พฤษภาคม 2560 : คำถาม 4 ข้อจากนายกรัฐมนตรีก่อนการเลือกตั้ง "นายกรัฐมนตรี" ฝากคำถาม 4 ข้อถึงประชาชน ชี้โจทย์ใหญ่ "เลือกตั้ง" "ครม." เคาะงบประมาณปี 61 จำนวน 2.9 ล้าน ลบ. ลดลง 2.3 หมื่น ลบ. ที่ประชุม สปท. มีมติเห็นชอบร่างกฎหมายคุมสื่อ มติ "ครม." ตั้ง คกก.อิสระปฏิรูปการศึกษา พอต. ให้ต่างชาติเปิดมหาวิทยาลัยในไทย "นิด้าโพล" เผยผลสำรวจ 3 ปี "คสช." ประชาชน 42% มีความสุขเท่าเดิม ครม. ไฟเขียวตั้งกองทุนหมุนเวียน “ประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก” วงเงิน 5 หมื่นล้าน "เลขาสภาฯ" เผยรัฐสภาใหม่คืบหน้า ร้อยละ 35 "ครม." ไฟเขียวระดมทุนผ่านกองทุนไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ ลงทุนสร้างทางด่วน 2 สาย ครม. เห็นชอบแผนคุ้มครองผู้บริโภค 5 ยุทธศาสต์ 15 กลยยุทธ์ "สศค." เผย 7 เดือนรัฐจัดเก็บรายได้อยู่ที่ 1.22 ล้านล้านบาท ที่ประชุม ครม. อนุมัติงบกลางวงเงิน 521.86 ล้านบาท เยียวยาเกษตรกรประสบอุทกภัยปี 59/60 เพิ่มเติม "ครม." เห็นชอบงบประมาณเกือบ 5,900 ล้านบาท อุดหนุน "รฟท.-ขสมก." "สศช." เผยจีดีพีไตรมาสแรกขยายตัว 3.3% คาดส่งออกทั้งปีโต 3.6% จากเดิมคาดโต 2.9% "สบน." เผยหนี้สาธารณะคงค้างเดือน มี.ค. อยู่ที่ 6.16 ล้านลบ. คิดเป็น 42.27% ของจีดีพี "นายกรัฐมนตรี" ฝากคำถาม 4 ข้อก่อนเลือกตั้ง       พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ตอนหนึ่งว่า รัฐบาล และ คสช. ยืนยันว่า การเป็นประชาธิปไตยของไทย จะต้องไม่เป็นประชาธิปไตยที่ล้มเหลว จะต้องเป็นประชาธิปไตยที่มีรัฐบาลซึ่งยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาลนำพาให้ชาติมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ภายใต้ศาสตร์พระราชาให้ได้ โดยตนอยากฝากประเด็นคำถามไว้ 4 ข้อ เพื่อรับทราบความคิดเห็นของพี่น้องประชาชน และนำมาพิจารณาแนวทางการทำงานต่อไป คือ ท่านคิดว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไป จะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลหรือไม่? หากไม่ได้ จะทำอย่างไร? การเลือกตั้งเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย แต่การเลือกตั้งอย่างเดียวที่ไม่คำนึงถึงอนาคตของประเทศ และเรื่องอื่นๆ เช่น ประเทศชาติจะมียุทธศาสตร์และการปฏิรูปหรือไม่นั้น ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง? และ ท่านคิดว่ากลุ่มนักการเมืองที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในทุกกรณี ควรจะมีโอกาสเข้ามาสู่การเลือกตั้งอีกหรือไม่ หากเข้ามาได้อีก เกิดปัญหาอีก แล้วจะให้ใครแก้ไข และแก้ไขด้วยวิธีอะไร?       นายกรัฐมนตรีขอให้ส่งคำตอบ และความคิดเห็น มาทางศูนย์ดำรงธรรมในทุกจังหวัด แล้วให้กระทรวงมหาดไทยรวบรวมส่งต่อมา โดยยืนยันว่าตนจะยินดีรับฟัง ครม. เคาะงบปี 61 ที่ 2.9 ล้าน ลบ. ขาดดุล 4.5 แสน ลบ.       เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2560 นายสมศักดิ์ โชติรัตนศิริ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2561 (ตุลาคม 2560-กันยายน 2561) ประกอบด้วยประมาณการรายจ่าย ปีงบประมาณ 2561 ที่ 2.9 ล้านล้านบาท ลดลง 23,000 ล้านบาท จากปีงบประมาณ 2560 ขณะที่รายได้งบประมาณปี 2561 อยู่ที่ 2.45 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 79,921 ล้านบาท และตั้งขาดดุลงบประมาณ 450,000 ล้านบาท โดยรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2561 แบ่งเป็นรายจ่ายประจำ 2.15 ล้านล้านบาท รายจ่ายลงทุน 659,924 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 875 ล้านบาท รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ 86,942 ล้านบาท       ทั้งนี้ กรอบงบประมาณปี 2561 นั้น ภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณของกระทรวง หน่วยงาน ลดลงประมาณ 4,985.5 ล้านบาท