มีนาคม 2563 : ประกาศ พ.ร.บ.ฉุกเฉินทั่วไทย ร่วมใจต้านภัยโควิด 19 ประกาศใช้ พ.ร.บ. ฉุกเฉินทั่วไทย 26 มี.ค.- 30 เม.ย. ประชุมสภาฯ ครั้งที่ 1 วันที่ 22 พ.ค. อดีตลูกพรรค อนค. สมัครเข้าพรรคก้าวไกล ได้ ‘พิธา’ เป็นหัวหน้า กกต. มีมติกล่าวโทษอาญา ธนากร ถือหุ้นสื่อ ‘ฝ่ายค้านเพื่อประชาชน’ ซักฟอกนอกสภา เดินสายทั่วประเทศ 24,079 บุคคลไร้สัญชาติไทย ได้สิทธิรักษาพยาบาล ประกาศใช้ พ.ร.บ. ฉุกเฉินทั่วไทย 26 มี.ค.- 30 เม.ย.       เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2563 นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. สรุปเบื้องต้นเรื่องสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในไทยว่า มียอดผู้ป่วยยืนยันสะสม 1,651 ราย (เพิ่มจากวันที่ 30 มีนาคม 127 ราย) ในจำนวนนี้เป็นบุคคลสัญชาติไทย 1,407 ราย และสัญชาติอื่นๆ 244 ราย รักษาตัวในโรงพยาบาล 1,299 ราย เป็นรายที่อาการหนัก 23 ราย หายกลับบ้านแล้ว 342 ราย และเสียชีวิตทั้งสิ้น 10 ราย จำนวนผู้ป่วยแยกตามพื้นที่ แบ่งเป็นอยู่ใน กทม. -นนทบุรี 869 ราย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 77 ราย ภาคเหนือ 55 ราย ภาคกลาง 172 ราย และภาคใต้ 206 ราย       จากสถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2563 ที่มีตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศไทยเพียง 19 ราย และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงวันที่ 25 มีนาคม 2563 เป็นยอดสะสมผู้ติดเชื้อสูงถึง 934 รายและมีผู้เสียชีวิต 4 ราย รัฐบาลจึงใช้อำนาจตามความในมาตรา 5 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 - 30 เมษายน 2563 เพื่อควบคุมมิให้โรคแพร่ระบาดออกไปในวงกว้าง เป็นการเฝ้าระวังและควบคุมติดตามการระบาด การป้องกัน และการรักษาโรค ตลอดจนการกักตุนเครื่องอุปโภคบริโภคและสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวันของประชาชน มิให้เกิดภาวะขาดแคลน       การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐสามารถออกข้อกำหนดเพื่อการห้าม และให้อำนาจหน้าที่เจ้าพนักงานกระทำการใดๆ ดังต่อไปนี้ได้ คือ ห้ามมิให้บุคคลใดออกนอกเคหสถานภายในระยะเวลาที่กำหนด ห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ห้ามการเสนอข่าว จำหน่าย หรือทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใดที่มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ห้ามการใช้เส้นทางคมนาคม หรือยานพาหนะ ห้ามการใช้อาคาร หรือเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง หรืออาคาร หรืออยู่ในสถานที่ใดๆ ให้อพยพประชาชนออกจากพื้นที่กำหนดเพื่อความปลอดภัย       โดยสรุปแล้ว นับตั้งแต่มีการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในหลายประเทศทั่วโลก กระทรวงสาธารณสุขได้ออกแถลงการณ์ฉบับแรกในวันที่ 7 มีนาคม เตือนให้ประชาชนตระหนักถึงการระบาดของโรค รัฐบาลได้ดำเนินการดังนี้       12 มีนาคม 2563: ตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์ การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ยกเลิก VOA (Visa on Arrival) และ Free Visa แก่นักท่องเที่ยว       17 มีนาคม 2563: ออกมาตรการด้านสาธารณสุข เวชภัณฑ์ป้องกัน ข้อมูลการชี้แจง การรับเรื่องร้องเรียน การต่างประเทศ มาตรการป้องกัน และการช่วยเหลือเยียวยา เช่น ครม. มีมติให้ลดค่าน้ำไฟ 3% เป็นเวลา 3 เดือน (เมษายน-มิถุนายน) อนุมัติงบกลาง 9,002 ล้านบาท เร่งแก้ปัญหาหน้ากากอนามัยขาดตลาด       18 มีนาคม 2563: ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจออกคำสั่งปิดชั่วคราวสถานที่บางแห่ง จนถึง 31 มีนาคม และจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง       19 มีนาคม 