พฤษภาคม 2562 : พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เสด็จพระราชดำเนินเปิดสภา ประธานสภาวุฒิสมาชิก ประชุมสภา ส.ส. ครั้งแรก เลือก ชวน หลีกภัย เป็นประธาน ศาล รธน. วินิจฉัยเรื่องการคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ กกต. รับรอง ส.ส. เขต-บัญชีรายชื่อ ครบทั้ง 500 รัฐบุรุษ เปรม ติณสูลานนท์ ถึงแก่อสัญกรรม ปชป. เลือก จุรินทร์ เป็นหัวหน้าพรรค ศาล รธน. ให้ ธนาธร หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมีผลใช้บังคับ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก       พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพวรางกูร ทรงเข้าพิธีบรมราชาภิเษกในวันที่ 4-6 พฤษภาคม 2562 เฉลิมพระปรมาภิไธย พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ตามโบราณราชประเพณี ซึ่งมีขั้นตอน คือ พิธีสรงพระมุรธาภิเษก, พิธีถวายน้ำอภิเษก ต่อด้วยพระราชพิธีเฉลิมพระปรมาภิไธย พระนามาภิไธย สถาปนาพระฐานันดรศักดิ์พระบรมวงศ์, การเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครโดยริ้วกระบวนพยุหยาตราทางสถลมารค และการเสด็จออกมหาสมาคมรับการถวายพระพรชัยมงคล       ทั้งนี้เป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มีการถ่ายทอดผ่านทางสถานีโทรทัศน์ โดยทุกสถานีจะเชื่อมสัญญาณการถ่ายทอดสดจากโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย       ก่อนหน้านั้นในวันที่ 1 พฤษภาคม 2562 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนา พลเอกหญิง สุทิดา วชิราลงกรณ์ ณ อยุธยา เป็นสมเด็จพระราชินี และในวันที่ 4 พฤษภาคม 2562 ได้ทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี       หลังจากเสร็จสิ้นพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2562 พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ผู้อำนวยการวิทยาลัยแพทย์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยพยาบาล และผู้อำนวยการสถานพยาบาล จำนวน 27 แห่ง เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับพระราชทานเงินสำหรับจัดซื้อเครื่องมือ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,407,144,487.59 บาท       เงินพระราชทานนี้ เป็นเงินที่ประชาชนได้ร่วมกันทูลเกล้าฯ ถวายในการร่วมบำเพ็ญพระราชกุศล เนื่องในงานพระราชพิธีพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทั้งหมด และส่วนหนึ่งเป็นเงินรายได้จากการจัดงาน อุ่นไอรัก คลายความหนาว สายน้ำแห่งรัตนโกสินทร์ เสด็จพระราชดำเนินเปิดสภา       เมื่อ วันที่ 24 พฤษภาคม 2562 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดประชุมรัฐสภา ณ ห้องประชุมวิเทศสโมสร กระทรวงการต่างประเทศ โดยมีสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และคณะทูตานุทูต 134 คน เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับเสด็จอย่างพร้อมเพรียง ประธานสภาวุฒิสมาชิก       ในวันที่ 24 พฤษภาคม 2562 เมื่อเวลา 17.30 น. ที่หอประชุมใหญ่ทีโอที ถ.แจ้งวัฒนะ มีการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 1 (สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่ 1) โดยมี ร.อ.ทินพันธุ์ นาคะตะ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ในฐานะอาวุโสสูงสุด 85 ปี ทำหน้าที่เป็นประธานวุฒิสภาชั่วคราว โดยประธานในที่ประชุมได้แจ้งเรื่องรับทราบพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2562 และรับทราบพระบรมราชโองการประกาศแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา โดยเลขาธิการวุฒิสภา ได้อ่านรายชื่อ ส.ว. ทั้ง 250 คน       ที่ประชุมได้เลือก นายพรเพชร วิชิตชลชัย ส.ว. เป็นประธานวุฒิสภา พล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร เป็นรองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 และนายศุภชัย สมเจริญ เป็นรองประธานวุฒิสภาคนที่ 2 ประชุมสภา ส.