เพิ่มงบประมาณ 4,984 ล้านบาท และเสนอของบประมาณเพิ่มเติมจากกรอบวงเงินของกระทรวง หน่วยงาน 47,110 ล้านบาท ตามที่ ครม. มีมติอนุมัติให้ปรับปรุงงบประมาณเพิ่มเติม       นอกจากนี้ ครม. ยังอนุมัติในหลักการให้สำนักงบประมาณปรับปรุงร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2561 ให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องเร่งด่วนและแจ้งผลการพิจารณาให้สำนักงบประมาณทราบโดยตรงก่อนนำไปจัดพิมพ์ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบ 2561 และเอกสารประกอบงบประมาณ ก่อนนำเสนอ ครม. พิจารณาอีกครั้งในวันที่ 30 พฤษภาคม 2560 สปท. มีมติเห็นชอบร่างกฎหมายคุมสื่อ       เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2560 ที่ประชุมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) พิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านสื่อสารมวลชน สปท. เรื่องร่าง พ.ร.บ.การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน และ ร่าง พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ โดยใช้เวลาอภิปรายประมาณ 7 ชั่วโมง โดยมีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ปรากฏว่าที่ประชุมลงมติเห็นชอบรายงานของคณะกรรมาธิการ ด้วยคะแนนเห็นชอบ 141 ไม่เห็นชอบ 13 งดออกเสียง 17 จากนั้นที่ประชุมได้พิจารณาว่าจะมีการตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้นมาพิจารณาเรื่องนี้อีกภายใน 30 วันหรือไม่ ปรากฏว่าที่ประชุมมีมติไม่เห็นด้วยด้วยคะแนน 88 ต่อ 67 และมอบหมายให้คณะกรรมาธิการไปแก้ไขเอง ตั้ง คกก.อิสระปฏิรูปการศึกษา       ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ แต่งตั้งกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา จำนวน 25 ราย 1. ศาสตราจารย์กิตติคุณ จรัส สุวรรณเวลา เป็นประธาน 2. นางกอบกุล อาภากร ณ อยุธยา 3. นายไกรยส ภัทราวาท 4. รองศาสตราจารย์จิรุตม์ ศรีรัตนบัลล์ 5. ผู้ช่วยศาสตราจารย์เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ 6. รองศาสตราจารย์ชัยยุทธ ปัญญสวัสดิ์สุทธิ์ 7. นางชุตินาฏ วงศ์สุบรรณ 8. รองศาสตราจารย์ดารณี อุทัยรัตนกิจ 9. นายตวง อันทะไชย 10. รองศาสตราจารย์ธิติพันธุ์ เชื้อบุญชัย 11. รองศาสตราจารย์ทิศนา แขมมณี 12. รองศาสตราจารย์นิชรา เรืองดารกานนท์ 13. รองศาสตราจารย์นภดล ร่มโพธิ์ 14. นายปกรณ์ นิลประพันธ์ 15. นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล 16. นางเพชรชุดา เกษประยูร 17. นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร 18. นางภัทรียา สุมะโน 19. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ยุวดี นาคะผดุงรัตน์ 20. นางเรียม สิงห์ทร 21. ศาสตราจารย์วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ 22. นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร 23. รองศาสตราจารย์ศิริเดช สุชีวะ 24. นายศุภชัย เจียรวนนท์ และ 25. นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล โดยมีสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการฯ ม. 44 ตั้ง 'บอร์ด พอต.' ให้ต่างชาติเปิดมหาวิทยาลัย       ราชกิจจานุเบกษา 26 พฤษภาคม 2560 คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 29/2560 เรื่อง การส่งเสริมการจัดการศึกษาโดยสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ เพื่อให้การขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาและการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศตามนโยบายของรัฐบาล โดยการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการถ่ายทอดความรู้ ความเชี่ยวชาญดังกล่าวจากสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ เพื่อจะได้นําองค์ความรู้ที่ได้รับมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ ภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง โดยเน้นสาขาขาดแคลน ทั้งนี้ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาการจัดการศึกษาโดยสถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศ (คพอต.) พิจารณา มี “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ” เป็นประธาน กรรมการมาจาก “ปลัดคลัง-ปลัดอุตฯ-ปลัดวิทย์ฯ-เลขาสภาพัฒน์-เลขาฯ บีโอไอ-ประธานสภาอุตฯ-ประธาน ทปอ.