2563: ปิดสถานที่ที่มีคนมาชุมนุมกันมาก เช่น ห้างสรรพสินค้า ศูนย์บริการเด็กเล็ก       22 มีนาคม 2563: ประกาศมาตรการขอร้องให้มีการเว้นระยะห่างในสังคม (Social Distancing) และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจในการสั่งปิดพรมแดน กักตัวคนเข้าออกในพื้นที่ระบาด       23 มีนาคม 2563: ใช้มาตรการให้ข้าราชการทำงานที่บ้าน ขอร้องประชาชนไม่ให้ออกจากบ้านถ้าไม่จำเป็น ไม่เดินทางข้ามจังหวัด       25 มีนาคม 2563: ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศพิจารณาประกาศปิดพื้นที่เสี่ยง เช่น สนามกีฬา สถานบันเทิง แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ ศาสนสถาน ได้ตามความเหมาะสม และในจังหวัดชายแดนให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารในพื้นที่ ร่วมกันตั้งด่านตรวจหรือจุดสกัด ดูแลการเดินทางข้ามพื้นที่จังหวัดเพื่อจัดระเบียบการเดินทาง การจราจร การเฝ้าระวังหรือสังเกตผู้เดินทาง และพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการติดต่อโรค       กรุงเทพมหานครและปริมณฑลเป็นพื้นที่แรกที่องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นได้ออกประกาศสั่งปิดชั่วคราวสถานที่และกิจการต่างๆ ที่มีผู้มาชุมนุมจำนวนมาก เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ สถานบันเทิง การแข่งขันกีฬา งานบันเทิง งานอบรมสัมมนา การแสดงสินค้า เป็นต้น ฯลฯ ไปตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม แต่ให้มีการซื้อขายอาหารได้ตามปกติ (แต่ห้ามกักตุนสินค้า) ส่วนกิจการ เช่น โรงงาน ธนาคาร การขนส่งสินค้า ร้านขายยา สินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน ธุรกิจหลักทรัพย์ สถาบันการเงิน สถานีตำรวจ สถานพยาบาล ธุรกิจสั่งและส่งสินค้าออนไลน์ และร้านอาหาร สนับสนุนให้เปิดตามปกติ เว้นแต่ร้านอาหารที่ห้ามจัดที่นั่งรับประทาน ให้ซื้อกลับไปบริโภคที่บ้านเท่านั้น       นอกจากนี้รัฐยังขอร้องให้บุคคลสูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว และเด็กอายุต่ำกว่าห้าขวบอยู่แต่ในบ้านเพื่อป้องกันการติดเชื้อ       ในส่วนของการเดินทางยังไม่มีการจัดการการออกนอกเคหสถาน แต่การเดินทางข้ามเมืองต้องแสดงบัตรประชาชน สวมหน้ากากอนามัยขณะอยู่ในยานพาหนะ และยอมให้เจ้าหน้าที่วัดอุณหภูมิ ซึ่งต่อมามีการประกาศห้ามเข้าออกในบางจังหวัดที่มีการติดเชื้อสูงตามดุลพินิจของเจ้าพนักงาน       สถานพยาบาลของรัฐได้เตรียมพร้อมเพื่อรองรับผู้ป่วย ทั้งเตียง เวชภัณฑ์ ยา และบุคลากร ในบางแห่งเริ่มขึ้นทะเบียนบุคลากรที่เกษียณอายุไปแล้ว มีการปรับเปลี่ยนจัดเตรียมโรงพยาบาลสนามหากมีผู้ป่วยมากขึ้น ทั้งภาครัฐและเอกชนช่วยกันทำสื่อให้ความรู้ในการปฏิบัติตนเพื่อป้องกันโรคและตรวจสอบ/เฝ้าระวัง/ปฏิบัติตัวเมื่อติดโรค       สำหรับผลกระทบทางเศรษฐกิจนั้น รัฐบาลได้ออกมาตรการดูแลและเยียวยาซึ่งแบ่งออกเป็นให้แก่บุคคลธรรมดาและผู้ประกอบการ ดังนี้ บุคคลธรรมดา:       1. จ่ายเงินชดเชยรายละ 5,000 บาทต่อเดือน เป็นเวลา 3 เดือน (เมษายน – มิถุนายน 2563) แก่ “แรงงานลูกจ้าง ลูกจ้างชั่วคราว อาชีพอิสระที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม”       2. โครงการสินเชื่อฉุกเฉิน โดยไม่จำเป็นต้องมีหลักประกัน โดยธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สนับสนุนสินเชื่อวงเงินรวม 40,000 ล้านบาท (ธนาคารออมสิน 20,000 ล้านบาท และ ธ.ก.