ธันวาคม 2558 : รัฐบาลทำงานครบ 1 ปี เดินหน้าปฏิรูป รัฐบาลทำงานครบ 1 ปี เดินหน้าปฏิรูปประเทศ โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศรายชื่อ 5 ป.ป.ช. ชุดใหม่ ป.ป.ช. ยกคำร้อง กรณี “อภิสิทธิ์-สุเทพ-อนุพงษ์”สลายการชุมนุม นปช. ป.ป.ช.สั่งอายัดทรัพย์ "ธาริต เพ็งดิษฐ์" และ “ภรรยา” เพิ่มอีก 27.47 ล้านบาท กระทรวงกลาโหม แถลงโครงการจัดสร้าง “อุทยานราชภักดิ์” ทำตามขั้นตอน ศาลฎีกายืนยกฟ้อง 5 ตำรวจกองปราบ คดีการหายตัวของทนายสมชาย ศาลฎีกา พิพากษากลับจำคุก “เอกชัย” อดีตผู้ช่วย “เกริกเกียรติ ชาลีจันทร์” 1,020 ปี กรธ. ได้ข้อสรุปที่มา 200 ส.ว. ศาลแพ่ง สั่ง 3 แกนนำ กปปส. ชดใช้กว่า 9 แสน กรณีนำผู้ชุมนุมปิดล้อมกระทรวงมหาดไทย ศาลอาญาฯ พิพากษาจำคุกอดีตอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ และพวก กรณีคลองด่าน ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ นราธิวาส ยะลา ปัตตานี ต่ออีก 3 เดือน ครม. มีมติเพิ่มสินเชื่อช่วยเหลือเกษตรกร 'ชาวสวนยาง' รายย่อย วงเงินรวม 1.5 หมื่นล้านบาท ครม.มีมติ บรรจุแผนแม่บทก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ฉบับที่ 12 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ช็อปช่วยชาติ 15,000 บาท ลดหย่อนภาษี รัฐบาลขายข้าวเสีย สต็อก 3.7 หมื่นตัน เพื่อทำปุ๋ย ตั้งกองทุนไทยแลนด์ ฟิวเจอร์ส ฟันด์ ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มวงเงินเสริมสภาพคล่องเอสเอ็มอี อีก 5 หมื่นล้าน รัฐบาลทำงานครบ 1 ปีเดินหน้าปฏิรูปประเทศ       เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2558 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้แถลงผลการดำเนินงานรัฐบาลรอบ 1 ปี โดยมีรองนายกรัฐมนตรี ผู้แทนจาก คสช. สภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ คณะรัฐมนตรี ข้าราชการระดับสูงจากทุกกระทรวงเข้าร่วมงาน โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ปัจจัยในการทำงานของรัฐบาลมีหลายอย่าง ทั้งระบบราชการ งบประมาณ ปัจจัยภายนอกต่างประเทศ องค์กรระหว่างประเทศจับตาดูอยู่ มีกลุ่มต่อต้านบิดเบือน เหล่านี้คือปัญหาที่ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ วันนี้ทุกคนเรียกร้องการเป็นประชาธิปไตยเปิดสิทธิเสรีภาพเต็มที่ ถามว่ามันเป็นไปได้หรือเปล่า เพราะเราทดลองกันมา 83 ปีแล้ว มีการปฏิวัติหลายครั้ง ฉะนั้นครั้งนี้อยากให้เป็นการปฏิรูปอย่างแท้จริง เพื่ออนาคตของลูกหลาน       สำหรับผลงานในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมา แบ่งออกได้เป็น       1. งานด้านการต่างประเทศ ที่เดินเชิงรุก ทั้งทางด้านการทูต ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จัดลำดับความเร่งด่วน และกลุ่มประเทศ เดินหน้าทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ การตลาด การค้าขาย ทูตไทยในต่างประเทศต้องทำงานด้านเศรษฐกิจไปด้วย ที่ผ่านมารัฐบาลได้ทำไปแล้ว และเหลือเวลาอีกปีครึ่งที่จะทำต่อให้ยั่งยืน       2. เรื่องกฎหมายกระบวนการยุติธรรม ทำอย่างไรจะดูแลให้องค์กรที่เป็นต้นทางของการรักษากฎหมายให้มีประสิทธิภาพมีรายได้เพียงพอ ประชาชน ข้าราชการ นักการเมือง ต้องเข้าใจกัน ไม่เช่นนั้นก็จะโยนกันไปมา จับผิดกันทั้งสองข้าง ทำอะไรไม่ได้ทั้งคู่ ความขัดแย้งก็เกิดขึ้น ทำอย่างไรให้คนในบ้านเมืองเคารพกฎหมาย ถ้าเคารพกฎหมายเจ้าหน้าที่ก็แสวงหาผลประโยชน์ไม่ได้ อย่าสมยอม ต้องเริ่มจากตัวเองก่อนทุกอย่าง โดยเน้นย้ำคำว่า “ประชารัฐ”       3. เรื่องการปฏิรูปที่ผ่านมา รัฐบาลได้เริ่มทำมาแล้วตั้งแต่ปีแรก จากนี้เหลือเวลา 1 ปี 6 เดือน นับจากเดือนมกราคม 2559-กรกฎาคม 2560 ซึ่งการปฏิรูประยะที่ 1 ได้ทำมาแล้ว เพียงแต่บางท่านไม่สนใจ มองแต่เรื่องเศรษฐกิจมีเงินจ่ายใช้สอย มองตัวเลขเศรษฐกิจโลก รายได้ประเทศหายไปก็จริง ต้องคิดว่าหายไปเพราะอะไร แต่วันนี้สิ่งที่กลับมาคือรายได้จากการท่องเที่ยว       วันนี้ คสช. มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย ไม่อยากให้ทุกคนเข้าใจผิดว่า คสช. มีพิมพ์เขียว รัฐบาลไม่มีพิมพ์เขียวอะไรเลย ในเมื่อประเทศต้องการระดมความคิดเห็น เมื่อ กอ.