สิงหาคม 2560 : ศาลเลื่อนวันอ่านคำพิพากษา “ยิ่งลักษณ์” ศาลเลื่อนวันอ่านคำพิพากษา “ยิ่งลักษณ์” เหตุเจ้าตัวป่วย ศาลสั่งจำคุก “บุญทรง” และพวก คดีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ สนช. รับหลักการร่าง กม.ตรวจเงินแผ่นดิน "สนช." มีมติเอกฉันท์เห็นชอบ ร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2561 ศาลฎีกายกฟ้อง "สุเทพ-อภิสิทธิ์" คดีสลายม็อบ นปช. ครม. ตั้ง "ประวิตร" คุมยุทธศาสตร์ชาติ พร้อมตั้ง 12 กรรมการทรงคุณวุฒิ “ครม.” อนุมัติ จ่ายชดเชยราษฎรที่ได้รับผลกระทบ “ฝายราษีไศล” 1 เดือน คสช. เปิดศูนย์ร้องเรียน มี ปชช. แจ้งข้อมูล 1,320 เรื่อง "ครม." เห็นชอบรายชื่อคณะกรรมการปฏิรูป 11 ด้าน ครม. เห็นชอบ "พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน" เพิ่มสิทธิลูกจ้าง พิพากษายกฟ้องคดีสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ปี 2551 เพิ่มภาษี "เบียร์ -สุรา - ยาสูบ" 2% ส่งเข้ากองทุนผู้สูงอายุ "ครม." ไฟเขียวช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ครม. อนุมัติแผนพัฒนาภาคอีสาน "ครม." มีมติเห็นชอบ "ร่าง พ.ร.บ.พัฒนารัฐวิสาหกิจ" "ครม." เห็นชอบ ช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยครัวเรือนละ 3,000 บาท ครม.อนุมัติผู้บริจาคช่วยเหลือน้ำท่วมลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่า “ยิ่งลักษณ์” อ้างป่วยไม่มาฟังคำพิพากษา       เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2560 ซึ่งเป็นวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดอ่านคำพิพากษาคดี ของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีในคดีที่ไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ทั้งที่รู้ว่าทุจริต ปรากฏว่านางสาวยิ่งลักษณ์ ไม่มาตามที่ศาลนัด แต่ให้ทนายและผู้รับมอบอำนาจมายื่นจดหมายมาแจ้งว่าไม่สามารถมาฟังคำพิพากษาได้เนื่องจากป่วยน้ำในหูไม่เท่ากันโดยไม่มีใบรับรองแพทย์มาแสดง ดังนั้นหลังจากองค์คณะพิจารณาแล้วไม่เชื่อเหตุที่จำเลยอ้างว่าจะเป็นสาเหตุให้ไม่สามารถมาได้จริง จึงให้ออกหมายจับ และเลื่อนนัดอ่านคำพิพากษาคดีจำนำข้าว เป็นวันที่ 27 กันยายนนี้ เวลา 09.00 น.       หลังจากนั้นมีรายงานข่าวในสื่อหลายฉบับอ้างว่านางสาวยิ่งลักษณ์ได้เดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว แต่ก็ไม่มีการยืนยันจากหน่วยงานของรัฐว่าข้อมูลนี้เป็นความจริง รวมทั้งนางสาวยิ่งลักษณ์ยังไม่ได้ปรากฏตัวในต่างประเทศด้วย จึงต้องรอดูว่าในวันที่ 27 กันยายน นางสาวยิ่งลักษณ์จะมาปรากฏตัวฟังคำพิพากษาหรือไม่ ศาลสั่งจำคุก “บุญทรง” 42 ปี “ภูมิ” 36 ปี       เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2560 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาคดี คดีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี ว่าจำเลยที่ 1-23 ยกเว้นจำเลยที่ 3 และ 16 ที่หลบหนี มีความผิดตามฟ้อง ให้จำคุกนายภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว จำนวน 36 ปี นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ 42 ปี นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ 40 ปี นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตผู้อำนวยการสำนักการค้าข้าวต่างประเทศ และอดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ 32 ปี นายอัครพงศ์ ช่วยเกลี้ยง หรือทีปวัชระ อดีตเลขานุการกรมการค้าต่างประเทศ และอดีตผู้อำนวยการสำนักการค้าข้าวต่างประเทศ 24 ปี นายอภิชาติ หรือเสี่ยเปี๋ยง จันทร์สกุลพร 48 ปี ส่วนจำเลยอื่นจำคุกลดหลั่นตามพฤติการณ์ และให้บริษัทสยามอินดิก้า จำเลยที่ 10 และนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร จำเลยที่ 14 และนายนิมล รักดีจำเลยที่ 15 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่กระทรวงการคลัง 1.6 หมื่นล้าน พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 นับแต่วันที่รับมอบข้าวตามสัญญาแต่ละฉบับ จำเลยอื่นให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามส่วนเช่นเดียวกัน โดยยกฟ้องจำเลยที่ 19 และจำเลยที่ 22 ถึง 28 สนช. รับหลักการร่าง กม.