เมษายน 2563 : ไทยรวมพลังต้านโควิด-19 ไทยรวมพลังต้านโควิด-19 กองทุนอาเชียนต้านโควิด-19 "พรรคกล้า" ได้สมาชิก 642 คน ร่วมจัดตั้ง ไทยรวมพลังต้านโควิด-19       หลังประกาศใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) สถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศมาตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มวันละเกินร้อยราย ก็ค่อยๆ ลดลงจนถึงต่ำกว่าสิบติดต่อกันเป็นวันที่สี่ ในวันที่ 30 เมษายน มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเพียง 7 ราย ทำให้มีผู้ป่วยรวมสะสมทั่วประเทศ 2,954 ราย หายป่วยแล้ว 2,687 ราย กำลังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 213 ราย และมีผู้เสียชีวิตรวมทั้งสิ้น 54 ราย       อย่างไรก็ตาม การประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินจะยังคงมีต่อไปตลอดทั้งเดือนพฤษภาคม ในขณะที่จะยังคงบางมาตรการเอาไว้ และผ่อนปรนบางมาตรการเพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถรักษาความปลอดภัยให้แก่ประชาชนทั้งประเทศได้ เรามาดูกันว่าตลอดทั้งเดือนเมษายน 2563 ที่ผ่านมานี้ รัฐบาลได้ประกาศนโยบายอะไร ใช้มาตรการอะไร และได้มีสถานการณ์อะไรบ้าง โควิด-19 เป็นวาระชาติ       เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2563 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศให้โควิด-19 เป็นวาระแห่งชาติที่ทุกภาคส่วนจะต้องมีร่วมมือกันในการจัดการและให้ความร่วมมือกับรัฐในการแก้ไขปัญหาตามที่รัฐจะได้ประกาศมาตรการออกมาในแต่ละเรื่อง และยืนยันว่าสุขภาพของคนไทยคือสิ่งสำคัญที่สุดที่จะต้องยึดถือ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการต่าง ๆ เพื่อสุขอนามัยของคนทั้งประเทศ การกักตัว 14 วัน       หนึ่งในมาตรการที่ประกาศตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนคือการกักตัว (Quarantine) เป็นเวลา 14 วัน โดยที่ในระยะแรกมีผู้เดินทางจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย ทั้งที่เป็นคนไทยและต่างชาติ รัฐบาลจึงขอร้องให้ทุกคนกักตัวอยู่ในที่พักอาศัยเป็นเวลา 14 วัน เพื่อหากติดเชื้อจะได้ไม่แพร่ให้ผู้อื่น แต่ปรากฏว่ามีผู้ที่เดินทางเข้ามาไม่ยอมทำตาม ทำให้เกิดการแพร่เชื้อไวรัสให้บุคคลอื่น รัฐบาลจึงออกมาตรการให้ทุกคนที่เดินทางเข้ามาในประเทศต้องมีใบรับรองแพทย์ว่ามีสุขภาพดีไม่มีไข้ ใช้แอปพลิเคชั่นติดตามตัว ไปกักตัว (State Quarantine) เป็นเวลา 14 วันในสถานที่รัฐจัดไว้ให้ และต้องมีการทำประกันสุขภาพสำหรับชาวต่างชาติ ปิดสนามบินชั่วคราว       กระทรวงการต่างประเทศได้ตั้งทีมไทยแลนด์ตามสถานทูตต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือบุคคลสัญชาติไทยที่อยู่ต่างประเทศให้เดินทางกลับบ้าน ซึ่งทุกคนจะต้องรับการกักตัว 14 วันหลังเดินทางเข้ามา แต่ในคืนวันที่ 3 เมษายน มีผู้โดยสารคนไทยจำนวนหนึ่งเดินทางกลับจากต่างประเทศ และมีส่วนน้อยจำนวนหนึ่งไม่ยอมไปกักตัวตามระเบียบ ในวันที่ 4 เมษายน การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยได้ออกข้อกำหนดห้ามอากาศยานขนส่งคนโดยสารทำการบินเข้ามายังท่าอากาศยานในประเทศไทยเป็นการชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2563 เวลา 00.01 น. จนถึงวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 23.59 น. และต่อมาได้ขยายไปจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2563       ทั้งนี้ มีข้อยกเว้นให้แก่อากาศยานราชการหรือที่ใช้ในราชการทหาร (State or Military aircraft), อากาศยานที่ขอลงฉุกเฉิน (Emergency landing), อากาศยานที่ขอลงทางเทคนิค (Technical landing) โดยไม่มีผู้โดยสารออกจากเครื่อง, อากาศยานที่ทำการบินเพื่อให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม ทำการบินทางการแพทย์ หรือ การขนส่งสิ่งของเพื่อสงเคราะห์แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID 19) (Humanitarianaid, medical and relief flights), อากาศยานที่ได้รับอนุญาตให้ทำการบินรับส่งบุคคลกลับภูมิลำเนา (Repatriation) และ อากาศยานขนส่งสินค้า (Cargo aircraft)       สำหรับคนไทยที่อยู่ระหว่างการเดินทางเข้าประเทศและติดค้างตามสนามบินต่าง ๆ ให้สถานทูตไทยในประเทศนั้นๆ ประสานงานให้ความช่วยเหลือเพื่อหาเที่ยวบินกลับให้ รวมทั้งรวบรวมผู้ที่จะเดินทางกลับประเทศเพื่อให้ได้เดินทางกลับพร้อมกัน และให้ผู้โดยสารทุกคนบนอากาศยานที่เข้ามาต้องรับการกักตัวเป็นเวลา 14 วัน เข้มงวดการเดินทางเข้าไทย ตั้งแต่ 15 เม.ย.       