-นายกสมาคมอุดมฯ" ขณะที่ผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คนให้อำนาจ “รมว.ศธ.” แต่งตั้ง ส่วนเลขาธิการ กกอ. ทำหน้าที่เลขานุการ มี สกอ. เป็นฝ่ายธุรการ มีผลตั้งแต่ 26 พฤษภาคม 2560 ผลสำรวจ 3 ปี คสช. ปชช. 42% ความสุขเท่าเดิม       ศูนย์สำรวจความคิดเห็น "นิด้าโพล" ร่วมกับคณะนิติศาสตร์ และคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “3 ปี คสช. กับการคืนความสุขให้คนในชาติ” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 11-12 พฤษภาคมที่ผ่านมา จากประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 1,250 หน่วยตัวอย่าง โดยเมื่อถามถึงระดับความสุขของประชาชนในโอกาสครบรอบ 3 ปี ของ คสช. ในการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อคืนความสุขให้คนในชาติ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 42 ระบุว่า มีความสุขเท่าเดิม เพราะยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง รองลงมา ร้อยละ 32.64 ระบุว่า มีความสุขเพิ่มขึ้น เพราะ ไม่มีการชุมนุมและความวุ่นวายทางการเมือง ขณะที่ ร้อยละ 21.76 ระบุว่า มีความสุขลดลง เพราะเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนแย่ลง ค่าครองชีพสูง ครม.ไฟเขียวตั้งกองทุนหมุนเวียน “ประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก”       เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2560 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติจัดตั้งกองทุนหมุนเวียน วงเงินสูงถึง 5 หมื่นล้านบาท โดยรัฐบาลเตรียมออกกฎหมายรองรับเพื่อเป็นกองทุนแก้ปัญหาเศรษฐกิจระดับฐานรากในระยะยาว โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนแล้วกว่า 14 ล้านคนทั่วประเทศ โดยการจัดตั้งกองทุนฯ ดังกล่าวให้ใช้งบประมาณที่อยู่ในส่วนของกระทรวงการคลังที่จะได้รับการจัดสรรในปีงบประมาณรายจ่าย 2561 ในการดำเนินการก่อน จากนั้นจะมีการเสนอร่างกฎหมายสำหรับกองทุนเพื่อสนับสนุนการทำงานในระยะยาวและจัดสรรงบประมาณในการดำการในอนาคต ทั้งนี้กองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากจัดตั้งขึ้นเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในระดับฐานราก และลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยมีวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งกองทุนฯ 5 ข้อ คือ 1. ดูแลคุณภาพชีวิตประชาชน 2. พัฒนาอาชีพในชุมชน 3. ลดความเดือดร้อนในชีวิตประจำวันให้กับประชาชน 4. จัดหาที่อยู่อาศัยและแก้ปัญหาที่ดินทำกินให้กับประชาชน และ 5. จัดหาหลักประกันความเสี่ยงด้านรายได้ให้กับประชาชน       โดยการจัดตั้งกองทุนฯ ดังกล่าวกระทรวงการคลังรายงาน ครม. ว่าจะเป็นกลไกสำคัญอย่างหนึ่งที่รองรับการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรที่ลงทะเบียนในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นในการดำรงชีวิตได้อย่างพอเพียง       นอกจากนั้น ที่ประชุม ครม. ยังมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลารถเมล์และรถไฟฟรีออกไปอีกเป็นระยะเวลา 5 เดือนตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม - กันยายน 2560 คาดว่าจะใช้วงเงินในการดำเนินโครงการประมาณ 1,907 ล้านบาทแบ่งเป็นรถเมล์ฟรีวงเงิน 1,540 ล้านบาท และรถไฟวงเงิน 367 ล้านบาท       สำหรับสาเหตุที่ขยายระยะเวลามาตรการออกไปอีกเพียง 5 เดือน ไปสิ้นสุดระยะเวลาในเดือนกันยายนนี้ ถือเป็นต่ออายุครั้งสุดท้าย เนื่องจากตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 รัฐบาลจะออกบัตรสวัสดิการเพื่อให้ผู้ที่มีรายได้น้อยใช้ในการโดยสารรถเมล์ฟรีและรถไฟฟรีเฉพาะคนที่ได้ลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐและได้รับบัตรสวัสดิการผู้มีรายได้น้อยเท่านั้น โดยทางกระทรวงคมนาคมจะเร่งพัฒนาระบบตั๋วร่วมออกมารองรับพร้อมกันในวันที่ 1 ตุลาคมเช่นกัน รัฐสภาใหม่คืบหน้า ร้อยละ35       นายสรศักดิ์ เพียรเวช เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงความคืบหน้าในการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ย่านเกียกกาย มูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท ว่า ขณะนี้โครงสร้างคืบหน้าไปแล้วร้อยละ 35 โดยตั้งเป้าไว้ว่า โครงสร้างจะต้องแล้วเสร็จภายในปี 2560 นี้ คาดว่าจะใช้งบประมาณ ราว 3,000 ล้านบาท และล่าสุดทางบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ในฐานะบริษัทผู้รับเหมา ได้ขอขยายเวลาการก่อสร้างออกไปอีก 926 วัน แต่ยังไม่มีการอนุมัติกรอบเวลาดังกล่าว ต้องให้บริษัทผู้ควบคุมงาน และบริษัทที่ปรึกษาโครงการ ได้พิจารณาก่อนว่า กรอบเวลาที่เสนอมา มีความเหมาะสมหรือไม่ อย่างไรก็ตาม บริษัท ซิโน-ไทย จะต้องส่งมอบงานทั้งหมด ให้กับสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2562 และในต้นปี 2563 จะสามารถย้ายเข้าอยู่ได้ทันที ครม. ไฟเขียวระดมทุนผ่านไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์       เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2560 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand future fund: TFF) ด้วยวิธีการจัดตั้งกองทุน รูปแบบกองทุนไม่จำกัดอายุของกองทุน มูลค่ากองทุนทั้งหมด 100,000 ล้านบาท เบื้องต้นกระทรวงคลังได้ลงทุนใน TFF วงเงิน 10,000 ล้านบาท เพื่อสร้างความมั่นใจกับนักลงทุน โดยคัดเลือกโครงการในปัจจุบันแล้วคำนวณนำรายได้อนาคต 30 ปี สัดส่วนร้อยละ 45 ของรายได้ มาคำนวณหน่วยลงทุนจากโครงการทางพิเศษฉลองรัช (รามอินทรา-อาจณรงค์) และโครงการทางพิเศษบูรพาวิถี (บางนา-ชลบุรี) ซึ่งจัดเก็บค่าผ่านมาทุกวัน เพื่อระดมทุนมาสร้างในโครงสร้างพื้นฐานใหม่เพิ่มเติมของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) สำหรับลงทุนโครงการใหม่ ของ กทพ. จำนวน 2 โครงการ รวมเงินลงทุน 44,819 ล้านบาท เพื่อสร้างโครงการทางพิเศษพระราม3-ดาวคคะนอง-วงแหวนรอบนอก กรุงเทพฯ ด้านตะวันตกเพื่อเดินทางสู่ภาคใต้ วงเงินลงทุน 30,437 ล้านบาท และโครงการทางด่วนชั้นที่ 3 สายเหนือตอน N2 และ E-W Corridor ด้านตะวันออก ช่วงเกษตรนวมินทร์ต่อไปยังมอเตอร์เวย์ วงเงินลงทุน 14,382 ล้านบาท สำหรับการขายหน่วยลงทุน นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำให้ความสำคัญกับนักลงทุนรายย่อยทั่วไปเป็นหลัก ทั้งนี้ การระดมทุนผ่านกองทุนไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ (TFF) เป็นการระดมทุนแบบใหม่ในประเทศ เพื่อลดการพึ่งพางบประมาณแย่งกับหน่วยงานอื่น สามารถระดมเงินจากประชาชน นักลงทุนมาใช้พัฒนาในปัจจุบันได้ทันทีเพื่อศักยภาพในการแข่งขัน เพื่อลดปัญหาเพดานการก่อหนี้สาธารณะของรัฐบาล ครม. เห็นชอบ แผนยุทธศาสตร์คุ้มครองผู้บริโภคแห่งชาติ       เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2560 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบแผนยุทธศาสตร์การคุ้มครองผู้บริโภคแห่งชาติฉบับที่ 1 พ.