ส. 20,000 ล้านบาท) วงเงินต่อรายไม่เกิน 10,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ไม่เกินร้อยละ 0.10 ต่อเดือน ระยะเวลากู้ไม่เกิน 2 ปี 6 เดือน ปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือน รับคำขอสินเชื่อถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2563       3. โครงการสินเชื่อพิเศษเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มสภาพคล่องชั่วคราวในการดำรงชีวิตแก่ประชาชนที่มีรายได้ประจำ โดยมีหลักประกัน โดยธนาคารออมสินสนับสนุนสินเชื่อวงเงินรวม 20,000 ล้านบาท วงเงินต่อรายไม่เกิน 50,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ไม่เกินร้อยละ 0.35 ต่อเดือน ระยะเวลากู้ไม่เกิน 3 ปี รับคำขอสินเชื่อถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2563             1. โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับสำนักงานธนานุเคราะห์เพื่อช่วยเหลือประชาชนฐานรากที่ได้รับผลกระทบ โดยคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 0.10 ต่อปี และ ไม่เกินร้อยละ 0.125 ต่อเดือน ระยะเวลา 2 ปี             2. มาตรการเสริมความรู้ จัดฝึกอบรมเพื่อเพิ่มทักษะ เสริมอาชีพ เพื่อเสริมสร้างความรู้ให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 หรือผู้ที่สนใจ พร้อมทั้งจัดทำกิจกรรมเพื่อสังคม (Corporate Social Responsibility: CSR)             3. เลื่อนเวลาการชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยเลื่อนเวลาการชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2563 เป็นสิ้นสุดวันที่ 31 สิงหาคม 2563             4. เพิ่มวงเงินหักลดหย่อนค่าเบี้ยประกันสุขภาพ จากเดิมตามจ่ายจริงไม่เกิน 15,000 บาท เป็นไม่เกิน 25,000 บาท และเมื่อรวมกับการหักลดหย่อนค่าเบี้ยประกันชีวิตและเงินฝากประเภทสงเคราะห์ชีวิตแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท ทั้งนี้ ตั้งแต่ปีภาษี 2563 เป็นต้นไป             5. ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าตอบแทนในการเสี่ยงภัยของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ผู้ประกอบการ       1. โครงการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย ได้แก่ ธุรกิจทัวร์ ธุรกิจสปา ธุรกิจขนส่งที่เกี่ยวเนื่อง (รถทัวร์ รถบัส รถตู้ รถแท็กซี่ เรือนำเที่ยว รถเช่า) บริษัทนำเที่ยว โรงแรม ห้องพัก และร้านอาหาร โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) สนับสนุนสินเชื่อวงเงินรวม 10,000 ล้านบาท วงเงินต่อรายไม่เกิน 3 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 สำหรับ 2 ปีแรก ระยะเวลาการกู้ยืมสูงสุดไม่เกิน 5 ปี รับคำขอสินเชื่อถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2563       2. เลื่อนเวลาการชำระภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยเลื่อนเวลาการชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย       3. เลื่อนเวลาการยื่นแบบแสดงรายการ นำส่ง และชำระภาษี โดยเลื่อนเวลาการยื่นแบบแสดงรายการ นำส่ง และชำระภาษีทุกประเภทที่กรมสรรพากรจัดเก็บ เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ เป็นต้น โดยกระทรวงการคลังจะพิจารณาเป็นรายกรณี       4. ขยายเวลาการชำระภาษีให้แก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จากเดิมยื่นขอชำระภาษีภายใน 10 วันเป็นภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนที่นำสินค้าออกจากโรงอุตสาหกรรมหรือคลังสินค้าทัณฑ์บน โดยให้ดำเนินการดังกล่าวเป็นระยะเวลา 3 เดือน (เมษายน – มิถุนายน 2563)       5. ขยายเวลาการยื่นแบบรายการภาษีพร้อมกับชำระภาษีของการประกอบกิจการสถานบริการที่จัดเป็นบริการตามบัญชีพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต ได้แก่ ไนต์คลับ ดิสโกเธค ผับ บาร์ ค็อกเทลเลาจน์ โดยรวมถึงสถานที่ที่จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยจัดให้มีการแสดงดนตรีหรือการแสดงอื่นใดเพื่อการบันเทิง ซึ่งปิดทำการหลังเวลา 24.00 นาฬิกา