กันยายน 2561 : กกต.มั่นใจ จัดเลือกตั้งได้ใน 150 วัน กกต. มั่นใจ จัดเลือกตั้งได้ภายใน 150 วัน ครม. เห็นชอบร่าง กม.เลือกตั้งท้องถิ่น 6 ฉบับ สนช."แถลงผลงาน 4 ปี ออก 315 ฉบับ-แก้ไขปัญหา ปชช. กว่า 800 เรื่อง สนช. เห็นชอบ กม.ขึ้นเงินเดือนองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนา วางแผนนโยบายอนาคต อนุมัติงบ 1,293 ล้านบาท ตั้งนิคมอุตสาหกรรมในเขตเศรษฐกิจพิเศษสงขลา ความสำเร็จโครงการประชารัฐ สร้างรายได้ 3.6 พันชุมชน กว่า 2.8 พันล้าน คืนแวตให้ผู้มีรายได้น้อย จากการซื้อสินค้าผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ครม. ผ่านร่าง พ.ร.บ.เกษตรกรรมยั่งยืน สนช. รับหลักการร่าง กม.ประชารัฐ เทงบ 1,222 ล้านบาท อุดหนุนการศึกษา เพื่อความเสมอภาค สนช.ผ่านกฎหมายเอกสิทธิ์และคุ้มกันองค์การระหว่างประเทศ "สนช." ผ่านร่าง พ.ร.บ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ยกเลิกใช้ “สำเนาบัตร ปชช.-ทะเบียนบ้าน” ติดต่อราชการ กกต. มั่นใจ จัดเลือกตั้งภายใน 150 วัน       เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2561 พ.ต.อ. จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยว่า ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่าด้วยการแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 ได้ประกาศทางราชกิจจานุเบกษาแล้ว หลังจากนี้ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดจะต้องประกาศรูปแบบการเลือกตั้ง 3 รูปแบบ ภายใน 14 วัน จากนั้นจะปิดประกาศพร้อมรับฟังความคิดเห็นประชาชนและพรรคการเมืองในจังหวัดเป็นเวลา 10 วัน หลังจากนั้นผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด จะรวบรวมความคิดเห็นทั้งหมดส่งต่อไปยัง กกต. ให้พิจารณาภายใน 20 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับรูปแบบการแบ่งเขตเลือกตั้ง เพื่อประกาศการแบ่งเขตในราชกิจจานุเบกษาต่อไป       ทั้งนี้คาดว่าจะใช้เวลาในการแบ่งเขตและกำหนดจำนวน ส.ส. ภายใน 60 วัน เพื่อให้พรรคการเมืองดำเนินการจัดหาผู้สมัครลงเลือกตั้งต่อไป ส่วนวันเลือกตั้ง กกต. จะเป็นผู้ประกาศภายหลังจากมีพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้ง แต่ยืนยันว่า กกต. มีความพร้อมในการจัดการเลือกตั้งได้ทันภายในวันที่ 24 เดือนกุมภาพันธ์ 2562       อย่างไรก็ตาม จากการแบ่งเขตการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งจำนวนประชากรที่ใช้แบ่งเขตเป็น 189,110 คนต่อ 1 เขตเลือกตั้ง จะมี 21 จังหวัด ที่ได้รับผลกระทบเนื่องจากมีจำนวน ส.ส. ลดลง เช่น กรุงเทพฯ ที่จะลดลง 3 เขต ครม. เห็นชอบร่าง กม.เลือกตั้งท้องถิ่น 6 ฉบับ       เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2561 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ความเห็นชอบกับ ร่าง พ.ร.บ. การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น และร่างกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) รวมทั้งสิ้น 6 ฉบับ ตามที่คณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ โดยเป็นกฎหมายกลาง เรื่องการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น และผู้บริหารท้องถิ่น 1 ฉบับ ส่วนอีก 5 ฉบับ เป็น พ.ร.บ.ที่ลงรายละเอียดการเลือกตั้งในแต่ละระดับ เช่น สภาตำบล องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) 1 ฉบับ, เทศบาล 1 ฉบับ องค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 ฉบับ, กรุงเทพมหานคร 1 ฉบับ, และเมืองพัทยา 1 ฉบับ       คณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจสอบกฎหมายทั้ง 6 ฉบับแล้ว กกต. ทั้งชุดเก่าและชุดใหม่ให้ความเห็นชอบ เช่นเดียวกับกระทรวงมหาดไทย ลำดับต่อไปคือการส่งไปให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาภายในเดือนกันยายนนี้ ใช้เวลาพิจารณา 2-3 เดือน คาดว่าภายในเดือนพฤศจิกายนจะแล้วเสร็จ พร้อมนำขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไป       ทั้งนี้ คาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะแล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งจะพอดีกับโรดแมพที่ระบุวันเลือกตั้งวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 ผลงาน สนช. 4 ปี ออก กม. 315 ฉบับ-แก้ปัญหา ปชช. กว่า 800 เรื่อง       เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2561 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นำโดย นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช., นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช. คนที่ 1 และ สมาชิก สนช. ได้ร่วมกันแถลงผลงาน 4 ปี ของ สนช. แบ่งเป็น 4 ด้าน ได้แก่ ด้านนิติบัญญัติ การดูแลประชาชน การต่างประเทศ และการส่งเสริมและเผยแพร่ระบอบประชาธิปไตย ซึ่งทั้งหมดได้จัดนิทรรศการแสดงผลงาน ไว้ที่บริเวณห้องโถงอาคารรัฐสภา 1       ด้านนิติบัญญัติ สนช. มีกฎหมายเข้าสู่การพิจารณา 347 ฉบับ มีร่างกฎหมายที่เห็นชอบประกาศใช้เป็นกฎหมาย 315 ฉบับ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว 306 ฉบับ อยู่ระหว่างรออีก 9 ฉบับ นอกนั้นอยู่ระหว่างบรรจุระเบียบวาระ 6 ฉบับ ซึ่งได้มีการดำเนินการตามมาตรา 77 รับฟังความเห็นจากประชาชนตามรัฐธรรมนูญทุกประการ       ด้านการต่างประเทศ มีเป้าหมายในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สร้างความเข้าใจอันดีถึงสถานการณ์ระหว่างประเทศ สร้างความเข้าใจสถานการณ์การเมืองในประเทศ       โครงการ สนช. พบประชาชน รับเรื่องร้องเรียน 10,523 เรื่อง ได้ประสานแก้ปัญหาจนเป็นที่น่าพอใจ ส่วนเรื่องร้องเรียนผ่านกรรมาธิการ สนช. 948 เรื่อง พิจารณาแล้วเสร็จ 832 โดยส่งผ่านหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ปัญหา สนช. เห็นชอบ กม.ขึ้นเงินเดือนองค์กรอิสระ       เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2561 ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. เป็นประธานการประชุมมีมติเอกฉันท์เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานกรรมการและกรรมการในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญด้วยคะแนน 171 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง มีมติเอกฉันท์เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญด้วยคะแนน 172 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง และมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการด้วยคะแนน 166 ต่อ 1 งดออกเสียง 5 เสียง เพื่อประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป ครม. ไฟเขียวตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนา วางแผนนโยบายอนาคต       เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2561 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบโครงการเสริมสร้างศักยภาพ ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และเห็นชอบให้มีการตั้งสถาบันพัฒนานโยบายสาธารณะขึ้นภายใต้มูลนิธิสุริยานุวัตร โดยจะเป็นหน่วยงานลูกของ สศช.แต่ไม่มีฐานะเป็นส่วนราชการ โดยใช้งบประมาณในการดำเนินงานระหว่างปีงบประมาณในช่วง 4 ปีแรกระหว่างปี 2562 – 2565 ประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยสถาบันที่ตั้งขึ้นใหม่นี้จะทำหน้าที่เป็นคลังสมองในการทำนโยบายให้กับประเทศ รวมทั้งทำหน้าที่ในการเจาะลึกทางนโยบาย จัดทำฐานข้อมูลขนาดใหญ่หรือบิ๊กดาต้าของนโยบาย ทั้งนี้ เพื่อหาวิธีกำหนดนโยบายสาธารณะใหม่ๆ ที่เหมาะสมต่อไป ทุ่ม 1.29 พันล้าน ตั้งนิคมอุตฯ ในเขต ศก.พิเศษสงขลา       เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2561 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการลงทุนจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลา พร้อมอนุมัติวงเงินงบประมาณจำนวน 1,293.92 ล้านบาท สำหรับการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรม โดยที่ตั้งโครงการจะอยู่ที่ ต.สำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา ห่างจากด่านสะเดาเป็นระยะทาง 1.5 กิโลเมตร มีอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ อุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมเบา อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานพาหนะหรือเครื่องจักร อุตสาหกรรมผลิตเครื่องไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมบริการ       สำหรับผลที่จะเกิดขึ้นจากโครงการประกอบด้วย ในด้านเศรษฐกิจจะก่อให้เกิดการลงทุนใหม่ในพื้นที่ เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น สร้างความต้องการใช้วัตถุดิบในพื้นที่เพิ่มขึ้น และก่อให้เกิดกิจกรรมที่ต่อเนื่องจากการลงทุน เช่น ธุรกิจก่อสร้าง ร้านค้า ศูนย์การค้า หอพักและบ้านเช่าเป็นต้น 3 ปี 'ประชารัฐ E3' สร้างเม็ดเงินชุมชน 2.8 พันล้าน        เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2561 พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าทีมภาครัฐคณะทำงานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ (E3) และนายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ในฐานะหัวหน้าทีมภาคเอกชน ได้ร่วมกันแถลงความคืบหน้าการทำงานในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากพบว่ามีกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับการพัฒนาแล้วกว่า 3,668 กลุ่ม จากกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศที่คัดเลือก 4,101 กลุ่ม มีประชาชนที่ได้รับประโยชน์กว่า 611,548 คน มีรายได้สะสมกว่า 2,871 ล้านบาท ครม.ไฟเขียวคืนแวตให้ผู้มีรายได้น้อย เริ่ม 1 พ.ย.นี้       เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2561 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) มีมติอนุมัติมาตรการชดเชยเงินให้แก่ผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรคนจน) โดยใช้ข้อมูลจากจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ที่ผู้มีรายได้น้อยได้ชำระ ระยะเวลา 6 เดือนตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2561-30 เมษายน 2562 เพื่อเป็นการนำร่อง       โดยมาตรการชดเชยรายได้กับผู้ถือบัตรคนจน มีการแบ่งภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ปกติรัฐบาลเก็บในอัตรา 7% ออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้คือ       ส่วนที่ 1 จำนวน 1% ผู้ถือบัตรคนจนต้องจ่ายภาษี       ส่วนที่ 2 จำนวน 5% จะคืนให้กับผู้ถือบัตรคนจนเพื่อการใช้จ่าย จะโอนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (อี-มันนี่) ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีรายได้น้อยหรือผู้ถือบัตรคนจน ในทุก ๆ วันที่ 15 ของเดือน ผู้ถือบัตรสามารถกดออกมาใช้เป็นเงินสดได้       ส่วนที่ 3 จำนวน 1% จะเก็บไว้เพื่อการออมของผู้ถือบัตรคนจน หรือหากไม่มีบัญชีการออมอาจจะเปิดบัญชีเพื่อสะสมไว้ โดยให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า       สำหรับเงินชดเชยที่ผู้มีรายได้น้อยจะได้รับทั้ง 2 ส่วน คือส่วน 5% เพื่อการใช้จ่าย และ 1% เพื่อการออมต้องไม่เกินจำนวน 500 บาทต่อคนต่อเดือน ครม. ผ่านร่าง พ.ร.บ.เกษตรกรรมยั่งยืน       เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2561 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) มีมติอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน พ.ศ. . ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ สำหรับสาระสำคัญของกฎหมายดังกล่าว ได้นิยามคำว่า “ระบบเกษตรกรรมยั่งยืน” ที่เป็นระบบการผลิตทางการเกษตร ที่คำนึงและรักษาไว้ซึ่งระบบนิเวศ สภาพแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพ สร้างความสมดุล เป็นธรรมทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศ ให้ครอบคลุมถึงรูปแบบ บุคคลและองค์กร ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานที่กำหนดไว้ในร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ สนช. รับหลักการ ร่าง กม.