มิถุนายน 2561 :สนช.รับร่างหลักการ ‘ยุทธศาสตร์ชาติ’ สนช.รับร่างหลักการยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี รัฐบาลอัดงบฯ ปี’62 วงเงิน 3 ล้านล้านบาท มติศาล ชี้คำสั่งหัวหน้า คสช. 53/2560 ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกาพิพากษายืน จำคุก 1 ปี ไม่รอลงอาญา “การ์ด กปปส.” ป.ป.ช' ไม่รื้อ 'คดีสลายการชุมนุมปี 53' ลด-เว้น อัตราภาษีบริษัทข้ามชาติ เฉพาะงานวิจัย - พัฒนาเทคโนโลยีในไทย ศาลฎีกาฯออกหมายจับ “ทักษิณ” ใบที่ 2 คดีทุจริตปล่อยกู้กรุงไทย ศาลพิพากษาจำคุก 2 ปี "สุรพงษ์" อดีต รมต. ตปท. คืนพาสปอร์ต "ทักษิณ" ธปท. เผย ศก.ไทย เดือน พ.ค.นี้ ขยายตัวต่อเนื่องและกระจายตัวดีขึ้นทุกกลุ่ม สนช.รับร่างหลักการ "ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี"       เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2561 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้รับร่างหลักการยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งเป็นแผนบริหารราชการที่จะใช้บังคับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 – 2580 ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เสนอ โดยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แผนยุทธศาสตร์ที่นำเสนอนี้ยังไม่มีรายละเอียด ยังคงเป็นกรอบกว้างๆ ใน 6 ด้านของการขับเคลื่อน ซึ่งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ จะเดินหน้ายกร่างแผนแม่บทยุทธศาสตร์ชาติ กำหนดรายละเอียดในทุกด้านให้ชัดเจนในลำดับต่อไป       อย่างไรก็ตาม เมื่อแผนยุทธศาสตร์ชาติมีผลใช้บังคับแล้ว จะทำให้ต้องนำไปปฏิบัติตามในหลายมิติ คือ 1. นโยบายของทุกรัฐบาลจะต้องไม่ขัดแย้งกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 2. แผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมจะต้องสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 3. แผนอื่นๆ ในระดับชาติจะต้องสอดคล้อง 4. การจัดทำงบประมาณรายจ่ายในแต่ละปีจะต้องสอดคล้อง 5. แผนการปฏิรูปประเทศจะต้องสอดคล้องเป็นไปในทางเดียวกัน       ทั้งนี้ สนช. ให้ตั้งกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อพิจารณาสรุปรวมความเห็น จำนวน 38 คน ใน 22 วัน โดยกำหนดให้นำกลับเข้า สนช. เพื่อให้ความเห็นชอบภายในวันที่ 7 กรกฎาคมนี้ และกรอบยุทธศาสตร์ชาติฉบับนี้ จะเป็นต้นร่างให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติยกร่างแผนแม่บทยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ให้เสร็จภายใน 2 เดือน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป รัฐบาลอัดงบฯ ปี’ 62 วงเงิน 3 ล้านล้านบาท       เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2561 ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 วงเงิน 3 ล้านล้านบาท เป็นงบประมาณเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 100,000 ล้านบาท เพื่อลงมติรับหลักการในวาระที่ 1 โดยงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 จำแนกตามยุทธศาสตร์ 6 ด้าน ได้แก่       1. ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้เป็นจำนวนทั้งสิ้น 329,239.6 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 11 ของวงเงินงบประมาณ       2. ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย ไว้เป็นจำนวนทั้งสิ้น 406,496 ล้านบาท       3. ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย ไว้เป็นจำนวนทั้งสิ้น 560,884.9 ล้านบาท       4. ยุทธศาสตร์ด้านการแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำและสร้างการเติบโตจากภายใน รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย ไว้เป็นจำนวนทั้งสิ้น 397,581.4 ล้านบาท       5. ยุทธศาสตร์ด้านการจัดการน้ำและสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย ไว้เป็นจำนวนทั้งสิ้น 117,266 ล้านบาท       6. ยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย ไว้เป็นจำนวนทั้งสิ้น 838,422.2 ล้านบาท และตั้งเป็นงบกลาง 468,032,000,000 บาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 73,705,939,000 บาท       นอกจากนี้ กระทรวงที่ได้รับงบประมาณสูงที่สุด 5 กระทรวง ประกอบด้วย กระทรวงศึกษาธิการ 489,789,574,500 บาท ลดลงจากปีที่แล้ว 21,172,238,100 บาท กระทรวงมหาดไทย 373,519,664,700 บาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 17,524,322,700 บาท กระทรวงการคลัง 242,845,984,600 บาท บาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 4,489,934,300 บาท กระทรวงกลาโหม 227,671,419,500 บาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 5,234,822,000 และกระทรวงคมนาคม 183,732,535,100 บาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 10,856,255,600 บาท มติศาล ชี้คำสั่งหัวหน้าคสช. 53/2560 ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ       เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2561 ศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีคำวินิจฉัยเสียงข้างมากว่า คำสั่ง คสช. ที่ 53/2560 เรื่องการดำเนินตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 140 และมาตรา 141 วรรคหนึ่ง (5) และวรรคสอง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เนื่องจากทั้งสองประเด็นไม่เป็นการเพิ่มภาระ หรือจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ และไม่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล       ทั้งนี้ คำสั่งหัวหน้า คสช. 53/2560 ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อ 22 ธันวาคม 2560 เป็นการกำหนดช่วงเวลาให้พรรคการเมืองเตรียมความพร้อมก่อนการเลือกตั้งใหม่ทั้งหมด โดยแบ่งเป็น 4 ช่วงเวลา จัดตั้งพรรคการเมืองใหม่, หาสมาชิก, ทุนประเดิมพรรค และประชุมใหญ่ คำสั่งดังกล่าวให้เริ่มกระบวนการที่จะยื่นขอจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ (พรรคใหม่) ในวันที่ 1 มีนาคม 2561 ส่วนพรรคการเมืองที่มีอยู่แล้ว (พรรคเก่า) ให้เริ่มดำเนินการจัดตั้งพรรคตามรัฐธรรมนูญปี 2560 ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2561 ภายใต้คำสั่ง คสช.53/2560 ทำให้พรรคเก่าวิจารณ์ว่าเกิดความเหลื่อมล้ำทำให้พรรคใหม่ได้เปรียบ ฎีกายืน 1 ปี ไม่รอลงอาญา 'กปปส.' ขวางการเลือกตั้งปี 57       เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2561 ศาลอาญารัชดา อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายนวการ ขอนศรี และนายประเสริฐ ด้วงทิพย์ เป็นจำเลยที่ 1-2 ในข้อหาร่วมกันกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพื่อมิให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถใช้สิทธิได้ฯ โดยนายนวการ จำเลยที่ 1 ซึ่งได้รับการประกันตัวเดินทางมาศาลพร้อมทนายความ และมีนายถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส. เดินทางมาให้กำลังใจด้วย ขณะที่ นายประเสริฐ จำเลยที่ 2 หลบหนี ศาลให้ออกหมายจับปรับนายประกัน ทั้งนี้ ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ชุมนุมได้ขัดขวางการเลือกตั้งเป็นความไม่สงบ ผิดกฎหมาย ไม่ใช่การชุมนุมโดยชอบ ศาลเห็นว่าจำเลยทั้งสองมีพฤติการณ์ไม่สำนึก จึงไม่มีเหตุเปลี่ยนดุลพินิจ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืน ให้จำคุกจำเลยคนละ 1 ปี ไม่รอลงอาญา คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำคุกจำเลยคนละ 1 ปี และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งคนละ 5 ปี 'ป.ป.ช' ไม่รื้อ 'คดีสลายชุมนุม ปี 53'       เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2561 เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แถลงผลการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่า มีมติเอกฉันท์ไม่รื้อคดีการสลายการชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิตกว่า 99 ศพ เมื่อปี 2553       ทั้งนี้ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้ยื่นหลักฐานใหม่ แต่ ป.ป.ช. ยืนยันตามมติเดิมที่เคยยกคำร้องนี้ไปแล้วว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ไม่มีความผิดในการสั่งสลายการชุมนุม กลุ่ม นปช. เนื่องจากการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ไม่ถือเป็นการชุมนุมโดยสงบ และการสลาย การชุมนุมของรัฐบาลในขณะนั้นก็เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย และปรากฎข้อเท็จจริงว่า เป็นช่วงที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง และการชุมนุมของ นปช. เป็นการชุมนุมที่ไม่ปกติ ทำให้ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) จำเป็นต้องเข้าขอคืนพื้นที่ และเมื่อเทียบกับการสลายการชุมนุมของพันธมิตรก็พบว่าต่างกัน เพราะพันธมิตรปราศจากอาวุธ ทั้งนี้ หากนายณัฐวุฒิ พบหลักฐานใหม่ก็สามารถยื่นต่อ ป.ป.ช.ได้อีกครั้ง ครม. เคาะลด-เว้นภาษีบริษัทข้ามชาติ เฉพาะงานวิจัย-พัฒนาเทคโนโลยีในไทย       เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2561 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติหลักการร่างกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร พ.