และสถานอาบน้ำหรืออบตัว และนวด ตลอดจนกิจการเสี่ยงโชคประเภทสนามแข่งม้า และสนามกอล์ฟ ให้ยื่นแบบรายการและชำระภาษีภายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2563       6. ยกเว้นอากรขาเข้าของที่ใช้รักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตามรายการที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2563       7. มาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของเจ้าหนี้ที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพ สินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัด เช่าซื้อ ลีสซิ่ง และเจ้าหนี้อื่นที่ทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ร่วมกับสถาบันการเงิน)       ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 ศูนย์วิทยาศาสตร์และวิศวกรรมเชิงระบบ (CSSE) แห่งมหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์รายงานว่าทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 แล้ว 777,286 ราย มีผู้เสียชีวิตแล้ว 37,140 ราย ประชุมสภาฯ ครั้งที่ 1 วันที่ 22 พ.ค.       เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2563 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา สมัยประชุมสามัญประจำปี ครั้งที่ 1 ประจำปี 2563 ในวันที่ 22 พฤษภาคม และสิ้นสุดวันที่ 18 กันยายน 2563       สำหรับความกังวลว่าการระบาดของไวรัสโควิด-19 จะทำให้ไม่สามารถเปิดสภาฯ ได้ตามกำหนดนั้น นายสุกิต อัตโถปกรณ์ ที่ปรึกษาของประธานสภา นายชวน หลีกภัย กล่าวว่า ไม่มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญให้เลื่อนการประชุมได อย่างไรก็ตาม ในการประชุมวันแรก ประธานสภามีอำนาจที่จะยกเลิกการประชุมในครั้งต่อๆ ไป       อีกหนึ่งทางเลือกคือการประชุมทางไกล (Teleconferencing) หรือใช้ห้องสุริยันที่มีขนาดจุ 1,000 คน ที่จะทำให้ผู้เข้าประชุมนั่งห่างกันได้ หรือให้แต่ละพรรคการเมืองจัดประชุมในห้องต่างกัน อดีตลูกพรรค อนค. สมัครเข้าพรรคก้าวไกล ได้ ‘พิธา’ เป็นหัวหน้า       เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2563 50 ส.ส.อดีตพรรคอนาคตใหม่ แห่สมัครสมาชิกพรรคก้าวไกล พร้อมประชุม เลือก นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แกนนำอดีต ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ เป็นหัวหน้าพรรค กกต. มีมติกล่าวโทษอาญา ธนากร ถือหุ้นสื่อ       เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2563 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติให้สำนักงาน กกต. ดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งสองห้อง ให้ดำเนินคดีอาญากับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) กรณีรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีคุณสมบัติในการสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. แต่ยังใช้สิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง ผิดมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 ให้สมาชิกภาพ ส.ส. ของนายธนาธร สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101(6) ประกอบมาตรา 98(3) จากกรณีถือหุ้นสื่อ บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด อยู่ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งเป็นวันที่พรรคอนาคตใหม่ยื่นบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อต่อ กกต.       โดยโทษตามมาตรา 151 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 - 10 ปี ปรับตั้งแต่ 2 หมื่น – 2 แสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี       ทั้งนี้ การพิจารณาเรื่องดังกล่าว หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้สมาชิกภาพ ส.