มีนาคม 2561 : 'สนช.' ผ่านร่างกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. 'สนช.' เอกฉันท์ เห็นชอบร่างกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. ด้วยคะแนน 211 เสียง สนช. ผ่าน กม.งบรายจ่ายปี 2561 1.5 แสนล้านบาท "ครม." ไฟเขียวจ่ายค่าจ้างเป็นรายเดือนตามหลักเกณฑ์ค่าแรงขั้นต่ำ แรงงานประมง "ครม." เห็นชอบมาตรการปราบโกง ให้หัวหน้าส่วนเร่งตรวจสอบ ขีดเส้น 30 วัน คสช. สรุป 9 เดือน มีประชาชนร้องเรียนผ่านศูนย์รับเรื่องร้องเรียนฯ จำนวน 3,664 เรื่อง “สทนช.” เผยปริมาณน้ำต้นทุนปี 61 สูงกว่า 70% เพียงพอรับมือภัยแล้ง ครม. ไฟเขียวเช่าเครื่องติดตามผู้ต้องหา 4,000 ตัว ใช้งบผูกพันข้ามปี ครม. ไฟเขียวร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ส่งส่วนปรับโครงสร้างให้ “กฤษฎีกา” ตรวจ คสช. ใช้ ม.44 สั่งปลด "สมชัย ศรีสุทธิยากร" ยุติการอยู่ทำหน้าที่กรรมการ กกต. ศาล รธน. มีมติเอกฉันท์ สนช. ต่ออายุกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ครม. ไฟเขียว 11 แผนปฏิรูปประเทศ เร่งส่งเข้าที่ประชุม สนช.เห็นชอบ ครม. ไฟเขียว ร่าง พ.ร.ก.คุมเงินดิจิทัล ครม. อนุมัติปรับปรุงแผนบริหารหนี้สาธารณะปี 61 เพิ่มกว่า 8.5 หมื่นล้าน ครม. อนุมัติร่างกฎกระทรวงการขอและการออกใบอนุญาตจัดตั้งสนามบิน 'สนช.' เห็นชอบร่างกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.       เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2561 ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีมติเอกฉันท์ 211 เสียง งดออกเสียง 7 เสียง เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส. ให้ประกาศใช้เป็นกฎหมาย ภายหลังคณะกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย ปรับแก้ไข 8 มาตรา อาทิ ห้ามไม่ให้มีมหรสพ ในการหาเสียง การแก้ไขเวลาเลือกตั้ง จาก 07.00-17.00 น. เป็นเวลา 08.00 – 17.00 น. ค่าใช้จ่ายหาเสียงนั้น ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คำนวณจากการส่งผู้สมัคร การให้อำนาจ กกต. ส่งเรื่องให้ศาลฎีกาสั่งให้จัดการเลือกตั้งใหม่และตัดสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้ง แต่ยังคงให้ตัดสิทธิ์ผู้ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ห้ามเป็นข้าราชการการเมือง ทั้งนี้ ร่างกฎหมายจะส่งไปยังนายกรัฐมนตรี เตรียมนำขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไป       จากนั้น ที่ประชุมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา หรือ ส.ว. โดยบททั่วไปของร่างกฎหมายกลับไปใช้ร่างเดิมของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ( กรธ.) ที่กำหนดการแบ่งกลุ่มการสมัคร เป็น 20 กลุ่มอาชีพ ซึ่งมาจากการสมัครโดยอิสระ และกำหนดกระบวนการเลือกในทุกระดับทั้งแบบเลือกกันเองและเลือกไขว้ ขณะที่ในบทเฉพาะกาลที่ใช้กับวาระ 5 ปีแรกของสมาชิกวุฒิสภา จะใช้วิธีการตามที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ปรับแก้ ที่ให้แบ่งกลุ่มการสมัครเป็น 10 กลุ่มอาชีพ สามารถมาได้ 2 ช่องทาง คือ สมัครโดยอิสระ และองค์กรเป็นผู้ส่งสมัคร ซึ่งจะใช้วิธีเลือกกันเองโดยตรงในทุกระดับ พร้อมกำหนดบทลงโทษทางปกครองเพิ่มเติมสำหรับองค์กรที่รับรองบุคคลเข้าสมัครด้วยความเป็นเท็จ โดยที่ประชุมมีมติ 202:1 เสียง งดออกเสียง 13 เสียง เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ที่คณะกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่ายเสนอ โดยมีการปรับแก้ไข 2 ส่วน คือ ในส่วนของบทหลัก ได้ปรับแก้โดยกำหนดให้ ส.ว. มาจากกลุ่มสังคม 20 กลุ่มและให้สามารถสมัครแบบอิสระได้อย่างเดียว โดยใช้วิธีการเลือกไขว้ระหว่างกลุ่มสังคมควบคู่กับเลือกกันเอง รวมถึงเพิ่มอำนาจศาลฎีกาสามารถมีคำสั่งตัดสิทธิ์การเข้ารับสมัครการเลือกตั้งและสิทธิเลือกตั้ง (ใบแดง) แก่ผู้ที่ทุจริตการเลือกตั้ง       ส่วนในบทเฉพาะกาล กมธ. แก้ไข ให้ ส.