มกราคม 2558 : มติ สนช. เอกฉันท์ถอดถอนยิ่งลักษณ์ สนช. มีมติถอดถอนยิ่งลักษณ์ และตัดสิทธิ์การเมือง 5 ปี ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์ “บุญทรง” กับพวก ทุจริตขายข้าวจีทูจี กมธ. ยกร่างฯ ยุบรวมผู้ตรวจฯ-กสม. ลดความซ้ำซ้อน - เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ร่าง พ.ร.บ.ความมั่นคงไซเบอร์ฯ ให้รัฐมีอำนาจ "เข้าถึงข้อมูล" ได้ทุกเรื่อง สปช. มีมติล้มเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบ 21 กสม. รายงานสิทธิมนุษยชนไทยปี 56 แนะรัฐเยียวยาผู้เสียหาย ศาลปกครองสูงสุด กลับคำพิพากษา สั่ง “กทม.” ติดลิฟท์อำนวยความสะดวก 23 สถานีบีทีเอส ภายใน 1 ปี เริ่มคิดค่าโทรมือถือตามจริงเป็นวินาที ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.เป็นต้นไป ครม. ไฟเขียว ยกเลิกรถเมล์รถไฟฟรี มีผล 31 ก.ค.นี้ "นายกฯ " ลงนามกำหนดพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ 5 แห่ง กรมฝนหลวงชี้ภัยแล้งรุนแรง นโยบายเงินชดเชยชาวนาได้ผล ปีนี้น้ำประปาไม่เค็ม ไทยใช้พลังงานเพิ่ม 1.9% ตลอดปี 57 3 กรมฯ จับมือลุยทวงผืนป่าทั่วประเทศ รัฐเริ่มตื่นเปิดโรดแม็ปแก้ปัญหาขยะ ตลาดหลักทรัพย์ลุยพัฒนาลงทุนอย่างยั่งยืน มุ่งเน้นสังคม-สิ่งแวดล้อม-บรรษัทภิบาลที่ดี “เซ็นทรัลกรุ๊ป” เปิดโครงการ “พิทักษ์รักษ์สิ่งแวดล้อม” จีนคุ้มเข้มกฎหมายสิ่งแวดล้อม ฝนน้ำแข็ง ตกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอเมริกา ผู้เชี่ยวชาญเตือนมลพิษทำทะเลฮ่องกงเรืองแสง พายุหิมะถล่มอเมริกาตะวันออก สนช. มีมติถอดถอนยิ่งลักษณ์ และตัดสิทธิการเมือง       เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2558 ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้พิจารณาวาระการถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีไม่ระงับยับยั้งปล่อยให้เกิดการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว, นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา และนายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา กรณีดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 เกี่ยวกับที่มา ส.ว. ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดรัฐธรรมนูญปี 2550 ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวหา ผลการลงคะแนนจากสมาชิก 219 คน คือ :- เห็นชอบให้ถอดถอนนายนิคม 95 เสียง ไม่ถอดถอน 120 เสียง และงดออกเสียง 4 เสียง เห็นชอบให้ถอดถอนนายสมศักดิ์ 100 เสียง ไม่เห็นชอบ 115 เสียง และงดออกเสียง 4 เสียง เห็นชอบให้ถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ 190 เสียงไม่ถอดถอน 18 เสียงและงดออกเสียง 11 เสียง       ผลจากการถูกถอดถอน ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี       ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 9 มกราคม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เข้าชี้แจงต่อที่ประชุม สนช. ด้วยตนเอง พร้อมนำอดีตรัฐมนตรีบางคนและทีมทนายความมาด้วย โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องถอดถอนตน เพราะตนไม่เหลือตำแหน่งใดๆ ให้ถอดถอนแล้ว และว่า การพิจารณาของ สนช. จะส่งผลกระทบต่อชาวนา เป็นการตัดความหวังและอนาคตของชาวนา พร้อมอ้างว่า กระบวนการไต่สวนของ ป.ป.ช. ไม่เป็นธรรม เร่งรีบรวบรัด และตัดพยานหลักฐานของฝ่ายตนออก พร้อมย้ำด้วยว่า ตนไม่เคยคิดทุจริตหรือคดโกง ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์ บุญทรงกับพวกทุจริตขายข้าวจีทูจี       เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2558 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 เสียง ชี้มูลความผิดนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และพวกรวม 21 คน กรณีร่วมกันทุจริตการระบายข้าวแบบจีทูจี โดยมุ่งเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท ไห่หนาน และบริษัท กวางตุ้ง ได้เข้ามาทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบจีทูจีกับรัฐบาลในราคาต่ำ จำนวน 6.5 หมื่นตัน วงเงิน 847 ล้านบาท โดยไม่ต้องแข่งขันราคากับผู้เสนอราคารายอื่น ทั้งที่สองบริษัทดังกล่าวไม่ได้รับมอบอำนาจจากประเทศจีน ให้มาทำสัญญาซื้อขายข้าว จากนั้นได้นำข้าวที่ซื้อในราคาต่ำกว่าราคาขายภายในประเทศ ไปขายต่อให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในประเทศ หรือนำไปให้บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด นำไปขายต่ออีกทอดหนึ่ง โดยพบว่ามีการใช้แคชเชียร์เช็คสั่งจ่ายให้กรมการค้าต่างประเทศ ถือเป็นการซื้อขายข้าวในประเทศ ไม่มีการส่งออกนอกประเทศจริง ก่อให้เกิดความเสียหายแก่กรมการค้าต่างประเทศ และประเทศชาติอย่างร้ายแรง กมธ.ยกร่างฯ ยุบรวม 'กสม.-ผู้ตรวจการฯ'       เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2558 นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ แถลงว่า กมธ.ยกร่างฯ ได้ทำการยกสถานะของผู้ตรวจการแผ่นดินและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เป็น “ผู้ตรวจการแผ่นดินและพิทักษ์สิทธิของประชาชน” เป็นการผนึกกำลังของ 2 หน่วยงานเข้าด้วยกัน เพื่อประโยชน์ของประชาชนในการเรียกร้องสิทธิได้ที่เดียว ไม่ต้องไปร้องถึง 2 ที่เหมือนในอดีตที่ผ่านมา และจะลดความซ้ำซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้เร็วเพิ่มขึ้น โดยผู้ตรวจการฯ มีจำนวน 11 คน จะแบ่งการทำงานเป็น 11 ด้าน ซึ่งจะบัญญัติไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญต่อไป ทั้งนี้ ผู้ตรวจการฯ จะมีอำนาจและหน้าที่พิทักษ์ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของประชาชน พ.