เมษายน 2562 : ผู้ตรวจการฯ ขอศาล รธน. วินิจฉัยวิธีคำนวณ ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์ ผู้ตรวจการฯ ขอศาล รธน. วินิจฉัยวิธีคำนวณ ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์ ศาล รธน. ไม่รับคำร้อง กกต. ตีความสูตรคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ กกต. สั่งเลือกตั้งใหม่ใน 6 เขต 5 จังหวัด ต่างชาติมีประกันสุขภาพ อยู่รักษาตัวได้นาน 1 ปี หน่วยราชการเตรียมพร้อมสู่ระบบดิจิทัล ในปี 2563 แก้ กม. ค้ามนุษย์ให้ครอบคลุมถึง “แรงงานบังคับ” กกต. แจ้งข้อกล่าวหา"ธนาธร" ถือหุ้นสื่อ บ.วี-ลัค ศาลตัดสินจำคุก ‘ทักษิณ’ 3 ปี คดีเอ็กซิมแบงก์ให้เงินกู้พม่า ศาลปกครองสูงสุดกลับคำพิพากษา สั่งรัฐจ่ายค่าชดเชยให้ บ.โฮปเวลล์ กต. เชิญทูต ตปท. ชี้แจง ปลดล็อค ไม้หวงห้ามในที่ดินกรรมสิทธิ์ โรดแมป กำจัดขยะพลาสติก ผู้ตรวจการฯ ขอศาล รธน. วินิจฉัยวิธีคำนวณปาร์ตี้ลิสต์       วันที่ 26 เมษายน 2562 ผู้ตรวจการแผ่นดินมีมติเป็นเอกฉันท์ว่ามาตรา 128 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ฯ ซึ่งเกี่ยวข้องกับวิธีการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ มีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 91 จึงให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย       ส่วนคำร้องของนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยรักษาชาติ ที่ขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม 2562 เป็นโมฆะ เนื่องจาก กกต.จัดการเลือกตั้งผิดพลาดและขัดต่อกฎหมายหลายประการนั้น ผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่าสิ่งที่นายเรืองไกร ร้องมานั้น ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด จึงไม่ได้พิจารณาคำร้องดังกล่าว       ขณะที่ กรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่นับคะแนนบัตรเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรที่ส่งมาจากนิวซีแลนด์ล่าช้านั้น ผู้ตรวจฯ เห็นว่าเป็นอำนาจของ กกต. ที่จะไม่นับคะแนนบัตรเลือกตั้งดังกล่าว ไม่เข้าข่ายมีความผิดแต่อย่างใด ศาล รธน. ไม่รับคำร้อง กกต. ตีความสูตรคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์       เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2562 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติเอกฉันท์ไม่รับคำร้องกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นขอให้วินิจฉัยการคำนวณสูตร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ มีมติ 7 ต่อ 2 ลงความเห็นว่าเป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต. ในการพิจารณา กรณีนี้ยังไม่ถือว่ามีปัญหาเพราะยังไม่ปรากฏว่า กกต. ได้ใช้หน้าที่และอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายบัญญัติ ซึ่งต้องกระทำหลังจากมีการประกาศผลการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตแล้ว       ก่อนหน้านี้ในวันที่ 11 เมษายน 2562 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง มีมติเอกฉันท์ ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่า กกต. จะคำนวณหาจำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 128 ซึ่งจะมีผลทำให้พรรคการเมืองที่มีจำนวน ส.ส. ที่จะพึงมีได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ส.