พฤษภาคม 2561 : ศาลรัฐธรรมนูญชี้ กฎหมายที่มา ส.ว. ไม่ขัด รธน. ศาลรัฐธรรมนูญชี้ กฎหมายที่มา ส.ว. ไม่ขัด รธน. ศาลรัฐธรรมนูญ เสียงเอกฉันท์ผ่าน ร่าง พ.ร.ป. เลือกตั้ง ส.ส. ออกหมายจับ "วัฒนา อัศวเหม" พร้อมพวกเบี้ยวนัดศาลฎีกาคดีทุจริตคลองด่าน ครม. ไฟเขียว ปรับเงินสงเคราะห์บุตรจาก 400 เป็น 600 บาท "ศาลแพ่ง" สั่งจำหน่ายคดีสุเทพกับพวกล้มเลือกตั้งปี 57 ชั่วคราว โฆษกรัฐบาลแจง ครม. แค่เห็นชอบหลักการให้ใช้ "กัญชา" ทางการแพทย์ งบฯ 61 ชดเชยเยียวยาผู้เสียหาย-จำเลยคดีอาญาแล้ว 300 ล้าน ครม.ไฟเขียวงบ 1,555 ล้านบาท ผุดโรงไฟฟ้า 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เปิดให้เอกชนลงทุน 60% ครม. เคาะเพิ่มงบสร้างรัฐสภาใหม่ 512 ลบ. เว้นภาษีอบรม “55 จว. ท่องเที่ยวเมืองรอง” ครม. เห็นชอบร่าง กม.วิสาหกิจชุมชนฉบับใหม่ ให้จดทะเบียนนิติบุคคล มติกรรมการสรรหา กกต. 5 คน ให้ สนช. โหวต ป.ป.ท. เผยรอบปี 60 ชาวบ้านร้องสอบทุจริตองค์กรท้องถิ่นสูงสุด สศช. แถลงจีดีพีไตรมาส 1/2561 โต 4.8 % ศาลรัฐธรรมนูญชี้ กฎหมายที่มา ส.ว. ไม่ขัด รธน.       เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2561 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. .... ในบทเฉพาะกาล มาตรา 91 มาตรา 92 มาตรา 93 มาตรา 94 มาตรา 95 และมาตรา 96 ที่กำหนดไว้ในวาระเริ่มแรกของวุฒิสภา เป็นบทเฉพาะกาลใช้บังคับในวาระเริ่มแรกเท่านั้น ทั้งยังเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 107 จึงไม่มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 107 ประกอบมาตรา 269       ทั้งนี้ จากการที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และคณะ รวม 30 คน เห็นว่าข้อความใน พ.ร.ป. ที่ให้มีจำนวนกลุ่มผู้สมัคร วิธีการสมัคร และกระบวนการเลือก มีรายละเอียดแตกต่างจากการได้มาซึ่งวุฒิสภาตามบททั่วไปในรัฐธรรมนูญ จึงเสนอผ่านประธาน สนช. เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ร่างฯ ดังกล่าว มีข้อขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 107 หรือไม่ ศาล รธน. เสียงเอกฉันท์ผ่าน ร่าง พ.ร.ป. เลือกตั้ง ส.ส.       เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2561 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดและมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสองประเด็น คือ       1) การมีผู้ช่วยลงคะแนนให้กับผู้พิการและผู้สูงอายุที่ไม่สามารถลงคะแนนด้วยตัวเองตามมาตรา 92 วรรค 1 และ 2) การตัดสิทธิ์ผู้ไม่ไปออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้ง ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมืองใน มาตรา 35 (4) และ (5) ไม่มีข้อความใดขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ เนื่องจากการอำนวยความสะดวกหรือจัดให้มีความช่วยเหลือในการออกเสียงลงคะแนนของคนพิการหรือทุพพลภาพหรือผู้สูงอายุตามมาตรา 92 วรรค 1 ยังอยู่ในขอบเขตของวิธีการออกเสียงลงคะแนนต้องเป็นไปโดยตรงและลับ ตามมาตรา 85 วรรค 1 ของรัฐธรรมนูญ และการดำรงตำแหน่งตามมาตรา 35 (4) และ (5) เป็นสิทธิ์ชนิดหนึ่งที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้ออกกฎหมายจำกัดสิทธิ์ดังกล่าวได้ตาม มาตรา 95 วรรค 3 ของรัฐธรรมนูญ       ทั้งสองเรื่องนี้เป็นไปตามที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ต่อประเด็นการให้บุคคลอื่นใช้สิทธิแทนผู้พิการ ผู้ทุพพลภาพ และผู้สูงอายุ และการตัดสิทธิ์การเป็นข้าราชการการเมืองของผู้ไม่ได้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ออกหมายจับ 'วัฒนา' เบี้ยวศาลฎีกาคดีทุจริตคลองด่าน       เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2561 ศาลแขวงดุสิต นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีฉ้อโกงซื้อที่ดินและสัญญาโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสีย อำเภอคลองด่าน จังหวัดสมุทรปราการ ที่กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายวัฒนา อัศวเหม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมผู้ที่เกี่ยวข้อง รวม 19 คน ฐานฉ้อโกงการจัดซื้อที่ดินคลองด่าน จังหวัดสมุทรปราการ เนื้อที่รวม 1,900 ไร่ มูลค่ากว่า 1,900 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน โดยฉ้อโกงสัญญาก่อสร้างฯ มูลค่ากว่า 23,000 ล้านบาท       ก่อนหน้านี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก นายวัฒนา กับพวก คนละ 3 ปี ซึ่งนายวัฒนา หลบหนี ศาลจึงสั่งให้ออกหมายจับ และปรับนายประกัน ขณะที่ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 2-19       กรมควบคุมมลพิษจึงได้ยื่นฎีกา แต่เนื่องจากจำเลย 5 คน ไม่มาฟังคำพิพากษา โดยทนายความของนายสิโรจน์ วงศ์สิโรจน์กุล จำเลยที่ 7 แถลงต่อศาลว่าจำเลยอยู่ระหว่างรักษาตัว และนัดแพทย์ผ่าตัดขยายหลอดเลือดใหญ่ ไม่สามารถมาฟังคำพิพากษาได้ ส่วนนายวัฒนา อัศวเหม นายรอยอิศราพร ชุตาภา นายชาลี ชุตาภา และ นายชยณัฐ โอสถานุเคราะห์ ไม่มาฟังคำพิพากษา ศาลจึงให้ออกหมายจับ และนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 16 สิงหาคม 2561 ครม.ไฟเขียว ปรับเงินสงเคราะห์บุตรเป็น 600 บาทต่อบุตร 1 คน       เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2561 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการเสนอกระทรวงแรงงานเรื่อง การปรับปรุงร่างกฎกระทรวงเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขในการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนกรณีสงเคราะห์บุตร โดยกฎกระทรวงเดิมกำหนดผู้ที่เอาประกันตนจะได้รับเงินตอบแทน 400 บาท ต่อบุตร 1 คน แต่ร่างกฎกระทรวงใหม่ปรับเป็น 600 บาท ต่อบุตร1คน ซึ่งเริ่มย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 และกฎกระทรวงเดิมที่กำหนดว่ามีบุตรไม่เกิน 2 คน อายุไม่เกิน 6 ปี โดยฉบับใหม่ปรับแก้ไข จ่ายให้ไม่เกิน 3 คน อายุไม่เกิน 6 ปี โดยเริ่มจ่ายย้อนหลังตั้งแต่ 20 ตุลาคม 2558 ศาลแพ่ง สั่งจำหน่ายคดีสุเทพกับพวก ล้มเลือกตั้งปี 57 ชั่วคราว       เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2561 ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก นัดชี้สองสถาน ในคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. เป็นโจทย์ ฟ้องเรียกค่าเสียหายกว่า 3 พันล้านบาท กับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย (มปท.) และพวก รวม 39 คน ที่ตกเป็นจำเลย จากกรณีเมื่อปี 2557 จำเลยกับพวกทั้งหมดได้ร่วมขัดขวางการจัดการเลือกตั้งของ กกต. จนทำให้ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้       โดยการพิจารณาคดีศาลได้ชี้สองสถาน เพื่อกำหนดประเด็นการต่อสู้ให้มีความครอบคลุม อาทิ มีการฟ้องโจทก์ครอบคลุมหรือไม่ คดีขาดอายุความหรือไม่ การฟ้องของโจทก์ใช้สิทธิ์โดยสุจริตและมีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ โจทก์ได้รับความเสียหายเพียงใด และจำเลยทั้งหมดต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่เพียงใด       ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วจึงเห็นควรให้มีการจำหน่ายคดีแพ่งออกไปชั่วคราว เพื่อรอฟังผลของคดีอาญาที่มีคดีกบฏเป็นหลัก และศาลได้นัดตรวจพยานหลักฐาน(คดีกบฏ) ในวันที่ 25 มิถุนายน 25561 เวลา 09.00 น. ครม.เห็นชอบหลักการให้ใช้ 'กัญชา' ทางการแพทย์       เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2561 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบหลักการร่าง พ.ร.บ. ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. .... ที่กำหนดให้กัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษเป็นประเภทที่ 5 แต่เปิดช่องให้นำมาใช้ทางการแพทย์ได้โดยต้องขออนุญาตก่อน       ทั้งนี้ ยังไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้ ต้องรอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการต่อเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ การขออนุญาต การอนุญาต การปลูก วิจัย สกัด ที่ใช้ประโยชน์ทางการแพทย์เท่านั้น ไม่ให้นำไปใช้ เป็นอย่างอื่น โดยต้องมีระบบควบคุมที่รัดกุม และการดำเนินการในเรื่องต่างๆ ให้เป็นไปตามประกาศหรือที่กระทรวงกำหนด ยธ. ขอใช้งบกลาง 210 ล้านจ่ายชดเชยเหยื่อคดีอาญา       เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2561 น.ส.ปิติกาญจน์ สิทธิเดช อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เปิดเผยว่า กรมคุ้มครองสิทธิฯ กำลังเร่งดำเนินการนำเสนอของบกลางจากรัฐบาลเพิ่มเติมจำนวน 210,000,000 บาท เพื่อเบิกจ่ายค่าตอบแทนผู้เสียหายและจำเลย จำนวนทั้งสิ้น 5,642 ราย แบ่งเป็นผู้เสียหาย จำนวน 5,611 ราย เป็นจำนวนเงิน 294,081,556 บาท และจำเลย จำนวน 31 ราย เป็นจำนวนเงิน 5,918,444 บาท       ทั้งนี้ กรมฯ ได้รับจัดสรรงบประมาณในปี 2561 จำนวน 300,000,000 บาท และมีการเบิกจ่ายให้กับผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญาไปแล้วจำนวนหนึ่งแต่ยังไม่เพียงพอ จึงต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบเบิกจ่ายส่วนที่ยังคงค้างอยู่       กรมฯ มีภารกิจในการให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา หากตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมโดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดหรือต้องกลายเป็นแพะติดคุกทั้งๆ ที่ไม่มีความผิด มีสิทธิที่จะขอรับการเยียวยาจากรัฐได้ตาม พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทน ครม.ไฟเขียวงบ 1,155 ล้านบาท ผุดโรงไฟฟ้า 3 จว.ใต้       เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2561 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติให้บริษัท พีอีเอ เอ็นคอม เอ็นเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ร่วมทุนกับภาคเอกชนจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนผลิตไฟฟ้าจากชีวมวล 3 บริษัท คือ บริษัท ประชารัฐชีวมวลนราธิวาส จำกัด บริษัท ประชารัฐชีวมวลแม่ลาน จำกัด และ บริษัท ประชารัฐชีวมวลบันนังสตา จำกัด       โดยบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม เอ็นเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จะลงทุนร้อยละ40 ที่เหลืออีกร้อยละ 60 ให้เอกชนและวิสาหกิจชุมชนร่วมลงทุน       โรงไฟฟ้าชีวมวล จ.นราธิวาส มีกำลังการผลิต 9.9 เมกะวัตต์ มูลค่าโครงการลงทุน 755 ล้านบาท โรงไฟฟ้าชีวมวลปัตตานี กำลังการผลิต 3 เมกะวัตต์ มูลค่าโครงการ 410 ล้านบาท โรงไฟฟ้าชีวมวลยะลา กำลังการผลิต 3 เมกะวัตต์ มูลค่าโครงการ 390 ล้านบาท       โครงการทั้งหมดมีระยะเวลา 20 ปี เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 1,555 ล้านบาท ทั้งนี้ สำหรับโรงไฟฟ้าทั้ง 3 จะช่วยสร้างความมั่นคงด้านไฟฟ้าพลังงานให้กับทางภาคใต้ เกิดการสร้างงานในพื้นที่ โดยมีแผนการก่อสร้างเดือนกรกฎาคม 2561 คาดว่าก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มจ่ายไฟฟ้าเดือนพฤศจิกายน 2563       ทั้งนี้เป็นไปตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ให้กระทรวงพลังงานสนับสนุนโครงการที่เน้นให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนทำให้รู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ครม. เคาะเพิ่มงบ สร้างรัฐสภาใหม่ 512 ลบ. ตีกลับงบ 8,000 ลบ.       เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2561 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติเพิ่มวงเงินงบประมาณ สำหรับโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ วงเงิน 512.50 ล้านบาท ประกอบด้วยค่าก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ พร้อมอาคารประกอบ 273.51 ล้านบาท ค่าควบคุมงานก่อสร้าง 150.45 ล้านบาท และค่าที่ปรึกษาบริหารโครงการก่อสร้าง 88.54 ล้านบาท โดยทางรัฐสภาให้เหตุผลว่าเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อเร่งรัดให้การก่อสร้างเสร็จเร็วขึ้นกว่าเดิม       ในส่วนของห้องประชุมวุฒิสภา ห้องกรรมาธิการ และที่ทำงานบุคลากร กำหนดให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม ส่วนห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร และพื้นที่เชื่อมต่อบางส่วนกำหนดให้แล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม 2562 เพื่อรองรับการเลือกตั้ง แต่การเก็บรายละเอียดทั้งโครงการ จะต้องเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2562       ส่วนที่มีการขออนุมัติงบประมาณ 8,135.56 ล้านบาท และขอขยายเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ตั้งแต่ปี 2561-2563 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการด้านอื่นๆ คณะรัฐมนตรียังไม่ให้ความเห็นชอบเนื่องจากยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจน โดยบางชิ้นยังมีราคาสูง เว้นภาษีค่าอบรมสัมมนา “55 จว.ท่องเที่ยวเมืองรอง”       เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2561 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่พระราชกฤษฎีกายกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สําหรับเงินได้ที่ได้จ่ายไปในการอบรมสัมมนาภายในประเทศ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป       โดยในพระราชกฤษฎีกานี้ “จังหวัดท่องเที่ยวรอง” โดยยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เป็นจํานวน 100% ของรายจ่ายในการอบรมสัมมนาที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจัดให้แก่ลูกจ้าง ณ ท้องที่ใดท้องที่หนึ่งในจังหวัดท่องเที่ยวรอง หรือในเขตพื้นที่ท่องเที่ยวอื่นใดที่อธิบดีประกาศกําหนดโดยคําแนะนําของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2561 โดยกำหนดให้เฉพาะรายจ่ายค่าห้องสัมมนา ค่าห้องพัก ค่าขนส่ง หรือรายจ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการอบรมสัมมนาที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจ่าย ค่าบริการที่ได้จ่ายให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนําเที่ยวตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจนําเที่ยวและมัคคุเทศก์เพื่อการอบรมสัมมนา กม. วิสาหกิจชุมชนฉบับใหม่ ให้จดทะเบียนนิติบุคคล       เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 24561 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจรมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน ซึ่งถือเป็นกฎหมายที่สำคัญสำหรับวิสาหกิจชุมชน โดยกฎหมายดังกล่าว มีสาระสำคัญ คือ กำหนดให้วิสาหกิจชุมชนที่จดทะเบียนมีฐานะเป็นนิติบุคคล และหากวิสาหกิจชุมชนที่ประสงค์จะจดทะเบียนตามกฎหมายดังกล่าวต้องมีผลประกอบการในลักษณะวิสาหกิจชุมชนมาแล้วไม่ต่ำกว่า 1 ปี รวมถึงการปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนเพิ่มหน่วยงานที่มีบทบาทในการให้การส่งเสริมและพัฒนากิจการวิสาหกิจชุมนุม       ทั้งนี้ยังได้มีการยกเลิกคณะกรรมการประสานนโยบายกองทุนเพื่อพัฒนาการกิจการวิสาหกิจชุมชน โดยที่จะโอนอำนาจหน้าที่ให้กับคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน และเพิ่มบทกำหนดโทษทางปกครอง โดยกำหนดให้ผู้ที่นำคำว่าวิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจชุมชนนิติบุคคล เครือข่ายวิสาหกิจชุมชน หรือเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนนิติบุคคลไปใช้โดยไม่จดทะเบียนจะต้องถูกปรับวันละ 1,000 บาท จนกว่าจะเลิกนำไปใช้ มติ กรรมการสรรหาเคาะ 5 ว่าที่ กกต.       เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2561 คณะกรรมการสรรหาบุคคลที่สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่มี นายชีพ จุลมนต์ ประธานศาลฎีกา เป็นประธาน ได้ลงมติเลือกผู้สมัครจำนวน 5 คน เพื่อเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ให้ความเห็นชอบโดยผู้ผ่านการคัดเลือกทั้ง 5 คน ประกอบด้วย       1. นายสันทัด ศิริอนันต์ไพบูลย์ อาจารย์ประจำสาขาเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี       2. นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์       3. นายอิทธิพร บุญประคอง อดีตอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ และอดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงไนโรบี สาธารณรัฐเคนยา และกรุงเฮก ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์       4. นายพีระศักดิ์ หินเมืองเก่า อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์, จ.ปทุมธานี, จ.ระนอง, จ.ชุมพร และ จ.นครศรีธรรมราช       5. นายธวัชชัย เทิดเผ่าไทย อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี และอดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.)       ผู้สมัครทั้งห้าได้รับการคัดเลือกจากผู้สมัครทั้งหมดจำนวน 24 คน จากผู้สมัครที่มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม โดยทั้ง 24 คนได้แสดงวิสัยทัศน์ต่อคณะกรรมการ หลังคณะกรรมการณ พิจารณาแล้วจึงลงคะแนนซึ่งทั้งห้าคนเป็นผู้ที่ได้รับคะแนนเสียงถึง 2 ใน 3 ของคณะกรรมการสรรหาฯ ที่มีอยู่ ตามมาตรา 12 ของ พ.ร.ป.กกต.       นอกจากบุคคลทั้งห้าแล้ว ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ยังได้มีมติเลือก นายฉัตรไชย จันทร์พรายศรี ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา และนายปกรณ์ มหรรณพ ผู้พิพากษาศาลฎีกา ให้เป็นตัวแทนศาลฎีกาในคณะกรรมการการเลือกตั้งด้วย ซึ่งบุคคลทั้งสองนี้เคยได้รับการเสนอชื่อมาแล้วในการสรรหา กกต. ครั้งก่อนหน้านี้ แต่ที่ประชุม สนช. ลงมติไม่ให้ความเห็นชอบในการเลือกผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็น กกต.รอบที่ผ่านมา       ในลำดับต่อไป จะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็น กกต. ทั้งเจ็ด จากนั้นจึงจะนำเสนอให้ที่ประชุม สนช. ลงมติต่อไป 'องค์กรท้องถิ่น' แชมป์ถูกร้องสอบโกง       วันที่ 30 พฤษภาคม 2561 สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ได้จัดทำสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องเรียน ประจำปี 2560 โดยประเด็นการร้องเรียนทุจริตที่พบมาก คือ พฤติกรรมส่อไปในทางทุจริตประพฤติมิชอบ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ 41.19% ยักยอกทรัพย์ ฉ้อโกง เบิกเงินอันเป็นเท็จ 9.91% ทุจริตโครงการของรัฐบาล 9.58% ทุจริตจัดซื้อจัดจ้าง เรียกรับเงิน 9.08% และจำนำข้าว 6.85%       สำหรับหน่วยงานที่ถูกร้องเรียนให้ตรวจสอบ 5 อันดับแรก คือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 17.35% กระทรวงมหาดไทย 15.11% สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 9.96% กระทรวงศึกษาธิการ 4.11%กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 2.34%       ส่วนจังหวัดที่มีการร้องเรียนมากที่สุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วยกรุงเทพมหานคร 13.19% นครราชสีมา 3.19% เชียงใหม่ 2.91% อุบลราชธานี 2.61% นครสวรรค์ 2.59% สภาพัฒน์ฯ เผยจีดีพีไตรมาสแรกโต 4.8% สูงสุดรอบ 5 ปี       เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2561 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงข่าวตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) โดยเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 4.8 เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 4.0 ในไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 20 ไตรมาส และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2561 ขยายตัวจากไตรมาสที่สี่ของปี 2560 ร้อยละ 2.0 (QoQ_SA) และแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2561 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.2–4.7 (ค่ากลางการประมาณการร้อยละ 4.5)