มิถุนายน 2562 : สภาโหวตได้ “ประยุทธ์” เป็นนายกฯ สภาโหวตได้ “ประยุทธ์” ได้เป็นนายก ปชป. โหวตร่วมรัฐบาล อภิสิทธิ์ลาออกจาก ส.ส. ขั้วเพื่อไทยสนับสนุน “ธนาธร” ลงชิงนายก ขั้วพรรคการเมือง พปชร. และเพื่อไทย ครม. รับรอง เศรษฐกิจดิจิทัล ครม. เห็นชอบเน็ตประชารัฐ ศาล รธน. รับคำร้อง ส.ส. ถือหุ้นสื่อ ศาลฎีการตัดสินจำคุก “ทักษิณ” คดีหวยบนดิน หลายสำนักโพล สะท้อนความเห็น ปชช. ต่อการเมือง สภาโหวตได้ “ประยุทธ์” เป็นนายกฯ       เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2562 ที่ประชุมรัฐสภาลงมติเลือกพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ได้คะแนนเหนือ “ธนาธร” แคนดิเดตจากอนาคตใหม่ 500 ต่อ 244       ในการประชุมร่วมของรัฐสภาเพื่อลงมติเลือกบุคคลขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยการขานชื่อสมาชิกรัฐสภาเป็นรายบุคคลเรียงลำดับตามตัวอักษร มีสมาชิกทั้งหมด 747 คน ขาดนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ นางจุมพิตา จันทรขจร ส.ส.นครปฐม พรรคอนาคตใหม่ ที่ป่วยรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ยื่นใบลาออกจากการเป็น ส.ส. เมื่อเช้าของวันที่ 5 มิถุนายน ผลการโหวตลงมติปรากฏว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้คะแนน 500 เสียง เกินกึ่งหนึ่งจากสมาชิกทั้งสองสภา ทำให้พลเอกประยุทธ์ ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ได้ 244 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง       ในวันที่ 11 มิถุนายน หลังจากมีการประกาศแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีในเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาแล้วพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้าพิธีรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 โดยมีตัวแทนจาก 18 พรรคการเมืองเข้าร่วม ปชป. โหวตร่วมรัฐบาล       เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2562 พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้มีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) และ ส.ส.ของพรรค จำนวน 53 คน เพื่อร่วมกำหนดทิศทางและตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) หรือไม่ ที่ประชุมได้ให้สมาชิกลงคะแนนลับผลปรากฏว่าฝ่ายที่ต้องการร่วมรัฐบาลชนะด้วยคะแนน 61 ต่อ 16 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง และบัตรเสีย 1 ใบ อภิสิทธิ์ ลาออกจาก ส.ส.       เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2562 ที่หอประชุมทีโอที ถนนแจ้งวัฒนะ หลังมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1 ใน เวลา 10.00 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) แถลงขอลาออกจาก ส.ส.หลัง ปชป.ตอบรับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จัดตั้งรัฐบาล สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะก่อนหน้านี้ในการหาเสียงเลือกตั้งนายอภิสิทธิ์ ปราศรัยไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ เป็นนายกฯ       ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวก่อนการเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 ว่า ไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี       การที่นายอภิสิทธิ์ ลาออกจากการเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ทำให้มีการขยับ นายสุทัศน์ เงินหมื่น ซึ่งอยู่ในลำดับที่ 21 มาเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อแทน เพื่อไทยสนับสนุน ธนาธร เป็นนายก       เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2562 นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย แถลงภายหลังการประชุม ส.ส.พรรค ว่า พรรคเพื่อไทยจะไม่เสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ แข่งขันในสภาและจะสนับสนุนแนวทางของทั้ง 7 พรรคที่เปิดโอกาสให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ได้แข่งขันกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขั้ว พปชร.