รมน. กองทัพ เสนอเข้ามาก็เอาไปรวบรวมเท่านั้น โดยหน้าที่ของแม่น้ำ 5 สายต้องต่อเนื่องเชื่อมโยงกันในระยะที่ 1 ส่วนที่เหลือสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ก็ต้องทำ ทำให้การเมือง 20 ปีข้างหน้าแข็งแรง และเมื่อแข็งแรงก็เปลี่ยนแปลงได้อีก โปรดเกล้าฯ รายชื่อ 5 ป.ป.ช. ชุดใหม่       พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมลงพระปรมาภิไธยแต่งตั้งประธานกรรมการ และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งประกาศ ณ วันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ดังนี้ 1. พลตำรวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ เป็นประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 2. นายวิทยา อาคมพิทักษ์ 3. นางสุวณา สุวรรณจูฑะ 4. นายสุรศักดิ์ คีรีวิเชียร และ 5. พลเอก บุณยวัจน์ เครือหงส์ เป็นกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ปปช. ยกคำร้อง กรณี 'อภิสิทธิ์-สุเทพ-อนุพงษ์' สลายเสื้อแดง       เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2558 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้แถลงมติว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติ ยกคำร้องข้อกล่าวหา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก กับพวก กรณีสั่งใช้กำลังทหารสลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ทั้งนี้ จากการไต่สวนปรากฏข้อเท็จจริงว่า ขณะเกิดเหตุที่มีการสั่งใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธปืนติดตัวเข้าขอคืนพื้นที่นั้น อยู่ในช่วงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาของศาลว่าการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบ และมีผู้ถืออาวุธปืนปะปนอยู่ในกลุ่ม นปช. จึงมีเหตุจำเป็นที่ต้องให้เจ้าหน้าที่นำอาวุธติดตัวเพื่อใช้ระงับยับยั้งตามสถานการณ์หรือเหตุการณ์เฉพาะหน้า       นอกจากนี้ ป.ป.ช. ได้มีมติส่งเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ DSI ตรวจสอบการกระทำของฝ่ายทหารที่ติดอาวุธตามหลักสากลด้วย ว่ามีการใช้อาวุธปืนโดยไม่สุจริต เลือกปฏิบัติ และเกินสมควรแก่เหตุหรือเกินกว่ากรณีจำเป็น จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บด้วยหรือไม่ หากพบมีความผิดให้ถือเป็นความรับผิดเฉพาะตัว และนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาในพื้นที่จะต้องรับผิดชอบด้วย ป.ป.ช.สั่งอายัดทรัพย์ 'ธาริต-ภรรยา' เพิ่ม 27.47 ล้าน       เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2558 ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินของบุคคลที่เกี่ยวข้อง ที่ถือครองทรัพย์สินแทนนายธาริต เพ็งดิษฐ์ และนางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ ได้แก่ เงินฝากและที่ดิน รวมมูลค่า 27,473,572 บาท ดังนี้ 1. บัญชีเงินฝากธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) จำนวน 4 บัญชี รวมเป็นเงิน 643,572 บาท และ 2. ที่ดินที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา จำนวน 9 แปลง