จากการที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวนมากที่เดินทางมาจากต่างประเทศ จึงมีการให้ชะลอการเดินทางของคนไทยและต่างชาติที่จะมา เว้นคนขออนุญาตกันไว้ก่อนแล้ว โดยคนที่จำเป็นต้องกลับมาให้ติดต่อสถานทูตประเทศนั้นๆ ปฏิบัติตามคำแนะนำเอกอัครราชทูตของแต่ละแห่งอย่างเข้มงวดและไม่ไปที่ชุมชน       คำสั่งนี้ทำให้มีคนไทยในประเทศไอร์แลนด์ยื่นต่อศาลปกครองขอให้เพิกถอนคำสั่งที่กำหนดให้ผู้จะเดินทางเข้าประเทศไทยต้องมีใบรับรองแพทย์ ยืนยันได้ว่ามีสุขภาพเหมาะสมต่อการเดินทางทางอากาศ หรือไม่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 หากพบว่าผู้โดยสารไม่สามารถแสดงเอกสารหลักฐานดังกล่าวได้ ให้ปฏิเสธการขึ้นเครื่องและงดออกบัตรขึ้นเครื่อง แต่ในวันที่ 2 เมษายน ศาลปกครองไม่รับคำฟ้องด้วยเหตุผลว่า ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณา เพราะเป็นอำนาจศาลยุติธรรม ปิดบางสถานที่ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ       ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2563 ได้มีการประกาศห้ามออกนอกเคหสถานในระหว่างเวลา 22.00-04.00 น. และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจในการปิดเปิดสถานที่ต่างๆ ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ตามความเหมาะสม ได้แก่ สนามมวย สนามม้า สนามกีฬา สนามเด็กเล่น สถานบันเทิง สถานที่นวด สปา ฟิตเนส สถานเสริมสวย ห้างสรรพสินค้า (เปิดเฉพาะส่วนขายอาหารและซูเปอร์มาร์เก็ต) เป็นต้น ส่วนสถานที่ยังคงให้เปิดดำเนินการตามปกติ ได้แก่ โรงพยาบาล คลินิก ร้านขายยา ร้านอาหาร (ให้ซื้อกลับไปบริโภคที่บ้านเท่านั้น) ร้านสะดวกซื้อ (ให้เปิดปิดตามเวลา) โรงงาน ธนาคาร ตลาดขายอาหารและสินค้าจำเป็น สถานีบริการน้ำมัน       รัฐบาลขอร้องให้ธุรกิจเอกชนจัดให้ลูกจ้างทำงานที่บ้านได้ หลายสถานที่ราชการนำมาตรการทำงานที่บ้านมาใช้ กทม. งดให้บริการงานทะเบียนทั้งหมด ยกเว้น 5 ประเภท การแจ้งเกิด-ตาย การตรวจคัดสำเนาทะเบียนราษฎร ตรวจคัดสำเนาทะเบียนบัตรประชาชน จดทะเบียนสมรส และจดทะเบียนหย่า ซึ่งหากมีกรณีเร่งด่วนสำนักงานเขตจะพิจารณาเป็นกรณีไป ส่วนผู้ที่บัตรประชาชนหมดอายุ กระทรวงมหาดไทย อนุญาตให้ใช้บัตรเก่าไปก่อนจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคมนี้ ส่วนผู้ที่บัตรหายให้ไปคัดสำเนาบัตรเก่าได้ที่สำนักงานเขตใกล้บ้านมาใช้ก่อน       กรุงเทพมหานคร สั่งปิดปิดร้านขายและพื้นที่ขายสุราทั้งแบบปลีกและส่ง และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดตลอด 24 ชั่วโมง ระหว่างวันที่ 10-20 เมษายน 2563 และต่อมาทุกๆ จังหวัดก็ออกประกาศนี้และขยายคำสั่งห้ามซื้อขายไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน บังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเต็มรูปแบบ       การประกาศเคอร์ฟิว หรือห้ามบุคคลออกนอกเคหสถานทั่วประเทศในช่วง 22.00 - 04.00 น. เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2563 มีสาระสำคัญคือห้ามออกนอกเคหสถานทั่วประเทศระหว่าง 22.00 น. ถึง 04.00 น.ของวันรุ่งขึ้น ยกเว้นผู้มีความจำเป็น หรือเป็นผู้ปฏิบัติงาน ได้แก่ ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์ การธนาคาร การขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภค ผลผลิตการเกษตร ยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ หนังสือพิมพ์ การขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง การขนส่งพัสดุภัณฑ์ การขนส่งสินค้าเพื่อการนำเข้าหรือส่งออก การขนย้ายประชาชนไปสู่ที่เอกเทศเพื่อกักกันตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ การเข้าออกเวรทำงานผลัดกลางคืนตามปกติ หรือการเดินทางมาจากหรือไปยังท่าอากาศยาน โดยมีเอกสารรับรองความจำเป็นหรือเอกสารเกี่ยวกับสินค้าหรือการเดินทางและมีมาตรการป้องกันโรคตามข้อกำหนด       ต่อมาเมื่อวันที่ 10 เมษายน ได้มีการออกข้อกำหนดเพิ่มเติมอนุญาตให้บุคคลบางประเภทอาชีพสามารถออกนอกสถานที่ได้ เช่น พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือผู้ช่วย หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร หรือ พลเรือน ซึ่งอยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายอื่น, ผู้ป่วย ผู้มีความจำเป็นต้องพบแพทย์และผู้ดูแลบุคคลดังกล่าว หรือ แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องปฏิบัติงาน       ผู้ทำการการขนส่งสินค้าเพื่อประโยชน์ของประชาชน, การขนส่ง หรือ ขนย้ายประชาชน ได้แก่ ผู้ขนส่งหรือขนย้ายประชาชน ไปสู่ที่เอกเทศของทางราชการ หรือของตนเองเพื่อการเฝ้าระวัง หรือกักกันตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ หรือ ผู้เดินทางมาจาก หรือ ไปยังท่าอากาศยาน หรือสถานที่ขนส่ง ตามที่ทางราชการอนุญาต และให้เปิดทำการได้, การบริการ หรือ การอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ผู้บริการเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิงในสถานีน้ำมันเชื้อเพลิง ผู้บริการส่งสินค้า หรืออาหารตามสั่ง ผู้บริการ ตรวจสอบ หรือซ่อมบำรุงไฟฟ้า ประปา ระบบระบายน้ำ ระบบท่อส่งน้ำมัน และก๊าชธรรมชาติ ผู้บริการ จัดเก็บและกำจัดขยะมูลฝอย ผู้บริการซ่อมแชมและปรับปรุงโครงข่าย และอุปกรณ์ในการสื่อสาร โทรคมนาคม ผู้บริการด้านธนาคาร ตลาดทุน ประกันภัย การกู้ภัย การป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติ ผู้จำเป็นต้องตำเนินการในกรณีเกิดอุบัติเหตุ หรือจำเป็นต้องติดต่อราชการกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เจ้าหน้าที่ ฝ่ายปกครอง หรือพนักงานสอบสวน, การประกอบอาชีพ ซึ่งจำเป็นต้องกระทำภายในช่วงเวลาพิเศษ ได้แก่ ผู้เข้า