ส. ของนายธนาธร สิ้นสุดลง สำนักงาน กกต. ได้มีการเสนอเรื่องให้ที่ประชุม กกต. พิจารณาไม่น้อยกว่า 3 ครั้ง แต่ที่ประชุม กกต. ได้ให้ทางสำนักงานฯ นำเรื่องดังกล่าวไปปรับปรุง เนื่องจากเห็นว่าการจะดำเนินคดีอาญากับนายธนาธร แตกต่างจากคดีตัดสิทธิทางการเมืองที่ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยคดีอาญานั้นต้องมีข้อมูลที่ชี้ให้เห็นถึงเจตนาว่า ขณะที่นายธนาธร ยื่นลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ นั้น นายธนาธร รู้ว่าตนมีลักษณะต้องห้ามใช้สิทธิสมัครตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98(3) แต่ยังคงสมัคร พยานหลักฐานประกอบจึงต้องมีน้ำหนัก เพราะการสู้คดีก็ต้องสู้กันถึง 3 ศาล       อย่างไรก็ตาม การแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนจากเหตุนี้ไม่ใช่นายธนาธร เป็นคนแรกที่ กกต. ดำเนินการ โดยก่อนหน้านี้ผู้สมัคร ส.ส. ที่ กกต. มีคำวินิจฉัยว่ารู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เพราะมีลักษณะต้องห้าม เช่น สังกัดพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองเดียวไม่ถึง 90 วัน จนถึงวันเลือกตั้ง กกต.ก็จะมอบให้สำนักงาน กกต. ไปแจ้งความร้องทุกข์ที่ สน.ทุ่งสองห้อง เช่นเดียวกัน ‘ฝ่ายค้านเพื่อประชาชน’ ซักฟอกนอกสภา เดินสายทั่วประเทศ       เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2563 พรรคเพื่อไทย (พท.) จัดประชุมแกนนำ 6 พรรคร่วมฝ่ายค้าน เพื่อการมีส่วนร่วมของประชาชน (ฝ่ายค้านเพื่อประชาชน) โดยมี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ เป็นประธานการประชุม       ที่ประชุมมีมติว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ควรหยุดเพียงแค่ในสภา แต่จะเปิดกิจกรรมอภิปรายนอกสภา โดยจะจัดทั้งสี่ภาคทั่วประเทศ ซึ่งอาจจะแบ่งออกเป็น 4 ภาคอย่างที่เคยทำ       นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า 1.ต้องหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และทำงานร่วมกันในอนาคตต่อไป และ 2.จุดเริ่มต้นของพรรคฝ่ายค้าน เรารวมตัวกัน เพราะมีเป้าหมายเดียวกัน คือ รักษาประชาธิปไตย และอยากให้ประชาชนได้รับการดูแล ฝ่ายค้านมีจุดยืนร่วมกัน และจะจับมือกันอย่างเข้มแข็ง พร้อมเดินหน้าต่อไป ตรวจสอบทั้งในและนอกสภา โดยการร่วมมือกับประชาชน 24,079 บุคคลไร้สัญชาติไทย ได้สิทธิรักษาพยาบาล       เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2563 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอการให้สิทธิ์หรือการคืนสิทธิ์ขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุข และให้สิทธิเพิ่มเติม กับบุคลที่มีปัญหาสถานะที่ไม่ได้สัญชาติไทย แต่มีชื่ออยู่ในทะเบียนราษฎร์ โดยสาระสำคัญเป็นการอนุมัติเพิ่มเติมเพื่อให้เข้าถึงระบบบริการสาธารณสุข ตามหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานตามสมควรที่จะได้รับการดูแลการรักษาพยาบาลจากรัฐ ซึ่งครั้งนี้มีการอนุมัติสิทธิ์ให้ทั้งสิ้น 24,079 ราย ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ตกหล่นจากมติ ครม. เดิมที่เคยอนุมัติเมื่อปี 2553 และ 2558 เป็นกลุ่มคนที่เกิดตั้งแต่ปี 2499 - 2527 ส่วนใหญ่ผู้สูงอายุ มีปัญหาสุขภาพ และมีภาระค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก โดยกลุ่มคนจำนวนดังกล่าวพบว่ามีเลขบัตรประชาชนขึ้นต้นด้วยเลข 3 กับ 4 จึงเห็นสมควรให้ สธ. จัดสรรงบประมาณส่วนหนึ่ง จำนวน 61,822,000 ล้านบาท โดยกำหนดกรอบวงเงินตามจำนวนผู้มีสิทธิ์ในอัตรางบฯ เหมาจ่ายรายหัวเท่ากับหลักสิทธิประกันสุขภาพแห่งชาติตามปีงบประมาณ 2563 คือ จำนวนหัวละ 2,567 บาทต่อปีต่อราย จากนี้ทาง สธ. จะไปดำเนินการทำแผน และเสนอตั้งงบฯ ประจำปีต่อไป