ศ. 2560-2564 ซึ่งแผนนี้จะสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 และแผนงานโครงการสอดรับกับวาระการปฎิรูปของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการบูรณาการคุ้มครองผู้บริโภคทุกภาคส่วนอย่างเป็นระบบ มีมาตรฐาน และให้เกิดการคุ้มครองผู้บริโภคในภาพรวมที่มีประสิทธิภาพยั่งยืน ซึ่งแผนยุทธศาสตร์คุ้มครองผู้บริโภคฯ มี 5 ยุทธศาสตร์ และ 15 กลยุทธ์ ได้แก่ 1. การพัฒนาระบบและกลไกการคุ้มครองผู้บริโภค รวมไปถึงการพัฒนาระบบการกำกับดูแลสินค้า บริการให้มีความปลอดภัย พัฒนาระบบการเรียกคืนสินค้า และการเยียวยาความเสียหายผู้บริโภค 2.การพัฒนาระบบฐานข้อมูลในการคุ้มครองผู้บริโภค 3. การพัฒนาองค์ความรู้และการสื่อสารเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค 4. การพัฒนาศักยภาพเครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภค และ 5. ส่งเสริมการบูรณาการ การคุ้มครองผู้บริโภค 7 เดือนรัฐจัดเก็บรายได้ 1.22 ล้านลบ. เพิ่มขึ้น 0.4%       นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ผลการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล 7 เดือนของปีงบประมาณ 2560 (ตุลาคม 2559-เมษายน 2560) มีรายได้สุทธิหลังหักการจัดสรรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่ 1.22 ล้านล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 4,960 ล้านบาท หรือ 0.4% เนื่องจากการจัดเก็บรายได้ของหน่วยงานอื่น สูงกว่าประมาณการ 25,400 ล้านบาท หรือ 30.4% และการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจสูงกว่าประมาณการ 8,340 ล้านบาท หรือ 9.5% อย่างไรก็ตาม การจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากร ในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2560 อยู่ที่ 8.67 แสนล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 2.11 หมื่นล้านบาท โดยภาษีที่จัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมาย ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) จัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมาย 21,600 ล้านบาท หรือ 4.8%, ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม จัดเก็บได้ 1,890 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 4,600 ล้านบาท หรือ 70.9% ขณะที่ภาษีเงินได้นิติบุคคล จัดเก็บได้สูงกว่าเป้าหมาย 10,300 ล้านบาท หรือ 5.4% ขณะที่กรมศุลกากร จัดเก็บรายได้รวม อยู่ที่ 59,800 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 10,600 ล้านบาท หรือ 15.1% เนื่องจากการจัดเก็บอากรขาเข้าต่ำกว่าเป้าหมาย 11,400 ล้านบาท หรือ 16.6% จากการใช้สิทธิพิเศษภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) มีการขยายตัวต่อเนื่องและผลกระทบจากการปรับโครงสร้างภาษีศุลกากรระยะที่ 2 โดยมูลค่าการนำเข้าในรูปดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2560 ขยายตัว 10.5% และรูปเงินบาทขยายตัว 8.8% ส่วนกรมสรรพาสามิต จัดเก็บรายได้รวมอยู่ที่ 3.27 แสนล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 1,540 ล้านบาท หรือ 0.5% โดยภาษีที่จัดเก็บได้สูงกว่าเป้าหมาย ได้แก่ ภาษีน้ำมัน จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 10,600 ล้านบาท หรือ 9.3% และภาษีเบียร์ จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 3,440 ล้านบาท หรือ 6.9% ครม. อนุมัติงบกลางเยียวยาเกษตรกรประสบอุทกภัย 59/60 เพิ่มเติม       เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2560 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบจัดสรรงบกลางช่วยเหลือเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยในภาคใต้ฤดูกาลผลิตปี 2559/2560 ได้รับการชดเชย 3,000 บาทต่อครัวเรือน หลังจากมติ ครม. วันที่ 24 มกราคม 2560 อนุมัติเงินช่วยเหลือเกษตรกรไปแล้ว 1.58 ล้านครัวเรือน จำนวน 4,747 ล้านบาท แต่ได้สำรวจพบเกษตรกรได้รับความเดือดร้อนเพิ่มอีก 173,000 คน จึงอนุมัติงบช่วยเหลือเพิ่มอีก 521 ล้านบาท ครม. ไฟเขียวงบเกือบ 5.9 พันล้านหนุน 'ขสมก.