กรกฎาคม 2561 : สนช. โหวตเลือก กกต. ชุดใหม่ สนช. โหวตเลือก กกต. ชุดใหม่ สนช. เห็นชอบ พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่าย วงเงิน 1.2 หมื่นล้าน ไปเป็นงบกลาง ครม. เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์-แม่บทจัดการแร่ 20 ปี รับฟังความเห็นของประชาชน ครม.อนุมัติงบประมาณ 468 ลบ. ปรับปรุงและฟื้นฟูแหล่งน้ำ 47 โครงการ รัฐบาลเปิดไลน์ "ข่าวจริงประเทศไทย" ป้องกันบิดเบือนข่าว ครม.ไฟเขียวร่างข้อตกลง “ส่งผู้ลี้ภัยสงครามเมียนมา” กลับประเทศ ตั้งงบดูแล 3.5 ล้านบาท ครม. รับหลักการ ตั้งกระทรวงการอุดมศึกษาฯ คาด ก.พ. 62 เห็นโฉมหน้า ศาลฎีกานักการเมือง ออกหมายจับ “ทักษัณ” คดีปล่อยกู้เอ็กซิมแบงก์ ที่ประชุม สนช. ผ่านร่าง "พ.ร.บ.สงฆ์" 3 วาระรวด ด้วยเสียงเอกฉันท์ ครม. เคาะเฉียดแสนล้านดูแลราคาข้าวนาปี 2561/62 จ่ายขาด 6 หมื่นกว่าล้าน สินเชื่อกว่า 3 หมื่นล้าน คลังเผย 9 เดือนแรกปีงบ 61 รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ จำนวน 1,832,121 ล้านบาท สูงกว่าเป้า 3.5% ครม.ไฟเขียวคงภาษีแวต 7% อีก 1 ปี สนช. โหวตเลือก กกต. แล้ว       เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2561 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้มีการประชุมลับเพื่อลงมติตัดสินเลือกคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว หลังคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่ง กกต. ได้เสนอชื่อมาจำนวน 7 คน โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งชุดใหม่ที่ สนช. ตัดสินใจเลือกให้ดำรงตำแหน่ง มี 5 คนจาก 7 คน ประกอบด้วย 1. นายสันทัด ศิริอนันต์ไพบูลย์ อาจารย์ประจำสาขาเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี 2. นายอิทธิพร บุญประคอง อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ 3. นายธวัชชัย เทอดเผ่าไทย อดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) 4. นายฉัตรไชย จันทร์พรายศรี ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา และ 5. นายปกรณ์ มหรรณพ ผู้พิพากษาศาลฎีกา       สำหรับขั้นตอนหลังนี้ จะเป็นไปตามมาตรา 12 วรรค 8 ที่กำหนดว่า ในกรณีที่วุฒิสภา (สนช.) ไม่ให้ความเห็นชอบผู้ได้รับการสรรหาหรือคัดเลือกรายใด ให้ดำเนินการสรรหาหรือคัดเลือกบุคคลใหม่แทนผู้นั้น แล้วเสนอต่อวุฒิสภาเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป       ทั้งนี้ การประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ที่มีสมาชิก 5 คนที่ได้รับการเสนอชื่อและแต่งตั้งไปก่อนหน้านี้ ได้มีมติเป็นเอกฉันท์เลือก นายอิทธิพร บุญประคอง เป็นว่าที่ประธาน กกต. โดยขั้นตอนหลังจากนี้ สำนักงานเลขาวุฒิสภาจะแจ้งผลการคัดเลือกให้นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ทราบ เพื่อดำเนินการนำความขึ้นกราบบังคมทูลโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งประธาน และ กกต. ต่อไป มติ สนช. เห็นชอบ พ.ร.บ.โอนงบรายจ่าย วงเงิน 1.2 หมื่นล้าน       เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2561 ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ลงมติเห็นชอบด้วยเสียงเอกฉันท์ 183 เสียง ผ่านร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) โอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... วงเงิน 12,730,497,700 บาท โอนมาจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เป็นบางรายการ ไปตั้งไว้เป็นงบกลาง เพื่อใช้กรณีสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และกองทุนและเงินหมุนเวียน       