ว. ชุดแรกมาจากกลุ่มสังคม 10 กลุ่ม ใช้วิธีการเลือกกันเองภายในกลุ่มอย่างเดียว และสามารถสมัครได้ 2 แบบ คือ สมัครอิสระกับองค์กรรับรอง โดยกรรมาธิการเสียงข้างมาก ยืนยันว่าการเขียนให้บทเฉพาะกาลแตกต่างไปจากบทหลักสามารถทำได้ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ ส่วนการที่บทเฉพาะกาลกำหนดให้ผู้สมัครเข้ารับการสรรหา ส.ว. ในการสรรหาครั้งแรกให้มาจาก 2 ส่วน คือ ผู้สมัครอิสระ และมาจากผู้แทนองค์กร เพื่อเปิดโอกาสให้องค์กรในพื้นที่สามารถส่งคนมาสมัคร ทำให้เป็นการเพิ่มช่องทางในการสมัครเข้ามา ส.ว. ได้มากขึ้น ไม่ได้เป็นการตัดสิทธิ์ผู้ใด สนช. ผ่าน กม.งบรายจ่ายเพิ่มเติม ปี 2561 1.5 แสนล้านบาท       เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2561 ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเห็นชอบ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 วงเงิน 1.5 แสนล้านบาท ด้วยเสียงเอกฉันท์ 183 เสียง ไม่มีเสียงไม่เห็นชอบ แต่งดออกเสียง 3 เสียงในส่วนของประธาน สนช. และรองประธาน สนช.       ตามรายละเอียดงบประมาณจำนวน 100,358,077,000 บาท ใน 4 ส่วน คือ 1. ส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและชุมชน จำนวน 4,600 ล้านบาท, 2. แผนงานปฏิรูปยุทธศาสตร์ปฏิรูปโครงสร้างการผลิตภาคเกษตร จำนวน 24,300,694,500 บาท, 3. แผนยุทธศาสตร์เสริมศักยภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิต จำนวน 21,078,454,400 บาท และ 4. แผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมเศรษฐกิจและพัฒนาศักยภาพชุมชน จำนวน 50,378,928,100 บาท และยังมีส่วนที่จ่ายเงินคงคลัง จำนวน 49,641,923,000 บาท ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เสนอขอเพื่อใช้ในนโยบายที่เร่งด่วนของรัฐบาล       นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องใช้งบประมาณเพื่อทำนโยบายของรัฐ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต้องขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะส่วนของเศรษฐกิจฐานราก ชุมชน และภาคเกษตรกร โดยงบประมาณที่จัดสรรจะใช้เพื่อดูแลและเสริมสร้างศักยภาพชุมชน ประชาชน เพื่อให้ประชาชนมีความกินดีอยู่ดี ครม. ไฟเขียวจ่ายค่าจ้างรายเดือนตามเกณฑ์ค่าแรงขั้นต่ำแรงงานประมง       เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2561 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงคุ้มครองแรงงานในงานประมงทะเล ที่กระทรวงแรงงานเสนอ เพื่อแก้ไขปัญหาแรงงานให้เบ็ดเสร็จ โดยร่างดังกล่าวได้มีการกำหนดค่าจ้าง จากเดิมการจ่ายค่าจ้างแรงงานประมงทะเลมีการจ่ายเป็นรายชั่วโมง รายวัน และรายเดือน หรือเป็นอย่างอื่นแล้วแต่นายจ้าง แต่ในครั้งนี้ต้องการให้แรงงานประมงมีรายได้ชัดเจน จึงกำหนดให้มีการจ่ายค่าจ้างให้กับลูกจ้างเป็นรายเดือน โดยลูกจ้างแรงงานประมงจะได้รับค่าจ้างไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายวันตามที่คณะกรรมการค่าจ้างประกาศกำหนดไว้ โดยคูณด้วย 30 วันเพื่อจ่ายเป็นรายเดือน ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างการทำงานในวันหยุดที่เป็นวันนักขัตฤกษ์ผ่านบัญชีธนาคารของลูกจ้าง ทั้งนี้ ทุกกรณีมีผลบังคับใช้หลังประกาศร่างกฎกระทรวง ยกเว้นในกรณีการจ่ายค่าจ้างในวันหยุดนักขัตฤกษ์ให้มีผลหลังประกาศแล้ว 45 วัน เพื่อให้นายจ้างมีเวลาตระเตรียมเรื่องการเปิดบัญชีลูกจ้างให้ทันตามกำหนดเวลา ครม. เห็นชอบมาตรการปราบโกง ขีดเส้น 30 วัน       เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2561 ผลการประชุมร่วมระหว่างคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณีมาตรการการป้องกันและปราบการทุจริตและประพฤติมิชอบในระบบราชการ โดย คสช. ได้เสนอ แนวทางมาตรการการป้องกันและปราบการทุจริตและประพฤติมิชอบในระบบราชการ ตามอำนาจของ คสช. ที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน แก่รัฐบาล ซึ่ง ครม. มีมติเห็นชอบ โดยมีรายละเอียดคือเมื่อมีการร้องเรียนการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือมีข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการทุจริตประพฤติมิชอบ ขอให้หน่วยงานราชการโดยเฉพาะหัวหน้าหน่วยงานนั้นๆ เริ่มต้นการตรวจสอบโดยทันที โดยกำหนดเวลาให้เริ่มต้นการตรวจสอบภายใน 7 วันนับแต่ได้รับข้อมูล และดำเนินการตรวจสอบให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน และหากตรวจสอบแล้วพบว่ามีหลักฐานชัดเจนจนสามารถชี้มูลความผิดได้ ให้หัวหน้าส่วนราชการนั้น ดำเนินการทางวินัยทันที โดยไม่ต้องรอผลคดีอาญา แต่อย่างใด และหากมีข้อมูลที่สามารถส่งให้ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) สามารถรับไปดำเนินการทางคดีอาญาได้ ขอให้ดำเนินการโดยทันที คสช.สรุป 9 เดือน ปชช.ร้องเรียนทุจริต 594 เรื่อง       เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2561 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ข้อมูลจากศูนย์รับเรื่องร้องเรียนการประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อเป็นช่องทางในการรับแจ้งข้อมูลข่าวสารและความเดือดร้อนของประชาชนที่เกี่ยวกับการประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ ผ่าน 3 ช่องทางหลัก คือ สายด่วน 1299, ตู้ ปณ.444 และแจ้งด้วยตนเองผ่านศูนย์รับเรื่องร้องเรียนฯ ที่หน่วยทหาร ตลอดระยะเวลา 9 เดือน ตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคม 2560 – 12 มีนาคม 2561 มีประชาชนร้องเรียนผ่านศูนย์รับเรื่องร้องเรียนฯ จำนวน 3,664 เรื่อง แยกเป็น เรื่องความเดือดร้อนทั่วไป 1,758 เรื่อง, การทุจริตประพฤติมิชอบ 594 เรื่อง, ยาเสพติด 442 เรื่อง และเป็นเรื่องที่มีข้อมูลไม่ชัดเจน 856 เรื่องซึ่งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนฯ โดยคณะทำงานกลั่นกรองได้นำข้อมูลทุกเรื่องเข้าสู่กระบวนการพิจารณากลั่นกรองเป็นวงรอบทุกสัปดาห์ ควบคู่ไปกับการส่งต่อเรื่องร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการต่อไป สทนช. เผยปริมาณน้ำต้นทุนปี 61 สูงกว่า 70%       รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวถึงการเตรียมการรับสถานการณ์ภัยแล้งในปี 2561 ว่า จากการรายงานสถานการณ์น้ำของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระบุว่าในปีนี้น้ำต้นทุนเพียงพอที่จะรองรับช่วงที่กำลังเข้าสู่ฤดูแล้งในปีนี้ซึ่งเพียงพอสำหรับการอุปโภค บริโภค รวมทั้งการทำการเกษตรซึ่งในปีนี้ จะไม่มีการประกาศงดการทำนาปรังในบางพื้นที่เหมือนในปีที่ผ่านมา ส่วนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในช่วงฤดูแล้งในปี 2561 พบว่าในปัจจุบันแหล่งน้ำต่างๆ มีน้ำอยู่ 73% ของความจุ ดังนั้นน้ำอุปโภคบริโภค จะมีเพียงพอตลอดฤดูแล้งในปีนี้ ส่วนน้ำเพื่อการเกษตร จากการวิเคราะห์พื้นที่นาปรังซึ่งใช้น้ำมาก พบว่ามีความเสี่ยงขาดแคลนน้ำ ใน 74 อำเภอ 23 จังหวัด ซึ่งรัฐบาลได้เตรียมการสนับสนุนน้ำ โดยการทำฝนหลวงและสูบน้ำให้กับนาปรังที่ขาดน้ำ ส่วนในฤดูฝนที่จะมาถึงนี้ ได้คาดการณ์สภาพอากาศในลักษณะต่างๆ และเตรียมการพร่องน้ำในแหล่งน้ำต่างๆ ให้สามารถรองรับปริมาณฝนที่ตกลงมาได้ ซึ่งจะต้องติดตามสภาพอากาศอย่างต่อเนื่อง ครม.