ส. ครั้งแรก       เมื่อ วันที่ ‬25 พฤษภาคม 2562 ที่หอประชุมใหญ่ ทีโอที ถนนแจ้งวัฒนะ ได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 1 เป็นครั้งที่ 1 มีสมาชิกผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จำนวน 497 คน เข้าร่วมประชุม โดยมีนายชัย ชิดชอบ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ จากพรรคภูมิใจไทย ในฐานะสมาชิกมีอาวุโสสูงสุด อายุ 91 ปี ขึ้นทำหน้าที่ประธานชั่วคราวในที่ประชุม       จากนั้น มีการอ่านพระบรมราชโองการประกาศ แต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาทั้ง 250 คน ให้ที่ประชุมรับทราบ แล้วมีการแจ้งมติศาลรัฐธรรมนูญ ที่วินิจฉัยให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ยุติการปฏิบัติหน้าที่ ไว้จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย โดยศาลฯ ให้เหตุผลว่าคดีนี้ กกต. ได้ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่ง ให้นายธนาธร หยุดปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 วรรคสอง เป็นผลให้นายธนาธร ต้องออกจากที่ประชุม       จากนั้นมีการลงคะแนนเลือกประธานสภา ส.ส. มีผู้ลงคะแนนทั้งหมด 494 เสียง ปรากฏว่านายชวน หลีกภัย ได้รับเลือกด้วยคะแนนเสียง 258 เสียง ชนะนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้ได้รับคะแนน 235 เสียงในลำดับที่สอง และมีผู้ไม่ลงคะแนน 1 เสียง       และผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นรองประธานสภา ส.ส. คนที่หนึ่งและสอง คือ นายสุชาติ ตันเจริญ และนายศุภชัย โพธิ์สุ ตามลำดับ ศาล รธน. วินิจฉัยเรื่องการคำนวณ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ       เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2562 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยเป็นเอกฉันท์ว่ารัฐธรรมนูญมาตรา 91 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 128 เป็นบทบัญญัติที่มีหลักการเกี่ยวการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณ และคิดอัตราส่วนของ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เพื่อให้ได้ ส.ส.แบบบัญชีราชชื่อจำนวน 150 คน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 83 วรรคหนึ่ง (2)       ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากคำร้องที่ผู้ตรวจการแผ่นดินขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 231 (1)ว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 128 มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญมาตรา 91 หรือไม่       โดยคณะตุลาการมีความเห็นว่าแม้บทบัญญัติ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 128 มีการบัญญัติรายละเอียดเพิ่มเติมจากรัฐธรรมนูญมาตรา 91 แต่ก็เป็นเพียงการกำหนดรายละเอียดหลักเกณฑ์และวิธีคำนวณ คิดอัตราส่วนเพื่อให้ได้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อครบตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด โดยกำหนดวิธีการคิดคำนวณในกรณีที่ไม่สามารถจัดสรรครบ 150 คน ตามมาตรา 128 วรรคหนึ่ง (2) (3) (4) (5) (6) และ(7) ซึ่งเป็นไปตามหลักการและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 91 วรรคหนึ่ง และวรรคสามแล้ว จึงวินิจฉัยว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 128 ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 91 จึงไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ       การคำนวณ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อในการเลือกตั้ง ส.ส. เป็นการเลือกตั้งทั่วไป วิธีการคำนวณที่ กกต. นำมาคำนวณเพื่อจัดสรร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อให้แก่พรรคการเมืองทั้ง 26 พรรค โดยคิดจากผลคะแนนที่พรรคการเมืองส่งผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ใน 349 เขตเลือกตั้ง รวม 74 พรรคการเมือง เป็นคะแนนทั้งสิ้น 35,441,920 คะแนน ซึ่งเมื่อ กกต. ประกาศ ส.ส. ในแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวน 349 เขต จึงต้องนำ 349 มาหาร จำนวน ส.ส.เขต เต็ม 350 จะได้ ค่าเฉลี่ย 0.9971 จากนั้นนำจำนวนดังกล่าวมาคูณด้วย ส.ส. ทั้งสภา คือ 500 คน จะได้ จำนวน ส.ส. ที่จะประกาศผลทั้งหมด 498.5714 คน ซึ่งกฎหมายกำหนดให้ถือเอาเฉพาะจำนวนเต็ม จึงเหลือ 498 คน เมื่อหัก ส.ส. เขต 349 จึงเป็น ส.ส. บัญชีรายชื่อ 149 คน       จากนั้นนำคะแนนรวมที่ 74 พรรคการเมืองได้รับคือ 35,441,920 มาหารด้วย 498 คน ก็จะได้ค่าเฉลี่ยต่อ ส.ส. 1 คน คือ 71,168.5141 คะแนน แล้วนำจำนวนดังกล่าวมาหารคะแนนรวมทั้งหมดของแต่ละพรรคก็จะได้จำนวน ส.ส. พึงมีเบื้องต้น จากนั้นนำจำนวน ส.ส. พึงมีเบื้องต้นไปลบกับจำนวน ส.ส.