ประชารัฐ เร่งรัดทำงานให้เสร็จ 30 วัน       เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2561 ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติรับหลักการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การจัดประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม พ.ศ. . ไว้พิจารณา ด้วยคะแนนเห็นด้วย 187 เสียง ไม่เห็นด้วยไม่มี งดออกเสียง 4 เสียง พร้อมกำหนดระยะเวลาแปรญัตติ 7 วัน ระยะเวลาการดำเนินงาน 30 วัน       พ.ร.บ.ฉบับนี้ มีหลักการที่จะจัดประชารัฐสวัสดิการเป็นรูปแบบการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยให้เข้าถึงปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ และการสนับสนุนผ่านหน่วยงานอื่นทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนที่มีภารกิจเกี่ยวข้องกับการให้บริการทางสังคม อันจะเป็นการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและกระจายรายได้ รวมทั้งการยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตแก่ประชาชนให้เป็นไปอย่างยั่งยืน เทงบ 1,222.2 ล้านบาทเพื่ออุดหนุนการศึกษา       เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2561 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการขอรับเงินจัดสรรทุนประเดิมและเงินอุดหนุนให้กับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ปีงบประมาณ 2561 จำนวน 1,222.2 ล้านบาท โดยกองทุนดังกล่าวใช้ช่วยเหลือผู้ขาดแคลนผู้ขาดทุนทรัพย์ และเป็นการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา รวมถึงพัฒนาคุณภาพ ประสิทธิภาพของอาจารย์ สนช. ผ่าน กม.เอกสิทธิ์คุ้มกันองค์การระหว่างประเทศ       เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2561 ที่ประชุมสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้มีมติเอกฉันท์ 180 ต่อ 0 งดออกเสียง 3 ผ่าน พ.ร.บ.เอกสิทธิ์และความคุ้มกันสำหรับองค์การระหว่างประเทศ และการประชุมระหว่างประเทศในประเทศไทย พ.ศ. . โดยกฎหมายฉบับดังกล่าวออกมาเป็นกฎหมายกลางในการอำนวยความสะดวก เพื่อจัดตั้งสำนักงานขององค์การระหว่างประเทศ และการให้มีการประชุมระหว่างในประเทศไทย ทั้งประชุมภาครัฐและเอกชน เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นนครเจนีวาแห่งที่ 2 หรือนครเจนีวาแห่งเอเชีย ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งทางตรงและอ้อมแก่ประเทศในหลายด้าน โดยเฉพาะบทบาทและผลประโยชน์ในเวทีระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตามกฎหมายฉบับนี้ ยังออกมารองรับก่อนที่รัฐบาลไทยจะถึงวงรอบเป็นประธานอาเซียน รวมไปถึงรัฐสภาไทย โดยประธาน สนช. ที่จะดำรงตำแหน่งเป็นประธานสมัชชารัฐสภาอาเซียน (AIPA) ในปี 2562 พร้อมกันด้วย สนช. ผ่านร่าง พ.ร.บ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม        เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2561 ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ในวาระที่สาม และมีมติเอกฉันท์ด้วยคะแนน 164 ให้ประกาศใช้เป็นกฎหมาย       เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2561 คณะรัฐมนตรีได้เสนอร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่...) พ.ศ. .... เข้าสู่ สนช. มีหลักการในการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 กำหนดให้สามารถนำหลักประกันการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างหรือวัสดุอื่นใดตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมบางประเภท มาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ       ในการพิจารณา คณะกรรมาธิการวิสามัญได้ตัดเนื้อหาในมาตรา 4 และ มาตรา 8 ออกไป โดยมาตรา 4 เป็นบทบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนผู้รับสัมปทานหรือสัญญาในการสำรวจขุดเจาะปิโตรเลียม ต้องวางเงินเป็นหลักประกันในการรื้อถอนแท่นที่หมดสภาพการใช้งานแล้วหลังหมดอายุสัมปทานหรือสัญญาการสำรวจผลิตปิโตรเลียม ส่วนมาตรา 8 เป็นเนื้อหาที่ว่าด้วยการให้เอกชนต้องวางเงินหลักประกันเรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้ที่ประชุม สนช. ได้มีการซักถามกันอย่างมากด้วยเกรงว่าอาจเกิดปัญหาจากการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม เพราะอาจทำให้รัฐเสียประโยชน์       พล.ร.อ.ชัยวัฒน์ เอี่ยมสมุทร สมาชิก สนช. และประธานคณะกรรมการวิสามัญ กล่าวว่าคณะกรรมาธิการได้พิจารณาในรายละเอียด มีเหตุผลที่ต้องตัดมาตรา 4 ออกไปด้วยเหตุผล 3 ประการ โดยข้อเท็จจริงผลประกอบการสัมปทานของธุรกิจปิโตรเลียมในช่วงปลายสัมปทาน มักจะประสบกับผลขาดทุนเพราะผลผลิตน้อย หากเกิดผลขาดทุนก็จำเป็นต้องเอาผลของการขาดทุนมาหักออกจากหลักประกันที่จะนำมาเป็นรายได้ก่อน ดังนั้น แทนที่รัฐจะได้รับภาษีเต็มจำนวนหรือมากกว่ามูลค่าหลักประกันที่นำมาวางไว้ รัฐก็จะไม่ได้รับภาษีส่วนนี้คืนเลย นอกจากนี้ การขอคืนหลักประกันและนำมาเป็นรายได้ ยังจะเป้นภาระค่าใช้จ่ายทางภาษีของบริษัท ซึ่งการที่บริษัทประกอบกิจการในช่วงปลายสัมปทาน เมื่อประสบผลขาดทุนและยังต้องมีภาระทางภาษีอีก ก็จะไม่เป็นการสร้างแรงจูงใจให้บริษัททำผลกำไร ดังนั้น คณะกรรมาธิการฯ ส่วนใหญ่จึงเห็นว่ารัฐมีโอกาสเสียรายได้จากภาษีเงินได้ค่อนข้างสูง โอกาสที่จะได้ภาษีมีน้อยมาก โดยข้อเท็จจริงแล้วค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนแท่นผลิตและอุปกรณ์ต่างๆ เป็นค่าใช้จ่ายที่บริษัทหรือผู้รับสัมปทานสามารถนำมาหักและนำมาคิดเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้อยู่แล้ว ดังนั้น หากมีกรณีที่ต้องจ่ายภาษีในส่วนของหลักประกันเพิ่มขึ้นอีก เท่ากับว่ารัฐต้องสูญเสียรายได้ในส่วนนี้เป็นต่อที่สอง ซึ่งรัฐเกือบจะเป็นผู้ดำเนินการรื้อถอนแต่เพียงผู้เดียว การนำหลักประกันมาเป็นค่าใช้จ่ายในทางภาษีนั้นไม่เคยมีการดำเนินการมาก่อนในประเทศไทย ถ้าตราเป็นกฎหมายออกไปจะเป็นตัวอย่างให้ธุรกิจสัมปทานประเภทอื่นๆ นำมาเป็นแบบอย่างและจะเป็นปัญหาทางภาษีหรือรายได้ของรัฐต่อไปในอนาคต       ก่อนที่จะมาถึงจุดนี้คณะกรรมาธิการได้พยายามทางออกอื่นๆ เช่น การแก้ไขให้เก็บภาษีเต็มจำนวนโดยไม่นำเรื่องผลกำไรขาดทุนมาเกี่ยวข้อง แต่ได้รับคำชี้แจงจากกระทรวงการคลังว่าจะเป็นปัญหาในการเก็บภาษีในอนาคต       พระราชบัญญัติปิโตรเลียมและภาษีเงินได้ปิโตรเลียมประกาศใช้ตั้งแต่ปี 2514 และมีการแก้ไขปรับปรุงมาเรื่อย ๆ จนถึงฉบับที่ 7 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายน 2560 ที่มีหลักการในการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 เพื่อเพิ่มระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิตเป็นอีกระบบในการแสวงหาประโยชน์ในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม นอกเหนือจากระบบการให้สัมปทาน และกำหนดอัตราและหลักเกณฑ์ในการคำนวณภาษีเงินได้ปิโตรเลียมให้สอดคล้องกับลักษณะการดำเนินการของระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต ยกเลิกใช้ 'สำเนาบัตร ปชช.-ทะเบียนบ้าน' ติดต่อราชการ       เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2561 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศกรมสรรพากร เรื่อง ยกเลิกการใช้สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้าน ทั้งนี้ ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูป เพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ดังกล่าว อันเป็นการอำนวยความสะดวกรวดเร็ว และลดภาระของประชาชนในกรณีที่ต้องใช้เอกสารสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้าน