ไฟเขียวเช่าเครื่องติดตามผู้ต้องหา 4,000 ตัว       เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2561 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอมา โดยในหลักเกณฑ์การปล่อยตัวชั่วคราว นั้นได้ปรับปรุงให้มีความยืดหยุ่น และกำหนดมาตรการดำเนินการให้มีความรัดกุมมากขึ้น ซึ่งมีการแก้ไขหลักเกณฑ์การปล่อยตัวผู้ต้องหา หรือจำเลยชั่วคราวนอกจากนี้ที่ประชุมยังได้อนุมัติให้เช่า เครื่องมืออิเล็กโทรนิคติดตามตัวผู้กระทำผิด จำนวน 4,000 เครื่อง พร้อมระบบควบคุมการทำงานตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอมา ซึ่งเป็นในลักษณะการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ เป็นระยะเวลา 30 เดือน ซึ่งข้อดีของการเช่าคือ ทำให้รัฐบาลมีอุปกรณ์ที่ใหม่และพร้อมใช้งานอย่างต่อเนื่องเสมอไม่ขาดตอน และไม่ต้องตั้งงบประมาณในการซ่อม ทั้งนี้ การใช้เครื่องมือติดตามเหล่านี้ รัฐจะประหยัดงบได้มาก เมื่อพิจารณาค่าอาหารกับจำนวนผู้คุม เพื่อดูแลผู้ต้องหา ครม. เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ตำรวจ ส่วนโครงสร้าง       เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2561 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงเพิ่มเติมการบริหารงานบุคคลของข้าราชการตำรวจ อาทิ การแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติองค์ประกอบอำนาจหน้าที่คณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) ให้กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ตำรวจ ยกเลิกอำนาจการคัดเลือกแต่งตั้ง ผบ.ตร. และแก้ไขปรับปรุงหน้าที่คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) มีอำนาจพิจารณาคัดเลือก ผบ.ตร. เป็นต้น โดยระหว่างนี้จะส่งส่วนแรกนี้ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาไปพลางก่อน เมื่อได้รายละเอียดครบสมบูรณ์ทั้งหมดแล้วจะนำเข้าที่ประชุม ครม. พิจารณาอีกครั้ง และส่งให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติพิจารณาในคราวเดียวกันด้วย จากนั้นจะรายงานให้ สนช. ทราบและประกาศใช้แผนการปฏิรูปประเทศไม่เกินวันที่ 5 เมษายนนี้ คสช. ใช้ ม.44 สั่งปลด 'สมชัย ศรีสุทธิยากร' พ้น กกต.       เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2561 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 4/2561 เรื่อง ให้กรรมการการเลือกตั้งยุติการอยู่ปฏิบัติหน้าที่ โดยให้นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง ยุติการอยู่ปฏิบัติหน้าที่กรรมการการเลือกตั้งตั้งแต่วันที่คําสั่งนี้ใช้บังคับเป็นต้นไป เนื่องจากมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในกรณีการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงความเห็นของตนเกี่ยวกับกระบวนการและกําหนดการการเลือกตั้งด้วยถ้อยคำที่ไม่สมควรในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความสับสน อันจะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานของคณะกรรมการการเลือกตั้งและการจัดการการเลือกตั้งให้สําเร็จลุล่วงไปด้วยดี รวมถึงได้ปรากฏข้อเท็จจริงด้วยว่า นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ได้สมัครเข้ารับการคัดเลือกให้ดํารงตําแหน่งเลขาธิการ คณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยไม่ได้ลาออกจากการปฏิบัติหน้าที่กรรมการการเลือกตั้ง ศาล รธน. ชี้ ต่ออายุกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ       เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2561 กรณีที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ป.ป.ช. ในกรณีที่ให้ ป.ป.ช. ชุดปัจจุบันซึ่งมี พล.ต.อ.วัชรพล ประสานราชกิจ เป็นประธานอยู่ในตำแหน่งต่อไป ว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ล่าสุดวันนี้ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยว่า ประเด็นดังกล่าวไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ครม. เห็นชอบ 11 แผนปฏิรูป สั่งทุกกระทรวงเร่งดำเนินการ       เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2561 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ เห็นชอบร่างแผนการปฏิรูประเทศทั้ง 11 ด้าน ประกอบด้วย 1. ด้านการเมือง 2. ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน 3. ด้านกฎหมาย 4. ด้านกระบวนการยุติธรรม 5. ด้านเศรษฐกิจ 6. ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 7. ด้านสาธารณสุข 8. ด้านสื่อมวลชนเทคโนโลยีสารสนเทศ 9. ด้านสังคม 10. ด้านพลังงาน และ 11. ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ       สำหรับประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศไทยในภาพรวม 4 ด้าน ได้แก่ 1. ประเทศไทยมีฐานทรัพยากรรองรับการใช้ประโยชน์อย่างสมดุลในเชิงสังคมและเชิงเศรษฐกิจ 2. ประชาชนมีสวัสดิการของรัฐที่เหมาะสม มีโอกาสในการสร้างอาชีพและได้รับความเป็นธรรมในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และกระบวนการยุติธรรม 3. ภาคเกษตร อุตสาหกรรมบริการและการวิจัยพัฒนานวัตกรรมได้รับการยกระดับ และ 4. การบริหารจัดการภาครัฐมีความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการของประชาชน การดำเนินการตามแผนการปฏิรูปทั้ง 11 ด้าน จะก่อให้เกิดประโยชน์ในแต่ละระดับของสังคม คือระดับประชาชน ชุมชนและท้องถิ่น ภาคธุรกิจ ภาครัฐ และประเทศ ทั้งนี้ ภายหลังที่ ครม. เห็นชอบแผนปฏิรูปประเทศทั้ง 11 ด้านแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะนำเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อผ่านความเห็นชอบ จากนั้นจะลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ครม. ไฟเขียว พ.ร.ก.คุมเงินดิจิทัล       เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2561 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้พิจารณาเห็นชอบร่าง พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การประกอบสินทรัพย์ดิจิทัลตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามขั้นตอนก่อนที่จะมีการส่งไปประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อมีผลบังคับใช้ตามกฎหมายต่อไป โดยคณะกรรมการกฤษฎีกาไม่ได้มีการปรับแก้ไขสาระสำคัญของกฎหมายของ พ.ร.ก. แต่คณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอให้มีการตัดคำว่าสกุลเงินอื่นๆ ในร่างกฎหมายออกไปก่อนคงไว้แต่ในส่วนของสกุลเงินดิจิทัลที่เกิดขึ้นแล้วคือ คริปโต และโทเคน โดยหากในอนาคตหากมีสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ เพิ่มขึ้นจึงค่อยมีการเสนอให้ ครม. พิจารณาเพิ่มเติมต่อไป ขณะที่ในการจัดเก็บภาษีที่เกิดขึ้นจากธุรกรรมเงินดิจิทัลยังคงสัดส่วนการจัดเก็บตามที่กรมสรรพากรเสนอคงไว้ที่ 15% รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ครม. ไฟเขียวปรับแผนบริหารหนี้สาธารณะปี 61       เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2561 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติการปรับปรุงแผนบริหารหนี้สาธารณะ โดยมีการปรับวงเงินเพิ่ม 85,906 ล้านบาทเป็นวงเงินรวม 1.58 ล้านล้านบาท ทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี มาอยู่ที่ระดับร้อยละ 42.8 ต่อจีดีพี ซึ่งปรับขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น จากเดิมที่ระดับร้อยละ 42.7 นอกจากนี้ การการปรับปรุงแผนบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวยังทำให้ภาระหนี้ต่องบประมาณปรับลดลงจากร้อยละ 9 เหลือร้อยละ 8.6 ครม.อนุมัติกฎหมายจัดตั้งสนามบิน       เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2561 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขอและการออกใบอนุญาตจัดตั้งสนามบิน พ.ศ. .... เพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการขอและออกใบอนุญาตจัดตั้งสนามบินสาธารณะ โดยร่างกฎกระทรวงดังกล่าวจะกำหนดให้ผู้ที่ขออนุญาตจัดตั้งสนามบินสาธารณะ (สนามบินเชิงพาณิชย์) และสนามบินส่วนบุคคลจะต้องมาขอใบอนุญาตจัดตั้งกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กทพ.) เท่านั้น