เขต ของแต่ละพรรคที่ได้รับการเลือกตั้งก็จะได้จำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อในเบื้องต้น เมื่อรวมแล้วพบว่าจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อในเบื้องต้นจำนวน 174.2629 คน ซึ่งถือว่าเกินกว่าจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อที่จะได้รับการจัดสรรในรอบแรกจำนวน 149 คน ทั้งนี้เป็นผลมาจากพรรคเพื่อไทยได้ ส.ส.เขตเกินกว่าจำนวน ส.ส.ที่พึงมี ดังนั้น จึงต้องมีการคำนวณใหม่ โดยนำจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อที่แต่ละพรรคได้ในเบื้องต้นมาคูณด้วย 149 แล้วหารด้วย 174.2629 ก็จะได้จำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อที่ปรับลดเพื่อให้เหลือจำนวน 149 คน โดยจัดสรรให้พรรคการเมืองเป็นจำนวนตัวเต็ม (ยังไม่พิจารณาเศษทศนิยม) มีทั้งสิ้น 15 พรรคการเมือง ได้จำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อที่จัดสรรให้พรรคการเมืองเพียง 129 ที่นั่ง ยังขาดอีก 20 ที่นั่ง จึงต้องจัดสรรให้พรรคการเมืองโดยพิจารณาเรียงตามเศษทศนิยมจากมากไปหาน้อยจนได้ครบ 20 ที่นั่ง ซึ่งก็จะมีผลให้พรรคอนาคตใหม่ ภูมิใจไทย เสรีรวมไทย เศรษฐกิจใหม่ และประชาชาติ ซึ่งได้รับการจัดสรรในรอบแรกไปแล้ว ได้รับการจัดสรรเพิ่มอีกพรรคละ 1 ที่นั่ง และมีพรรคการเมืองที่คะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ส.ส. 1 คน ได้รับการจัดสรร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคละ 1 คน อีกตามลำดับเศษทศนิยม 11 พรรคการเมือง กกต รับรอง ส.ส. เขต-บัญชีรายชื่อ ครบทั้ง 500       หลังการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 24 มีนาคม 2562 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ทยอยประกาศผลการเลือกตั้ง ทั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 350 คน และแบบบัญชีรายชื่อ 150 คน รวมทั้งสิ้น 500 คน โดยมี ส.ส. เขตลำดับที่ 350 มาจากผลการเลือกตั้งใหม่ในเขตเลือกตั้งที่ 8 จ.เชียงใหม่ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม 2562 ด้วย       สรุปพรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จำนวน 350 เขต ดังนี้       พรรคเพื่อไทย 136 เขต       พรรคพลังประชารัฐ 97 เขต       พรรคภูมิใจไทย 39 เขต       พรรคประชาธิปัตย์ 33 เขต       พรรคอนาคตใหม่ 31 เขต       พรรคชาติไทยพัฒนา 6 เขต       พรรคประชาชาติ 6 เขต       พรรคชาติพัฒนา 1 เขต       พรรครวมพลังประชาชาติไทย 1 เขต       และ มีจำนวน ส.ส. บัญชีรายชื่อ 150 คน จาก 25 พรรคการเมือง คือ       พรรคอนาคตใหม่ 50 ที่นั่ง       พรรคประชาธิปัตย์ 20 ที่นั่ง       พรรคพลังประชารัฐ 19 ที่นั่ง       พรรคภูมิใจไทย 12 ที่นั่ง       พรรคเสรีรวมไทย 10 ที่นั่ง       พรรคเศรษฐกิจใหม่ 6 ที่นั่ง       พรรคเพื่อชาติ 5 ที่นั่ง       พรรคชาติไทยพัฒนา 4 ที่นั่ง       พรรครวมพลังประชาชาติไทย 4 ที่นั่ง       พรรคชาติพัฒนา 2 ที่นั่ง       พรรคพลังท้องถิ่นไทย 3 ที่นั่ง       พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย 2 ที่นั่ง       และอีก 13 พรรคการเมือง ได้พรรคละ 1 ที่นั่ง คือ พรรคประชาชาติ, พรรคพลังปวงชนไทย, พรรคพลังชาติไทย, พรรคประชาภิวัฒน์, พรรคไทยศรีวิไลย์, พรรคพลังไทยรักไทย, พรรคครูไทยเพื่อประชาชน, พรรคประชานิยม, พรรคประชาธรรมไทย, พรรคประชาชนปฏิรูป, พรรคพลเมืองไทย, พรรคประชาธิปไตยใหม่ และพรรคพลังธรรมใหม่       ทำให้พรรคการเมืองที่มีที่นั่ง ส.ส. ในสภา 10 อันดับ ดังนี้       อันดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย 136 ที่นั่ง       อันดับที่ 2 พรรคพลังประชารัฐ 116 ที่นั่ง       อันดับที่ 3 พรรคอนาคตใหม่ 81 ที่นั่ง       อันดับที่ 4 พรรคประชาธิปัตย์ 53 ที่นั่ง       อันดับที่ 5 พรรคภูมิใจไทย 51 ที่นั่ง       อันดับที่ 6 พรรคชาติไทยพัฒนา 10 ที่นั่ง       อันดับที่ 7 พรรคเสรีรวมไทย 10 ที่นั่ง       อันดับที่ 8 พรรคประชาชาติ 7 ที่นั่ง       อันดับที่ 9 พรรคเศรษฐกิจใหม่ 6 ที่นั่ง       อันดับที่ 10 พรรคเพื่อชาติ และพรรครวมพลังประชาชาติไทย พรรคละ 5 ที่นั่ง อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ถึงแก่อสัญกรรม       เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2562 พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษถึงแก่อสัญกรรมอย่างสงบ ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ด้วยวัย 