ส. 1 คน ได้รับการจัดสรร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 1 คน ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 91 หรือไม่       โดย กกต. พิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้วมีความเห็นแม้การคำนวณหา ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อตามมาตรา 91 วรรคสามของรัฐธรรมนูญ ประกอบ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.แล้วจะมีหลายพรรคการเมืองที่มีผลการคำนวณจำนวน ส.ส. จะพึงมีได้เบื้องต้นต่ำกว่า1 คน สามารถได้รับการจัดสรร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 1 คน และสามารถจัดสรร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อได้ครบ 150 คน ซึ่งสอดคล้องกับความของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญก็ตาม       แต่การคำนวณตามมาตรา 128(5) ดังกล่าว มีผลขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 91(2)(4) เนื่องจากมีผลทำให้พรรคการเมืองที่มีจำนวน ส.ส. จะพึงมีได้ต่ำกว่า 1 คน สามารถได้รับการจัดสรรให้มี ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ1 คน จึงอาจทำให้พรรคการเมืองบางพรรคมีจำนวน ส.ส. เกินกว่าจำนวน ส.ส. ที่จะพึงมีได้ ซึ่งต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญตาม 91(4) แต่หากคำนวณหาจำนวนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 91 จะไม่สามารถจัดสรร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อได้ครบ150 คน อีกทั้งหากไม่นำจำนวน ส.ส. ที่จะพึงได้ต่ำกว่า 1 คน ไปคิดคำนวณต่อตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 128(5) ก็ไม่สามารถคิดคำนวณจัดสรรได้ครบ 150 คนเช่นกัน จึงไม่มีวิธีการใดที่จะนำมาคิดคำนวณให้มีจำนวน ส.ส.ได้ 150 คนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 83 ได้       กกต. จึงเห็นว่าเป็นปัญหาเรื่องของอำนาจหน้าที่จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาด ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 210(1)(2) และ พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ มาตรา 7 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) ว่า เมื่อ กกต. จะคำนวณหาจำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อตามวิธีการดังกล่าวแล้ว ไม่มีวิธีใดที่จะทำให้ได้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อครบ 150 คน กกต. สั่งเลือกตั้งใหม่ใน 6 เขต 5 จังหวัด       ในวันที่ 5 เมษายน 2562 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สั่งให้จัดเลือกตั้งใหม่ 6 หน่วยเลือกตั้ง ใน 5 จังหวัด ดังต่อไปนี้ จังหวัดลำปาง เขตเลือกตั้งที่ 4 จำนวน 2 หน่วย ได้แก่ หน่วยเลือกตั้งที่ 6 หมู่ที่ 5 ต.ปางหลวง อ.เกาะคา และหน่วยเลือกตั้งที่ 3 หมู่ที่ 2 ต.ศาลา อ.เกาะคา จังหวัดยโสธร เขตเลือกตั้งที่ 2 หน่วยเลือกตั้งที่ 6 หมู่ที่ 6 ต.หัวเมือง อ.มหาชนะชัย จังหวัดเพชรบูรณ์ เขตเลือกตั้งที่ 1 หน่วยเลือกตั้งที่ 12 หมู่ที่ 12 ต.เข็กน้อย ต.เขาค้อ จังหวัดพิษณุโลก เขตเลือกตั้งที่ 2 หน่วยเลือกตั้งที่ 6 หมู่ที่ 6 ต.มะตูม อ.พรหมพิราม กรุงเทพมหานคร เขตเลือกตั้งที่ 13 หน่วยเลือกตั้งที่ 32 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม.       ทั้งนี้ การเลือกตั้งใหม่จะจัดขึ้นในวันที่ 21 เม.ย. คนต่างชาติต้องมีประกันสุขภาพจึงจะอยู่รักษาตัวได้นาน 1 ปี       ในวันที่ 2 เมษายน 2562 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบหลักการเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การทำประกันสุขภาพสำหรับคนต่างด้าวผู้ขอรับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว Non-Immigrant Visa รหัส O-A (ระยะ 1 ปี) กำหนดให้คนต่างด้าวผู้ขอรับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว Non-Immigrant Visa รหัส O-A (ระยะ 1 ปี) ต้องมีการประกันสุขภาพของไทยคุ้มครองตลอดระยะเวลาที่พำนักในราชอาณาจักร โดยมีจำนวนเงินเอาประกันภัยสำหรับค่ารักษาพยาบาลในกรณีผู้ป่วยนอกไม่น้อยกว่า 40,000 บาท กรณีผู้ป่วยในไม่น้อยกว่า 400,000 บาท โดยซื้อกรมธรรม์แบบออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.longstay.tgia.org สำหรับผู้ที่ซื้อประกันสุขภาพของบริษัทต่างประเทศจะต้องมีจำนวนเงินเอาประกันภัยไม่น้อยกว่าการทำประกันสุขภาพของไทย ตามที่กำหนดด้วย       ทั้งนี้ เนื่องจากที่ผ่านมามีชาวต่างชาติจำนวนมากที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยและมีเหตุต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลในไทยจำนวนมาก แต่ไม่มีทุนทรัพย์เพียงพอสำหรับใช้เป็นค่ารักษาพยาบาล จึงก่อให้เกิดปัญหาหนี้สูญแก่สถานพยาบาลโดยเฉพาะในสถานพยาบาลภาครัฐทั่วประเทศ ซึ่งสถานพยาบาลต้องให้การรักษาชาวต่างชาติทุกรายตามหลักสิทธิมนุษยชน แม้ว่าจะไม่อาจจัดเก็บค่ารักษาพยาบาลได้ โดยกลุ่มคนต่างด้าวทุกสัญชาติที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป มีอายุการตรวจลงตรา 1 ปี และขออยู่ต่อได้ปีต่อปี ซึ่งเป็นกลุ่มผู้สูงอายุที่มีโอกาสประสบปัญหาด้านสุขภาพมากกว่าผู้ขอรับการตรวจลงตราประเภทอื่น หน่วยราชการเตรียมพร้อมสู่ระบบดิจิทัล ในปี 2563       เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2562 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการออกเอกสารหลักฐานของทางราชการผ่านทางระบบดิจิทัล เพื่อให้หน่วยงานราชการออกเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ได้เต็มรูปแบบ โดยมอบให้สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สพธอ.) รับไปดำเนินการ เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันและให้เกิดความปลอดภัยป้องกันการปลอมแปลง และสามารถนำไปใช้เป็นพยานหลักฐานในชั้นศาลได้       เรื่องนี้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ได้เสนอให้มีการดำเนินงาน เนื่องจากปัจจุบันยังมีการใช้เอกสารใน 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มเอกสารบัตรแสดงตน เช่น ใบขับขี่ บัตรแสดงตนประจำสังกัด แต่มีบางหน่วยงาน เช่น กรมการจัดหางานได้มีการยกเลิกเอกสารแล้ว คือ ใบอนุญาตทำงานของแรงงานต่างด้าว โดยเปลี่ยนใบอนุญาตทำงานเป็นรูปแบบสมาร์ทโฟน ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง คือ เอกสารทางราชการที่เป็นกระดาษ       นอกจากนี้ ครม. ยังอนุมัติการตรากฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สามารถดำเนินการในรูปแบบดิจิทัลได้ โดยในช่วงเปลี่ยนผ่านมีเป้าหมายที่จะปรับปรุงแก้กฎระเบียบที่กำหนดให้ผู้ยื่นคำขอจะต้องไปขออนุญาตให้แล้วเสร็จภายในปี 2562 และจัดทำแผนงานบริการให้เป็นระบบ e-Service และจะต้องยกเลิกการใช้กระดาษให้ได้ภายในปี 2563 หากหน่วยงานใดไม่สามารถดำเนินการในระบบดิจิทัลและปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบได้ในปี 2562 ให้ประสานงานไปยังสำนักงาน ก.