่อนขั้นเงินเดือน การบังคับบัญชาวินัย และการออกจากราชการ หรือทุกด้านเกี่ยวกับข้าราชการพลเรือนกลาโหม ซึ่งจะสอดคล้องกับการปฏิรูปกองทัพ เป็นการลดยศ ลดตำแหน่งของทหาร เพื่อที่จะเปลี่ยนเป็นข้าราชการพลเรือนกลาโหมให้เพิ่มมากขึ้น โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่าควรที่จะมีการออกหลักเกณฑ์หรือกฎกระทรวงต่างๆ หรือพระราชกฤษฎีกาให้ครอบคลุม เพื่อให้มีข้าราชการพลเรือนกลาโหมได้รวดเร็ว ประกาศกรมเจ้าท่า ห้ามดื่มเหล้าในท่าเรือ-บนเรือโดยสารสาธารณะ       เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2563 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศกรมเจ้าท่า ที่ 91/2563 เรื่อง กำหนดสถานที่ห้ามบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในท่าเรือโดยสารสาธารณะ หรือบนเรือโดยสารสาธารณะประจำทาง ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ห้ามผู้ใดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในบริเวณท่าเรือโดยสารสาธารณะ หรือบนเรือโดยสารสาธารณะประจำทาง ผู้ฝ่าฝืนมีความผิดต้องระวางโทษตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 'คณะก้าวหน้า' เปิดตัว 'Common School'       เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2563 คณะก้าวหน้า เปิดตัว "Common School" สถาบันศึกษาอบรมเพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม พร้อมเชิญวิทยากรแนวหน้าของสังคมไทย ร่วมให้ความรู้ผ่านหลักสูตรการเรียนการสอนออนไลน์ ซึ่งจะเผยแพร่ทางช่อง YouTube คณะก้าวหน้า - Progressive Movement และในรูปแบบ podcast ทาง Progressive Podcast ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน 2563 เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป       นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า และผู้อำนวยการหลักสูตรของ Common School ระบุว่า "ภารกิจหลักของ Common School คือ การรณรงค์ทางความคิดแบบก้าวหน้า และมุ่งเอาชนะในทางการเมืองเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้ก้าวหน้า และเพื่อก่อร่าง "ประชาชน" ให้กลายเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศอย่างแท้จริง เราเชื่อในความเป็นไปได้ว่าสังคมที่ดีกว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้หากความคิดคนในสังคมยังไม่เปลี่ยน"       กิจกรรมของ Common School ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จะประกอบไปด้วยการ Workshop & Training ด้านการเมืองและประชาธิปไตย, การจัดบรรยายสาธารณะเพื่อรณรงค์ความคิดแบบก้าวหน้า, ตลาดวิชาออนไลน์แหล่งความรู้ที่ทุกคนเข้าถึงได้, การจัดค่ายเยาวชนทุกภูมิภาคเพื่อพัฒนาศักยภาพเยาวชนให้มีส่วนร่วมออกแบบอนาคตที่พวกเขาอยากเห็น รวมทั้งการออกหนังสือ คู่มือ และเครื่องมือการรณรงค์เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคมด้วย เปิดตัวกลุ่ม'CARE'!!! ชูธง'คิดเคลื่อนไทย'       เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2563 กลุ่ม "CARE คิด เคลื่อนไทย" ซึ่งเป็นกลุุ่มการเมืองที่มีข่าวว่าเตรียมแตกตัวออกมาจากพรรคเพื่อไทยเพื่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ ได้เปิดตัวแกนนำกลุ่ม โดย 7 ตัวแทน "สมาชิกเริ่มต้น" นำโดย นายภูมิธรรม เวชยชัย แกนนำกลุ่มแคร์, นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช, น.ส.ลักขณา ปันวิชัย (แขก คำผกา) นักเขียนและพิธีกรรายการโทรทัศน์, น.ส.วีรพร นิติประภา (แหม่ม) นักเขียนเจ้าของรางวัลซีไรต์, นายดวงฤทธิ์ บุนนาค สถาปนิก, นายพริษฐ์ รักตพงศ์ไพศาล ลูกชายนายพงษ์ศักดิ์ และ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี       ก่อนหน้านี้มีข่าวว่ากลุ่มการเมืองใหม่โดยใช้ชื่อว่า "คณะผู้ห่วงใยประเทศ" หรือ "กลุ่มแคร์" กำลังเตรียมออกมาตั้งพรรคการเมืองใหม่ หลังจากมีปัญหาภายในพรรคเพื่อไทยภายใต้การนำของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย โดยแกนนำกลุ่มแคร์ ล้วนเป็นนักการเมืองที่เคยทำงานร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทย (ทรท.) ในยุคของนายทักษิณ ชินวัตร มาแล้วทั้งสิ้น กกต. เผย ‘ปชป.’ มีสมาชิกพรรคมากที่สุด       เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2563 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แถลงว่า ณ วันที่ 15 มิถุนายน 2563 มีจำนวนพรรคการเมืองที่จดทะเบียนทั้งสิ้น 74 พรรค มีสมาชิกรวมกันทั้งสิ้น 1,173,589 คน โดยพรรคประชาธิปัตย์ มีสมาชิกพรรคมากที่สุด จำนวน 157,021 คน       รองลงไปคือ พรรคเพื่อไทย มีสมาชิกพรรค 70,491 คน       พรรคภูมิใจไทย มีสมาชิกพรรค จำนวน 59,274 คน       พรรคพลังประชารัฐ มีสมาชิกพรรค จำนวน 45,473 คน       พรรคเสรีรวมไทย มีสมาชิกพรรค 45,466 คน       พรรคเพื่อชาติ มีสมาชิกพรรค จำนวน 20,652 คน       พรรคชาติไทยพัฒนา มีสมาชิกพรรค จำนวน 20,089 คน       พรรคชาติพัฒนา มีสมาชิกพรรค จำนวน 15,911 คน       พรรคก้าวไกล 12,648 คน เป็นต้น       ส่วนพรรคการเมืองที่สิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมือง ตาม พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 จำนวน 43 พรรค ประกอบด้วย พรรคประชาราช พรรคพลังอุดร พรรคกิจสังคม พรรคประชาสันติ พรรคอาสาสมัครไทย พรรคคนไทย พรรคพลังพลเมือง พรรคมาตุภูมิ พรรคเสรีนิยม พรรคพลังไทยเครือข่าย พรรครักษ์สันติ พรรคพลังเกษตรกรไทย พรรคเอกราชไทย พรรคเพื่ออนาคต พรรคธรรมาภิบาลสังคม พรรคเงินเดือนประชาชน พรรคเพื่อฟ้าดิน พรรครักประเทศไทย พรรคพลังเครือข่ายประชาชน       พรรคพลังประเทศไทย พรรครวมพลังไทย พรรคชาติไทยสามัคคี พรรคปฏิรูปไทย พรรคมหาประชาชน พรรคสร้างไทย พรรคไทยมหารัฐพัฒนา พรรคเพื่อสันติ และพรรคคนธรรมดาแห่งประเทศไทย พรรคยางพาราไทย พรรคประชาชนปฏิรูป พรรคไทยรุ่งเรือง พรรคประชาธรรม พรรคพลังคนกีฬา พรรคเมืองไทยของเรา พรรคเพื่อธรรม พรรคชาติประชาธิปไตยก้าวหน้า พรรคมหาชน พรรคแทนคุณแผ่นดิน พรรคเพื่อสหกรณ์ไทย พรรคประชาธิปไตยเพื่อประชาชน พรรคเพื่อนไทย พรรคกสิกรไทย พรรครักท้องถิ่นไทย และพรรคพลังแรงงานไทย       สำหรับพรรคการเมืองที่ถูกยุบพรรคการเมือง ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มีจำนวน 2 พรรค คือ พรรคไทยรักษาชาติ และพรรคอนาคตใหม่ ยึด 'อาวุสงคราม-ระเบิด' ล็อตใหญ่ โยงกลุ่มเคลื่อนไหวการเมือง       เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2563 พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน และทหาร ได้ทำการตรวจยึดอาวุธสงครามจำนวนหนึ่งจากพื้นที่แนวตะเข็บชายแดนประเทศไทย เชื่อว่าอาวุธดังกล่าวเตรียมพร้อมสำหรับการเคลื่อนไหวทางการเมือง ขณะนี้อยู่ระหว่างสืบสวนขยายผลเพื่อหาต้นตอและผู้เกี่ยวข้องที่เกี่ยวข้อง       ก่อนหน้านี้ ทหารหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 4 อ.แม่สอด ร่วมกับกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 346 อ.แม่สอด ยึดอาวุธสงครามในบ้านหลังหนึ่ง พื้นที่หมู่ 2 ตำบลแม่ตาว อ.แม่สอด โดยตรวจยึดอาวุธปืนกลขนาด .62 จำนวน 2 กระบอก, อาวุธปืนเอ็ม 16 จำนวน 4 กระบอก, อาวุธปืนเอ็ม 79 จำนวน 3 กระบอก, อาวุธปืนอาก้า-47 จำนวน 13 กระบอก, อาวุธปืนเล็กยาว 10 กระบอก และอาวุธปืนอื่นๆ รวมทั้งหมด 33 กระบอก ระเบิดอีก 2 ลูกและเครื่องกระสุนจำนวนหนึ่ง       ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวชาย 2 คน เป็นคนไทย พร้อมกับนำตัวไปสอบสวนที่หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 4 อ.แม่สอด เพื่อทำการสอบสวนขยายผลแล้ว เบื้องต้นจากคาดว่าเป็นอาวุธของชนกลุ่มน้อยที่เจ้าหน้าที่ติดตามเบาะแสมาระยะหนึ่งแล้ว       เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2563 พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ยืนยันว่า อาวุธสงครามดังกล่าวนั้น เกี่ยวโยงกับการเมือง เนื่องจากมั่นใจในข้อมูลที่ได้รับมาจากทางการข่าว ที่ทำหน้าที่ติดตามมาโดยตลอด 'พรรคกล้า' รับหนังสือรับรอง กกต.       เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ถนนแจ้งวัฒนะ นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า และนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคฯ เดินทางไปรับหนังสือรับรองจาก กกต. ในการดำเนินการพรรคการเมืองที่สมบูรณ์ พร้อมทั้งย้ำด้วยว่า "จะมีการชักชวนเพื่อเข้าร่วมอุดมการณ์พรรคด้วยกัน"       ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า จัดทอล์กออนไลน์ร่วมกับแขกรับเชิญ 3 คน โดยนายกรณ์ จาติกวณิช ระบุ ขอเป็นหนึ่งในหลายล้านคนทั่วโลกร่วมฉลอง Pride Month เดือนแห่งความภาคภูมิใจของความหลากหลายทางเพศ พร้อมย้ำว่าในฐานะหัวหน้า “กล้า” ขอยืนยันว่าพรรคกล้า เราพร้อมสู้และช่วยผลักดันประเด็นทางกฎหมายในเรื่องสิทธิพื้นฐานเพื่อคนไทยทุกคน โดยเฉพาะหลักคิดต่อประเด็น LGBTQ+ เรายึดหลักว่า “บุคคลสองคน” ที่เป็นคู่ชีวิตกัน ควรมีสิทธิในการสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์เท่าเทียมกับคู่สมรส” ฎีกาพิพากษายืน สั่งคุก '4 แกนนำ นปช.' ไม่รอลงอาญา       เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2563 ศาลฎีกามีคำพิพากษายืนให้จำคุกนายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 2 ปี 8 เดือน ฐานทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่ฯ ส่วนนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.), นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช., นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท และ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. จำเลยที่ 4 - 7 ให้จำคุกคนละ 4 ปี 4 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายฯ และเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานฯ ให้ยกฟ้องนายวีระศักดิ์และนายวันชัย จำเลยที่ 2 - 3 และริบของกลางทั้งหมด       คดีนี้เกิดจากการชุมนุมปิดล้อมบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ ของ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เมื่อปี 2550 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้องในความผิดฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองฯกรณีเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2550 แกนนำและแนวร่วม นปช. นำขบวนผู้ชุมนุมหลายพันคน จากเวทีปราศรัยเคลื่อนที่สนามหลวง ไปยังบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ของ พลเอกเปรม เพื่อเรียกร้องกดดันให้ลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งระหว่างเหตุการณ์ดังกล่าว มีการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานโดยใช้กำลังขู่เข็ญ ซึ่งนายนพรุจ จำเลยที่ 1 ได้ใช้ไม้เสาธง ตีประทุษร้ายร่างกาย ร.ต.อ.ทวีศักดิ์ นามจันทร์เจียม เป็นเหตุให้กระดูกข้อมือแตกเป็นอันตรายสาหัส       เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2558 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ให้จำคุกนายนพรุจ จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 2 ปี 8 เดือน ฐานทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่ฯ ส่วนนายวีระกานต์, นายณัฐวุฒิ, นายวิภูแถลง และ นพ.เหวง จำเลยที่ 4 - 7 คนละ 4 ปี 4 เดือน ให้ยกฟ้องนายวีระศักดิ์และนายวันชัย จำเลยที่ 2-3 ริบของกลางทั้งหมด       ต่อมาเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2560 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า พวกจำเลยมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานฯ ตามมาตรา 138 วรรคสอง ให้จำคุกคนละ 1 ปี และมีความผิดฐานมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ก่อให้เกิดความวุ่นวายโดยเป็นหัวหน้าสั่งการ ซึ่งเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิก ตามมาตรา 215 วรรคหนึ่งและวรรคสาม, มาตรา 216 ประกอบมาตรา 83 ซึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 215 วรรคสาม เพียงกรรมเดียว จำคุกคนละ 3 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 4 - 7 คนละ 4 ปี คำให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 4 - 7 คนละ 2 ปี 8 เดือน ส่วนนายนพรุจ จำเลยที่ 1 คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ยกฟ้องจำเลยที่ 2 – 3       หลังศาลอ่านคำพิพากษา เจ้าหน้าที่ได้นำจำเลยทั้งหมดส่งเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครต่อไป