- เพื่อไทย       เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2562 แกนนำพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นำโดย นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค พปชร. และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค พปชร. พร้อมด้วยตัวแทน 5 พรรคการเมือง ได้แก่ พรรครวมพลังประชาชาติ, พรรคชาติพัฒนา, พรรคพลังท้องถิ่นไทย, พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย และพรรคประชาชนปฏิรูป ร่วมกันแถลงว่าทั้งห้าพรรคจะจับมือกันจัดตั้งรัฐบาล และสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป       ทางด้านพรรคเพื่อไทย ในวันเดียวกัน นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า 7 พรรคการเมืองในขั้วพรรคเพื่อไทยจะเสนอชื่อนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่เข้าร่วมโหวตชิงตำแหน่ง แม้ว่านายธนาธร ต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ แต่ยังถือว่ามีคุณสมบัติ สามารถเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้       สำหรับ 7 พรรคที่จะเสนอชื่อนายธนาธร ได้แก่ พรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ พรรคเสรีรวมไทย พรรคเพื่อชาติ พรรคเศรษฐกิจใหม่ พรรคประชาชาติ และพรรคพลังปวงชนไทย ครม. รับรอง เศรษฐกิจดิจิทัล       เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2562 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติรับรองร่างแถลงการณ์ผู้นำจี 20 ณ โอซากา เรื่องเศรษฐกิจดิจิทัล ที่ พล.อ. ประยุทธ จันทร์โอชา จะไปร่วมให้การรับรอง ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ ที่จะมีผลผูกพันกับรัฐบาลไทย ที่ต้องนำเสนอต่อ ครม. พิจารณาตามมาตรา 4(7) ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548       สาระสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัล คือการให้ความเห็นพ้องว่าการเปลี่ยนแปลงไปสู่ดิจิทัลนั้น จะสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อทุกมิติของเศรษฐกิจและแนวทางการดำเนินชีวิตของประชาชนในแต่ละประเทศ โดยจะยืนยันถึงความสำคัญของการปรับและสร้างกฎระเบียบใหม่ๆ เพื่อให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจดิจิทัล ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องส่งเสริมการหารือเชิงนโยบายระหว่างประเทศด้านดิจิทัลกันต่อไป       ก่อนหน้านั้นที่กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 20-23 มิถุนายน 2562 มีการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 34 ที่ประชุมได้รับรองปฏิญญากรุงเทพฯ ว่าด้วยการต่อต้านขยะทะเลในภูมิภาคอาเซียนที่แสดงเจตนารมณ์ของอาเซียนในการมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาขยะทะเลอย่างจริงจังและยั่งยืน ครม. เห็นชอบเน็ตประชารัฐ       เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2562 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการเปิดโครงข่ายเน็ตประชารัฐตามหลักการโครงข่ายแบบเปิด ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เสนอ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตครอบคลุมหมู่บ้านเป้าหมาย จำนวน 24,700 หมู่บ้าน และจัดให้มีจุดให้บริการอินเทอร์เน็ตแบบไร้สาย โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายกับผู้ใช้บริการ เพื่อให้มีการเชื่อมต่อโครงข่ายเน็ตประชารัฐไปให้บริการปลายทางไปยังทุกภาคส่วน ลดความซ้ำซ้อนในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมและลดต้นทุนในการคิดอัตราค่าบริการอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงด้วยราคาที่เหมาะสม อีกทั้งยังเป็นการช่วยแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยโครงข่ายเน็ตประชารัฐอย่างน้อยหมู่บ้านละ 1 จุดให้บริการ ที่ระดับความเร็วไม่ต่ำกว่า 30 Mbps/10 Mbps ซึ่งเสร็จเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2560 ปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนเข้าใช้งานอินตอร์เน็ตประชารัฐ จำนวน 5.21 ล้านคน อย่างไรก็ตาม การคิดอัตราค่าบริการไปยังบ้านเรือนประชาชนจะถูกลง เนื่องจากผู้ให้บริการโทรคมนาคมไม่ต้องลงทุนในโครงข่ายหลัก ศาล รธน. รับคำร้อง หุ้นสื่อ       เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2562 ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติรับคำร้อง ตามที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ส่งคำร้องของ ส.