มกราคม 2562 : กำหนดการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก กำหนดการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 24 มี.ค. วันเลือกตั้งทั่วไป ป.ป.ช. มีมติให้ “ประวิตร” พ้นข้อกล่าวหา “นาฬิกาหรู” สนช. ตีตก 5 ว่าที่ กก.สิทธิฯ ขึ้นบัญชีควบคุม "ยา-ค่าบริการ"-แก้ปัญหา รพ. คิดราคาแพง เปิด ‘10 ผลงานรัฐบาล’ โดนใจ ปชช. แก้ปัญหาประมงสำเร็จ – อียู ปลดล็อคใบเหลือง ปรับเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรประกันสังคม เป็น 600 บาท แก้กฎหมายสิทธิบัตร ม. 44 ปลดล็อคสิทธิบัตรกัญชา ปิด ร.ร. ใน กทม. แก้ปัญหาภัยฝุ่นละอองขนาดเล็ก ไทยถูกลดอันดับโกง อวสานระบบสัมปทาน 3-6 พ.ค. พิธีบรมราชาภิเษก       เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2562 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงหมายกำหนดการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ว่าจะจัดขึ้นในเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2562 ดังนี้ คือ เดือนเมษายน 2562 วันเสาร์ที่ 6 เมษายน มีพิธีพลีกรรมตักน้ำทุกจังหวัด โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน วันจันทร์ที่ 8 – วันอังคารที่ 9 เมษายน พิธีเสกน้ำในทุกจังหวัดพร้อมกัน โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน วันพฤหัสบดีที่ 18 – วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พิธีปลุกเสกน้ำรวมที่วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน วันจันทร์ที่ 22 – วันอังคารที่ 23 เมษายน พิธีจารึกพระสุพรรณบัฏ เดือนพฤษภาคม 2562 วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จบวงสรวง วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พิธีเชิญพระสุพรรณบัฏเข้าวัง และประกาศการบรมราชาภิเษก วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม ช่วงเช้า พิธีบรมราชาภิเษก ช่วงบ่าย ถวายพระพร ช่วงเย็น พิธีประกาศพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภก และพิธีสักการะพระบรมอัฐิ เฉลิมพระแท่นบรรจถรณ์ วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม ช่วงเช้า พิธีเฉลิมพระปรมาภิไธย ช่วงเย็น เสด็จเลียบพระนคร วันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม ช่วงเย็น เสด็จออกให้ประชาชนเฝ้า และรับคณะทูต ทั้งนี้ ให้วันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคมให้เป็นวันหยุดราชการ 24 มี.ค วันเลือกตั้งทั่วไป       หลังจากที่มีประกาศพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2562 ในวันที่ 23 มกราคม คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต). ได้กำหนดให้วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม 2562 เป็นวันเลือกตั้ง และกำหนดรับสมัคร ส.ส. ระหว่างวันที่ 4-8 กุมภาพันธ์ 2562 ประกาศรายชื่อผู้สมัครที่มีคุณสมบัติ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ ลงคะแนนเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร วันที่ 4-16 มีนาคม และวันลงคะแนนนอกเขตเลือกตั้ง 17 มีนาคม       ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน รัฐบาลยังคงมีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินต่อไปได้ และไม่ใช่รัฐบาลรักษาการ.       