กุมภาพันธ์ 2559 : สนช. เห็นชอบร่าง รธน. ใน 5 ประเด็นสำคัญ “สนช.” เห็นชอบร่าง รธน. ใน 5 ประเด็นสำคัญ “กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน” เรียกร้องความชัดเจนในเรื่องการปกครองส่วนกลาง-ส่วนภูมิภาค ใน รธน. กกต. เตรียมเสนอความเห็นการจัดการเลือกตั้งในร่าง รธน.ใหม่ สภาพัฒนาการเมืองค้าน 3 ประเด็นหลักในร่าง รธน. ฉบับ กรธ. สปท. เสนอแก้กรอบยุทธศาสตร์ชาติให้ปรับปรุงทุก 5 ปี ครม. อนุมัติงบฯ อีกกว่า 2 พันล้านแก้ปัญหาภัยแล้ง ศาลฎีกาพิพากษายืน อดีต รมต.-ส.ส. จ่ายเงินคืน เหตุเลือกตั้งปี 44 ไม่สุจริต เปิดให้เหยื่อม็อบ ปี 56-57 ลงทะเบียนรับเงินเยียวยา สนช. ผ่านฉลุย 3 วาระรวด งบกลางปี 5.6 หมื่นล้าน ลดอัตราภาษีเงินได้สําหรับบุคคลธรรมดา ต่อไปอีก 1 ปี ศาลฎีกาพิพากษายืน จำคุก 2 ปีคดีจ้างพรรคเล็ก สนช. เห็นชอบร่าง รธน. ใน 5 ประเด็นสำคัญ       เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2559 ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้พิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการสามัญศึกษาเสนอแนะ และรวบรวมความเห็น เพื่อประกอบการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ (กมธ.) ใน 5 ประเด็นสำคัญ คือ ที่มา ส.ส. โดย กมธ. เห็นว่า ควรกำหนดให้มีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เป็น ส.ส.แบบเขตและบัญชีรายชื่อ และควรกำหนดเขตเลือกตั้งแบบเขตใหญ่เรียงเบอร์ ซึ่งจะทำให้การทุ่มซื้อเสียงของพรรคการเมืองทำได้ยากขึ้น ส่วนการคิดคะแนน ส.ส. ควรใช้วิธีแบบสัดส่วนผสม เพราะทุกคะแนนจะถูกนำมาคำนวณหา ส.ส. ทั้งหมดที่พรรคการเมืองพึงมี ที่มา ส.ว. เห็นควรให้มี ส.ว.จำนวน 200 คน มาจากการสรรหาทั้งหมด จากกลุ่มอาชีพและกลุ่มสังคมที่หลากหลาย และให้มีคณะกรรมการทำหน้าที่สรรหา แต่ไม่เห็นด้วย กับการที่กำหนดให้ ส.ว. มาจากการเลือกกันเองของกลุ่มต่างๆ เพราะการเลือกกันเองของกลุ่มต่างๆ แบบข้ามกลุ่ม เป็นกระบวนการที่ซับซ้อน อาจถูกแทรกแซง และแลกเปลี่ยนตอบแทนผลประโยชน์ในกลุ่ม และระหว่างกลุ่มจากผู้มีอิทธิทางการเมืองได้ ไม่เห็นด้วยกับหลักการที่ให้พรรคการเมือง เสนอรายชื่อนายกฯ พรรคละไม่เกิน 3 ชื่อ ถือเป็นการจำกัดสิทธิของสภาฯ เห็นว่า มีความจำเป็นที่ต้องมีกลไกลเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติของประเทศ เฉพาะในกรณีที่ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายกำหนดแนวทางเอาไว้ หรือ ในกรณีที่สถาบันทางการเมืองไม่สามารถใช้อำนาจรัฐหรืออำนาจบริหาร บริหารประเทศได้ แต่ควรกำหนดให้มีกลไกที่เป็นที่ยอมรับของสังคมเพื่อทำหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาวิกฤติของประเทศ โดยให้เป็นอำนาจของรัฐสภาหรือวุฒิสภาในกรณีที่ไม่มีสภาหรือมีสภา แต่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้เป็นอำนาจของประธานศาลรัฐธรรมนูญ เรียกประชุมร่วมกันของ ผบ.เหล่าทัพ ผบ.ตร. ประธานองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ปลัดกระทรวงกลาโหม และบุคคลอื่นใดตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด โดยให้ที่ประชุมดังกล่าว มีอำนาจในการบริหารจัดการสถานการณ์เพื่อให้สถานการณ์กลับคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็ว ประเด็นสำคัญอื่นๆ คือ การนำบทบัญญัติมาตรา 7 เดิมไว้ในบททั่วไปตามเดิม การไปไว้ในมาตรา 207 ทำให้เกิดข้อจำกัด และควรเพิ่มบทบัญญัติให้รัฐต้องสนับสนุน ส่งเสริม และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนชาวไทย ควรให้คงหลักการเรื่องสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ควรเพิ่มความชัดเจนเกี่ยวกับการจัดกำลังทหารเพื่อการรักษาอธิปไตยและความมั่นคงของรัฐ รวมทั้งยกเลิกข้อจำกัดสิทธิการฟ้องร้องรัฐของประชาชน และกำหนดให้รัฐต้องมีหน้าที่จัดให้มียุทธศาสตร์ชาติเป็นการบังคับให้รัฐบาลในอนาคตปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ชาติ        ส่วนการห้าม คสช. ครม. สนช.