ส. ของพรรคอนาคตใหม่ ให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาขอให้ตรวจสอบคุณสมบัติ ส.ส. จำนวน 41 คน ที่พบเข้าข่ายขาดคุณสมบัติการถือครองหุ้นในกิจการสื่อสารมวลชน ตามมาตรา 82 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 หรือไม่       ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้อง ส.ส. 32 คน ไว้พิจารณาแต่ไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส่วนอีก 9 คนศาลไม่รับคำร้อง       ทั้งนี้ ศาลจะส่งสำเนาคำร้องให้ 32 ส.ส. เพื่อยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน แต่กรณีนี้ยังไม่ปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ถูกร้อง 32 ราย มีกรณีตามที่ถูกร้องในชั้นนี้ จึงยังไม่เข้าเงื่อนไขให้หยุดปฏิบัติหน้าที่       โดย 32 ส.ส. ประกอบด้วย ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ 21 คน พรรคประชาธิปัตย์ 7 พรรคภูมิใจไทย 1 ราย พรรครวมพลังประชาชาติไทย 1 ราย พรรคชาติพัฒนา 1 ราย และพรรคประชาภิวัฒน์ 1 ราย       ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญ ได้ให้เหตุผลถึงความแตกต่างจากกรณีของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ว่านายธนาธร ได้ผ่านการสอบสวนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งมีการสืบสวนหาข้อเท็จจริงมาก่อนยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีเอกสารประกอบคำร้องมาด้วย เช่น แบบนำส่งงบการเงินที่บริษัทของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ถูกร้องยื่นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า 2554-2558 ระบุไว้ชัดเจนว่ามีรายได้จากการขายนิตยสาร และรายได้จากการให้บริการโฆษณา กรณีจึงมีเหตุอันควรสงสัยว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ถูกร้อง มีกรณีตามที่ถูกร้อง ศาลรัฐธรรมนูญจึงได้มีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 วรรคสอง       ทางฝ่ายพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ก็ได้ เข้ายื่นหนังสือ ต่อ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยคุณสมบัติความเป็น ส.ส. ของ 33 ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน กรณีถือครองหุ้นสื่อมวลชน โดยมี ส.ส. พรรคอนาคตใหม่ จำนวน 21 คน พรรคเพื่อไทย จำนวน 4 คน พรรคประชาชาติ 1 คน พรรคเสรีรวมไทย 3 คน และพรรคเพื่อชาติ 4 คน ศาลฎีกาสั่งจำคุก ทักษิณ 2 ปี คดีหวยบนดิน       เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2562 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้มีคำพิพากษาคดีออกโครงการสลากพิเศษเลขท้าย 2 และ 3 ตัว หรือหวยบนดิน ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง “นายทักษิณ ชินวัตร” จำเลยที่ 1 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตเป็นเหตุให้ผู้หนึ่งผู้ใดเสียหาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 152, 153, 154,157 ประกอบมาตรา 83, 84, 86, 90, 91, ความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 3, 4, 8, 9, 10 ,11       องค์คณะผู้พิพากษา โดยมติเสียงข้างมากมีความเห็นว่านายทักษิณ มีความผิด จึงพิพากษาจำคุกนายทักษิณ จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 2 ปี และให้ออกหมายจับจำเลยมาปฏิบัติตามคำพิพากษา       ทั้งนี้ ศาลฎีกาฯ พิเคราะห์แล้วว่า วัตถุประสงค์การออกสลากกินแบ่ง เพื่อหาเงินรายได้เข้ารัฐ โดยก่อนการจำหน่ายสลากหวยบนดินมีการศึกษาข้อกฎหมายและผลกระทบทางสังคมแล้ว ได้ทักท้วงจำเลยที่ 1 ให้ทราบว่าการออกสลากหวยบนดินอาจเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย แต่จำเลยที่ 1 ไม่ยับยั้งความเสี่ยง ทั้งยังปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายทักษิณ ได้สั่งการให้จำเลยที่ 10 และ ผอ.กองสลาก (ขณะนั้น) จำเลยที่ 42 เร่งดำเนินการออกสลากเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว โดยไม่ต้องรอเครื่องพิมพ์สลาก แสดงว่านายทักษิณ จำเลยที่ 1 ต้องการออกสลากหวยบนดินโดยไม่คำนึงถึงวัตถุประสงค์ของกองสลาก และไม่แก้ไขข้อกฎหมายก่อน เข้าลักษณะเป็นเจ้ามือรับกินใช้ ซึ่งมีเงื่อนไขเดียวกับหวยใต้ดิน เป็นการพนันขันต่อให้มัวเมาประชาชน ทั้งการนำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีก็เข้าสู่วาระจรเป็นเหตุให้ ครม. อนุมัติโดยเข้าใจว่าเป็นการกระทำโดยชอบตามกฎหมาย แม้การออกสลากหวยบนดินจะมีรายได้ 123,339,890,730 บาท แต่มีผลขาดทุน 7 งวด จำนวน 1,668,192,060 บาท นอกจากนี้ยังปรากฏข้อเท็จจริงว่ากองสลากยังได้เบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารออมสินประมาณ 20,000 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินสำรอง แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ย่อมรู้อยู่แล้วว่ามีความเสี่ยง แต่ไม่มีการป้องกันความเสี่ยงเหมือนขั้นตอนการออกสลากอย่างที่เคยเป็นมา       การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบในการดำเนินโครงการออกสลากพิเศษฯ ที่ร่วมกับจำเลยที่ 10 และ 42 ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาไปแล้ว แต่ไม่ปรากฏว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดอื่นตามมาตรา 153, 147, 152       นอกจากนายทักษิณ จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 แล้วยังมีกลุ่มคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลทักษิณ 2 ปี 2549 และอดีตผู้บริหารสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล รวม 47 ที่ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาฯนำคดีนี้ซึ่งยื่นฟ้องตั้งแต่ปี 2551 มาพิจารณาใหม่ เนื่องจากศาลสั่งจำหน่ายคดีไว้ชั่วคราว เพราะจำเลยหลบหนีโดยออกหมายจับแล้วยังไม่ได้ตัวมา จึงให้นำขึ้นมาพิจารณาใหม่ หลังจากปี 2560 มีการแก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560       สำหรับคดีทั้งหมดที่อยู่ในความรับผิดชอบของ ปปช. และมีมติให้ยื่นต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเพื่อหยิบยกขึ้นมาพิจารณา คือ คดีหวยบนดิน 2 ตัว 3 ตัว คดีปล่อยกู้เอ็กซ์ซิมแบงก์ซึ่งศาลพิพากษาไปแล้ว คดีทุจริตรถและเรือดับเพลิง โพลสะท้อนความเห็น ปชช.       หลังการเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคม 2562 ในระหว่างที่พรรคการเมืองกำลังจับขั้วเพื่อตั้งรัฐบาลนั้น สำนักโพลต่าง ๆ ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นประชาชน ได้ผลดังนี้คือ       วันที่ 2 มิถุนายน 2562 สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง “ประชาชนคิดอย่างไรต่อการเมือง” โดยศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,164 ตัวอย่าง พบว่า เกินครึ่งหรือ 51.81% ระบุ บรรยากาศการเมืองวันนี้แย่ลง เมื่อเทียบกับ 5-6 ปีที่ผ่าน       ที่น่าเป็นห่วง คือ ส่วนใหญ่ หรือ 79.47% ระบุมีความเชื่อมั่นน้อยถึงไม่เชื่อมั่นเลยต่อความเข้มแข็งของรัฐบาลใหม่ ในขณะที่ 20.53% เชื่อมั่นมากถึงมากที่สุด       ในวันเดียวกัน สวนดุสิตโพล ก็เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ ในหัวข้อ ความอึดอัดของประชาชนในการจัดตั้งรัฐบาล จำนวนทั้งสิ้น 1,137 คน ระหว่างวันที่ 28 พฤษภาคม – 1 มิถุนายน 2562 สรุปผลได้ว่าประชาชน 44.14% มองว่า การจับขั้วพรรคการเมืองเพื่อจัดตั้งรัฐบาลเป็นเรื่องผลประโยชน์ตอบแทน การยื่นข้อเสนอต่อกัน       และประชาชน 43.73% ต้องการให้มีการจัดตั้งรัฐบาลรวดเร็วและประสบผลสำเร็จ ปฏิบัติตามหลักสากล เคารพเสียงส่วนใหญ่และเป็นประชาธิปไตย       โดยภาพรวมแล้ว การจัดตั้งรัฐบาล ทำให้ประชาชน 76.29% เบื่อหน่ายการเมืองมากขึ้นเพราะ มองว่าการเมืองไทยมีแต่ความขัดแย้ง แย่งชิงผลประโยชน์ ผ่านการเลือกตั้งมาแล้วแต่ยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ บ้านเมืองไม่มีเสถียรภาพ ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ฯลฯ       ส่วนกรุงเทพโพล โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนเรื่อง “ความสุขคนไทย....