98 ปี 9 เดือน       รัฐบาลได้ประกาศให้สถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐ และสถานศึกษาทุกแห่ง ลดธงครึ่งเสา ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม 2562 ถึงวันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน 2562 รวม 7 วัน และให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้ทุกข์ รวม 21 วัน       หลังจากที่พลเอกเปรม ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานองคมนตรีถึงแก่อสัญกรรม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ รักษาการในตำแหน่งประธานองคมนตรี ปชป. เลือก จุรินทร์ เป็นหัวหน้าพรรค       เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2562 พรรคประชาธิปัตย์ ได้มีการจัดประชุมใหญ่วิสามัญของพรรคฯ เพื่อพิจารณาเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ที่ประชุมใหญ่ฯ ได้มีมติเลือก นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ให้ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่       ส่วนตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคที่มีการแข่งขันกันมากที่สุด คือ รองหัวหน้าพรรคที่ดูแลพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปรากฏว่านายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ได้กลับเข้ามาเป็นรองหัวหน้าฯ อีกครั้ง ศาล รธน. ให้ ธนากร หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว       เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2562 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้รับคำร้องที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และ ส.ส.บัญชีรายชื่อตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ว่า มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) กรณีถือครองหุ้นบริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด อยู่ในวันที่สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ทำให้อาจขาดคุณสมบัติ ในการดำรงตำแหน่ง ส.ส. ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101(6) ประกอบมาตรา 98(3) ไว้พิจารณาวินิจฉัย       และยังมีมติเสียงข้างมาก 8 ต่อ 1 ให้นายธนาธร หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. ไว้จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย โดยศาลฯ ให้เหตุผลว่าคดีนี้ กกต. ได้ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นายธนาธร หยุดปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 วรรคสอง       ทั้งนี้ ตามคำร้องของ กกต. นายธนาธร ถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้ถือหุ้น บริษัท วี-ลัคมีเดีย จำกัด ซึ่งประกอบกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ จำนวน 675,000 หุ้น เลขหมายใบหุ้นตั้งแต่ 1350001-2025000       ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2562 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้พิจารณาวินิจฉัยสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 82 วรรคสี่ กรณีความปรากฏหรือมีเหตุอันควรสงสัยต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งว่านายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) เป็นผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดอันเป็นลักษณะต้องห้ามไม่ให้ใช้สิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ซึ่งเป็นเหตุให้สมาชิกภาพของ ส.ส. สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 101(6) ประกอบมาตรา 98(3)       ทั้งนี้ กกต. มีมติเอกฉันท์โดยพิจารณาจากพยานหลักฐาน บริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด เป็นบริษัท ที่ระบุวัตถุประสงค์ในการยื่นจดทะเบียนต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ว่า ประกอบกิจการหนังสือพิมพ์และสื่อมวลชน อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากงบการเงินของบริษัทฯพบว่ามีรายได้จากการขายนิตยสาร ให้บริการโฆษณาซึ่งถือเป็นการประกอบธุรกิจสื่อสารมวลชน และยังคงประกอบกิจการอยู่ ไม่มีการจดทะเบียนยกเลิกบริษัทหรือเสร็จการชำระบัญชีแต่อย่างใด ขณะที่สำเนาบัญชีผู้ถือหุ้นหรือ บอจ.5 ที่ กกต. ได้รับจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ก็ยังปรากฏชื่อนายธนาธร เป็นผู้ถือหุ้นตั้งแต่ปี 2558 จนถึงวันที่ 21 มีนาคม 2562       ดังนั้นเมื่อ กกต. ประกาศเปิดสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. วันที่ 4-8 กุมภาพันธ์ จึงเท่ากับว่าขณะที่นายธนาธร ยื่นใบสมัครลงรับเลือกตั้ง นายธนาธร ยังถือหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด อยู่ จึงเข้าข่ายขาดคุณสมบัติเนื่องจากเป็นบุคคลที่ห้ามใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98(3) และ พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ. 