มูลค่ารวม 26,830,000 บาท ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกได้รับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการโอน ยักย้าย แปรสภาพ หรือซุกซ่อนทรัพย์สินรายการอื่นๆ ของนายธาริต ที่อยู่ในชื่อของนายปิยฤกษ์ อรรถกานต์รัตน์ หลานชายของนางวรรษมล คู่สมรสของนายธาริต ที่มีพฤติการณ์ถือครองทรัพย์สินแทนนายธาริต และนางวรรษมล       ทั้งนี้ ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน กรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่า นายธาริต เพ็งดิษฐ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ร่ำรวยผิดปกติ โดยมี นายปรีชา เลิศกมลมาศ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน และคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินของ นายธาริต และนางวรรษมล ไว้เป็นการชั่วคราว เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2558 จำนวน 40,954,720.58 บาท “กลาโหม” แถลง การก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ทำตามขั้นตอน       เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2558 กระทรวงกลาโหม ได้จัดแถลงผลการตรวจสอบโครงการจัดสร้าง “อุทยานราชภักดิ์” โดยมี พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รองปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานการตรวจสอบโครงการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ เป็นผู้แถลงข่าวในครั้งนี้ พร้อมทั้งเชิญบุคคลที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้แทนจาก สตง. เข้าร่วมรับฟังด้วย โดยพล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า สำหรับการตรวจสอบโครงการอุทยานราชภักดิ์ใน 1 เดือนที่ผ่านมา กรอบอำนาจการทำหน้าที่มีคณะกรรมการทั้งหมด 8 คน ซึ่งไม่มีอำนาจทางกฎหมายเต็มที่ที่จะตรวจสอบ ทั้งนี้ ได้รวบรวมจากเอกสารเป็นจำนวนมาก และเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลทั้งสิ้น 23 คน โดยตรวจรายรับ-จ่ายถึง 30 พฤศจิกายน เอกสารทั่วไปถึง 24 ธันวาคม 2558 โดย การก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ใช้งบ 2 ส่วน คือ งบกลาง จำนวน 5 รายการ เช่น การติดตั้งหินอ่อนฐาน รวมถึง งบบริจาค ทั้งเงิน และสิ่งของ ส่วนรายละเอียดการใช้เงินนั้น มีรายจ่ายทั้งหมด 27 งาน โดยจากการสอบข้อเท็จจริงการก่อสร้างเงินที่ใช้งบกลาง งบมูลนิธิ งบบริจาค เป็นไปตามระเบียบทุกขั้นตอน อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการมีหน้าที่แค่สอบข้อเท็จจริงให้ปรากฏเท่านั้น ส่วนการสอบทุจริตเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่กฎหมายกำหนด โดยไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าบุคคลใดถูกผิด เพราะการชี้ถูกผิดเป็นหน้าที่ของหน่วยงานสอบทุจริต ศาลฎีกา ยืนยกฟ้อง 5 ตำรวจกองปราบ คดีการหายตัวของทนายสมชาย       เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2558 ศาลอาญา รัชดา อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ต.เงิน ทองสุก อดีต สว.กอ.รมน.ช่วยราชการกองปราบปราม, พ.ต.ท.สินชัย นิ่มปุญญกำพงษ์ อดีตพนักงานสอบสวน กองปราบปราม, จ.ส.ต.ชัยเวง พาด้วง อดีต ผบ.หมู่งานสืบสวน ตำรวจท่องเที่ยว, ส.ต.อ.รันดร สิทธิเขต อดีตเจ้าหน้าที่ธุรการกองปราบปราม และ พ.ต.อ.นภันต์วุฒิ เลี่ยมสงวน หรือ พ.ต.อ.ชัดชัย เลี่ยมสงวน ผกก.ฝอ.สพ. (อดีตรอง ผกก.3 ป.) เป็นจำเลยที่ 1 – 5 ในความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิด และร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดหรือไม่กระทำการใด โดยใช้กำลังประทุษร้าย จากกรณีการหายตัวไปของนายสมชาย นีละไพจิตร ทนายนักสิทธิมนุษยชน เมื่อปี 2547       โดยคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจำคุก พ.