และ สปท. สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.หรือเป็น ส.ว. เว้นแต่ลาออกภายใน 90 วัน หลังรัฐธรรมนูญใหม่ประกาศใช้ ถือเป็นการจำกัดสิทธิในการเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ และกรอบเวลาพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญของ สนช. ตามบทเฉพาะกาลน้อยไปหรือไม่       จากนั้น ที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ เห็นชอบ 160 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง ให้ส่งรายงานฉบับนี้ไปให้ กรธ. ประกอบการพิจารณาในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2559 'กำนัน-ผญบ.' เรียกร้องความชัดเจนในเรื่องการปกครองส่วนกลาง-ส่วนภูมิภาค       เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2559 นายยงยศ แก้วเขียว นายกสมาคมกำนัน ผู้ใหญ่บ้านแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประมาณ 100 คน เข้ายื่นข้อเสนอต่อคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ผ่าน นายอมร วาณิชวิวัฒน์ โฆษก กรธ. ขอให้ปรับปรุงเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญ ให้รัฐกำหนดการจัดระบบบริหารราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และท้องถิ่น ไว้ให้ชัดเจนในเรื่องขอบเขตอำนาจ หน้าที่ และความรับผิดชอบ ให้จังหวัดมีแผนและงบประมาณเพื่อพัฒนาจังหวัด เพื่อประโยชน์ของประชาชนในพื้นที่ในหมวดว่าด้วยหน้าที่ของรัฐ ส่วนจะบัญญัติให้อยู่ในมาตราใด ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ กรธ.       สำหรับเรื่องนี้ กรธ. ได้ชี้แจงว่าการปกครองส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ถูกระบุไว้ในมาตรา 72 ว่าด้วยรัฐพึงพัฒนาระบบการบริหารราชการแผ่นดิน และงานของรัฐอย่างอื่น ซึ่งครอบคลุมการปกครองส่วนกลางและภูมิภาคแล้ว กกต. เตรียมเสนอความเห็นการจัดการเลือกตั้งในร่าง รธน. ใหม่       เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2559 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติให้เสนอความเห็นและข้อเสนอแนะของ กกต. เกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต่อคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) โดยมีประเด็นหลักๆ คือ ให้ กกต. มีอำนาจประกาศกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ในหน่วยที่มีปัญหาได้ โดยการเพิ่มข้อความว่า ให้ใช้หลักเกณฑ์ วิธีการ เป็นไปตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 ให้ กกต. มีอำนาจควบคุมสั่งข้าราชการหยุดพฤติกรรมที่ทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตหรือช่วยพรรคการเมืองหาเสียง สามารถสั่งให้ข้าราชการออกนอกพื้นที่เพื่อให้เกิดการเลือกตั้งที่สุจริตได้ ขอให้บัญญัติข้อความกรณีการวินิจฉัยชี้ขาดข้อโต้แย้งตามกฎหมายที่อยู่ในอำนาจของ กกต. ตามที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 เคยกำหนดไว้ ขอให้เพิ่มข้อความในมาตรา 80 เพื่อเปิดช่องให้มีการเลือกตั้งรูปแบบอื่นในอนาคตด้วย โดยควรเพิ่มข้อความว่า ให้มีการเลือกตั้งโดยใช้บัตรเลือกตั้งและรูปแบบอื่น ตามที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 เคยกำหนดไว้ การจัดการเลือกตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างลง ควรกำหนดระยะเวลาว่าสภาผู้แทนราษฎรจะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 180 วัน จึงให้มีการจัดเลือกตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างลง เพราะหากไม่มีการกำหนดหากมีตำแหน่งว่าง และสภาฯ มีอายุเหลือเพียง 1 เดือน กกต. จะต้องดำเนินการจัดเลือกตั้งแทน ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ ขอให้ กกต. มีอำนาจในการสั่งเลือกตั้งใหม่ และสั่งระงับสิทธิการสมัครรับเลือกตั้ง ตั้งแต่ก่อนประกาศผลการเลือกตั้งจนถึงหลังการประกาศผลการเลือกตั้ง เป็นเวลา 1 ปี       นอกจากนี้ยังมีประเด็นอื่นๆ ที่ กกต. เตรียมเสนอความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อ กรธ. อาทิ การให้อำนาจ กกต. ในการเรียกบุคคลมาให้ข้อมูล การเรียกเอกสารหลักฐานต่างๆ และสามารถบันทึกภาพ และภาพเคลื่อนไหวในขั้นตอนการไต่สวนของ กกต. ได้ รวมทั้งการดำเนินคดีเลือกตั้ง ขอให้ยึดสำนวนการไต่สวนของ กกต. เป็นหลัก และให้ กกต. มีอำนาจเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้ที่ยังคงค้างชำระค่าเสียหายการจัดเลือกตั้งจากกรณีที่มีการเลือกตั้งใหม่ (ใบแดง) แม้คดีจะยังไม่สิ้นสุด เป็นต้น สพม. ค้าน 3 ประเด็นหลักในร่าง รธน. ฉบับ กรธ.       สภาพัฒนาการเมือง (สพม.) แถลงมติความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับเบื้องต้นของ กรธ. ว่ายังมีข้อบกพร่องหลายประการ ไม่เหมาะสมที่จะนำไปใช้เป็นรัฐธรรมนูญปกครองประเทศ อาจทำให้เกิดปัญหาการเมืองและการปกครองในอนาคต และมีความเห็นว่า ควรปรับปรุงแก้ไขหมวดว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพให้ชัดเจน ต้องไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ารัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 ไม่เห็นด้วยกับการใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว ถือเป็นการบังคับให้ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงต้องลงคะแนนให้กับ ส.ส.บัญชีรายชื่อซึ่งสังกัดพรรคเดียวกับที่ลงคะแนนให้กับ ส.ส.เขต ขัดต่อทฤษฎีเลือกตั้ง ขัดเจตนารมณ์และขัดหลักสากล       นอกจากนี้ ยังเห็นว่า วิธีการได้มาซึ่ง ส.ว. ที่กำหนดให้มาจากผู้แทนสาขาอาชีพไม่เป็นไปตามหลักการที่เป็นตัวแทนปวงชนชาวไทย เห็นควรให้ ส.ว.เลือกตั้งโดยตรง สำหรับการย้ายมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญปี 2550 มาบัญญัติให้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญนั้น เป็นการบิดเบือนไปจากประเพณีการปกครอง และยังเป็นการช่วงชิงพระราชอำนาจของกษัตริย์มาเป็นของศาลรัฐธรรมนูญด้วย ไม่เห็นด้วยกับการกำหนดหลักการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแบบปิดตาย โดยเฉพาะการกำหนดให้ ส.ส. จากทุกพรรคการเมืองจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของแต่ละพรรคต้องให้ความเห็นชอบ โดยข้อเสนอทั้งหมดจะนำส่งให้ กรธ. ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2559 สปท. เสนอแก้กรอบยุทธศาสตร์ชาติ ให้ปรับปรุงทุก 5 ปี       เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2559 ประธานกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (กมธ.) ด้านบริหารราชการแผ่นดิน สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) แถลงว่า ขณะนี้ กมธ. ส่ง ร่าง พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติที่แก้ไขปรับปรุงแล้วไปให้ประธาน สปท. เพื่อส่งต่อไปยัง คณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป โดยได้ปรับปรุงแก้ไขเนื้อหา ร่าง พ.ร.บ.บางส่วน คือ ให้มีการปรับปรุงยุทธศาสตร์ชาติทุก 5 ปี หรือเมื่อมีสถานการณ์กระทบต่อวัตถุประสงค์หลักของยุทธศาสตร์ชาติ แทนที่ใช้คำว่าอาจพิจารณาทบทวนทุก 5 ปี และปรับปรุงกระบวนการพิจารณายุทธศาสตร์ชาติที่เสนอโดยคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติต่อรัฐสภาหากเห็นไม่ตรงกันให้ตั้ง กมธ. ร่วมกันพิจารณาหากยังเห็นไม่ตรงกันอีก ให้เสนอรัฐสภาพิจารณา โดยรัฐสภามีมติอย่างใดให้ดำเนินการตามนั้น รวมทั้งให้สำนักงานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เป็นนิติบุคคลปราศจากการครอบงำทางการเมือง       อย่างไรก็ตาม ร่าง พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติที่ สปท. เสนอให้ปรับปรุงแก้ไขนี้ยังไม่ใช่เนื้อหาสุดท้ายเพราะยังมีขั้นตอนที่ ครม. และ สนช. สามารถปรับปรุงแก้ไขได้อีก ครม.