2561 มาตรา 42(3) อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญมาตรา 82 วรรคสองยังกำหนดว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้รับเรื่องไว้พิจารณาแล้ว หากปรากฎเหตุอันควรสงสัยว่า ส.ส. ซึ่งถูกร้อง มีกรณีตามที่ถูกร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ ส.ส. ซึ่งถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย และเมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยแล้วให้ศาลรัฐธรรมนูญแจ้งคำวินิจฉัยนั้นไปยังประธานสภาผู้แทนราษฎร ทั้งนี้ ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของ ส.ส. ผู้ถูกร้องสิ้นสุดลง ให้ถือว่าผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่หยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่ไม่กระทบต่อกิจการที่ผู้นั้นได้กระทำไปก่อนพ้นจากตำแหน่ง       วันที่ 23 พฤษภาคม 2562 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ หยุดปฏิบัติหน้าที่ ขั้นตอนปฏิบัตินายธนาธร ยังสามารถเข้าร่วมงานรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา ในวันที่ 24 พฤษภาคม 2562 ที่กระทรวงการต่างประเทศได้ เพราะมีสถานะเป็นสมาชิกแห่งสภาผู้แทนราษฎรตามการเลือกตั้ง เนื่องจากนายธนาธร ยังไม่ได้กล่าวคำปฏิญาณตน ซึ่งตามรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ว่า ส.ส. จะปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการต้องกล่าวคำปฏิญาณตนต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรก่อน ดังนั้นในวันที่ 25 พฤษภาคม 2562 เมื่อนายธนาธร กล่าวคำปฏิญาณตนต่อที่ประชุมสภาฯ แล้ว จึงต้องออกจากการทำหน้าที่ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งดังกล่าว พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมีผลใช้บังคับ       เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 ที่ผ่านมา เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562       เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากปัจจุบันมีการล่วงละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของข้อมูลส่วนบุคคลเป็นจำนวนมากจนสร้างความเดือดร้อนรำคาญหรือความเสียหายให้แก่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลประกอบกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทำให้การเก็บรวบรวมใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลอันเป็นการล่วงละเมิดดังกล่าวทำได้โดยง่ายสะดวก และรวดเร็วก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจโดยรวมสมควรกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นการทั่วไปขึ้นเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ กลไกหรือมาตรการกำกับดูแลเกี่ยวกับการให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เป็นหลักการทั่วไป       ดังนั้น เพื่อให้การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมีประสิทธิภาพและเพื่อให้มีมาตรการเยียวยาเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลจากการถูกละเมิดสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคลที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งการตราพระราชบัญญัตินี้สอดคล้องกับเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรา 26 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย       การเก็บรวบรวม การใช้ การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลอย่างชัดเจน และสามารถถอนความยินยอมได้ รวมถึงมีสิทธิขอให้ลบหรือทำลายได้เมื่อการเก็บ ใช้ เปิดเผย ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือถอนความยินยอม       กฎหมายฉบับดังกล่าวได้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 