ต.ต.เงิน จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 3 ปี และยกฟ้องจำเลยที่ 2 – 5 ส่วนอุทธรณ์ สั่งยกฟ้องจำเลยทั้งหมด แต่ พ.ต.ต.เงิน ไม่ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ โดยนายประกันอ้างว่าจำเลยที่ 1 หายสาบสูญไป ศาลจึงออกหมายจับ พร้อมสั่งปรับนายประกันเป็นเงิน 1.5 ล้านบาท ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พยานบุคคลและพยานเอกสารที่เป็นสำเนาการตรวจสอบสัญญาณโทรศัพท์ของจำเลยทั้ง 5 ที่โจทก์นำสืบ ยังไม่สมบูรณ์ มีข้อพิรุธ ไม่สามารถนำมารับฟังและเป็นข้อพิสูจน์ว่าจำเลยทั้ง 5 คน กระทำผิดตามข้อกล่าวหาได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืน และนับเป็นการสิ้นสุดคดีอุ้มหาย ทนายสมชาย ที่ยืดเยื้อยาวนาน กว่า 11 ปี ฎีกาจำคุกพันปี-อีกอดีตบิ๊ก"บีบีซี"       เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2558 ที่ศาลอาญา ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดียักยอกทรัพย์ธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) หรือ บีบีซี ตามที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจ และทรัพยากร 2 เป็นโจทก์ฟ้อง นายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่บีบีซี และนายเอกชัย อธิคมนันทะ อดีตผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ เป็นจำเลยที่ 1-2 ฐานร่วมกันยักยอกทรัพย์ และความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือโดยละเอียดแล้วเห็นว่า คดีนี้จำเลยที่ 1 เสียชีวิต คดีอาญาระงับ ทั้งนี้พยานหลักฐานโจทก์รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 มีเจตนาทุจริตเบียดบังเอาทรัพย์สินของธนาคารไปโดยทุจริต ด้วยการใช้บัตรอนุมัติสินเชื่อให้แก่บริษัทที่มาขอกู้เงินโดยไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันที่น่าเชื่อถือ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องจำเลยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น พิพากษากลับให้ลงโทษจำคุกจำเลย 204 กระทง กระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 1,020 ปี แต่ตามกฎหมาย คงให้ลงโทษจำคุกได้ไม่เกิน 20 ปี คงให้จำคุกนายเอกชัย จำเลยที่ 2 ไว้ 20 ปี และให้จำเลยชดใช้เงินค่าสินไหมทดแทน จำนวน 1,854,201,794.75 บาท แก่ธนาคาร ผู้เสียหายด้วย กรธ. ได้ข้อสรุปที่มา 200 ส.ว.       เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2558 คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) มีข้อสรุปในเรื่องสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ว่าให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกกันเองและเลือกไขว้ตั้งแต่ระดับอำเภอ จังหวัด และประเทศ จาก 20 กลุ่มทางสังคม เช่น กลุ่มแรงงาน กลุ่มสิทธิเด็ก กลุ่มสตรี เป็นต้น สำหรับวิธีสมัคร กำหนดให้ผู้ที่มีคุณสมบัติตรงตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด สามารถไปสมัครได้ ณ ที่ว่าการอำเภอ โดยสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะเป็นผู้ดำเนินการ สำหรับการเลือกตั้งทางอ้อมและเลือกไขว้นั้น จะเริ่มตั้งแต่ระดับอำเภอมายังระดับจังหวัด ให้ได้กลุ่มละ 99 คน เมื่อรวม 20 กลุ่ม จะได้ 1,980 คน ก่อนส่งมาให้ส่วนกลางคัดเลือกด้วยวิธีการเลือกแบบไขว้ให้เหลือกลุ่มละ 10 คน รวมเป็น 200 คน ส่วนเหตุผลที่ กรธ. ไม่กำหนดให้ ส.ว. มาจากการเลือกตั้งโดยตรงนั้น เนื่องจาก กรธ. ได้วางบทบาทหน้าที่ของ ส.ว. แตกต่างจาก ส.ส. คือ ส.ว. ไม่มีอำนาจถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง       ทั้งนี้ ที่ประชุม กรธ. วันที่ 23 ธันวาคม 2558 ได้กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของ ส.ว. ว่า ไม่จำกัดวุฒิการศึกษาว่าต้องจบปริญญาตรี, ต้องมีความเกี่ยวข้องและมีความเชี่ยวชาญด้านที่ลงสมัครเป็นเวลา 10 ปี, ไม่ห้ามบุพการี คู่สมรส และบุตรของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองลงสมัคร ส.ว., หากบุคคลใดอยู่ระหว่างการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของศาลและองค์กรอิสระ แม้คดีจะยังไม่ถึงที่สุด เนื่องจากอยู่ระหว่างอุทธรณ์ ก็ไม่สามารถลงสมัคร ส.ว. ได้ ฯลฯ ทั้งนี้ เพื่อป้องกัน “สภาผัวเมีย” ทาง กรธ. จะรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติม โดยจะทำโพลเพื่อสำรวจความคิดเห็นประชาชนเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ก่อนนำผลสำรวจที่ได้ทั้งข้อดีและข้อเสียมาประกอบการพิจารณาอีกครั้ง ศาลแพ่ง สั่ง 3 แกนนำ กปปส. ชดใช้กว่า 9 แสน       เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2558 ศาลแพ่งได้อ่านคำพิพากษาคดีที่กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เป็นโจทก์ฟ้องนายสมศักดิ์ โกศัยสุข, นายคมสัน ทองศิริ และนายสาวิทย์ แก้วหวาน เป็นจำเลยที่ 1-3 กรณีเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2556 จำเลยทั้งสามเป็นแกนนำผู้ชุมนุมกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) นำผู้ชุมนุมปิดล้อมพื้นที่กระทรวงมหาดไทยและกรมการปกครอง อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ โดยโจทก์เรียกค่าเสียหาย 1,636,428 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธ โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์มีพยานบุคคลและภาพถ่ายยืนยันได้ว่าจำเลยทั้งสามนำผู้ชุมนุมเข้าปิดล้อมพื้นที่ของโจทก์ จำเลยจึงต้องร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ประกอบด้วย ค่าอุปกรณ์สำนักงานเพื่อปฏิบัติงานที่ทำการชั่วคราว 101,000 บาท ค่าจ้างเหมารถตู้เพื่อรับ-ส่งข้าราชการและเจ้าหน้าที่ไปที่ทำการชั่วคราว 50,000 บาท ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงระหว่างปฏิบัติงานที่ทำการชั่วคราว 4,000 บาท ค่าทรัพย์สินอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สูญหาย 791,000 บาท เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 946,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี โดยจำเลยทั้ง 3 จะยื่นอุทธรณ์คดีต่อไป จำคุก 20 ปีอดีตอธิบดีมลพิษ พร้อมพวกโกงคลองด่าน       เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2558 ที่ศาลอาญาฯ ถนนรัชดา ศาลได้อ่านคำพิพากษา ในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายปกิต กิระวานิช อดีตอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ นายศิริธัญญ์ ไพโรจน์บริบูรณ์ อดีตรองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ และนางยุวรี อินนา ผู้รับผิดชอบโครงการ เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานกระทำการทุจริตต่อหน้าที่อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัตหน้าที่โดยมิชอบ จากกรณีทุจริตโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสีย ต.คลองด่าน จ.