ออกเวรยาม กะ หรือการทำงานตามผลัดเวลาที่กำหนดไว้ตามปกติของทางราชการ เอกชน โรงงาน หรือ การดูแลรักษาความปลอดภัย ผู้ประกอบอาชีพประมง การกรีดยาง การตรวจรักษาสัตว์       โดยบุคคลเหล่านั้นต้องได้รับอนุญาตเป็นการเฉพาะรายจากพนักงานเจ้าหน้าที่ในกรณีตาม ให้แสดงบัตรประจำตัว ประชาชน หรือบัตรแสดงตนอย่างอื่น และเอกสารรับรองความจำเป็น เอกสารเกี่ยวกับสินค้า บริการ การเดินทาง หรือหลักฐานอื่นๆ ต่อเจ้าหน้าที่ และต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคที่ทางราชการกำหนด รวมถึงการยอมรับการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย       กระทรวงมหาดไทยได้สั่งการทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมกำหนดมาตรการและดูแลประชาชน กรณีการยกระดับปฏิบัติการยับยั้งโควิด-19 ดังนี้ จัดเตรียมพื้นที่รองรับการกักกันตัวของจังหวัด (Local Quarantine) ชี้แจงทําความเข้าใจกับประชาชน และทุกภาคส่วนถึงความจําเป็นในการปฏิบัติการ เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยให้ประชาชนอยู่ในที่พักอาศัยไม่เคลื่อนย้าย/เดินทาง วางมาตรการควบคุมการกักตุนสินค้า วางแผนจัดระบบการขนส่งสินค้า เครื่องอุปโภคบริโภค สิ่งของจําเป็นต่อการดํารงชีวิตประจําวัน มีการกําหนดจุดบริการอาหาร เครื่องดื่ม เพื่อดูแลประชาชนถึงระดับหมู่บ้าน/ชุมชน ให้ชัดเจนและอยู่ในแผนปฏิบัติการ ให้จังหวัดรายงานการปฏิบัติให้ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กระทรวงมหาดไทย ทราบ ภายในเวลา 18.00 น. ทุกวัน เพื่อจะได้รายงานศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โควิด-19 ต่อไป ล็อคดาวน์บางพื้นที่       ในบางพื้นที่ที่มีการระบาดสูง ผู้ว่าราชการจังหวัดได้ออกประกาศห้ามการเดินทางข้ามเขต โดยมีการตั้งจุดตรวจบนเส้นทางคมนาคมสายหลัก เลื่อนการเปิดภาคเรียน       คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอการปรับการเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 โดยให้สถานศึกษาเลื่อนการเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 จากวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เป็นวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 โดยให้ปรับวิธีการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับหลักสูตรที่กำหนดไว้ในแต่ละระดับการศึกษาของปีการศึกษา 2563 ด้านการเงิน การคลัง       รัฐบาลได้ออกกฎหมาย 5 ฉบับ มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2563 เป็น พ.ร.ก.จำนวน 4 ฉบับ และ พ.ร.ฎ. จำนวน 1 ฉบับ เพื่อเป็นเครื่องมือให้กับรัฐบาล และหน่วยงานรัฐ ในการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ประกอบด้วย       1. พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ (คลิกอ่านรายละเอียด : http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2563/A/030/T_0001.PDF)       2. พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ (คลิกอ่านรายละเอียด : http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2563/A/030/T_0006.PDF)       3. พระราชกำหนดการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ. ๒๕๖๓ (คลิกอ่านรายละเอียด : http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2563/A/030/T_0012.PDF)       4. พระราชกำหนดว่าด้วยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๓ (คลิกอ่านรายละเอียด : http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2563/A/030/T_0020.PDF )       5. พระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวนเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองเป็นการทั่วไป พ.ศ. ๒๕๖๓ (คลิกอ่านรายละเอียด : http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2563/A/030/T_0020.PDF )       โดยสรุปคือ ออก พ.ร.ก.กู้เงินเพื่อการเยียวยาและดูแลเศรษฐกิจ วงเงิน 1 ล้านล้านบาท คาดว่า จะมีผลบังคับใช้ภายในเดือน เมษายน 2563 และเริ่มกู้เงินได้เดือนพฤษภาคม2563 แบ่งเป็น ด้านสาธารณสุขและการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ วงเงิน 6 แสนล้านบาท ได้แก่ เยียวยาประชาชน 6 เดือน, เยียวยาเกษตรกร และดูแลด้านสาธารณสุข งบฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม       การฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมได้ตั้งงบประมาณไว้ในวงเงิน 4 แสนล้านบาท โดยครอบคลุมโครงการดูแลสนับสนุนเศรษฐกิจในพื้นที่ ทั้งสนับสนุนและสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจชุมชน และสนับสนุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในระดับพื้นที่ ได้แก่       ออก พ.ร.ก. ให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทยออกซอฟต์โลนเพื่อดูแลภาคธุรกิจโดยเฉพาะ คือ SMEs วงเงิน 5 แสนล้านบาท เป็นสินเชื่อใหม่ 5 แสนล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 2% สำหรับ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 500 ล้านบาท       ให้ธนาคารพาณิชย์ และ SFls พักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือน ให้ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท       ออก พ.