อนุมัติงบช่วยภัยแล้งอีกกว่า 2 พันล้านบาท       เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง วงเงิน 2,967.41 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการเกษตรอื่นๆ ครอบคลุม 77 จังหวัด รวม 4,041 โครงการ วงเงิน 2,695.54 ล้านบาท และโครงการนอกภาคเกษตร ครอบคลุม 44 จังหวัด รวม 896 โครงการ วงเงิน 271.87 ล้านบาท ศาลฎีกาพิพากษายืน อดีต รมต.-ส.ส. จ่ายค่าตอบแทนคืน กรณีเลือกตั้งไม่สุจริต       เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2559 ศาลฎีกามีคำพิพากษายืนให้จำเลย 22 คน ประกอบด้วยอดีต ส.ส. พรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ คืนเงินประจำตำแหน่งและค่าตอบแทนอื่นที่ได้รับในปี 2544 พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 จนกว่าจะชำระเสร็จ       คดีนี้ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นางกรรณิกา ธรรมเกษร, นายวิชาญ มีนชัยนันท์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และอดีตรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย, น.ส.อรดี สุทธศรี, นายธวัชชัย อนามพงษ์, นายมงคล บุพศิริ, นางพิมพา จันทร์ประสงค์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม, นายณรงค์กร ชวาลสันติ, นายไชยวัฒน์ ติณรัตน์, นางลาวัณย์ ตันติกุลพงศ์, นายกมล จิระพันธุ์วาณิช, นายดนัยฤทธิ์ หรือดนัยพัชร์ วัชราภรณ์, นายพายัพ ปั้นเกตุ, นายธีรพันธ์ วีระยุทธวัฒนะ, นายประชา โพธิพิพิธ, นายศิริชัย ฉัตรชัยพลรัตน์, นายวุฒิชัย กิตติธเนศวร, นายปณวัตร เลี้ยงผ่องพันธุ์, นายประภาส วีระเสถียร, นายเกรียง กัลป์ตินันท์, นายศักดิ์ชัย จินตะเวช, นายวิทยา บันทุปา และ ทพ.(หญิง)กรองกาญจน์ วีสมหมาย ซึ่งเป็น อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อเรียกเงินประจำตำแหน่งและค่าตอบแทนอย่างอื่นในขณะดำรงตำแหน่ง ส.ส. คืนหลังจากที่ได้รับเลือกเป็น ส.ส. ปี 2544 หลังจากที่มีการร้องเรียนว่าจำเลยทั้งหมดดำเนินการเลือกตั้งโดยไม่สุจริตและเที่ยงธรรม เป็นการฝ่าฝืน มาตรา 44 และ 45 ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ. 2541 ทำให้ กกต. ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ และจำเลยทั้ง 22 คน สิ้นสภาพการเป็น ส.ส. นับแต่วันที่ กกต. มีคำสั่งให้จัดการเลือกตั้งใหม่ เหยื่อม็อบ ปี 56-57 ลงทะเบียนรับเงินเยียวยาได้       ระหว่างวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ถึง 17 มีนาคม 2559 กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองปี 2556-2557 จำนวน 868 ราย แบ่งเป็นผู้เสียชีวิต 28 ราย บาดเจ็บ 840 ราย ลงทะเบียนยื่นคำร้องรับเงินเยียวยาได้ที่กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ พม. ใน กทม. ส่วนที่ต่างจังหวัดสามารถจะลงทะเบียนได้ที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทุกจังหวัด       ทั้งนี้ เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2558 เห็นชอบหลักเกณฑ์และวิธีการให้ความช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงิน ตามหลักมนุษยธรรม แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง ปี 2556-2557 พร้อมทั้งอนุมัติใช้เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2558 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 120 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายดำเนินการ สนช. ผ่านงบกลางปี 5.6 หมื่น ล. 3 วาระรวด       เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2559 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้มีมติผ่านร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ ปี 2559 วงเงิน 56,000 ล้านบาท