-รฟท.'       เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2560 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบจัดสรรงบประมาณรองรับการให้บริการสาธารณะในงบประมาณปี 2561 สำหรับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้รับจัดสรรวงเงิน 3,578 ล้านบาท จากเสนอขอ 6,825 ล้านบาท และอนุมัติให้งบประมาณ สำหรับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) 2,320 ล้านบาท จากเสนอขอมา 3,324 ล้านบาท สำหรับรถเมล์ธรรมดา ขณะที่รถเมล์ปรับอากาศเสนอมาให้พิจารณา 2,649 ล้านบาท ไม่ได้รับการพิจารณา เพราะต้องการจัดสรรให้เหมาะสมกับผู้มีรายได้น้อย ทั้งนี้ ที่ผ่านมา รฟท.ได้รับอนุมัติงบประมาณปี 2558 จำนวน 2,732 ล้านบาท ปี 2559 ได้รับจัดสรร 2,991 ปี 2560 ได้รับจัดสรร 3,298 ล้านบาท ส่วน ขสมก. ได้รับจัดสรรปี 2558 จำนวน 1,967 ล้านบาท ปี 2559 ได้รับจัดสรร 1,898 ล้านบาท และปี 2560 ได้รับจัดสรร 1,574 ล้านบาท สศช. เผยจีดีพีไตรมาสแรกขยายตัว 3.3%       นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ไตรมาสแรกปีนี้ขยายตัวร้อยละ 3.3 โดยขยายตัวทั้งรายจ่ายในการบริโภคและการผลิต ซึ่งขยายตัวได้มากกว่าไตรมาส 4 ปี 2559 โดยภาคการเกษตรถือว่าขยายตัวได้ดีและนอกภาคการเกษตรยังขยายตัวต่อเนื่องเช่นกัน รวมทั้งการใช้จ่ายภาคครัวเรือนขยายตัวมากขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 3.2 ส่วนการลงทุนภาครัฐขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ 9.7 และการลงทุนภาคเอกชนยังหดตัวหรือติดลบร้อยละ 1.1 ส่วนภาคการท่องเที่ยวยังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง       ขณะที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าช่วยผลักดันการส่งออกของไทยไตรมาสแรกขยายตัวร้อยละ 6.6 ถือว่าขยายตัวสูงสุดในรอบ 4 ปี 3 เดือน ส่วนประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2560 สศช.ยังคงอัตราการขยายตัวไว้ที่ร้อยละ 3.5 แต่ปรับกรอบแคบลงเป็นร้อยละ 3.3-3.8 จากเดิมร้อยละ 3-4 โดยปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา คือ การขยายตัวของเศรษฐกิจโลก และเงินทุนเคลื่อนย้าย ขณะที่การส่งออกทั้งปีคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.6 จากเดิมคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.9 เผยหนี้สาธารณะคงค้าง มี.ค. 60 อยู่ที่ 6.16 ล้าน ลบ.       นายธีรัชย์ อัตนวานิช ที่ปรึกษาด้านตลาดตราสารหนี้ ได้รายงานหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2560 มีจำนวน 6,166,549.32 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 42.27 ของ GDP โดยแบ่งเป็น หนี้รัฐบาล 4,728,655.60 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจ 962,885.32 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) 455,580.18 ล้านบาท และ หนี้หน่วยงานของรัฐ 19,428.22 ล้านบาท และเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า หนี้สาธารณะคงค้างเพิ่มขึ้นสุทธิ 76,318.65 ล้านบาท       ทั้งนี้ หนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2560 จำนวน 6,166,549.32 ล้านบาท แบ่งออกเป็น หนี้ในประเทศ 5,852,291.95 ล้านบาท หรือร้อยละ 94.90 และหนี้ต่างประเทศ 314,257.37 ล้านบาท (ประมาณ 9,205 ล้านเหรียญสหรัฐ) หรือร้อยละ 5.10 ของหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมด และหนี้สาธารณะคงค้างแบ่งตามอายุคงเหลือ สามารถแบ่งออกเป็นหนี้ระยะยาว 5,308,483.73 ล้านบาท หรือร้อยละ 86.09 และหนี้ระยะสั้น 858,065.59 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.91 ของหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมด