![]() ![]() ![]() |
![]() |
![]() ![]() |
![]() |
![]() |
|
![]() ประชากร และ การตั้งถิ่นฐาน ที่มีผลต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
สถาบันนโยบายศึกษา โดยการสนับสนุนของมูลนิคอนราด อาเดนาวร์ จัดการสนทนาอีกครั้ง เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2558 ที่ห้องแวนด้ า 1 โรงแรมที.เค.พาเลซ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ คุณภารนี สวัสดิรักษ์ นำเสนอผลรายงานการศึกษาเรื่องประชากรว่า เติบโตในอัตราที่ค่อยๆ ลดลง กรมโยธาธิการและผังเมืองคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2600 ไทยจะมีประชากร 72.7 ล้านคน ซึ่งเติบโตไม่มากจากจำนวนในปัจจุบัน 66.2 ล้านคน ใน พ.ศ. 2555 ที่น่าสนใจคือการเติบโตในรายภาคและสัดส่วนของผู้อาศัยในเมืองและชนบท ระหว่างปี พ.ศ. 2538 ถึง 2557 ประชากรทั้งประเทศเพิ่มในอัตราเฉลี่ยร้อยละ 0.48 แต่เมื่อดูรายภาคกลับพบว่าภาคตะวันออกเพิ่มมากที่สุดคือร้อยละ 1.10 รองลงมา คือ กทม. และปริมณฑล และภาคใต้ เท่ากันคือร้อยละ 0.94 ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีสัดส่วนประชากรมากที่สุดของประเทศมีอัตราการเพิ่มประชากรต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ คือร้อยละ 0.29 และภาคเหนือมีการเพิ่มติดลบร้อยละ -0.02 อาจจะมีคำอธิบายง่ายๆ ว่ามีการอพยพเคลื่อนย้ายไปหางานทำในภาคตะวันออกที่มีการเติบโตของการจ้างงานสูงที่สุดในประเทศได้หรือไม่ ในปี พ.ศ. 2557 สัดส่วนของประชากรทั้งประเทศอาศัยอยู่ในเมืองเป็นร้อยละ 33.59 ของชนบท ยกเว้น กทม. และปริมณฑลที่มีสัดส่วนร้อยละ 75.84 แล้ว ในทุกๆ ภาคมีสัดส่วนประชากรในเมืองน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศทั้งสิ้น มีคำถามว่าในการกำหนดนโยบายใดๆ ภาครัฐผู้มีอำนาจตัดสินใจได้นำแนวโน้มนี้มาพิจารณาร่วมด้วยหรือไม่ โดยเฉพาะในเรื่องนโยบายการใช้ประโยชน์ที่ดินกับการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม ในขณะที่เราได้ยินว่าอนาคตประเทศไทยจะเป็นประเทศชั้นนำทางการเกษตร เราจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยอุตสาหกรรมการเกษตร จะสนับสนุนส่งเสริมเทคโนโลยีด้านอาหาร เป็นศูนย์กลางบริการสุขภาพและท่องเที่ยว ประชาชนในชาติจะต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดี เราจะอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ดี ไทยจะมีการพัฒนาที่ยั่งยืน ยังมีความขัดแย้งกันอยู่ในทิศทางการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ คุณภารนี ยกตัวอย่างเช่น การกำหนดพื้นที่การใช้ประโยชน์ที่ดินในชนบทและเกษตรกรรมและพื้นที่อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้สามารถใช้ประโยชน์หรือแก้ไขให้ใช้เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรม สาธารณูปโภค และรองรับกิจการพลังงาน ความขัดแย้งเชิงนโนบายและความไม่สัมพันธ์กันระหว่างนโยบายต่างๆ เหล่านี้ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างฝ่ายลงทุนกับประชาชนในพื้นที่มาแล้ว และยังทำให้โครงการต่างๆ หยุดชะงักไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ กลายเป็นอุปสรรคขัดขวางการพัฒนาที่ยั่งยืน ความไม่กระจ่างชัดขัดแย้งหรือมีช่องโหว่อาจนำไปสู่ความเสียหายที่ใหญ่หลวง เช่น การพัฒนาปิโตรเคมีอาจจะส่งผลถึงความมั่นคงทางการเกษตรที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้นำ หรือการพัฒนาพลังงานในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวที่มีธรรมชาติสวยงามสมบูรณ์ เป็นต้น การพัฒนาที่ขัดแย้งกันนี้ควรต้องเลือกหรือไม่ หรือสามารถทำคู่ขนานกันไปได้ในพื้นที่เดียวกัน หรือถ้าต้องเลือก อะไรคือแนวทางที่ยั่งยืน ผู้เข้าร่วมการสนทนาต่างช่วยกันให้ความเห็นข้อเสนอแนะ เช่นการจำแนกประเทศอุตสาหกรรมเป็น 3 ประเภทหลัก 1) การทำเหมือง (mining) 2) การผลิต (processing) และ 3) การประกอบ (fabricating) จะทำให้มีความชัดเจนในการพัฒนา การส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่มีอำนาจในการตัดสินใจ (empowerment) ที่ไม่ใช่มีเพียงแค่การมีส่วนร่วม (participation) ที่ต้องมีกฎหมายรองรับ และชัดเจนว่าใครบ้างที่จะเป็น “ผู้มีส่วนได้เสีย” (stakeholders) ในต่างประเทศมีระเบียบในการเป็น (intervener) ที่มีทั้งสิทธิและหน้าที่ในกระบวนการปรองดองและประนีประนอม มีข้อสังเกตในเรื่องการทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม EIA : Environmental Impact Assessment, EHIA: Environmental Health Impact Assessment และ SIA : Social Impact Assessment ว่าจะเป็นเครื่องมือในการยับยั้งโครงการได้จริงหรือไม่ ความยุติธรรมในด้านสิ่งแวดล้อมมีผลบวกหรือลบกับการพัฒนาเศรษฐกิจ หากผู้ปล่อยมลพิษไม่รับผิดชอบความรับผิดชอบย่อมเป็นของประชาชนทุกคนในชาติ ยังมีประเด็นต่าง ๆ อีกมากที่ล้วนเกี่ยวกันหรือต่อเนื่องกันที่ต้องทำความเข้าใจเพื่อนำไปสู่การคลี่คลายก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการกำหนดนโยบายสาธารณะที่ประชาชนเจ้าของประเทศมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ในฐานะเจ้าของประเทศ เราต้องเอาใจใส่ในเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ การสนทนาในวันที่ 29 กันยายน 2558 เป็นเพียงการเริ่มต้นของกระบวนการที่จะกระตุ้นให้มีการตื่นตัวในฐานะที่เป็น “พลเมือง” การพัฒนาที่ยั่งยืนจะเกิดได้เมื่อพลเมืองในประเทศรู้เข้าใจในหน้าที่รับผิดชอบ |
![]() |