ทั้งสามวาระและมีผลให้ประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป       ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้มี 8 มาตรา เป็นเรื่องการตั้งงบกลางปี 56,000 ล้านบาท ที่แบ่งเป็นสองส่วน คือ       1. ค่าใช้จ่ายของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น 47,000 ล้านบาท เพื่อดำเนินการตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลรองรับการปรับโครงสร้างระบบเศรษฐกิจที่จะกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ แบ่งเป็นการค่าใช้จ่ายเสริมสร้างความเข้มแข็งและก้าวหน้าของประเทศ 32,000 ล้านบาท และการจัดสรรตามแผนงานพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล 15,000 ล้านบาท       2. การชดใช้เงินคงคลัง 8,300 ล้านบาท       ทั้งนี้ วงเงิน 56,000 ล้านบาท นำมาจากรายได้ของ กสทช. ในการประมูลคลื่น 4 จี คลื่นความถี่ 1,800 เมกะเฮิรตซ์ และ 900 เมกะเฮิรตซ์ เมื่อปี 2558 ที่ผ่านมา โดยร่าง พ.ร.บ.นี้ จะเป็นกลไกช่วยให้การดำเนินงานของรัฐบาลบรรลุตามเจตนารมณ์ และช่วยหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจภายในประเทศ ในยามที่เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มถดถอย ลดภาษีบุคคลธรรมดาต่อไปอีก 1 ปี       เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2559 การลดอัตราภาษีเงินได้สําหรับบุคคลธรรมดามีผลใช้บังคับต่อไปอีก 1 ปีจนถึงปีภาษี 2560 เนื่องจากรัฐบาลเห็นความจําเป็นในการบรรเทาภาระภาษีให้แก่ผู้มีเงินได้เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะทางเศรษฐกิจและค่าครองชีพในปัจจุบัน ฎีกายืนคุก 2 ปี คดีจ้างพรรคเล็ก       เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2559 ศาลฎีกามีคำพิพากษายืนในคดีที่พนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีพิเศษ 5 เป็นโจทก์ฟ้อง พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อายุ 75 ปี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย นายอมรวิทย์ สุวรรณผล อดีตเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยและพัฒนาระบบบริหารฐานข้อมูลพรรคการเมือง กกต. นายชวการ หรือกรกฤต โตสวัสดิ์ อดีตสมาชิกพรรคพัฒนาชาติไทย นายสุขสันต์ หรือจตุชัย ชัยเทศ อดีตผู้อำนวยการการเลือกตั้งพรรคพัฒนาชาติไทย และนายบุญทวีศักดิ์ อมรสินธุ์ อดีตหัวหน้าพรรคพัฒนาชาติไทย เป็นจำเลยที่ 1-5 ตามลำดับ ในความผิดฐานกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การ หรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 6 และมาตรา 11       ทั้งนี้ เนื่องจากระหว่างวันที่ 2-7 มีนาคม 2549 จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 3 จ้างวานให้จำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต โดยมอบเงินค่าตอบแทนให้จำเลยที่ 2 จำนวน 30,000 บาท ให้ตัดต่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายชื่อ ข้อมูลสมาชิกของพรรคพัฒนาชาติไทย ที่ไม่มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากเป็นสมาชิกพรรคพัฒนาชาติไทยไม่ครบ 90 วัน ตามที่กฎหมายกำหนด เหตุเกิดที่แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง, แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร และแขวงรองเมือง เขตปทุมวัน กทม. เกี่ยวพันกัน       ศาลฎีกาเห็นว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ศาลเห็นพ้องด้วยกับศาลอุทธรณ์ ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 3 ปี 4 เดือนโดยไม่รอลงอาญา และจำคุกจำเลยที่ 3-5 คนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา รวมทั้งให้ออกหมายจับจำเลยที่ 3 และ 4 ที่ไม่ได้มาฟังคำพิพากษาศาล สำหรับ พล.อ.ธรรมรักษ์นั้น คดีถึงที่สุดในศาลอุทธรณ์ไปแล้ว โดยให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และอัยการโจทก์ก็ไม่ยื่นฎีกาแต่อย่างใด