ร.ก. ดูแลเสถียรภาพภาคการเงิน วงเงิน 4 แสนล้านบาท ด้วยการตั้งกองทุนรวม Corporate Bond Liquidity Stabilization Fund หรือ BSF และให้ ธปท. ซื้อขายหน่วยลงทุนในกองทุนดังกล่าว       นอกจากนี้ ครม. ได้เห็นชอบสำนักงบฯ จัดทำร่าง ก.ม.โอนงบประมาณปี 2563 เพื่อรวมไว้ที่งบกลางใช้แก้ปัญหาโควิด-19       การใช้เงินกู้จะแยกเป็น 3 ส่วน คือ 1. ใช้เพื่อระบบสาธารณสุขโดยเฉพาะเพื่อดูแลป้องกันรักษาประชาชนทั้งหมด 40,000 ล้านบาท โดยในส่วนนี้ได้รวมเรื่องวัคซีนสำหรับประชาชนทุกคน 60 ล้านคนไว้แล้ว 2. เงินเยียวยา 5,000 บาทสำหรับลูกจ้างรายวันผู้ทำงานอิสระ และจะมีกลุ่มอื่นๆ เพิ่มเติมขึ้นมาอีกวงเงิน 555,000 ล้านบาท และ 3. ภายหลังปลอดจากการระบาดของโควิด-19 แล้วจะต้องมีการฟื้นฟู ประเทศใช้วงเงิน 400,000 ล้านบาท       ส่วนการช่วยเหลือด้วยการให้เงินเยียวยาเกษตรกรจะต้องรอให้ พ.ร.ก.กู้เงินออกมาก่อน จากนั้นจึงกำหนดหลักเกณฑ์การช่วยเหลือจะครอบคลุมอย่างไรบ้าง เพราะต้องเป็นเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยตรง       การกู้ยืมเงินนี้จะทำให้ อัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ปี 64 อยู่ที่ 57% ซึ่งยังไม่เกินเพดาน เงินช่วยเหลือฉุกเฉิน 77 จังหวัด       กระทรวงการคลังได้ออกระเบียบ ว่าด้วยเงินทดรองราชการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ที่ขยายวงเงิน เป็น 50 ล้านบาท ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ทั้ง 77 จังหวัด สามารถนำไปจัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ เวชภัณฑ์ ยา ให้กับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ หรือสิ่งจำเป็นสำหรับประชาชนในการป้องกันการแพร่ระบาดได้ รายละเอียดขึ้นอยู่กับแต่ละจังหวัดว่าจะหารือการดำเนินการตามความเหมาะสม บรรจุบุคลากรทางการแพทย์เพิ่ม 4 หมื่นตำแหน่ง       ในวันที่ 7 เมษายน 2563 คณะรัฐมนตรีได้มีมติตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนออนุมัติให้มีการบรรจุพนักงาน ลูกจ้าง สาธารณสุข กว่า 4 หมื่นตำแหน่งเป็นข้าราชการ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน ต่อสู้กับโรคโควิด-19 และเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับระบบสาธารณสุขไทยอย่างยั่งยืน มาตรการเยียวยาคนตกงาน       รัฐบาลได้ออกมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบโดยการถูกเลิกจ้างงาน ชื่อ โครงการ “เราไม่ทิ้งกัน” จะจ่ายเงินเดือนละ 5,000 บาทต่อเนื่องเป็นเวลา 3 เดือน แก่ผู้ได้รับผลกระทบจริง ที่มีคุณสมบัติครบ 3 เงื่อนไข คือ เป็นแรงงานที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคมมาตรา 33 และได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จริง โดยเปิดให้ลงทะเบียนในเว็บ www.เราไม่ทิ้งกัน.com ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2563 ตลอด 24 ชั่วโมง ไปจนกว่าจะสิ้นสุดโครงการในเดือนมิถุนายน 2563       นอกจากนี้ ครม. ยังเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ เพื่อนำไปช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 จากเดิม 14 ล้านคน เพิ่มเป็นไม่เกิน 16 ล้านคน จ่ายเงินช่วยเหลือ รายละ 5,000 บาท/เดือน เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม-30 มิถุนายน 2563 ใช้เงินจากงบประมาณรายจ่ายปี 2563 ไม่เกิน 70,000 ล้านบาท และนำเงินตาม พ.ร.ก.เงินกู้มาช่วยเพิ่มไม่เกิน 170,000 ล้านบาท รวมเงินรองรับ 240,000 ล้านบาท ผู้สูงอายุกู้ยืมเงินกองทุนได้พักหนี้       วันที่ 10 เมษายน 2563 คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ มีมติออกมาตรการพักชำระหนี้ลูกหนี้กองทุนผู้สูงอายุที่กู้ยืมเงินทุนประกอบอาชีพจากกองทุนผู้สูงอายุทุกคน ซึ่งมีประมาณ 4.1 หมื่นราย โดยระยะเวลาพักชำระหนี้ 1 ปี เริ่มตั้งแต่ 1 เมษายน 2563 - 31 มีนาคม 2564       ทั้งนี้ ให้ผู้กู้แสดงเจตจำนงในการขอพักหนี้โดยติดต่อกองทุนผู้สูงอายุ หรือสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทุกจังหวัด หรือส่งจดหมายขอผ่อนผันการชำระหนี้ตามแบบฟอร์มที่กำหนด โดยให้ผู้ค้ำประกัน และพยาน 2 คนลงนาม พร้อมแนบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนพร้อมรับรองสำเนา และส่งกลับมายังสำนักงานพัฒนาสังคมฯ จังหวัด หรือกองทุนผู้สูงอายุ ส.