ทั้งนี้ ในรายละเอียดของการโอนงบประมาณดังกล่าว ระบุตามเอกสาร ว่า 1. จัดสรรให้กับ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 10,000,000,000 บาท เพื่อนำไปใช้ในส่วนของการขับเคลื่อนแผนงานตามร่างยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี และแผนการปฏิรูปประเทศ และ 2. จัดสรรให้กองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก จำนวน 2,730,497,700 บาท เพื่อสนับสนุนและช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรที่ลงทะเบียนในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐให้มีความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หลังจากมติดังกล่าวจะได้มีการเตรียมส่งร่างให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป ครม.เห็นชอบ ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ 20 ปี       เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2561 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เสนอใน 2 ประเด็น คือ 1. ยุทธศาสตร์การจัดการแร่ 20 ปี 2. แผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ สำหรับยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ 20 ปี ได้กำหนดนโยบายหลัก 4 ประการ ได้แก่ 1. ประเทศมีความมั่นคงเป็นฐานของทรัพยากรแร่ และวัตถุดิบเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ 2. การนำมาใช้ประโยชน์ต้องมีดุลยภาพด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชน 3. การพัฒนากลไกในการอนุญาตให้มีประสิทธิภาพ มีการปรับปรุงระบบจัดสรรผลประโยชน์ให้เป็นธรรม และ 4. เสริมสร้างการมีส่วนร่วมของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน โดยในส่วนของแผ่นแม่บทการบริหารจัดการแร่ ตั้งแต่ปี 2560-2564 ครม.ไฟเขียวงบประมาณ 468 ลบ. พัฒนาแหล่งน้ำ       เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2561 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติได้เห็นชอบ ตามที่กระทรวงกลาโหมได้เสนอขอรับงบสนับสนุนในการปรับปรุงแหล่งน้ำ ประจำปีงบประมาณ 2561 ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างกองทัพบก กับมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยมีโครงการที่ต้องปรับปรุงแหล่งน้ำ 47 โครงการ ในพื้นที่ 9 จังหวัด ประกอบด้วย จ.แพร่, จ.พะเยา, จ.พิจิตร, จ.สุโขทัย, จ.เพชรบูรณ์, จ.นครสวรรค์, จ.บุรีรัมย์, จ.ปราจีนบุรี, และ จ.พัทลุง โดยการไปประชุม ครม.สัญจร แต่ละครั้งจะได้รับการเสนอขอให้ฟื้นฟู และปรับปรุงแหล่งน้ำ ในหลายๆพื้นที่ ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นได้รับการสำรวจและดำเนินการโดยกองทัพบก โดยให้ใช้งบประมาณในการดำเนินงาน 468.91 ล้านบาท โดยทางสำนักงบประมาณเสนอให้งบกลางปี 2560 รัฐบาลเปิดไลน์ 'ข่าวจริงประเทศไทย'       เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2561 โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ที่มีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้มอบหมายให้กรมประชาสัมพันธ์จัดทำไลน์ "ข่าวจริงประเทศไทย" ขึ้น ทั้งนี้ ไลน์ดังกล่าวจะมีข้อมูลข่าวสารที่มีทั้งเรื่องที่ข้อมูลถูกบิดเบือน เรื่องของนโยบาย และเรื่องทั่วไปที่มีคนสนใจ เช่น เรื่องสุขภาพ หรืออาหาร ทั้งนี้ข่าวสารในไลน์ดังกล่าว อาจจะมาช้ากว่าสื่ออื่น แต่ข่าวจะชัวร์แน่นอน ครม.ไฟเขียวร่างข้อตกลง 'ส่งผู้ลี้ภัยสงครามเมียนมา' กลับประเทศ       เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2561 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (ก.