สมุทรปราการ มูลค่ากว่า 23,700 ล้านบาท ระหว่างปี 2538-2546ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ขณะเกิดเหตุนายปกิต ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ร่วมกับนายศิริธัญญ์ รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ และประธานคณะกรรมการคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมเพื่อเป็นผู้มีสิทธิเข้าประกวดราคา และนางยุวรี นักวิชาการสิ่งแวดล้อม 7 ผู้รับผิดชอบโครงการ และกรรมการคัดเลือกฯ ได้ร่วมกันกับบริษัทคลองด่านมารีน แอนด์ ฟิชเชอรี่ จำกัด และกลุ่มกิจการร่วมค้าเอ็นวีพีเอสเคจี รวม 4 แห่ง ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนที่ถูกตั้งขึ้นมาเป็นกาลเฉพาะ ให้เข้าร่วมประมูลโครงการ และช่วยปกปิดบิดเบือนเรื่องการปั่นราคาประมูล ออกโฉนดที่ดินโดยมิชอบ และข้อเท็จจริง ในแต่ละขั้นตอนของโครงการโดยทุจริต ขัดต่อระเบียบราชการ มติคณะรัฐมนตรีและกฏหมาย อันเป็นการเอื้อประโยชน์และช่วยเหลือบริษัทเอกชนทั้ง 4 แห่ง ให้ได้รับผลประโยชน์จากราชการโดยมิชอบ ทำให้ราชการได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ดังนั้นศาลจึงเห็นว่านายปกิตกับพวกรวม 3 คนกระทำผิดจริงตามฟ้อง พิพากษาจำคุกจำเลยทั้ง 3 คนละ 20 ปี โดยไม่รอลงอาญาทั้งนี้ภายหลังการฟังคำพิพากษา ศาลอนุญาตให้ประกันตัวจำเลยทั้ง 3 คน ในวงเงินคนละ 2 ล้านบาท โดยจำเลยทั้ง 3 คนเตรียมยื่นอุทธรณ์ภายในเวลา 1 เดือน. ครม. ขยายเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ต่ออีก 3 เดือน       เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2558 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ลงนามในประกาศ เรื่อง การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่ จ.นราธิวาส จ.ยะลา และ จ.ปัตตานี ยกเว้น อ.แม่ลาน โดยขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่ จ.นราธิวาส จ.ยะลา และ จ.ปัตตานี ยกเว้น อ.แม่ลาน ออกไปอีกเป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2558 เป็นต้นไป. ทั้งนี้ได้เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ครม.อนุมัติเพิ่มสินเชื่อ ช่วยชาวสวนยาง รายย่อย 1.5 หมื่นล้านบาท       เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2558 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติการสนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรชาวสวนยางรายย่อยเพิ่มเติม ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ เนื่องจากปีที่ผ่านมา ได้มีโครงการลักษณะนี้ขึ้นมาแล้ว วงเงิน 10,000 ล้านบาท และการดำเนินการในช่วงที่ผ่านมา มีเกษตรกรผ่านหลักเกณฑ์การจ่ายสินเชื่อของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน 82,000 กว่าครัวเรือน วงเงินสินเชื่อ 7,394 ล้านบาท มีเกษตรกรที่ไม่ผ่านหลักเกณฑ์ของ ธ.ก.ส. จำนวน 23,216 ครัวเรือน วงเงิน 2,322 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการพิจารณาของ ธ.ก.ส. จำนวน 53,000 กว่าครัวเรือน เป็นวงเงิน 5,200 กว่าล้านบาท เมื่อดูวงเงินเดิมในโครงการ 10,000 บาท อนุมัติไปแล้ว 7,000 กว่าล้านบาท จะเหลือวงเงินเพียง 2,000 กว่าล้านบาท แต่เกษตรกรที่ยื่นความจำนงทั้งหมดประมาณ 15,000 ล้านบาท กระทรวงเกษตรฯ จึงขอวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมอีก 5,000 ล้านบาท เพื่อรองรับส่วนที่เหลือ หลักเกณฑ์ก็จะเป็นเช่นเดิม รัฐชดเชยค่าดอกเบี้ยให้ ธ.ก.ส. อัตรา ร้อยละ 3 ซึ่งที่ประชุม ครม. ตั้งข้อสังเกตว่า สำหรับเกษตรกรที่ไม่ผ่านหลักเกณฑ์นั้น จะทำอย่างไรจึงเห็นว่าจะใช้เรื่องของกองทุนหมู่บ้านเข้าไปช่วยเหลือตรงนี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลให้การช่วยเหลือประชาชนทั้งหมด ไม่ใช่แค่คนที่ผ่านหลักเกณฑ์ของ ธ.