ทันทีที่ พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. มีผลบังคับใช้ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็ออกคำสั่ง ที่ 22/ยกเลิกประกาศและคำสั่ง คสช. ยกเลิกการห้ามชุมนุมทางการเมืองและห้ามการทำกิจกรรมของพรรคการเมือง ป.ป.ช. มีมติให้ “ประวิตร” พ้นข้อกล่าวหา “นาฬิกาหรู”       เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2561 นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการและโฆษกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แถลงผลการประชุม กรณีการถือครองนาฬิกาหรู จำนวน 22 เรือน ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติด้วยคะแนนเสียง 5 ต่อ 3 ว่า กรณีดังกล่าวยังไม่มีมูลเพียงพอ       ระหว่างการสอบสวน พล.อ.ประวิตร ได้ไปชี้แจงต่อคณะกรรมการ 4 ครั้ง ว่านาฬิกา จำนวน 22 เรือน ได้ยืมจาก นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ หรือเสี่ยคราม เพื่อนสนิท และได้คืนไปหมดแล้ว และจากการสอบปากคำพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง และขอเอกสารหลักฐานจากผู้แทนจำหน่ายนาฬิกาในประเทศไทย รวมทั้งขอเอกสารและความร่วมมือจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมศุลกากร และกระทรวงการต่างประเทศ รวมทั้งผู้จำหน่ายนาฬิกาในต่างประเทศ ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายปัฐวาท เป็นนักธุรกิจที่มีฐานะทางการเงินและมีทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก และชอบสะสมนาฬิการาคาแพง ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ช.ได้ตรวจสอบพบว่ามีการเก็บรักษานาฬิการาคาแพงอยู่ในบ้านของนายปัฐวาท       สำหรับกรณีแหวนที่ปรากฏตามภาพข่าว ที่ พล.อ.ประวิตร สวมใส่จำนวน 12 วงนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาคำชี้แจงของ พล.อ.ประวิตร แล้วเห็นว่า พยานหลักฐานรับฟังได้ว่า แหวนจำนวน 3 วง เป็นทรัพย์มรดกของบิดาของ พล.อ.ประวิตร ที่ได้รับมาจากมารดา ในขณะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จึงไม่มีหน้าที่ต้องแสดงแหวนดังกล่าวในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน กรณีเข้ารับตำแหน่งดังกล่าว และแหวนที่เหลือเป็นแหวนที่เป็นสัญลักษณ์หน่วยทหาร หรือแหวนวัตถุมงคล ที่มีราคาไม่มาก นำมาใส่เพื่อเป็นสิริมงคล หรือใส่เพื่อแสดงสัญลักษณ์ของสังกัด จึงไม่ต้องแสดงในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.       อย่างไรก็ดี การพิจารณาวาระดังกล่าว พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. ขอถอนตัว ไม่เข้าร่วมพิจารณา โดยเสียงข้างมาก 5 ราย ได้แก่ นายปรีชา เลิศกมลมาศ นายณรงค์ รัฐอมฤต นายวิทยา อาคมพิทักษ์ นายสุรศักดิ์ คีรีวิเชียร และ พล.อ.บุณยวัจน์ เครือหงส์ สำหรับเสียงข้างน้อย 3 รายได้แก่ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ นางสุวณา สุวรรณจูฑะ และ พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง ที่มองว่าเมื่อพยานหลักฐานยังไม่ครบสมบูรณ์ ควรดำเนินตรวจสอบเพิ่มเติมต่อไป สนช. ตีตก 5 ว่าที่ กก.สิทธิฯ       เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2561 ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) วาระพิจารณารายงานการตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลที่ถูกเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่ง กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) จำนวน 7 คน ได้ลงมติเห็นชอบผู้ที่ได้รับเลือกเป็นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จากที่เสนอมาจำนวน 7 คน โดยที่ประชุมเกินครึ่งให้ความเห็นชอบเพียงสองคน คือ น.