ต.) เสนอร่างข้อตกลงการส่งตัวผู้หลบหนีภัยจากการสู้รบ ที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่พักพิงชั่วคราวตามแนวชายแดน โดยกระทรวงการต่างประเทศได้ตั้งงบประมาณสนับสนุนแก่ผู้หลบหนีภัยจำนวน 3.5 ล้านบาท ทั้งนี้จากการสำรวจ พบว่า ประเทศไทยมีผู้หลบหนีภัยจากการสู้รบในประเทศเมียนมา ที่อาศัยอยู่ในแหล่งพักพิงชั่วคราวตามแนวชายแดนทั้งสิ้น 9 แห่ง ประกอบด้วย จ.แม่ฮ่องสอน 4 แห่ง จ.ตาก 3 แห่ง จ.กาญจนบุรี 1 แห่ง และ จ.ราชบุรี 1 แห่ง มีผู้หลบหนีภัยทั้งหมด ประมาณ 99,700 คน โดยตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา ได้มีการกำหนดแนวทางสำหรับส่งตัวผู้หลบหนีภัยกลับไปยังประเทศต้นทาง ซึ่งได้มีการดำเนินการส่งกลับประเทศต้นทางไปแล้ว 2 ครั้ง ทั้งหมด 164 ราย ครั้งที่ 1 จำนวน 71 ราย ครั้งที่ 2 จำนวน 93 ราย ครม. รับหลักการ ตั้งกระทรวงการอุดมศึกษาฯ       เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2561 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับหลักการตั้งกระทรวงใหม่อีก 1 กระทรวง คือกระทรวงการอุดมศึกษาวิจัยและนวัตกรรม ซึ่งจะเป็นแหล่งรวมสถาบันอุดมศึกษาไทย เพื่อตอบโจทย์ประเทศไทย 4.0 ขับเคลื่อนคิดค้นการใช้นวัตกรรมตามยุทธศาสตร์ชาติ ให้มีนักวิจัย สร้างความรู้ให้ไทยสามารถแข่งขันได้และสามารถสร้างคนผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพในอนาคต โดยแบ่งกลไกบริหารมีระดับนโยบาย มีคณะกรรมการระดับชาติ หรือมีซุปเปอร์บอร์ดขึ้นมา ทั้งนี้ มีกรรมการดูแลส่วนอุดมศึกษา ส่งเสริมการวิจัย และในส่วนระดับปฏิบัติการ มีสำนักงานปลัดกระทรวงและฝ่ายปฏิบัติการ โดยขั้นตอนต่อไปจะมีการเสนอ พ.ร.บ. ปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม ให้สภานิติบัญญัติ (สนช.) พิจารณา คาดแล้วเสร็จภายในพฤศจิกายน และคาดว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2562 น่าจะเห็นโฉมหน้ากระทรวงใหม่ ซึ่ง ครม. เน้นว่าจะเป็นกระทรวงที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ตอบโจทย์ของประเทศให้แข็งแรงขึ้น มีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ ศาลฎีกานักการเมือง ออกหมายจับ “ทักษัณ” คดีปล่อยกู้เอ็กซิมแบงก์       เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2561 องค์คณะศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดพิจารณาครั้งแรกคดีหมายเลขดำ อม.3/2551 ที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ผู้เข้าเป็นคู่ความแทน เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีการปล่อยกู้ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) ให้กับรัฐบาลเมียนมาร์ วงเงิน 4,000 ล้านบาท โดยคดีนี้ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2551 ต่อมาเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2551 ศาลฎีกาฯ นัดพิจารณาครั้งแรก แต่นายทักษิณไม่มา จึงให้จำหน่ายคดีชั่วคราวและออกหมายจับ โดยต่อมาหลัง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2560 ทำให้คดีที่จำเลยหลบหนีการพิจารณาคดีของศาลฎีกาฯ สามารถนำกลับมารื้อฟื้นพิจารณาต่อไปได้ลับหลังจำเลย องค์คณะพิจารณาแล้วเห็นว่า นัดพิจารณาคดีครั้งแรกในวันนี้จำเลยทราบนัดโดยชอบแล้วแต่ไม่เดินทางมาศาล และไม่แจ้งเหตุขัดข้องหรือขอเลื่อนนัดพิจารณาคดี จึงให้ออกหมายจับจำเลยโดยให้อัยการโจทก์ติดตามจับกุมและรายงานต่อศาลทุกๆ 1 เดือน และกำหนดแนวทางตรวจพยานหลักฐานและสืบพยานต่อไป โดยศาลนัดตรวจพยานหลักฐานครั้งต่อไปวันที่ 31 ตุลาคมนี้ เวลา 09.00 น. โดยให้โจทก์ยื่นบัญชีพยานหลักฐานก่อนวันนัดไต่สวนไม่น้อยกว่า 14 วัน และให้ส่งหมายแจ้งให้จำเลยทราบ หากไม่มีผู้รับให้ปิดหมายต่อไป สนช.