พ.ร. เพื่อพิจารณาขยายระยะเวลาเป็นรายกรณี แก้ กม. ค้ามนุษย์ให้ครอบคลุม “แรงงานบังคับ”       ในวันที่ 23 เมษายน 2562 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้ประชุมในวาระพิเศษ เพื่อพิจารณาให้การรับรองพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 พ.ศ. 2562 โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ผ่านด้วยคะแนน 177 ต่อ 0 งดออกเสียง 4 ส่งผลให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป       สาระสำคัญของกฎหมายคือ ให้เพิ่ม “แรงงานบังคับ” ไว้ในกฎหมายการค้ามนุษย์ โดยให้มีบทลงโทษรุนแรงแก่นายจ้างที่ขู่เข็ญ ใช้กำลังทำร้ายจนเป็นอันตรายแก่ร่างกายให้มีโทษปรับ 50,000-400,000 บาท หรือจำคุก 6 เดือน–4 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ หากใช้กำลังทำร้ายจนถึงขั้นได้รับอันตรายสาหัส หรือเป็นโรคร้ายแรงต่อชีวิต มีโทษจำคุก8-20 ปี หรือตลอดชีวิต แต่ถ้าเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายให้มีโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต       ตัวอย่างของ “แรงงานบังคับ” ได้แก่ แรงงานประมง ที่ถูกไต้ก๋งเรือยึดเอกสารราชการ ใช้แรงงานเยี่ยงทาส หรือแรงงานตามบ้านหรือสถานบริการที่ถูกนายจ้างยึดเอกสาร และบังคับจ่ายค่าแรงงานต่ำกว่าที่ควรได้ ซึ่งก่อนหน้านี้กฎหมายมีผลบังคับกับแรงงานที่เป็นการค้ามนุษย์เท่านั้น กกต. แจ้งข้อกล่าวหา"ธนาธร" ถือหุ้นสื่อ บ.วี-ลัค       ในวันที่ 23 เมษายน 2562 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต. )มีมติให้แจ้งข้อกล่าวหาแก่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ลำดับที่ 1 จากการที่มีข้อกล่าวหาว่าเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 98(3) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ. 2561 มาตรา 42(3) อันเป็นการกระทำการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง       ทั้งนี้ คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนได้รวบรวมพยานหลักฐานแล้ว มีหลักฐานเบื้องต้นฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในบริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด ซึ่งประกอบกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ จำนวน 675,000 หุ้น เลขหมายใบหุ้นตั้งแต่1350001 ถึง 2025000       นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มีสิทธิที่จะไม่ให้ถ้อยคำหรือมีหนังสือชี้แจงแสดงพยานหลักฐานแก้ข้อกล่าวหา และมีสิทธิที่จะให้ทนายความหรือบุคคลซึ่งไว้วางใจเข้าร่วมฟังการชี้แจงแสดงหลักฐานแก้ข้อกล่าวหาได้ภายใน 7 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งข้อกล่าวหา ศาลตัดสินจำคุก‘ทักษิณ’3ปี คดีเอ็กซิมแบงก์ให้เงินกู้พม่า       ในวันที่ 23 เมษายน 2562 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาว่า “นายทักษิณ” ความผิดตามมาตรา 152 ให้จำคุกเป็นเวลา 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา และให้ออกหมายจับจำเลยมาบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ต่อไป       คดีนี้เกิดจากการที่ “คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)” เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีขณะนั้นได้ เห็นชอบให้ธนาคาร เอ็ก- ซิมแบงก์ อนุมัติปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำอัตรา 3% ต่อปี ให้กับรัฐบาลพม่าวงเงิน 4,000 ล้านบาท ในโครงการพัฒนาระบบโทรคมนาคมของพม่า (เมียนมาร์) ซึ่งดอกเบี้ยนั้น ต่ำกว่าราคาต้นทุนของเอ็กซิมแบงก์ และเพื่อหวังประโยชน์ในธุรกิจดาวเทียม ที่มีการสั่งซื้ออุปกรณ์จากบริษัท ชินแซทเทอร์ไลท์ฯ ที่เป็นบริษัทในเครือชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของตระกูลชินวัตร       โดย ป.ป.ช. เห็นว่า นายทักษิณ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของรัฐมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการ แต่กลับเข้ามีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตัวเอง จึงถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต       คดีนี้ศาลรับฟ้องตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2551 และมีการพิจารณาครั้งแรก ในวันที่ 16 กันยายน 2551 แต่ปรากฏว่าขณะนั้น “นายทักษิณ” ไม่มาศาลเนื่องจากหลบหนีไปต่างประเทศ ศาลฯ จึงสั่งจำหน่ายคดีไว้ชั่วคราว และมีคำสั่งออกหมายจับให้ติดตามตัวนายทักษิณ มาดำเนินคดี       ในปี 2560 ได้มีการแก้ไขกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้ศาลมีอำนาจพิจารณาคดีได้โดยไม่ต้องกระทำต่อหน้าจำเลย ในปี 2561 ป.ป.ช.ได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯ ให้นำคดีมาพิจารณาใหม่โดยไม่มีตัวจำเลย และในวันที่ 4 กรกฎาคม 2561 จึงได้พิจารณาคดีนี้ใหม่ โดย “นายทักษิณ” จำเลย ไม่แต่งตั้งผู้ใดรับมอบอำนาจมาศาลแทน และมีคำพิพากษาดังกล่าวข้างต้น ศาลปกครองสูงสุดกลับคำพิพากษา สั่งรัฐจ่ายค่าชดเชยให้ บ.โฮปเวลล์       มื่อวันที่ 22 เมษายน 2562 ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษากลับคำพิพากษา ศาลปกครองกลาง มีผลให้กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ต้องปฏิบัติตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2551 ที่สั่งให้ รฟท. ต้องคืนเงินชดเชยให้กับบริษัทโฮปเวลล์ จากการบอกเลิกสัญญารวมเป็นเงิน 11,888 ล้านบาท โดยไม่รวมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี พร้อมคืนหนังสือค้ำประกันมูลค่า 500 ล้านบาท ที่ออกโดยธนาคารกรุงเทพ ซึ่งประกอบด้วยเงินที่บริษัทได้ชำระเป็นค่าตอบแทนจากการใช้ประโยชน์จากที่ดินของ รฟท. ถึงก่อนวันบอกเลิกสัญญาเป็นเงิน 2,850 ล้านบาท รวมถึงเงินค่าออกหนังสือค้ำประกัน 38 ล้านบาท และเงินค่าก่อสร้าง 9,000 ล้านบาท โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 180 วันนับคดีถึงที่สุด       โครงการโฮปเวลล์เริ่มต้นในปี 2531 โดยรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ได้ให้สัมปทานบริษัทโฮปเวลล์ดำเนินการก่อสร้างทางระบบรถไฟฟ้าขนส่งผู้โดยสารใน กทม. และปริมณฑล ระยะทางรวม 60.1 กม. และถนนสองข้าง 56.8 กม. โดยมูลค่าสัมปทาน 50,000 ล้านบาท มีการลงนามในสัญญาในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2533 สัญญามีผลบังคับ 6 ธันวาคม 2534 ระยะเวลาสัมปทาน 30 ปี มูลค่าโครงการ 80,000 ล้านบาท บริษัทโฮปเวลล์เป็นผู้ลงทุนทั้งหมดและจ่ายผลประโยชน์ให้ รฟท. 50,000 ล้านบาท ตลอดระยะเวลาสัมปทาน       ต่อมาในปี 2534-2535 รัฐบาล นายอานันท์ ปันยารชุน ได้สั่งตรวจสอบและทบทวนโครงการเนื่องจากพบความไม่โปร่งใส ทำให้ภาครัฐเสียเปรียบ พอถึงปี 2535-2538 รัฐบาลนายชวน หลีกภัย ได้นำโครงการกลับมาใหม่ แต่ประสบปัญหาหลายด้าน ทั้งเรื่องพื้นที่ กระแสเงินสด และการก่อสร้างล่าช้า       ในปี 2538-2539 รัฐบาลนายบรรหาร ศิลปะอาชา ได้เร่งรัดให้มีการทำตามสัญญา แต่โฮปเวลล์ไม่สามารถดำเนินการต่อได้ โดยแจ้งว่าขาดสภาพคล่อง ไม่มีแหล่งเงินทุน จึงหยุดการก่อสร้าง เมื่อถึงปี 2539-2540 รัฐบาลนายชวน หลีกภัย จึงขอเลิกสัญญาสัมปทาน       ในวันที่ 20 มกราคม 2540 รัฐบาลนายชวน หลีกภัย ได้บอกเลิกสัญญาอย่างเป็นทางการ เนื่องจากดำเนินงานมา 7 ปี มีความคืบหน้าเพียง 13 เปอร์เซ็นต์       พ.ศ. 2547 บริษัทโฮปเวลล์ ยื่นร้องต่อคณะอนุญาโตตุลาการ เรียกค่าเสียหาย 56,000 ล้านบาท การรถไฟแห่งประเทศไทยจึงฟ้องกลับเรียกค่าเสียหาย 200,000 ล้านบาท       คณะอนุญาโตตุลาการได้วินิจฉัยในปี 2551 ชี้ขาดให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟฯ คืนเงินชดเชยแก่บริษัทโฮปเวลล์ 11,000 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี เพราะการบอกเลิกสัญญาไม่เป็นไปตามขั้นตอน โดยใช้มติ ครม. บอกเลิกสัญญา ทั้งที่บริษัทโฮปเวลล์ยังคงส่งผลตอบแทนให้ต่อเนื่องทุกปี และการห้ามเข้าที่ก่อสร้างทำให้เข้าพื้นที่ไม่ได้       กระทรวงคมนาคมและการรถไฟฯ ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลาง ขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้เพิกถอนเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2557       ท้ายสุดในวันที่ 22 เมษายน 2562 ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้ยืนคำสั่งของอนุญาโตตุลาการ ให้ รฟท. ชำระเงินชดเชยจากการบอกเลิกสัญญาเป็นเงิน 11,888.75 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี และค่าใช้จ่ายอื่นๆ โดยจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้แล้วเสร็จภายใน 180 วันนับแต่คดีสิ้นสุด       รวมเป็นเงินสุทธิ 25,000 ล้านบาท คิดเป็นเงินต้นประมาณ 12,000 ล้านบาท และดอกเบี้ย 13,000 ล้านบาท กต. เชิญทูต ตปท. ชี้แจง       ในวันที่ 10 เมษายน 2562 กระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงเรื่องที่มีการเชิญเอกอัครราชทูตของบางประเทศเข้าพบในวันที่ 10-11 เมษายน 2562 จากเหตุการณ์ที่มีการส่งผู้แทนเข้าร่วมสังเกตการณ์การรับทราบข้อกล่าวหาของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่สถานีตำรวจปทุมวัน มาพบหารือที่กระทรวงการต่างประเทศ       รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศได้แสดงความผิดหวังและห่วงกังวลต่อการปรากฏตัวของผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตต่างประเทศที่สถานีตำรวจปทุมวันในช่วงที่นายธนาธร ไปรับทราบข้อกล่าวหา โดยเฉพาะการทำให้เกิดภาพที่ถูกตีความได้ว่าเป็นการไปให้กำลังใจแก่นายธนาธร และเป็นการเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในบริบททางการเมืองไทยในปัจจุบัน การกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่เกินเลยภารกิจทางการทูต เข้าข่ายแทรกแซงกิจการภายในของไทยและละเมิดหลักปฏิบัติและพันธกรณีทางการทูต ภายใต้อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ค.ศ. 1961 มาตรา 41 ดังนั้น จึงขอให้สถานเอกอัครราชทูตดำเนินการเพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก       เอกอัครราชทูตและอุปทูตที่มาพบประกอบด้วย ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร เยอรมนี แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา ฟินแลนด์ เบลเยียม และ สหภาพยุโรป ปลดล็อค ไม้หวงห้ามในที่ดินกรรมสิทธิ์       เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2562 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2562 ได้มีผลใช้บังคับโดยมีสาระสำคัญให้เจ้าของที่ดินสามารถปลูกไม้ทุกชนิดในที่ได้รับอนุญาตให้ทำประโยชน์ได้ และไม่ต้องได้รับอนุญาตการทำไม้จากพนักงานเจ้าหน้าที่อีกต่อไป อีกทั้งยังสามารถนำไปเป็นหลักทรัพย์ใช้ค้ำประกันได้อีกด้วย       ในอดีต ไม้ดังต่อไปนี้ถูกจัดเป็นไม้หวงห้าม ได้แก่ ไม้สัก ไม้ยาง ไม้ชิงชัน ไม้เก็ดแดง ไม้อีเม่ง ไม้พะยุงแกลบ ไม้กระพี้ ไม้แดงจีน ไม้พะยุง ไม้ซิก ไม้กระซิก ไม้กระซิบ ไม้พะยูง ไม้หมากพลูตั๊กแตน ไม้กระพี้เขาควาย ไม้เก็ดดา ไม้อีเฒ่า และไม้เก็ดเขาควาย ซึ่งถูกควบคุมโดย พ.ร.บ.ป่าไม้ แม้จะขึ้นหรือปลูกในที่ดินกรรมสิทธิ์ ดังนั้น การตัด ฟัน กาน โค่น ลิด เลื่อย ถาก ถอน ขุด ชักลาก จะต้องได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ เป็นเหตุให้ประชาชนเสียโอกาสในการปลูกเพื่อใช้สอยหรือเพื่อการค้า โรดแมป กำจัดขยะพลาสติก       ในวันที่ 17 เมษายน 2562 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่างโรดแมปการจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2561- 2573 โดยมีเป้าหมายที่จะ ลด และเลิกการใช้พลาสติก และนำวัสดุทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้แทน       กำหนดระยะเวลา แบ่งเป็นสองช่วง คือ ระยะแรกภายในปี 2562 จะให้เลิกใช้พลาสติก 3 ชนิด คือ 1. พลาสติกหุ้มฝาขวดน้ำดื่ม 2. พลาสติกผสมสารอ็อกโซ่ และ 3. พลาสติกผสมไมโครบีด และระยะที่สองภายในปี 2565 จะยกเลิกการใช้พลาสติก อีก 4 ชนิด คือ 1. พลาสติกหูหิ้วที่มีความหนาน้อยกว่า 36 ไมครอน 2. กล่องโฟมบรรจุอาหาร 3. หลอดพลาสติก ที่มีข้อยกเว้นสำหรับใช้กับเด็ก คนชรา และผู้ป่วย และ 4 . ยกเลิกใช้แก้วพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว       เป้าหมายที่สองภายในปี 2570 จะเป็นการนำขยะพลาสติกเป้าหมายกลับมาใช้ประโยชน์ร้อยละ 100 ขณะที่ของเสียจะถูกนำไปกำจัดให้ถูกวิธี       แผนปฏิบัติการจะแบ่งเป็น 3 มาตรการ 1. มาตรการลดการเลิกขยะพลาสติก ณ แหล่งกำเนิด โดยจะมีการสนับสนุนการออกแบบและผลิตผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 2. มาตรการ ลด เลิกใช้พลาสติก ณ ขั้นตอนการบริโภค โดยการขับเคลื่อนการลด เลิกใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว 3. มาตรการจัดการขยะพลาสติกหลังการบริโภค โดยจะมีการส่งเสริม สนับสนุนการนำขยะพลาสติกเข้าสู่การนำกลับมาใช้ให้เป็นประโยชน์       โดยจะมีกลไกการจัดการ 4 อย่าง คือ 1. สร้างความรู้ ความเข้าใจหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการดำเนินการการ 2. รณรงค์ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออนไลน์ 3. ใช้เครื่องมือและกลไกที่เหมาะสม เช่น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทุกภาคส่วน เร่งออกกฎหมาย และ 4. การจัดทำฐานข้อมูลขยะพลาสติกของประเทศ       คาดว่า ผลที่จะได้รับคือ จะลดปริมาณขยะพลาสติกได้ประมาณ 0.78 ล้านตันต่อปี และสามารถประหยัดงบประมาณในการจัดการขยะมูลฝอยได้ประมาณ 3.9 พันล้านบาทต่อปี