28 พฤษภาคม 2562 ยกเว้น หมวด 2 หมวด 3 หมวด 5 หมวด 6 หมวด 7 และความใน มาตรา 95 และมาตรา 96 ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป คือ ตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไปเนื่องจากจะต้องมีการออกประกาศขั้นตอนระเบียบปฏิบัติต่างๆ อีกราว 30 ฉบับ เพื่อเป็นแนวปฏิบัติ ซึ่งหากฝ่าฝืนจะมีทั้งโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 1 ปี และโทษปรับตั้งแต่ 5 แสนบาท จนถึงระดับ 5 ล้านบาท แล้วแต่ประเภทของข้อมูล       ส่วนหมวดที่มีผลใช้บังคับทันที่หลังการประกาศราชกิจจานุเบกษา คือ หมวด 1 คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และ หมวด 4 สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล       เพื่อที่จะให้มีการตั้งคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยประธานจะได้มาจากการสรรหาผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งนายกรัฐมนตรีและประธานรัฐสภา ผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นผู้แต่งตั้งกรรมการสรรหา ส่วนรองประธานได้แก่ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทั้งยังมีกรรมการโดยตำแหน่ง 5 คน ได้แก่ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพและอัยการสูงสุด รวมถึงมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีก 9 คน       มีการตั้งหน่วยงานใหม่ คือ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยในระหว่างที่การจัดตั้งหน่วยงานใหม่ยังไม่แล้วเสร็จให้สำนักงานปลัดกระทรวงดีอี ทำหน้าที่ไปแทนก่อน และให้รองปลัดกระทรวงดีอีที่ได้รับมอบหมาย ทำหน้าที่เป็นเลขาธิการสำนักงานฯ       ในวันเดียวกัน (27 พฤษภาคม) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ก็ได้ประกาศเผยแพร่กฎหมายสำคัญอีกฉบับ คือ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 ที่มีเหตุผลในการใช้ คือป้องกัน รับมือ และลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ มิให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงในด้านต่างๆ รวมทั้งให้มีหน่วยงานเพื่อรับผิดชอบในการดำเนินการประสานการปฏิบัติงาน ร่วมกันทั้งภาครัฐและเอกชน ไม่ว่าในสถานการณ์ทั่วไปหรือสถานการณ์อันเป็นภัยต่อความมั่นคงอย่างร้ายแรง ตลอดจนกำหนดให้มีแผนปฏิบัติการและมาตรการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ อย่างมีเอกภาพ และต่อเนื่อง อันจะทำให้การป้องกันและการรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ       ทั้งนี้ เนื่องจากปัจจุบันการให้บริการหรือการประยุกต์ใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต โครงข่ายโทรคมนาคม หรือการให้บริการโดยปกติของดาวเทียมมีความเสี่ยง จากภัยคุกคามทางไซเบอร์อันอาจกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ และความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ ดังนั้น เพื่อให้สามารถป้องกัน หรือรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้อย่างทันท่วงที สมควรกำหนดลักษณะของภารกิจหรือบริการที่มีความสำคัญเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศทั้งหน่วยงานของรัฐและหน่วยงานเอกชน อนุญาต 3 ธุรกิจต่างด้าวทำได้       เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติร่างกฎกระทรวงกำหนดธุรกิจบริการที่ไม่ต้องขออนุญาตในการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอซึ่งทบทวนปีละครั้ง โดยเป็นไปตามที่คณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวมีมติเห็นชอบให้ยกเว้นธุรกิจบริการ 3 ธุรกิจ คือ ธุรกิจให้บริการกู้ยืมเงินแก่บริษัทในเครือในกลุ่มในประเทศ ธุรกิจให้บริการให้เช่าสำนักงานพร้อมสาธารณูปโภค และธุรกิจให้บริการให้คำปรึกษาแนะนำแก่บริษัทในเครือในกลุ่มเฉพาะด้านบริหารจัดการ ด้านการตลาด ด้านทรัพยากรบุคคลและด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ       ทั้งนี้ เนื่องจาก 3 ธุรกิจให้บริการนี้ไม่กระทบผู้ประกอบการไทย เพราะเป็นการจำกัดให้บริการแก่บริษัทในเครือในกลุ่มเท่านั้น นอกจากนี้ ยังสามารถลดต้นทุนดำเนินการเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยธุรกิจและเป็นการอำนวยความสะดวกให้เกิดความคล่องตัวในการประสานงานระหว่างกัน ทำให้การบริหารงานของบริษัทในเครือในกลุ่มมีประสิทธิภาพและมีมาตรฐานเดียวกัน