ผ่าน 'ร่างพรบ.สงฆ์' 3 วาระรวดด้วยเสียงเอกฉันท์       ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ลงมติเป็นเอกฉันท์ 217 เสียง เห็นชอบให้แก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และงดออกเสียง 4 เสียง โดยไม่ได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาพิจารณาเป็นการเฉพาะ แต่พิจารณา 3 วาระรวด ทั้งวาระรับหลักการ การพิจารณาเป็นรายมาตรา และให้ความเห็นชอบในวาระ 3 โดยสาระสำคัญของกฎหมาย คือ มาตรา 3 ที่บัญญัติว่า เพื่อให้การอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ตลอดจนการดูแลการปกครองคณะสงฆ์เป็นไปเพื่อส่งเสริมการเผยแพร่หลักพระพุทธศาสนาให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา และมีการรักษาพระธรรมวินัยของคณะสงฆ์ให้เป็นไปอย่างถูกต้อง ดีงาม โดยเคร่งครัด เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาแก่พุทธศาสนิกชนทั่วไป พระมหากษัตริย์จึงทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการแต่งตั้ง สถาปนา และถอดถอนสมณศักดิ์ของพระภิกษุในคณะสงฆ์ และแต่งตั้งกรรมการมหาเถรสมาคม ครม.อนุมัติวงเงินเฉียดแสนล้าน พยุงราคาข้าว       เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2561 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง (จ.อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ศรีษะเกษ และยโสธร) เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปีการผลิต 2561/2562 จำนวน 3 โครงการ เป้าหมาย 9 ล้านตัน วงเงินสินเชื่อซึ่งเป็นเงินหมุนเวียนรวม 35,060 ล้านบาท และวงเงินจ่ายขาด 62,890.48 ล้านบาท รวมวงเงินที่ต้องใช้ดำเนินการทั้ง 2 ส่วนรวม 97,950.48ล้านบาท โดยคาดว่าจะช่วยชะลอการขายข้าวได้ประมาณ 9 ล้านตันและช่วยให้ราคาข้าวมีเสถียรภาพช่วยให้ชาวนาได้ประโยชน์ เผย 9 เดือนแรกปีงบ 61 รัฐจัดเก็บรายได้สูงกว่าเป้า 3.5%       เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2561 นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า “ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 (ตุลาคม 2560 – มิถุนายน 2561) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ จำนวน 1,832,121 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 62,408 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.5 และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 5.4 โดยมีสาเหตุจากการจัดเก็บรายได้ของหน่วยงานอื่น และการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ สูงกว่าประมาณการ 27,522 และ 25,171 ล้านบาท หรือร้อยละ 22.9 และ 23.9 ตามลำดับ ทั้งนี้ ภาษีที่จัดเก็บได้สูงกว่าเป้าหมายที่สำคัญ ได้แก่ ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ภาษีรถยนต์ และภาษียาสูบ ครม.ไฟเขียวคงภาษีแวต 7% อีก 1 ปี       เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2561 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการขยายระยะเวลาเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่อัตรา 7% ต่อไปอีก 1 ปี จากเดิมที่จะหมดอายุวันที่ 30 กันยายน 2561 ไปเป็นสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2562 โดยกระทรวงการคลังคาดว่ารัฐบาลจะสูญเสียรายได้จากมาตรการนี้ ประมาณ 2.58 แสนล้านบาท แต่จะส่งเสริมให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อไป