ตรวจเงินแผ่นดิน       เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2560 ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มีนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช. คนที่ 1 เป็นประธานการประชุม เพื่อร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การตรวจเงินแผ่นดิน ที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เป็นผู้เสนอ โดยนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. ทั้งนี้ มีมติรับหลักการวาระแรก ด้วยคะแนน 164 ต่อ 1 เสียงและตั้งคณะกรรมาธิการจำนวน 30คน เพื่อพิจารณาในรายละเอียดมีกำหนดเวลาการทำงานให้เสร็จภายใน 50 วันก่อนส่งมาให้ที่ประชุม สนช. พิจารณาลงมติอีกครั้ง       สำหรับ ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีสาระสำคัญ คือ การกำหนดให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) มีจำนวน 7 คน มีวาระการดำรงตำแหน่ง 7 ปี ซึ่งมาจากบุคคลที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ได้แก่ ด้านการตรวจเงินแผ่นดิน กฎหมาย การบัญชี การตรวจสอบภายใน การเงินการคลัง และด้านอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อการตรวจเงินแผ่นดินเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 10 ปี นอกจากนี้ ยังกำหนดให้มีผู้ว่าการตรวจเงินแผนดินหนึ่งคน ซึ่งมาจากการสรรหาของ คตง. และการลงมติเลือกของวุฒิสภา โดยผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินจะมีระยะเวลาดำรงตำแหน่ง 6 ปี สนช. เอกฉันท์ผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 61       เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2560 ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2561 วงเงิน 2.9 ล้านล้านบาทในวาระที่ 2-3 ภายหลังคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว โดยที่ประชุม สนช. มีมติเอกฉันท์เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ด้วยคะแนน 200 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง เพื่อประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป ยกฟ้อง 'สุเทพ-อภิสิทธิ์' คดีสลายม็อบ นปช.       เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2560 ศาลนัดฟังคำสั่งฎีกา คดีสลายการชุมนุมกลุ่ม นปช. เมื่อ ปี 2553 ตามที่พนักงานอัยการคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และอดีต ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ผอ.ศอฉ. เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันก่อให้เกิดการฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่น กรณี เมื่อระหว่างวันที่ 7 เมษายน - 19 พฤษภาคม 2553 จำเลยกับพวกร่วมกันมีคำสั่ง ศอฉ. ให้มีการสลายการชุมนุมกลุ่มแนวร่วม นปช.โดยใช้อาวุธปืน และเครื่องกระสุนจริงเพื่อขอคืนพื้นที่จากกลุ่มผู้ชุมนุมทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก ทั้งที่ไม่ปรากฏว่ามีกลุ่มผู้ชุมนุมกระทำการใดๆ อันเป็นการก่อการร้ายหรือชุมนุมโดยใช้ความรุนแรงแต่อย่างใด คำสั่งของจำเลยกับพวกจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิดด้วย       คดีนี้ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ มีคำสั่งให้ยกฟ้อง ไม่รับสำนวนคดีไว้พิจารณา และอัยการโจทก์ยื่นฎีกา ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้ศาลชั้นต้นรับคดีไว้พิจารณาด้วย ทั้งนี้ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าที่ศาลล่างทั้งสองมีคำพิพากษามานั้น ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนยกฟ้อง ทำให้คดีถือเป็นที่สุด 12 กรรมการยุทธศาสตร์ชาติ       เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2560 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบแต่งตั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ชุดที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน นอกจากนั้น ครม. ยังเห็นชอบรายชื่อกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ จำนวน 12 คน ประกอบด้วย ด้านความมั่นคง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, ด้านเศรษฐกิจ ประกอบด้วย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ, นายศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO), นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ ด้านสังคม ได้แก่ นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน), นายกานต์ ตระกูลฮุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ด้านการศึกษา ประกอบด้วย นายเทียนฉาย กีระนันท์ อดีตประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.), นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และอดีตเลขานุการคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดิน การปฏิรูปประเทศและเสริมสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) และ ด้านสาธารณสุข ได้แก่ นพ.พลเดช ปิ่นประทีป อดีตสมาชิก สปช., นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ, พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกฯ และ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม 'ครม.' ช่วยราษฎรรับผลกระทบ 'ฝายราษีไศล'       เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2560 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) มีมติเห็นชอบตามที่ประธานกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล เสนอขออนุมัติจ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล โดยใช้งบประมาณค่าซื้อที่ดิน ค่าทดแทน ค่ารื้อย้าย ในการจัดหาที่ดินของกรมชลประทาน ดังนั้น ที่ประชุมจึงอนุมัติจ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศลในแปลงที่ดินที่ผ่านความเห็นชอบการตรวจสอบจากคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล จ.ศรีสะเกษ และ จ.ร้อยเอ็ด โดยเป็นไปตามขั้นตอนที่คณะกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศลกำหนดไว้ รวมจำนวน 54 แปลง เนื้อที่ 86-2-38.3 ไร่ ในอัตราไร่ละ 32,000 บาท รวมเป็นเงิน 2,771,064 บาท โดยใช้งบประมาณค่าซื้อที่ดิน ค่าทดแทน ค่ารื้อย้าย ในการจัดหาที่ดินของกรมชลประทาน ร้อง คสช. ข้อมูลทุจริต 1,320 เรื่อง       พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ( คสช.) เปิดเผยว่า จากยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างยั่งยืน ซึ่ง คสช. และรัฐบาลได้ดำเนินการในทุกมิติมาอย่างต่อเนื่อง โดยได้จัดตั้ง “ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนการประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ของรัฐ” เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการรับแจ้งเรื่องร้องเรียนจากประชาชนที่เกี่ยวกับการประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ และได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคม 2560 จากการทำงานของศูนย์รับเรื่องร้องเรียนฯ ใน 1 เดือนที่ผ่านมาปรากฏว่าประชาชนให้ความสนใจแจ้งข้อมูลหลากหลายผ่านทั้ง 3 ช่องทางเป็นจำนวนถึง 1,320 เรื่อง แยกเป็น ผ่านสายด่วน 668 เรื่อง, ตู้ ปณ. 433 เรื่อง, แจ้งด้วยตนเองในส่วนกลาง 102 เรื่อง และแจ้งผ่านศูนย์รับเรื่องในภูมิภาค/หน่วยทหารทั่วประเทศอีก 117 เรื่อง โดยเป็นเรื่องทุจริตประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ 129 เรื่อง ความเดือดร้อนของประชาชน แต่ไม่เกี่ยวกับการประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ 666 เรื่อง ร้องเรียนเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด จำนวน 110 เรื่อง เรื่องร้องเรียนที่ข้อมูลยังไม่เพียงพอ และรอรับรายละเอียดเพิ่มเติมจากผู้ร้อง 11 เรื่อง และเรื่องร้องเรียนที่ไม่มีรายละเอียดเพียงพอที่จะสามารถดำเนินการได้ 404 เรื่อง ซึ่งเรื่องร้องเรียนทั้งหมดศูนย์รับเรื่องร้องเรียนฯ โดยคณะทำงานกลั่นกรองได้นำข้อมูลทุกเรื่องเข้าสู่กระบวนการพิจารณา และดำเนินการเรียบร้อยแล้ว เปิดรายชื่อคณะกรรมการปฏิรูป 11 คณะ       เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2560 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบรายชื่อคณะกรรมการปฏิรูป 11 ด้าน ตาม พ.ร.บ.แผนและขั้นตอนการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. 2560 ประกอบด้วย 1. ด้านการเมือง 2. ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน 3. ด้านกฎหมาย 4. ด้านกระบวนการยุติธรรม 5. ด้านเศรษฐกิจ 6. ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 7. ด้านสาธารณสุข 8. ด้านสื่อสารมวลชน 9. ด้านสังคม 10. ด้านพลังงาน 11. ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ โดยคณะกรรมการทั้งหมดมีวาระดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี โดยที่ประชุม ครม.วันเดียวกันนี้ แต่งตั้งทั้งสิ้น 120 คน เหลืออีก 45 คนจะได้พิจารณาแต่งตั้งเพิ่มต่อไป ซึ่งเป็นไปตามแนวทางที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เคยสั่งการให้มีข้าราชการประจำน้อยที่สุด ทั้งนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2560 เป็นต้นไป มติ ครม. เพิ่มสิทธิ 'พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน'       เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2560 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบในหลักการร่างแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองแรงงาน โดยมีสาระสำคัญเรื่องการเพิ่มเติมสิทธิของลูกจ้าง โดยกำหนดให้นายจ้างเสียดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีในกรณีที่นายจ้างผิดนัดการจ่ายค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ส่วนกรณีการเปลี่ยนแปลงตัวนายจ้างต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้างและนายจ้างใหม่ก่อนรับไปทั้งสิทธิหน้าที่ กำหนดให้ลูกจ้างชายหรือหญิงได้รับค่าจ้างเท่าเทียมกันในงานที่มีคุณค่าเท่ากัน รวมถึงกำหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิลากิจธุระในเหตุที่จำเป็นโดยได้รับค่าจ้างไม่น้อยกว่า 3 วันทำงาน และให้ลูกจ้างสามารถลาเพื่อตรวจครรภ์ก่อนคลอดบุตรได้ 90 วันโดยได้รับค่าจ้างไม่เกิน 45 วัน ทั้งนี้ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ยังได้พิจารณาเพิ่มอัตราค่าชดเชย กรณีลูกจ้างทำงานติดต่อกันครบ 20 ปีขึ้นไป เมื่อถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิดให้ลูกจ้างได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 400 วัน เดิมกฎหมายเก่ากำหนดไว้ว่าต้องทำงานครบ 10 ปีขึ้นไปถึงจะได้รับค่าชดเชย 300 วันเท่านั้น มติยกฟ้องสลายม็อบพันธมิตร       เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2560 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง องค์คณะผู้พิพากษาได้อ่านคำพิพากษาในคดีสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ปี 2551 และได้พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 2 คือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้ลาออกจากตำแหน่งก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ ในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 จำเลยที่ 3 พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ ไม่ได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ส่วนจำเลยที่ 4 พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ       นอกจากนี้ศาลฎีกายังได้ระบุคำฟ้องและอ่านคำโต้แย้งของจำเลยโดยเห็นว่าการทำหน้าที่ของนายสมชาย และ พล.ต.อ.พัชรวาท รวมไปถึง พล.ต.ท.สุชาติ เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ปฏิบัติตามขั้นตอนและแผนกรกฎ ไม่มีเจตนาทำร้ายผู้ชุมนุม เพราะกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ได้ชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ส่วนกรณีที่มีผู้ชุมนุมเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บนั้น จากคำเบิกความของผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ไม่ได้เกิดจากอาวุธของเจ้าหน้าที่รัฐ แม้ว่าแก๊สน้ำตาที่ผลิตจากประเทศจีนจะมีอานุภาพร้ายแรง แต่ก็อยู่เหนือความคาดหมายเจ้าหน้าที่ และหากสถานการณ์ยังไม่คลี่คลายเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ครม. ไฟเขียวเก็บภาษีจาก 'เบียร์-สุรา-ยาสูบ' เพิ่ม 2%       เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2560 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่างพ.ร.บ.