ศ.. ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สืบเนื่องจากการปรับปรุงมาตรการภาษี เพื่อส่งเสริมการตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ ในส่วนที่ได้รับสิทธิจากการลดหรือยกเว้นภาษี ซึ่งเป็นนโยบายสำหรับส่งเสริมให้บริษัทข้ามชาติ เข้ามาตั้งสำนักงานใหญ่ในประเทศไทย แต่เดิมมีการกำหนดว่า การยกเว้นหรือลดภาษี แล้วแต่กรณี สำหรับบริษัทหรือวิสาหกิจในเครือของบริษัทข้ามชาตินั้นๆ ไม่ว่าจะจดทะเบียนตามกฎหมายไทย หรือตามกฎหมายต่างประเทศ จะได้รับสิทธิในการลดหรือยกเว้นภาษี แต่ประเด็นดังกล่าวมีการระบุขอบเขตไว้กว้างเกินไป จึงได้มีการจำกัดให้ครอบคลุมเฉพาะค่าสิทธิอันเกิดจากผลการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่ทำขึ้นในประเทศไทยเท่านั้น เพราะบริษัทข้ามชาติบางบริษัท มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ต่างประเทศ ขณะที่งานพัฒนานวัตกรรมในประเทศต้นทาง มีการกำหนดอัตราภาษีค่อนข้างสูง บริษัทเหล่านี้จึงหลีกเลี่ยงโดยการขายงานวิจัยให้แก่วิสาหกิจในเครือของตนเอง ซึ่งมีสำนักงานในประเทศไทยเพื่อเสียภาษีน้อยลง ศาลฎีกาฯ ออกหมายจับ “ทักษิณ” ใบที่ 2 คดีทุจริตปล่อยกู้กรุงไทย       เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2561 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ออกหมายจับนายทักษิณ ชินวัตร ใบที่ 2 ในคดีร่วมทุจริตการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทยกับกลุ่มกฤษดามหานคร หลังมีการแก้กฎหมายให้รื้อคดี โดยศาลได้นัดพิจารณาคดีครั้งแรกหลังนายทักษิณหลบหนีไปต่างประเทศ แต่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 28 กำหนดให้ศาลมีอำนาจพิจารณาคดีได้โดยไม่ต้องกระทำต่อหน้าจำเลย แต่ไม่ตัดสิทธิจำเลยที่จะคงทนายความมาดำเนินการแทนตนได้ และไม่ตัดสิทธิจำเลยที่จะมาสู้คดี       สำหรับหมายจับครั้งนี้ ถือเป็นหมายจับคดีที่ 2 ของนายทักษิณ หลังจากก่อนหน้านี้ถูกออกหมายจับในคดีแปลงค่าสัมปทานโทรคมนาคมและมือถือเป็นภาษีสรรพสามิตเอื้อประโยชน์กลุ่มชินคอร์ปฯ และยังมีคดีที่ค้างอยู่ในศาลฎีกาฯ อีก 2 คดี คือคดีทุจริตปล่อยกู้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) และคดีทุจริตโครงการออกสลากพิเศษเลขท้าย 2 และ 3 ตัว (หวยบนดิน)       ทั้งนี้ ในฝ่ายจำเลยไม่มีผู้ใดเดินทางมาศาล โดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง ถือว่ามีพฤติกรรมหลบหนี จึงให้ออกหมายจับ และถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธ ศาลจึงให้นัดตรวจพยายหลักฐานในวันที่ 26 กันยายน 2561 สั่งจำคุก 2 ปีไม่รอลงอาญา 'สุรพงษ์' คืนพาสปอร์ต 'ทักษิณ'       เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2561 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้นัดพิพากษาคดีที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ คืนหนังสือเดินทางให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกออกหมายจับคดีอาญาหลายคดีซึ่งขัดต่อระเบียบข้อบังคับกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ. 2548 โดยศาลตัดสินว่า ให้จำคุกสองปีโดยไม่รอลงอาญา ตามความผิด พ.ร.ป. ป.ป.ช. 2542 มาตรา 123 /1 ซึ่งเป็นบทหนักสุด โดยไม่ให้รอลงอาญา เนื่องจากเห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นการช่วยเหลือให้นายทักษิณ ผู้ต้องหา ที่ถูกศาลจำคุกในคดีซื้อขายที่ดินรัชดา และเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับคดีอื่นๆ หลบหนีโดยได้รับความสะดวกในการเดินทางไปต่างประเทศ จากหนังสือเดินทางที่ออกให้ใหม่ ซึ่งเป็นการบั่นทอนความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรมด้วยในการบังคับกฎหมายลงโทษกับจำเลยที่หลบหนีไป อย่างไรก็ดีคดีนี้สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ ธปท. เผย ศก.ไทย เดือน พ.ค. นี้ขยายตัวต่อเนื่องและกระจายตัวดีขึ้นทุกกลุ่ม       เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2561 นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนพฤษภาคม 2561 ยังขยายตัวดีต่อเนื่องและมีการกระจายตัวที่ดีขึ้นทุกกลุ่มคล้องกับอุปสงค์ต่างประเทศขยายตัวดี การส่งออกขยายตัว 11.3% การนำเข้า 12.7% การบริโภคภาคเอกชนขยายตัว 5.6% การลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 2.4% การเบิกจ่ายภาครัฐขยายตัว 11.8% การลงทุนภาครัฐขยายตัว 2.1%