สถาบันนโยบายศึกษา : Institute of Public Policy Studies (IPPS)

อย่าลดทอนคุณค่าของการเมืองด้วยวาทกรรมที่สร้างความแตกแยก

      หลังการเลือกตั้ง การเมืองยังไม่ก้าวหน้าแม้ผลการเลือกตั้งจะปรากฏแล้ว มี 5 พรรคหลัก ที่ได้คะแนนอันดับต้นๆ คือ พรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรคอนาคตใหม่ พรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาธิปัตย์ นอกนั้นก็เป็นพรรคขนาดเล็ก จนถึงเล็กมาก คือ 1 พรรค ได้ ส.ส. เพียง 1 คน และพรรคพลังประชารัฐเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล โดยรวมกับพรรคอื่นๆ

      ขณะนี้ประเทศไทยเดินในเกมประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้งไปแล้ว มีประธานสภาผู้แทนราษฎร คือ นายชวน หลีกภัย และรองประธานสภา คนที่ 1 คือ นายสุชาติ ตันเจริญ และคนที่ 2 นายศุภชัย โพธิ์สุ ซึ่งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี แม้จะมีเสียงค่อนขอดว่าเป็นรัฐบาลสืบทอดอำนาจ คสช. เพราะหัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรีเป็นบุคคลเดียวกัน

      อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่า การเลือกตั้งครั้งนี้มีพรรคใหม่เกิดขึ้นจำนวนมาก แต่พรรคที่โดดเด่น คือ พรรคอนาคตใหม่ เพราะเป็นพรรคคนรุ่นใหม่ กุมคะแนนเสียงคนรุ่นใหม่ร่วม 8 ล้านเสียง และเป็นพรรคที่เข้าใจความเป็นโลกสมัยใหม่ มีการสื่อสารทางการเมืองและการหาเสียงผ่านสื่อสังคม (social media) ที่หลากหลาย สามารถเข้าถึงทุกกลุ่มทุกช่วงวัยอีกด้วย จึงเป็นพรรคที่โดดเด่นและเป็นที่นิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ

      การเลือกตั้งที่ผ่านมาจึงสะท้อนปรากฏการณ์ทางสังคมระหว่างคน 2 รุ่น คือ รุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ที่มีความคิดและทัศนคติสุดขั้วแตกต่างกัน ไม่ว่าจะมองมิติประวัติศาสตร์ ประเพณี วัฒนธรรม และการมองโลก เรียกว่าโลกทัศน์คนละแบบ นี่จึงเป็นทั้งความแตกต่าง และมองเห็นความปริแยกได้อีกด้วย เช่น วาทกรรมในการหาเสียงที่สร้างความร้าวลึกสุดขั้ว คือ ฝ่ายประชาธิปไตย กับฝ่ายเผด็จการ ที่กลายเป็นคำแสลงหูของขั้วตรงข้าม แต่ก็กลายเป็นคำชี้นำทางสังคม และได้ผลในการสื่อสารทางการเมืองของพรรคที่อ้างตนว่าเป็นประชาธิปไตย แต่ขณะเดียวกันก็สร้างความแตกแยกในคนหมู่มากไปแล้ว

      ความคิดและทัศนคติทางการเมืองที่แตกต่างกันควรอยู่บนพื้นฐานของการระดมการสนับสนุนทางการเมืองที่ส่งเสริมการแสดงออกที่แตกต่างทางความคิดอย่างอารยะ ไม่นำไปสู่ความแตกแยกของสังคมนี่จึงควรเป็นคุณค่าจากการมีส่วนร่วมทางการเมืองครั้งสำคัญจากการเลือกตั้ง

      เพราะทุกคนล้วนเป็นคนไทย การเลือกตั้งไม่ได้มอบความชอบธรรมให้กับผู้ใด ให้กระทำการเบียดขับหรือเหยียบย่ำกระทำต่อฝ่ายตรงข้ามตามชอบใจด้วยอคติ เพราะการกระทำเช่นนี้ นักการเมืองกำลังทำให้คนทั่วไปจำนวนมากเบื่อการเมือง และไม่อยากสนใจการเมือง และมีผลเสียต่อกระบวนการมีส่วนร่วมทางการเมือง เพราะนักการเมืองทำตัวไล่ล่ากันเองจนลดทอนความสำคัญของการเป็นนักการเมืองที่ควรมุ่งหวังสร้างการมีส่วนร่วมทางการเมืองในทุกช่องทางเพื่อการเปลี่ยนแปลงและสร้างสรรค์สังคมให้รุดหน้า

      ที่สำคัญ การเมืองไม่ควรทำให้คนในสังคมรู้สึกตื่นตระหนกกับความไม่แน่นอนทางการเมือง กระทั่งรู้สึกว่าการเมืองทำให้สังคมขาดความมั่นคง แต่ควรเป็นช่องทางให้คนใส่ใจอยากติดตาม ตรวจสอบ และอยากมีส่วนร่วมทางการเมืองทุกโอกาส

      ทั้งหมดนี้อยู่ที่ผู้แสดงทางการเมือง ที่สำคัญคือนักการเมืองนั่นเอง เพราะเสถียรภาพทางการเมืองอยู่ในมือของนักการเมือง และผู้นำทางการเมืองจากทุกพรรค

ทิพย์พาพร ตันติสุนทร
ผู้อำนวยการ สถาบันนโยบายศึกษา