ว. บริจาค 10 ล. พร้อมโอนงบคงเหลือคืน 25%       22 เมษายน 2563 วุฒิสภา มีมติให้มอบเงิน จำนวน 10 ล้านบาท ให้แก่ “กองทุนชัยพัฒนาสู้ภัยโควิด-19 (และโรคระบาดต่างๆ) มูลนิธิชัยพัฒนา” และให้โอนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ของวุฒิสภา จำนวน 93.3 ล้านบาท (ร้อยละ 25 ของวงเงินคงเหลือฯ) เพื่อนำเงินไปช่วยเหลือ และคืนค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปประชุมทวิภาคีและไปเยือนต่างประเทศของคณะกรรมาธิการ จำนวน 67.5 ล้านบาท รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปประชุมนานาชาติ ไปเยือนและรับรองแขกต่างประเทศ จำนวน 24.8 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการแลกเปลี่ยนข้าราชการสำนักงานวุฒิสภาไทยกับต่างประเทศ อีกจำนวน 1 ล้านบาทคืน หน่วยราชการคืนงบ       คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้หน่วยราชการทุกภาคส่วนกันงบประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ จากเงินที่เหลืออยู่ ไปใช้แก้ปัญหาโควิด-19       เมื่อวันที่ 22 เมษายน กองทัพบก ได้ปรับลดงบประมาณลงร้อยละ 30 ให้รัฐบาลนำเงินไปใช้ฟื้นฟูเยียวยาผลกระทบจากการระบาดของเชื้อโควิด-19 ชะลอการจัดซื้อรถยานเกราะสไตร์เกอร์ไปในปีงบประมาณ 2564-2565 พร้อมเลื่อนการจัดหายุทโธปกรณ์อีกหลายโครงการ       วันที่ 24 เมษายน 2563 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ตัดงบประมาณปี 2563 จำนวน 657 ล้านบาทที่ยังค้างจ่าย เพื่อให้รัฐบาลนำงบประมาณมาช่วยแก้ปัญหาจากโควิด-19 ซึ่งทุกส่วนราชการได้ตัดงบประมาณเหมือนกันหมด ข้าราชการ มท. สละเงินเดือน       เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2563 ข้าราชการระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ทั้งฝ่ายการเมือง ฝ่ายประจำ และรัฐวิสาหกิจ รวมถึงข้าราชการกระทรวงมหาดไทย ข้าราชการบำนาญ และเครือข่ายของกระทรวงมหาดไทย ได้พร้อมใจกันบริจาคเงินเดือนร้อยละ 50 เป็นเวลา 3 เดือน ร่วมบริจาคตามความสมัครใจ และร่วมกันจัดตั้งกองทุนชื่อ "มหาดไทย ร่วมทุกข์ ร่วมสุขประชาชนจากภัยโควิด-19" ขึ้น โดยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการกองทุนขึ้น เพื่อพิจารณาช่วยเหลือประชาชนที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงาน องค์กร หรือเข้าไม่ถึงระบบความช่วยเหลือ หรือไม่สามารถขอรับสิทธิตามระเบียบของทางราชการได้ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งกองทุนต่อไป ปรับลดงบปี 64 รับสถานการณ์โควิด-19       วันที่ 21 เมษายน 2563 คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ที่ส่วนราชการต่างๆ เสนอ เพื่อรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) คนตกงาน       วันที่ 5 เมษายน 2563 สภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการและอุตสาหกรรมไทย ได้ประเมินผลกระทบการว่างงาน จากผลกระทบไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อการจ้างงาน คาดว่าในเดือนมีนาคมต่อเนื่องถึงเดือนเมษายนจะมีคนตกงานไม่น้อยกว่า 6.5 ล้านคน       สำหรับผู้ที่ว่างงานจากการถูกเลิกจ้างซึ่งได้รับผลกระทบจนทำให้นายจ้าง/สถานประกอบการต้องปิดกิจการ จะได้รับเงินชดเชย 70% ของค่าจ้างที่เคยได้รับ โดยระยะเวลาที่จ่ายจะไม่เกิน 200 วัน หากเป็นการว่างงานจากการลาออกเองจะได้รับเงินในอัตรา 45% ของค่าจ้างที่เคยได้รับ โดยระยะเวลาที่จ่ายจะไม่เกิน 90 วัน แต่หากเป็นกรณีว่างงานเนื่องจากเหตุสุดวิสัย ได้แก่ กรณีนายจ้างไม่ให้ทำงานเพราะต้องกักตัว 14 วัน เนื่องจากสัมผัสหรือใกล้ชิดผู้ติดเชื้อและกรณีหน่วยงานภาครัฐสั่งให้ปิดสถานประกอบการชั่วคราวให้ลงทะเบียนขอรับประโยชน์ทดแทนกับสำนักงานประกันสังคม       และโดยที่ยังมีผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่มาเข้าข่ายได้รับความช่วยเหลือ ได้แก่ ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 , 40 และ 54 แห่งกฎหมายว่าด้วยประกันสังคม ซึ่งมีจำนวนประมาณ 5 ล้านคน รัฐบาลจึงขยายกลุ่มเป้าหมายผู้ได้รับสิทธิของมาตรการชดเชยรายได้ฯ ให้ครอบคลุมทั่วถึงผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) จากเดิม จำนวน 3 ล้านคน เป็นจำนวน 9 ล้านคน และให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินสนับสนุนที่ได้รับตามมาตรการชดเชยรายได้ฯ แจกเงินคนพิการสู้โควิด-19       เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2563 คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบตามที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เสนอขอเงินเยียวยาเพื่อช่วยเหลือผู้พิการในช่วงการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ให้แก่ผู้พิการที่มีบัตรผู้พิการ จำนวน 2 ล้านคน คนละ 1,000 บาท       ทั้งนี้ ครม. ยังเห็นชอบเพิ่มเบี้ยผู้พิการให้แก่ผู้ถือบัตรผู้พิการ ที่อายุไม่เกิน 18 ปี จำนวน 1.2 แสนคน จากเดือนละ 800 บาท เป็น 1,000 บาท เริ่ม 1 ตุลาคม 2563 จากที่ ครม.เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2563 ได้มีมติเห็นชอบเพิ่มเบี้ยผู้พิการเป็น 1,000 บาท แก่ผู้ถือบัตรผู้พิการและมีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (ผู้มีรายได้ต่ำกว่า 1 แสนบาทต่อปี) จำนวน 1 ล้านคน ช่วยเหลือกลุ่มเกษตรกร       วันที่ 28 เมษายน 2563 นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม. อนุมัติโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรตามกลุ่มเป้าหมายไม่เกิน 10 ล้านราย วงเงินรองรับไม่เกิน 150,000 ล้านบาท โดยใช้เงินจาก พ.ร.ก.