ผู้สูงอายุ โดยอนุมัติในหลักการส่วนการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนผู้สูงอายุจากภาษีสุรา ยาสูบ และเบียร์ ในอัตรา 2% ในแต่ละรายสินค้า เพื่อนำเงินที่ได้จากการจัดเก็บเข้ากองทุนผู้สูงอายุ ขณะเดียวกันได้กำหนดเพดานการจัดสรรเงินเข้ากองทุนไว้ที่ 4,000 ล้านบาทต่อปี       ในปัจจุบันกรมสรรพสามิตได้มอบเงินอุดหนุนให้แก่ 3 หน่วยงานประกอบด้วย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ปีละ 2% ของภาษีบาป องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย หรือ TPBS 1.5% โดยกำหนดเพดานไม่เกิน 2,000 ล้านบาท และกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติได้รับเงินจากภาษีบาปปีละ 2% แต่ไม่เกิน 2,000 ล้านบาท ส่งผลให้หลังจากนี้กรมสรรพสามิตจะต้องจัดสรรเงินจากภาษีบาปดังกล่าวรวมทั้งสิ้น 7.5% ต่อปี ขณะที่กระทรวงการคลัง เตรียมหามาตรการจูงใจเพื่อให้ผู้สูงอายุที่มีฐานะ บริจาคเงินเข้ากองทุนดังกล่าวแบบสมัครใจด้วย โดยคาดว่าจะมีเงินเพิ่มเข้ากองทุนดังกล่าวอีก 4,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม คาดว่าจากการจัดสรรเงินดังกล่าวเพิ่มขึ้น จะทำให้ผู้สูงอายุได้รับเงินช่วยเหลือเพิ่มเป็น 900-1,300 บาทต่อราย ครม. ไฟเขียวบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ       เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2560 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติการช่วยเหลือประชาชนผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ กำหนดผู้ได้รับสิทธิ 11.67 ล้าน โดยแยกเป็น 2 ส่วน ดังนี้ คือ ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง วงเงินค่าโดยสารรถเมล์และรถไฟฟ้า 500 บาท/คน/เดือน,วงเงินค่าโดยสารรถ บขส. 500 บาท/คน/เดือน, วงเงินค่าโดยสารรถไฟ 500 บาท/คน/เดือน ลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นสินค้าเพื่อการศึกษาและวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรมจากร้านธงฟ้าประชารัฐและร้านอื่นๆ ที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด รายได้สูงกว่า 30,000 บาทต่อปี จะได้สิทธิ์ 200 บาท/เดือน, สำหรับรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อปี จะได้สิทธิ์ 300 บาท/เดือน นอกจากนี้วงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้มจากร้านค้าที่กระทรวงพลังงานกำหนด 45 บาท/คน/3เดือน ครม. ไฟเขียวดันอีสานเป็นฮับเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง       เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2560 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เกี่ยวกับทิศทางพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากมีประชาชนและพื้นที่มีสัดส่วน 1/3 ของทั้งประเทศ ขณะที่จีดีพีภาคอีสานกลับมีสัดส่วนเพียง 1/10 ของประเทศ จึงต้องการพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง       สำหรับการพัฒนาภายใต้ยุทธศาสตร์ 5 ด้าน ประกอบด้วย การบริหารจัดการน้ำอย่างเพียงพอและยั่งยืน ทั้งแหล่งน้ำใหม่และแหล่งน้ำเดิม การแก้ปัญหาความยากจน ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม การสร้างอาชีพให้คนพิการ การพัฒนาอาชีพ การสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้งการส่งเสริมการปลูกข้าวหอมมะลิแบบอินทรีย์ การส่งเสริมปศุสัตว์ เนื่องจากเป็นพื้นที่เลี้ยงปศุสัตว์มากที่สุด การพัฒนาโครงข่ายคมนาคม เพื่อเชื่อมไปสู่ภาคกลางและภาคตะวันออก การร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการพัฒนาเศรษฐกิจตามแนวชายแดน ไฟเขียว 'ร่าง พ.ร.บ.พัฒนารัฐวิสาหกิจ'       เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2560 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.การพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. ต่อไป       โดย ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวประกอบด้วยหลักการสำคัญ คือ จัดตั้ง คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ หรือ คนร. ซึ่งเป็นคณะกรรมการระดับชาติเพื่อกำหนดนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระบบ มีแผนยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจ เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนารัฐวิสาหกิจให้มีความชัดเจนและโปร่งใส มีกระบวนการสรรหากรรมการที่ชัดเจน โปร่งใสและมุ่งเน้นประสบการณ์และความรู้ความสามารถที่จำเป็นต่อการดำเนินงานและการพัฒนาของรัฐวิสาหกิจ มีกลไกระบบการกำกับดูแลที่ดี เพื่อเปิดเผยข้อมูลให้เกิดความโปร่งใสและส่งเสริมความรับผิดชอบในการดำเนินตามนโยบายของรัฐบาล พัฒนาระบบประเมินผลที่เชื่อมโยงกับแผนยุทธศาสตร์วิสาหกิจและนโยบายอย่างเป็นระบบ จัดตั้งบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติและทำหน้าที่ในฐานะผู้ถือหุ้นเชิงรุก       ทั้งนี้ รายชื่อ รัฐวิสาหกิจทั้ง 11 แห่ง ประกอบด้วย บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน)/ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)/ บริษัท ขนส่ง จำกัด/ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)/ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)/ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด/ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)/ บริษัท ไปรณีย์ไทย จำกัด/ บริษัท สหโรงแรมไทยและการท่องเที่ยว จำกัด/ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) และบริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด ครม. ไฟเขียวงบวงเงิน 1.6 พัน ลบ. เยียวยาน้ำท่วม       เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2560 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบวงเงินงบประมาณปี 2560 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 1,685 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยเนื่องจากพายุตาลัส และพายุเซินกา ครัวเรือนละ 3,000 บาท ที่ประสบภัยตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม-15 สิงหาคมนี้เท่านั้น       สำหรับการช่วยเหลือนั้น จะต้องเป็นเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เนื่องจากพายุตาลัส และพายุเซินกา เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรและประกอบกิจกรรมการเกษตรในช่วงที่ผ่านมาตามที่แจ้งขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก่อนเกิดภัยพิบัติเท่านั้น สำหรับการช่วยเหลือเกษตรกรจะต้องเสียหายสิ้นเชิง โดยจะพิจารณาช่วยเหลือจากมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นหรือจากต้นทุนการผลิตทั้งหมด หรือ จากค่าเสียโอกาสด้านรายได้เต็มจำนวนที่เกษตรกรจะได้หากไม่ประสบอุทกภัย ครม. อนุมัติผู้บริจาคช่วยเหลือน้ำท่วมลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่า       เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2560 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคอีสาน ประกอบด้วยด้วย มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการบริจาคและสร้างแรงจูงใจในการบริจาคทรัพย์สิน เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย สามารถนำเงินดังกล่าวมาหักลดหย่อนภาษีได้เพิ่ม 1.5 เท่า จากเดิมได้ลดหย่อนอยู่แล้ว 1 เท่า โดยบุคคลธรรมดานำมาหักลดหย่อนได้ไม่เกิน 10% ของรายได้ และนิติบุคคล ไม่เกิน 2% ของกำไรสุทธิ สำหรับการบริจาคตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม - 31 ตุลาคม 2560 โดยต้องบริจาคผ่านหน่วยงานภาครัฐ และองค์กรการกุศลที่ทางการกำหนด       นอกจากนี้ ยังได้อนุมัติให้เงินที่เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ห้างร้าน ห้องชุดต่างๆ มาหักลดหย่อนภาษีได้ตามค่าใช้จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท และสามารถนำรายจ่ายจากการซ่อมแซมรถยนต์และรถจักรยานยนต์มาหักลดหย่อนภาษีได้ตามค่าใช้จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท โดยค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะต้องใช้ตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม - 31 ตุลาคม 2560 รวมถึงการอนุมัติให้ใช้วงเงินสินเชื่ออุทกภัย ที่เคยช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในภาคใต้ ที่เหลืออยู่ 3,500 ล้านบาท มาใช้ช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในพื้นที่ภาคอีสานที่ประกาศเป็นพื้นที่อุทกภัยอีกด้วย