ส.ปิติกาญจน์ สิทธิเดช อดีต อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ได้คะแนนเห็นชอบ 146 เสียง ไม่เห็นชอบ 20 เสียง และงดออกเสียง 10 เสียง น.ส.พรประไพ กาญจนรินทร์ อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้คะแนนเห็นชอบ 152 เสียง ไม่เห็นชอบ 14 เสียง และงดออกเสียง 10 เสียง       ส่วนผู้ที่ถูกเสนอชื่ออีก 5 คน ที่ไม่ได้รับความเห็นชอบ ประกอบด้วย นางสมศรี หาญอนันทสุข กรรมการองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย (พีเน็ต) ได้คะแนนเห็นชอบ 14 เสียง ไม่เห็นชอบ 141 เสียง และงดออกเสียง 20 เสียง นายไพโรจน์ พลเพชร กรรมการนโยบายองค์กรกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ไทยพีบีเอส) ได้คะแนนเห็นชอบ 10 เสียง ไม่เห็นชอบ 145 เสียง และงดออกเสียง 21 เสียง นายจตุรงค์ บุณยรัตนสุนทร นักวิชาการด้านสังคมสงเคราะห์และสวัสดิการสังคม มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ได้คะแนนเห็นชอบ 13 เสียง ไม่เห็นชอบ 141 เสียง และงดออกเสียง 23 เสียง นายบุญแทน ตันสุเทพวีรวงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลสิทธิมนุษยชนและสันติธรรม ได้คะแนนเห็นชอบ 13 เสียง ไม่เห็นชอบ 139 เสียง และงดออกเสียง 24 เสียง และ นายสุรพงษ์ กองจันทึก กรรมการด้านนโยบายส่งเสริมประชาธิปไตยฯ ไทยพีบีเอส ได้คะแนนเห็นชอบ 15 เสียง ไม่เห็นชอบ 135 เสียง และงดออกเสียง 26 เสียง       จากผลการลงมติดังกล่าว ทำให้ต้องเข้าสู่กระบวนการสรรหากรรมการ กสม. ที่เหลืออีก 5 คนใหม่ ทั้งนี้ บุคคลที่ไม่ผ่านการเห็นชอบทั้งห้าไม่สามารถจะเข้าสู่การสมัครใหม่ได้ ซึ่งเป็นไปตามที่ พ.ร.ป.ว่าด้วย กสม. กำหนด ขึ้นบัญชีควบคุม "ยา-ค่าบริการ" แก้ปัญหา รพ. คิดราคาแพง       เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2562 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ให้ความเห็นชอบอนุมัติให้มีการปรับปรุงรายการสินค้าและบริการควบคุมประจำปี 2562 โดยเพิ่มรายการ “ยาและเวชภัณฑ์ และบริการทางการแพทย์” เป็นสินค้าและบริการควบคุมรายการใหม่ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยมีกำหนดให้ต้องพิจารณาปรับปรุงทุก 2 ปี โดยมีคณะอนุกรรมการที่ประกอบด้วยทุกภาคส่วนร่วมกำหนดมาตรการต่างๆ ด้วย โดยเป็นการดูแลทั้งผู้ให้และผู้รับบริการ       เหตุผลที่ต้องมีการเพิ่มบัญชีในครั้งนี้ก็เพื่อให้มีการกำหนดมาตรการที่เหมาะสม โดยเฉพาะการกำหนดราคาที่โปร่งใสตามพระราชบัญญัติ คือ ทุกสถานพยาบาลต้องมีการติดป้ายประกาศค่ารักษาพยาบาลที่ชัดเจน ที่ทำให้ผู้ป่วยสามารถตรวจสอบราคาค่าบริการทุกอย่าง รวมถึงสิทธิต่างๆ ที่ควรได้รับอย่างชัดเจน ก่อนเข้ารับบริการ       ทั้งนี้ หากพบว่าสถานพยาบาลใดไม่ปฏิบัติตาม หรือประชาชนรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการใช้บริการ ก็สามารถร้องเรียนมาตามช่องทางได้ และจะมีมาตรการดูแลโดยมีคณะอนุกรรมการ ซึ่งมีตัวแทนจากหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เป็นผู้กำหนดมาตรการในการกำกับดูแลให้เกิดความเหมาะสม เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการ       สำหรับการเสนอบัญชีสินค้าและบริการควบคุมของปี 2562 ได้ถอดสินค้าควบคุมออก 4 รายการ คือ น้ำตาลทราย เยื่อกระดาษ เม็ดพลาสติก และแบตเตอรี่รถยนต์ ทำให้สินค้าและบริการควบคุมในปี 2562 จะมีทั้งสิ้น 52 รายการ แยกเป็นสินค้าควบคุม 46 รายการ และบริการควบคุม 6 รายการ       ที่ประชุมยังได้ข้อสรุปที่จะเข้าไปดูแลค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน ที่ปัจจุบันแม้ผู้ป่วยจะได้รับสิทธิพิเศษภายใน 72 ชั่วโมง ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่หลังจากผ่าน 72 ชั่วโมง หรือหลังจาก 3 วันไปแล้ว โรงพยาบาลจะมีการคิดค่าบริการ จึงต้องมีการกำหนดอัตราการคิดค่ารักษาพยาบาลที่เหมาะสมว่าจะดูแลอย่างไรไม่ให้เป็นภาระกับประชาชนเพิ่มขึ้น เปิด ‘10 ผลงานรัฐบาล’ โดนใจ ปชช.       เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2561 นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) นำเสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง “เกาะติดเสียงประชาชนที่สุดแห่งปี” จำนวนทั้งสิ้น 2,437 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่าง วันที่ 10-29 ธันวาคม 2561 ที่ผ่านมา พบว่า       ผลงานของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ประชาชนพอใจแห่งปี พ.ศ. 2561 มากที่สุด ได้แก่ การทำบ้านเมืองสงบสุข แก้ปัญหาผู้มีอิทธิพล ได้ร้อยละ 39.0 รองลงมา คือ แก้ปัญหาค้ามนุษย์ ได้ร้อยละ 31.9 อันดับสาม คือ จัดระเบียบสังคม ได้ร้อยละ 31.8 อันดับสี่ คือ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ได้ร้อยละ 30.9 อันดับห้า คือ แก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น ได้ร้อยละ 30.5       อันดับหก คือ รักษาป่า อนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แก้ปัญหาเงินอุทยานรั่วไหล ได้ร้อยละ 25.3 อันดับเจ็ด คือ โครงการประชารัฐ ได้ร้อยละ 24.0 อันดับแปด คือ แก้ปัญหาทำประมงผิดกฎหมาย ได้ร้อยละ 20.9 อันดับเก้า คือ แก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตร ได้ร้อยละ 18.3 อันดับสิบ คือ แก้ปัญหาความไม่สงบภาคใต้ ได้ร้อยละ 11.1 ตามลำดับ       ที่น่าพิจารณา คือ เมื่อถามถึงบุคคลที่เหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ล่าสุด พบว่า อันดับแรก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ร้อยละ 23.7 อันดับสอง คุณหญิง สุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ได้ร้อยละ 16.6 อันดับสาม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ร้อยละ 11.5 อันดับสี่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้ร้อยละ 11.0 ที่เหลือร้อยละ 37.2 ระบุคนอื่นๆ และยังไม่รู้ใครเหมาะสม       ผลสำรวจครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า รัฐบาล และ คสช. ยังมีผลงานที่ทำให้ประชาชนให้การสนับสนุนมากที่สุดคือ การทำบ้านเมืองสงบสุข แก้ปัญหาผู้มีอิทธิพล แก้ปัญหาค้ามนุษย์ ได้ดี แต่ผลสำรวจครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึง “ความย้อนแย้งทางการเมือง” หรือ Political Paradox ในอารมณ์ของสังคมผู้คนตอนนี้ที่นิยมพรรคเพื่อไทยมากที่สุด แต่เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยมากที่สุด ดังนั้นหาก รัฐบาลและ คสช. แก้ปมค้างคาในใจของประชาชนได้ตรงจุด ผลที่ตามมาคือ บ้านเมืองจะสงบสุขต่อเนื่อง เพราะประชาชนเริ่มมองไปข้างหน้าแล้วว่า ปีใหม่นี้ หรือปีที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไป ฐานะทางการเงินของพวกเขาน่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมานี้ แก้ปัญหาประมงสำเร็จ – อียู ปลดล็อคใบเหลือง       เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2562 คณะกรรมาธิการยุโรปออกแถลงการณ์การปลดใบเหลืองด้านการประมงของไทย และถอนรายชื่อไทยออกจากกลุ่มประเทศที่ถูกเตือนเรื่องความบกพร่องในการต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมายฯ ส่วนการดำเนินการระยะต่อไป ทั้งสหภาพยุโรปและไทยเห็นชอบร่วมกันในแผนงานความร่วมมือเพื่อให้ไทยบรรลุการเป็นประเทศปลอดประมงผิดกฎหมายฯ หรือ IUU-free ได้โดยสมบูรณ์ พร้อมส่งเสริมความร่วมมือในระดับอาเซียนเพื่อแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายฯ ร่วมกัน       ปัญหาการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ทำให้อียูได้เตือนว่าไทยทำประมงแบบขาดการรายงานและไร้การควบคุมหรือ IUU (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing) โดยเตือนด้วยใบเหลืองมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2558 พร้อมขู่จะยกเลิกการนำเข้าสินค้าประมงของไทย การปลดธงเหลืองจึงมีผลต่อการนำเข้าผลิตภัณฑ์ด้านประมงไทย และที่สำคัญเป็นเพียงประเทศเดียวที่ได้รับพิจารณาปลดใบเหลืองในครั้งนี้       การแก้ไขปัญหาประมงให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลครั้งนี้ ไทยได้ปรับปรุงการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติในภาคประมง เน้นบังคับใช้กฎหมาย ดำเนินการกับผู้กระทำผิด ซึ่งจนถึงปัจจุบันได้ดำเนินคดีไปแล้วทั้งหมด 4,427 คดี มีคำตัดสินไปแล้ว 3,883 คดี หรือคิดเป็นร้อยละ 88 ในฐานความผิดต่างๆ เช่น ไม่ติดตั้งระบบ VMS, ไม่แจ้งจุดจอดเรือ รวมถึงความผิดเกี่ยวกับการทำประมง เช่น เรือนอกน่านน้ำ ซึ่งในคดีทั้งหมดมีความผิดด้านค้ามนุษย์ภาคประมง 88 คดี       ได้ออกคำสั่งให้เจ้าของเรือปฏิบัติในเรื่องการดูแลลูกจ้างอย่างถูกต้อง เช่น กรณีสัญญาจ้างที่ไม่สมบูรณ์ การค้างค่าจ้าง และดำเนินการลงโทษปรับกับเรือที่ทำผิดกฎหมาย ซึ่งมีคดีที่ศาลลงโทษปรับสูงสุดถึง 223 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงการปรับปรุงกระบวนการดำเนินคดีกับผู้ที่ทำผิดให้เกิดความรวดเร็ว ถือเป็นมิติใหม่ รวมถึงมีมาตรการทางการปกครองลงโทษเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดภายใน 24 วัน ปรับเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรประกันสังคม เป็น 600 บาท       เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2561 สำนักงานประกันสังคมได้ประกาศกฎกระทรวง เรื่อง การจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร พ.ศ. 2561 โดยมีสาระสำคัญในการปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีสงเคราะห์บุตรให้กับผู้ประกันตนที่มีบุตรตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 ปี ให้ได้รับสิทธิประโยชน์จากเดิม 400 บาท เป็น 600 บาท โดย สำนักงานประกันสังคมจะจ่ายเงินในส่วนที่ปรับเพิ่มขึ้นย้อนหลังจำนวน 200 บาท ตั้งแต่ 1 มกราคม 2561 ให้กับผู้ประกันตน โดยจะเริ่มจ่ายในวันที่ 31 มกราคม 2562 นี้เป็นต้นไป แก้กฎหมายสิทธิบัตร       เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2561 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบหลักการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สิทธิบัตร (ฉบับที่..) พ.ศ. .... ที่มีหลักการสำคัญ 3 ประการ คือ       1. การปรับปรุงขั้นตอนการตรวจสอบคำขอรับสิทธิบัตรการประดิษฐ์และอนุสิทธิบัตรให้มีประสิทธิภาพ ลดขั้นตอนและระยะเวลาเพื่อให้สอดคล้องกับหลักสากล เช่น จะมีการลดระยะเวลาแยกคำขอรับสิทธิบัตรที่มีการประดิษฐ์หลายอย่าง จากเดิม 120 วัน ให้เหลือ 90 วัน และตรวจสอบสิ่งประดิษฐ์จาก 5 ปีเหลือ 3 ปี       2. การแก้ไขปรับปรุงในส่วนการบังคับใช้สิทธิตามสิทธิบัตรในส่วนของลายเส้น เพื่อเปิดให้ไทยสามารถบังคับใช้สิทธิตามสิทธิบัตรเพื่อส่งออกตามเภสัชพันธุ์ไปยังประเทศที่ขาดแคลนและไม่มีศักยภาพผลิตเอง และกำหนดให้ไม่ต้องมีการจ่ายค่าตอบแทนซ้ำซ้อนในประเทศอีก หากจ่ายไปแล้วในประเทศผู้ส่งออก และ       3. การกำหนดให้ผู้ขอรับสิทธิบัตรที่มีการใช้ทรัพยากรพันธุกรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นในการประดิษฐ์ ระบุแหล่งที่มาด้วย พร้อมทั้งยื่นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการขออนุญาตก่อนการเข้าถึงและข้อตกลงแบ่งปันผลประโยชน์สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคี เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม       จุดประสงค์การปรับปรุง พ.ร.บ.สิทธิบัตรในครั้งนี้ เนื่องจากกฎหมายฉบับปัจจุบันประกาศใช้มาตั้งแต่ปี 2522 เป็นเวลา 39 ปีแล้ว แม้ว่าจะมีการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมมาแล้วสองรอบ แต่ไม่ได้แก้ไขในสาระสำคัญของกระบวนการจดทะเบียน ทำให้ขั้นตอนการตรวจสอบคำขอไม่สอดคล้องกับหลักสากลและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ล่าช้า ซ้ำซ้อนต่อการนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ นอกจากนั้นยังไม่มีบทบัญญัติให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาเป็นจุดตรวจสอบ เพื่อป้องกันปัญหาที่เรียกว่าโจรสลัดชีวภาพ คือ การนำทรัพยากรพันธุกรรมของประเทศ หรือการนำองค์ความรู้ชุมชนท้องถิ่นไปแสวงหาในเชิงพาณิชย์โดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย ม.44 ปลดล็อคจดสิทธิบัตรกัญชา       ในวันที่ 28 มกราคม 2562 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 1/2562 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยสิทธิบัตรและมาตรการด้านสิทธิบัตรเป็นกรณีพิเศษ ให้อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาสั่งยกคำขอรับสิทธิบัตร หรือสั่งให้ผู้ขอรับสิทธิบัตรตัดข้อถือสิทธิที่เป็นการประดิษฐ์ดังกล่าวภายใน 90 วัน และคำสั่งยกคำขอรับสิทธิบัตรของอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ทั้งนี้ ผู้ขอรับสิทธิบัตรอาจอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการสิทธิบัตรได้       อย่างไรก็ตาม สิทธิของผู้ทรงสิทธิบัตร ยังคงอยู่ภายใต้บังคับกฎหมายอื่นใดที่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับการควบคุม ผลิต ใช้ จำหน่าย นำเข้า ส่งออก หรือครอบครองซึ่งผลิตภัณฑ์หรือกรรมวิธีใดไว้เป็นการเฉพาะ และในกรณีที่กฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษมีการแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้มีการนำกัญชาไปทำการศึกษาวิจัยเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ได้ นับแต่วันที่กฎหมายดังกล่าวมีผลใช้บังคับ ทั้งนี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบคำขอรับสิทธิบัตรที่ได้ยื่นไว้แล้วต่อไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และขั้นตอนจนกว่าจะแล้วเสร็จ ปิด ร.ร. ใน กทม. แก้ปัญหาภัยฝุ่นละอองขนาดเล็ก       เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2562 รัฐบาลได้สั่งการให้กระทรวงศึกษาธิการและกรุงเทพมหานคร ประสานงานกับโรงเรียนในสังกัด ประมาณ 450 แห่ง ปิดการเรียนสองวัน ในวันที่ 31 มกราคม และ 1 กุมภาพันธ์ 2562 เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อสุขภาพนักเรียนจากปัญหาฝุ่นละออง PM.2.5 ที่มีปริมาณเกินค่ามาตรฐานปกคลุมกรุงเทพมหานคร และ 3 จังหวัดปริมณฑล       ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมเป็นต้นมา ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM. 2.5 ในอากาศได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนอยู่ในระดับที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเฉพาะต่อเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ แม้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จะประสานให้จังหวัดแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศอย่างต่อเนื่อง พร้อมจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังสถานการณ์ ติดตามข้อมูลคุณภาพอากาศและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ตลอดจนขอความร่วมมือประชาชนใช้รถโดยสารสาธารณะ งดเว้นการเผาขยะและเศษวัสดุทางการเกษตร เพื่อป้องกันสถานการณ์มิให้รุนแรงมากขึ้นก็ตาม ไทยถูกลดอันดับโกง       เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2562 เว็บไซต์บีบีซีไทยได้รายงานผลการจัดทำดัชนีภาพลักษณ์การคอร์รัปชั่นในภาครัฐทั่วโลก (Corruption Perception Index - CPI) ประจำปี 2018/2561 ขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International -- TI) ผลปรากฏว่า ประเทศไทยได้ 36 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน ถูกลดอันดับลงจากอันดับที่ 96 เมื่อปี 2560 ซึ่งได้คะแนน 37 คะแนน เป็นอันดับที่ 99 ขณะที่ในปี 2559 ได้คะแนน 35 คะแนน อยู่ในอันดับที่ 101       ประเทศที่อยู่ในอันดับต้นๆ ของ CPI ได้แก่ เดนมาร์ก และนิวซีแลนด์ โดยทำคะแนนได้ 88 และ 87 ตามลำดับ ประเทศรั้งท้าย ได้แก่ โซมาเลีย เซาท์ซูดาน และซีเรีย ทำคะแนนได้ 10,13 และ 13 ตามลำดับ อวสานระบบสัมปทาน       ในวันที่ 29 มกราคม 2562 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้รับทราบมติของคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ กรณีแนวทางการบริหารจัดการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ โดยมีมติเห็นควรในการคัดเลือกผู้ประกอบการมาบริหารจัดการดาวเทียมภายใต้สัญญาดำเนินการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศทุกดวงที่มีอายุทางวิศวกรรมของดาวเทียมเหลืออยู่หลังสิ้นสุดสัญญา รวมทั้งทรัพย์สินต่างๆ ตามแนวทางของพระราชบัญญัติร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (PPP) หมายความว่า ดาวเทียมทุกดวงในประเทศไทยในอนาคตเมื่อหมดสัญญาจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดพิจารณาคัดเลือกผู้ประกอบการตามแนวทางของ พ.ร.บ.ร่วมทุน โดยไม่มีระบบให้สัมปทานเหมือนในอดีตที่ผ่านมา       นอกจากนี้ ครม. ได้เห็นชอบในหลักการให้บริษัท ไทยคม เชื่อมต่อระบบขับเคลื่อนเพื่อต่ออายุดาวเทียมไทยคม 5 เนื่องจากดาวเทียมไทยคม 5 จะหมดอายุการใช้งานในช่วงครึ่งปีแรกของ พ.ศ. 2563 แต่สัญญาจะสิ้นสุดในปี 2564 โดยระหว่างช่วงรอยต่อของปี 2563 ถึง 2564 อนุญาตให้บริษัท ไทยคม ดำเนินการปรับปรุงดาวเทียมไทยคม 5 ให้ใช้งานต่อไปได้โดยไม่กระทบต่อผู้ประกอบการที่เช่าสัญญาณของดาวเทียมไทยคม 5 อยู่