ก.ส. เท่านั้น มติ ครม. บรรจุ แผนแม่บทก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ในแผนสภาพัฒนาเศรษฐกิจฯ ฉบับที่ 12       เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2558 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้กระทรวงคมนาคม ศึกษารายละเอียดยกร่างแผนแม่บทโครงการก่อสร้างที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานในเขต กทม. และปริมณฑล ระยะที่ 2 ทั้งโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า, ทางด่วนพิเศษระหว่างเมือง, ทางด่วนยกระดับ, รถไฟทางคู่, การพัฒนาท่าเรือ เข้าไปบรรจุในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ช่วงระยะเวลาดำเนินการระหว่าง ปี 2560-2564 เพื่อให้การดำเนินการโครงการ มีความต่อเนื่องและเชื่อมโยงไปยังประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ให้เกิดขึ้นอย่างรูปธรรมเป็นจริง แม้ว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลที่จะเข้ามาบริหารประเทศก็ตาม       สำหรับโครงการของกระทรวงคมนาคม ที่จะบรรจุในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ส่วนใหญ่จะอยู่ในแผนยุทธศาสตร์กระทรวงคมนาคมระหว่างปี 2557-2565 ซึ่งโครงการที่จะเสนอให้ ครม. เห็นชอบ ในปี 2559 ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี, สายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง, สายสีเขียว ช่วงสมุทรปราการ-บางปู และคูคต-ลำลูกกาคลอง 4, สายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ ส่วนที่เหลือ เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-ตลิ่งชัน, สายสีเทา ช่วงวัชรพล-พระโขนง-สะพานพระราม 9-ท่าพระ และสายสีน้ำตาล แคราย-บึงกุ่ม จะถูกบรรจุในแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ฉบับที่ 12 ต่อไป มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ : ช็อปช่วยชาติไม่เกินหมื่นห้า ลดหย่อนภาษี       เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2558 ราชกิจจานุเบกษา ออกประกาศใช้กฎกระทรวง ยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อสินค้าหรือบริการให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามจํานวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินหนึ่งหมื่นห้าพันบาท เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้น ไม่ต้องนํามารวมคํานวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ประชาชนใช้จ่ายเงินเป็นค่าซื้อสินค้าหรือบริการเพิ่มมากขึ้น สำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการในระหว่างวันที่ 25 -31 ธันวาคม 2558 ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท คาดว่า จะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของพี่น้องประชาชนคนไทยในช่วง 7 วันดังกล่าวและคาดว่าจะช่วยให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือจีดีพีปีนี้ เพิ่มขึ้น 0.1-0.2% สำหรับเบื้องต้นคาดว่าจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท รัฐบาลขายข้าวเสียในสต็อกเพื่อทำปุ๋ย       เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2558 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะรองประธานกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) เปิดเผยว่า นบข. ได้อนุมัติการขายข้าวเสียในสต็อกรัฐบาล ใน 10 คลัง 7 จังหวัด ปริมาณรวม 37,412 ตัน ที่เปิดประมูลเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2558 เพื่อเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่เพื่อการบริโภคของคนหรือสัตว์ ให้แก่ผู้เสนอราคาซื้อสูงสุด 2 ราย ซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการเกี่ยวกับการผลิตไฟฟ้าเพื่อการจำหน่าย และผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยอินทรีย์เคมี และสารปรับปรุงดิน ในราคาตันละ 5,020-5,420 บาท รวมมูลค่าทั้งสิ้น 198 ล้านบาท       สำหรับการดำเนินการต่อจากนี้ ผู้เสนอซื้อจะต้องทำสัญญาซื้อขายข้าวกับองค์การคลังสินค้า (อคส.) หรือ องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ภายใน 15 วันทำการ พร้อมทั้งยื่นแผนการขนย้ายข้าว และแผนการนำข้าวไปใช้ในอุตสาหกรรมตามที่ผู้ซื้อได้รับรองวัตถุประสงค์ในการนำข้าวไปใช้ตามที่ได้แจ้งไว้ ตั้ง 'ไทยแลนด์ ฟิวเจอร์ส ฟันด์' ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน       เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2558 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้จัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่ออนาคตประเทศไทย หรือ ไทยแลนด์ ฟิวเจอร์ส ฟันด์ (Thailand Future Fund) วงเงิน 1 แสนล้านบาท เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะระบบขนส่งของประเทศ คาดว่ามีมูลค่าการลงทุน 1.6-1.7 ล้านล้านบาท ซึ่งจะเร่งดำเนินการ และหากสามารถเปิดให้ลงทุนได้ภายในไตรมาส 1/59 จะดำเนินการทันที เบื้องต้นกระทรวงการคลังจะลงทุนในกองทุนดังกล่าว 1 หมื่นล้านบาท โดยนำเงินกองทุนวายุภักษ์ มาแปลงเป็นเงินลงทุนในกองทุนดังกล่าว เพื่อเป็นเงินเริ่มต้น เพื่อให้กองทุนมีรายได้ เนื่องจากหากเป็นกองทุนใหม่จะต้องใช้เวลา 3-5 ปี กว่าจะมีรายได้ และจะเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปร่วมลงทุนด้วย ทั้งนี้ การดำเนินการลงทุนดังกล่าวนั้น จะช่วยลดภาระการกู้เงินของรัฐบาลและยังสามารถมีช่องว่างในการกู้เงินได้เพิ่มขึ้น เพราะภาระหนี้จะลดลง จึงมีการออกแบบกองทุนเพื่อระดมทุนจากภาคเอกชน ซึ่งมีเงินระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มจากประกันภัย เงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ไป กระทรวงการคลังจะลงไปสำรวจอัตราผลตอบแทนของการลงทุนในตลาดว่าอยู่ที่เท่าใด เพื่อกำหนดอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำของการลงทุนในกองทุนดังกล่าว เพื่อให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลมีการการันตีผลตอบแทนในการลงทุน เพิ่มวงเงินสินเชื่อเอสเอ็มอี อีก 5 หมื่นล้าน       เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2558 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้ขยายวงเงินสินเชื่อให้กับ SMEs เพิ่มเติมอีก 5 หมื่นล้านบาท ผ่านธนาคารออมสิน จากก่อนหน้านี้ที่อนุมัติไปแล้ว 1 แสนล้านบาท โดยดอกเบี้ย 4% เท่าเดิม แต่วงเงินสูงสุดลดเหลือ 10 ล้านบาทจากเดิม 50 ล้านบาท เพื่อกระจายให้ครอบคลุมรายย่อย นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม. ยังเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.กองทุนเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันสำหรับ 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท นำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนทำวิจัย การพัฒนาบุคลากร ชดเชยอัตราดอกเบี้ย โดยมีคณะกรรมการเพิ่มขีดฯ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเป็นผู้พิจารณา และมีการตั้งคณะอนุกรรมการหนึ่งชุด เพื่อดำเนินการแสวงหาเรื่องที่เป็นประโยชน์มานำเสนอ ซึ่งจะเปิดกว้างเพื่อรองรับการแข่งขันในทุกเรื่อง เนื่องจากที่ผ่านมาเพื่อนบ้านมีสิทธิประโยชน์ในการลงทุนดีกว่า