สะท้อนสู่รัฐบาลใหม่ ปี 2562” โดยเก็บข้อมูลประชาชนจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศจำนวน 1,186 คนพบว่า คนไทยพอใจเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 แค่ 5.06 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน ส่วนความพึงพอใจต่อการจัดตั้งรัฐบาลมีเพียง 4.73 คะแนน อยากให้รัฐบาลใหม่มีนโยบายส่งเสริมรักษาสุขภาพ/มีสวัสดิการสุขภาพที่เท่าเทียม       และผลจากการสำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง “มุมมองประชาชนต่อความท้าทายที่รัฐบาลใหม่ต้องเผชิญ” ของกรุงเทพโพลที่เปิดเผยเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน จากการเก็บข้อมูลกับประชาชนจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศจำนวน 1,196 คน พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 65.6 เห็นว่ารัฐบาลใหม่จากการผสมกว่า 19 พรรคการเมือง จะมีเสถียรภาพและความมั่นคงค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด ขณะที่ร้อยละ 34.4 เห็นว่าจะมีเสถียรภาพและความมั่นคงค่อนข้างมากถึงมากที่สุด       สิ่งที่รัฐบาลใหม่จะเผชิญกับความท้าทายด้านเสถียรภาพทางการเมืองมากที่สุดคือ ความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล การจัดสรรตำแหน่ง โควตารัฐมนตรี คิดเป็นร้อยละ 64.1 รองลงมาคือ กระแสข่าวโจมตีรัฐบาล คิดเป็นร้อยละ 43.8 และจำนวนเสียงที่ใกล้เคียงกันระหว่าง ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน คิดเป็นร้อยละ 41.6       ในวันที่ 16 มิถุนายน หลัง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 การจัดตั้งรัฐบาลแล้ว สวนดุสิตโพล สำรวจความหวังรัฐบาลใหม่ มองการแบ่งกระทรวงมีแต่แก่งแย่งผลประโยชน์ แม้จะพอใจที่รัฐบาล มาจากเลือกตั้ง แต่ไม่ปลื้มการสืบทอดอำนาจที่ไม่สง่างาม จี้เร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ผิดหวังได้แต่นักการเมืองหน้าเดิม ฝากนายกฯ-ครม. ทำเพื่อส่วนร่วมยึดประโยชน์ชาติ       อีกครั้งจาก ซูเปอร์โพล ในวันที่ 23 มิถุนายน นำเสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง สิ่งที่ประชาชนอยากเห็น กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,654 ตัวอย่าง ระหว่าง 15 - 22 มิถุนายน พ.ศ. 2562 พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 57.0 ระบุอยากเห็นบ้านเมืองสงบสุข ไม่วุ่นวาย ร้อยละ 49.4 อยากเห็นคนดี ปกครองบ้านเมือง, ร้อยละ 41.0 อยากเห็นคนไทยมีงานทำ ทักษะดี รายได้ดี, ร้อยละ 36.5 อยากเห็นคนไทยมีวินัย, ร้อยละ 34.8 อยากเห็นคนไทยมีทัศนคติที่ดีต่อกัน, ร้อยละ 34.8 เช่นกัน อยากเห็นคนไทยรักกัน, ร้อยละ 32.9 อยากเห็นคนไทยช่วยเหลือเกื้อกูลมีน้ำใจต่อกัน, ร้อยละ 31.8 อยากเห็นคนไทยปกป้องผลประโยชน์ชาติ, ร้อยละ 31.2 อยากเห็นความปลอดภัย และร้อยละ 28.0 อยากเห็นพลเมืองดี ตามลำดับ       ที่น่าพิจารณาคือ เมื่อถามถึงสิ่งที่อยากเห็น ถ้าบ้านเมืองวุ่นวายเดินต่อไปไม่ได้ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 87.0 ระบุ ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ ในขณะที่ร้อยละ 7.7 ระบุยึดอำนาจ และร้อยละ 5.3 ระบุอื่นๆ เช่น นายกรัฐมนตรีลาออก เปลี่ยนรัฐบาล เป็นต้น       ท้ายสุดเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน สำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) นำเสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง “อารมณ์สาธารณชนต่อการเมือง” กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,673 ตัวอย่าง โดยส่วนใหญ่ หรือ 87.2% เห็นด้วยต่อการตรวจสอบคุณสมบัติทั้ง ส.ส.รัฐบาล ฝ่ายค้าน และ ส.ว. ในขณะที่ 12.8% ไม่เห็นด้วย       ที่น่าพิจารณา คือ ส่วนใหญ่หรือ 67.5% กังวลมากถึงมากที่สุดต่อความขัดแย้งรุนแรงบานปลาย, 23.2% กังวลปานกลาง และ 9.3% กังวลน้อยถึงไม่กังวลเลย       นอกจากนี้ เมื่อถามถึงความเบื่อหน่ายต่อปัญหาการเมืองขณะนี้ พบว่า ส่วนใหญ่หรือ 92.4% รู้สึก เบื่อ เบื่อสุดๆ ถึงโคตรเบื่อ ต่อปัญหาการเมืองขณะนี้ ในขณะที่เพียง 7.6% รู้สึกไม่เบื่อ ถึงสนุกต่อปัญหาการเมือง ยิ่งไปกว่านั้น ส่วนใหญ่หรือ 59.5% ไม่เห็นด้วย ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง ในขณะที่ 40.5% เห็นด้วย