เงินกู้ทั้งหมด เพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรและครอบครัว       กลุ่มเกษตรกรจะได้รับเงินช่วยเหลือรายละ 5,000 บาท/เดือน เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม – กรกฎาคม 2563 เกษตรกรกลุ่มเป้าหมายไม่เกิน 10 ล้านราย ประกอบด้วย 1. เกษตรกรเป้าหมายกลุ่มแรก ได้แก่ เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมส่งเสริมการเกษตร กรมปศุสัตว์ และกรมประมงจำนวน 8.43 ล้านราย และ 2.เกษตรกรเป้าหมาย กลุ่มที่ 2 ได้แก่ เกษตรกรที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลการขึ้นทะเบียน ไม่เกิน 1.57 ล้านราย รวมวงเงินของโครงการไม่เกิน 150,000 ล้านบาท       สำหรับเกษตรกรที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนเกษตรกร ยังมีเวลาถึงวันที่ 15 พฤษาภาคม สำหรับคนที่เคยขึ้นทะเบียนไว้แล้ว ก็ขอให้เข้าไปปรับปรุงข้อมูล เนื่องจากกรมส่งเสริมการเกษตร ประกาศให้มีการปรับปรุงข้อมูลตั้งแต่ ปี 2560 ขอให้รีบดำเนินการ โดยสามารถเข้าไปอัพเดทข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ของกรมส่งเสริมการเกษตร พักชำระหนี้ครู       เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2563 คณะกรรมการบริหารเงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู ได้กำหนดมาตรการตามนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ และนโยบายของรัฐบาล ในการช่วยเหลือและบรรเทาสภาพคล่องทางการเงินให้กับผู้กู้ยืมเงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยได้กำหนดมาตรการพักชำระหนี้เงินต้น และงดคิดดอกเบี้ยเงินกู้ เป็นเวลา 3 เดือน ให้กับข้าราชการครู ผู้กู้ยืมเงินทุนหมุนเวียนฯ ที่มีสถานะเป็นหนี้ปกติ หรือมีหนี้ค้างชำระติดต่อกันไม่เกิน 3 เดือน และไม่อยู่ระหว่างถูกฟ้องดำเนินคดี หรือการประนอมหนี้ โดยผู้ได้รับการพักชำระหนี้ต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนด แจกหน้ากากอนามัยทั้งประเทศ       โดยที่หน้ากากอนามัยเป็นสิ่งสำคัญในการยับยั้งการแพร่เชื้อระหว่างบุคคล ในวันที่ 7 เมษายน 2563 ครม. ได้อนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 801 ล้านบาท เพื่อการบริหารจัดการหน้ากากอนามัย โดยให้กระทรวงพาณิชย์จัดซื้อโดยตรงจากโรงงานผู้ผลิตตามกำลังผลิต วิธีการแจกให้บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เป็นผู้จัดส่งหน้ากากอนามัยจากโรงงานผู้ผลิตไปให้กระทรวงมหาดไทย เพื่อกระจายต่อไปยังประชาชนกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ตามความเหมาะสม ระยะเวลาดำเนินการ เมษายน - ตุลาคม 2563 ณ ปัจจุบันนี้ กำลังการผลิตหน้ากากอนามัยอยู่ที่ 2.3 ล้านชิ้นต่อวัน และคาดว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตได้เป็น 2.8 ล้านชิ้นต่อวัน ในเดือนพฤษภาคมนี้ งดกิจกรรมศาสนาที่มีการชุมนุม       รัฐบาลโดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้มีคำสั่งให้ทุกวัดงดทำกิจกรรมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมทางศาสนา วันสำคัญทางพุทธศาสนา และกิจกรรมวันสงกรานต์ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด       สำหรับการปฏิบัติศาสนกิจในศาสนาอิสลาม สำนักจุฬาราชมนตรีก็ได้ขอให้งดการทำละหมาดร่วมกันในมัสยิด และขอให้ทำการละหมาดในบ้านเรือนของแต่ละคนเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ       ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2563 มีกลุ่มชาวไทยจาก 5 จังหวัดภาคใต้ คือ สงขลา นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสตูล ที่ไปร่วมกิจกรรมดาวะห์ที่ประเทศอินโดนีเซียจำนวนหนึ่งเดินทางกลับเข้ามาในประเทศ กลุ่มหนึ่งที่มีจำนวน 111 คนพบว่า 52 คนมีไข้สูง ตรวจพบว่าติดโควิด-19 ถึง 42 คน       และคนไทยที่ไปร่วมกิจกรรมดาวะห์ที่ประเทศอินเดียกลุ่มแรกจำนวนกว่า 200 คน ก็ถูกรัฐบาลอินเดียกักตัวเป็นเวลาหนึ่งเดือนก่อนจะได้รับการประสานงานให้เดินทางกลับบ้านในวันที่ 28 เมษายน การเมืองสามัคคี       เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2563 นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงความเห็นในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรว่า ฝ่ายค้านพร้อมร่วมมือรัฐบาล เพื่อจะฝ่าวิกฤติโควิด-19 ไปด้วยกัน แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีสมาชิกพรรคฝ่ายค้านอีกจำนวนมากที่ออกมาโจมตีรัฐบาลว่าไม่สามารถจะบริหารจัดการสถานการณ์โควิดได้ โดยยกประเด็นต่างๆ เช่น การแจกเงินคนละ 5,000 บาทแต่เฉพาะบางกลุ่ม การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นการลิดรอนเสรีภาพ การปิดสถานศึกษาทำให้เด็กขาดโอกาสเรียน ปัญหาปากท้อง คนฆ่าตัวตายเพราะไม่ได้รับความช่วยเหลือ เป็นต้น       ในส่วนของพรรคภูมิใจไทย เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2563 พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวว่า ขณะนี้ ส.ส. ของพรรคทุกคนไม่ว่าจะแบบเขตหรือบัญชีรายชื่อ พร้อมร่วมมือทุกฝ่าย ไม่แบ่งแยก เอกชนมอบกรมธรรม์ให้ จนท.แพทย์-อสม.       นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ได้มอบกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข และมอบกองทุนสนับสนุนและเยียวยาอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ประกอบด้วย 1. กรมธรรม์ประกันชีวิตสำหรับแพทย์และพยาบาล 50,000,000 บาท 2. กรมธรรม์ประกันชีวิตสำหรับผู้ช่วยพยาบาล เทคนิคการแพทย์และรังสีเทคนิค 10,000,000 บาท 3. กองทุนสนับสนุนและเยียวยาให้แก่ อสม. 10,000,000 บาท เพื่อสร้างขวัญ กำลังใจ และตอบแทนการทำความดีของบุคลากรสาธารณสุขทั้งระบบ 400,000 คน และ อสม. 1,040,000 คน ที่เป็นกำลังหลักของประเทศ ในการรับมือกับการระบาดของโรคโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง เปิดตัวเลขค่ารักษาโควิด-19       เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2563 นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ได้เปิดเผยตัวเลขค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ว่าสูงถึงรายละหนึ่งล้านบาท ทำให้ไม่สามารถจะผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ได้ในเวลารวดเร็วตามที่มีผู้เสนอแนะได้ เพราะหากผ่อนคลายแล้วเกิดการติดเชื้ออีกเป็นจำนวนหมื่นจะมีค่าใช้จ่ายมหาศาล คนไทยอยากกลับบ้าน       การระบาดของโควิด-19 ไปทั่วโลกทำให้คนไทยทั้งที่ไปทำงานและศึกษาในต่างประเทศได้รับความลำบากในการใช้ชีวิตมีความต้องการจะกลับบ้าน รัฐบาลได้วางมาตรการช่วยเหลือผู้ต้องการกลับตามความจำเป็นเร่งด่วนและสอดคล้องกับมาตรการปิดประเทศของแต่ละประเทศ       เช่น เมื่อวันที่ 24 เมษายน สถานทูตไทยในอินเดียและทางการอินเดีย ได้ประสานนำพระธุดงค์ พระสงฆ์และผู้แสวงบุญชาวไทยที่ตกค้างในประเทศอินเดียและเนปาลจำนวน 342 คนเดินทางกลับ เพราะทั้งหมดได้ผ่านการเก็บตัวอย่างเป็นระบบที่อินเดียแล้วมานาน 1 เดือนเต็ม ทั้งหมดได้เดินทางโดยเครื่องบินเช่าเหมาลำ โดยแบ่งเป็น 2 เที่ยวบิน กลับประเทศไทย และเข้าสู่กระบวนการกักตัวในประเทศไทยอีก 14 วัน ใช้ช่องทางธรรมชาติเข้าประเทศ       ในมาเลเซียมีคนไทยตกค้างที่เดินทางโดยเครื่องบินเข้ามาในวันที่ 23 เมษายน จำนวน 144 คน แต่ยังมีแรงงานไทยอีกจำนวนมากที่ไม่สะดวกที่จะเดินทางเข้าประเทศทางเครื่องบิน เดินทางมาทางบกเพื่อจะผ่านเข้าตามชายแดน มีตัวเลข ณ วันที่ 21 เมษายนว่า ในระหว่างวันที่ 18-20 เมษายน มีผู้ผ่านเข้ามาทางด่านพรมแดนสุไหงโก-ลกแล้วกว่า 832 คน ในจำนวนนี้เป็นผู้ที่เข้ามาอย่างถูกระเบียบ 157 คน และลักลอบเข้าผ่านทางช่องทางธรรมชาติอีกกว่า 672 คน เจ้าหน้าที่ได้ให้ทุกคนเข้าสู่กระบวนการคัดกรองโรคของกระทรวงสาธารณสุข และเข้ากักกันตัวยังศูนย์ Local Quarantine ของแต่ละพื้นที่เป็นเวลา 14 วัน คนตกงานกลับภูมิลำเนา       เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2563 ในจังหวัดภูเก็ตที่บริเวณด่านตรวจคัดกรองระหว่างตำบล อาทิ ราไวย์, ฉลอง เป็นต้น ได้มีประชาชนซึ่งมีภูมิลำเนาต่างจังหวัด ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดภูเก็ต และได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เนื่องจากไม่มีงานทำ ไม่มีเงินเดือนและไม่มีค่าเช่าบ้าน ได้ออกมาลงทะเบียนแจ้งความประสงค์จะเดินทางกลับภูมิลำเนาจำนวนมาก หลังจากจังหวัดภูเก็ตให้นายอำเภอทุกอำเภอแจ้งกำนันผู้ใหญ่บ้านทุกท้องที่, นายกเทศมนตรีนครภูเก็ต, นายกเทศมนตรีเมืองกะทู้ และนายกเทศมนตรีเมืองป่าตอง ทำการสำรวจบุคคลที่ประสงค์จะเดินทางออกนอกเขตจังหวัดภูเก็ต เพื่อเป็นข้อมูลในการคัดกรองและพิจารณาอนุญาต เพื่อลดความแออัดของประชาชนตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19       จากการสอบผู้ที่มาลงรายชื่อแจ้งความจำนงขอเดินทางออกนอกจังหวัดต่างกล่าวไปในแนวทางเดียวกันว่า หลังเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อตนเองเป็นอย่างมาก เพราะสถานประกอบการหยุดกิจการชั่วคราว ซึ่งขณะนี้หยุดงานมาประมาณ 1-2 เดือน และเงินเก็บก็เริ่มหมด ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน และดำรงชีพ เพราะมีแต่รายจ่าย ขณะที่ไม่มีรายรับเกิดขึ้นเลย จึงต้องการกลับบ้าน เพราะอย่างน้อยมีที่อยู่ และมีอาหารการกินแม้จะไม่มีรายได้ พอทราบว่ามีการสำรวจความต้องการให้กลับบ้านก็รีบมาลงทะเบียนทันที และหวังว่าจะได้รับอนุญาต เพราะตอนนี้ยังคิดอะไรไม่ออกว่า หากต้องอยู่จะทำอย่างไร       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับมติที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดภูเก็ต ครั้งที่ 24/ 2563 ได้มีมติอนุญาตให้ประชาชนที่ตกค้างอยู่ในพื้นที่ สามารถเดินทางออกจากจังหวัดภูเก็ตได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมเป็นต้นไป โดยมีเงื่อนไขคือต้องมีการลงทะเบียนผู้แจ้งความประสงค์ที่จะออกจากจังหวัดภูเก็ต ล่าสุดมีผู้แจ้งความประสงค์ที่จะออกจากจังหวัดภูเก็ตแล้วจำนวนกว่า 14,000 คน นักท่องเที่ยวตกค้างในภูเก็ต       เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2563 ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองภูเก็ตเปิดเผยตัวเลขว่า มีนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ตกค้างทั้งในส่วนที่ไม่สามารถเดินทางกลับประเทศได้ และมีความประสงค์อยู่ต่อในจังหวัดภูเก็ตกว่า 3 พันราย ทางจังหวัดได้ประสานงานกงสุลแต่ละประเทศให้การช่วยเหลือ เช่น ประเทศฝรั่งเศสได้จัดเครื่องบินเช่าเหมาลำมารับกลับ แต่ยังมีนักท่องเที่ยวตกค้างอีกจำนวนมาก       สนามบินภูเก็ตได้ประกาศปิดต่อตั้งแต่วันที่ 1 จนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2563       กระทรวงมหาดไทยได้ผ่อนผันให้บุคคลที่วีซ่าหมดอายุตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 จะถูกต่ออายุโดยอัตโนมัติจนถึง 30 เมษายน 2563 และไม่จำเป็นต้องขอต่ออายุที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และไม่ต้องเสียค่าปรับ 500 บาทต่อวัน       ส่วนชาวต่างชาติที่ต้องครบกำหนดแจ้งที่พักอาศัยทุก 90 วัน ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 จนถึง 30 เมษายน 2563 ไม่ต้องมารายงานตัวแจ้งที่พักทุก 90 วัน ขยายเวลา พ.ร.ก. ฉุกเฉิน 1-31 พฤษภาคม       แม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในไทยจะอยู่ในระดับที่ระบบสาธารณสุขรองรับได้ แต่การที่ทั่วโลกยังมีการระบาดอยู่ ทำให้รัฐบาลตัดสินใจขยายเวลาการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปจากวันที่ 1 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 โดยคงบางมาตรการไว้ เช่น การห้ามออกจากเคหสถานระหว่างเวลา 22.00-04.00 น. ควบคุมการเดินทางเข้าราชอาราจักร ทางบก ทางน้ำและทางอากาศ งดหรือชะลอการเดินทางข้ามเขตพื้นที่จังหวัดโดยไม่มีเหตุจำเป็น และงดการดำเนินกิจกรรมคนหมู่มาก       แต่จะมีการผ่อนปรน เช่น ให้เปิดร้านอาหารที่ไม่มีแอร์ ร้านเสริมสวย ตลาดสด ห้างสรรพสินค้า โดยกำหนดมาตรการจัดการต่างๆ ได้ตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคม เป็นต้นไป ซึ่งจะมีการประกาศให้ทราบต่อไป ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลก       ณ วันที่ 30 เมษายน 2563 มีรายงาน ผู้ติดเชื้อโควิด-19 จากประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวม 3,219,240 ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิตรวม 228,194 และรักษาหายรวม 1,000,101       5 ประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด เสียชีวิต และรักษาหายแล้ว คือ สหรัฐอเมริกา ป่วย 1,064,194 เสียชีวิต 61,656 หายป่วย 147,411 สเปน ป่วย 236,899 เสียชีวิต 24,275 หายป่วย 132,929 อิตาลีป่วย 203,591 เสียชีวิต 27,682 หายป่วย 71,252 ฝรั่งเศสป่วย 166,420 เสียชีวิต 24,087 หายป่วย 48,228 อังกฤษป่วย 165,221 เสียชีวิต 26,097 หายป่วย ไม่มีตัวเลข กองทุนอาเชียนต้านโควิด-19       เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2563 คณะมนตรีประสานงานอาเซียนได้จัดการประชุมผ่านระบบวิดิทัศน์ทางไกล มีมติเห็นพ้องให้จัดตั้งกองทุนอาเซียนเพื่อแก้ไขปัญหา COVID-19 ในภูมิภาค เพื่อให้ความช่วยเหลือพลเมืองอาเซียนในภูมิภาคและประเทศที่สามใน 3 แนวทาง ดังนี้       1. จัดตั้ง "กองทุนอาเซียนเพื่อรับมือกับสถานการณ์โควิด-19" โดยจัดสรรเงินที่มีอยู่แล้ว จากกองทุนเพื่อการพัฒนาอาเซียน กองทุนความร่วมมือกับจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอาเซียนบวกสาม หรือเท่าที่สามารถตกลงกันได้ เพื่อรองรับผลกระทบ ทั้งในระยะสั้น ในการเป็นทุนสำหรับจัดซื้อชุดตรวจ อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ยังขาดแคลนให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และในระยะยาว เพื่อสนับสนุนการศึกษาวิจัยเพื่อคิดค้นวัคซีน และยา       2. ใช้ประโยชน์จากกลไกความร่วมมืออาเซียนบวกสาม ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และเสนอให้ใช้ประโยชน์จากกลไกความร่วมมือด้านสาธารณสุขที่มีอยู่แล้ว ร่วมกับการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ในการผลิตนวัตกรรมเพื่อป้องกันและรับมือการแพร่ระบาด และความท้าทายอื่นๆ ในอนาคต       3. ส่งเสริมทักษะความเข้าใจและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในมิติต่างๆ ซึ่งเป็นประเด็นที่ผู้นำอาเซียนบวกสามเห็นพ้องในปีที่ผ่านมา ทั้งการศึกษา การติดต่อสื่อสาร และการค้าการลงทุน พร้อมเร่งใช้เศรษฐกิจดิจิทัล เทคโนโลยีใหม่ๆ และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ MSMEs รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือเพื่อลดผลกระทบจากข่าวปลอม "พรรคกล้า" ได้สมาชิก 642 คนร่วมจัดตั้ง       เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2563 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง พรรคการเมือง “กล้า” ได้ยื่นรายชื่อสมาชิกจำนวน 642 คน พร้อมเอกสารเกี่ยวกับการรับเงินทุนประเดิม 1,461,690.07 บาท รายงานการประชุมพรรค รายละเอียดข้อบังคับพรรค เข้ายื่นต่อ กกต.เพื่อจดตั้งพรรคกล้า       อย่างไรก็ตาม ยังพบว่ามีเอกสารบางส่วนที่ยังไม่เรียบร้อย นายทะเบียนพรรคการเมือง กกต. จึงขอให้ทางพรรคดำเนินการให้ครบเพื่อจะเสนอ กกต. ขอความเห็นชอบรับจดทะเบียนต่อไป       สำหรับพรรคกล้านั้น มีนายกรณ์ จาติกวณิช และนายอรรถวิชช์ สุวรรณจินดา อดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ โดยทั้งคู่ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เมื่อหลายเดือนก่อน