ร.บ. มั่นคงไซเบอร์ฯ เปิดทางรัฐเข้าถึงข้อมูลได้ทุกเรื่อง       เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2558 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบในหลักการของร่าง พ.ร.บ. "ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์" เพื่อกำหนดมาตรการและการดำเนินการที่จะรักษาความมั่นคงปลอดภัย หรือรับมือกับสถานการณ์ด้านภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ส่งผลกระทบหรืออาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการให้บริการ หรือการประยุกต์ใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์อินเทอร์เน็ต โครงข่ายโทรคมนาคม หรือการให้บริการโดยปกติของดาวเทียมอันกระทบต่อความมั่นคงของชาติ ซึ่งรวมถึงความมั่นคงทางการทหาร ความสงบเรียบร้อยภายในประเทศและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และให้ตั้งคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กปช.) มีหน้าที่หลักในการจัดทำแผนปฏิบัติการแนวทางการตอบสนองและรับมือภัยคุกคามไซเบอร์และเป็นศูนย์การดำเนินการ เมื่อมีเหตุการณ์ความมั่นคงอย่างทันท่วงทีโดยให้ตั้งสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ สปช. มีมติล้มเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบ 21       เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2558 ที่ประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ลงมติไม่เห็นด้วยที่จะให้เปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบ 21 ด้วยคะแนน 130 ต่อ 79 เสียง และงดออกเสียง 21 เสียง กสม. รายงานสิทธิมนุษยชนไทยปี 56 แนะรัฐเยียวยาผู้เสียหาย       เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2558 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับทราบรายงานการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยและรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี 2556 ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ที่รายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในไทยของปี 2556 โดยในส่วนของสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ว่าด้วยการใช้เสรีภาพในการชุมนุม หน้า 25 ของรายงาน ระบุว่า        “จากสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองในรอบปีที่ผ่านมา(2556) ทั้งในเหตุการณ์ปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลและกองบัญชาการตำรวจนครบาล ระหว่างวันที่ 1-3 ธันวาคม 2556 และการชุมนุมคัดค้านการเลือกตั้งบริเวณสนามกีฬา ไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง ในวันที่ 26 ธันวาคม 2556 รัฐบาลได้ดำเนินการจัดการกับผู้ชุมนุมโดยขาดความระมัดระวังจนทำให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของผู้ชุมนุมและประชาชนทั่วไป อันเป็นการกระทำที่กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกฎหมายอื่นได้กำหนดไว้ รัฐบาลจึงต้องดำเนินการให้ความช่วยเหลือและเยียวยาตามสมควรแก่ผู้ที่ได้รับความสูญเสียจากเหตุการณ์ดังกล่าวให้ครบถ้วนและทั่วถึงอย่างแท้จริง และ การที่สื่อมวลชนถูกคุกคามจนทำให้สื่อมวลชนต้องเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ เป็นหน้าที่ของรัฐจะต้องมีมาตรการในการปกป้องคุ้มครองการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน รวมทั้งเร่งติดตามคนร้ายมาลงโทษโดยเร็ว และสื่อมวลชนก็ต้องทำหน้าที่เสนอข่าวสารและแสดงความคิดเห็นโดยยึดมั่นในกรอบจริยธรรมแห่งวิชาชีพ ไม่นำเสนอข่าวด้วยความลำเอียงหรือมีอคติและไม่รอบด้าน จนทำให้เกิดความแตกแยกขัดแย้งในสังคมไทย” ศาลปกครองสั่งติดลิฟท์ 23 สถานีบีทีเอส เพื่อคนพิการ       เมื่อวันที่ 21มกราคม 2558 ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษากลับคำพิพากษาศาลปกครองกลาง โดยสั่งให้กรุงเทพมหานคร และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จัดทำลิฟต์ที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสทั้ง 23 สถานี และให้จัดทำอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวก ทั้ง 23 สถานี รวมทั้งจัดทำอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวกบนรถไฟฟ้า โดยให้จัดที่ว่างสำหรับเก้าอี้เข็นคนพิการ และติดสัญลักษณ์คนพิการไว้ ทั้งในและนอกตัวรถ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการตามคำสั่งศาลให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี หลังจากมีคำพิพากษา       เรื่องนี้เป็นไปตามที่นายสุภรธรรม มงคลสวัสดิ์ เลขาธิการมูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ ได้ฟ้องกรุงเทพมหานคร และบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กรณีร่วมกันก่อสร้างระบบรถไฟฟ้าบีทีเอส โดยไม่มีการก่อสร้างลิฟต์และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการ และเรียกร้องให้บริการขนส่งสาธารณะต้องจัดสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทุกคนสามารถใช้ประโยชน์ได้เท่าเทียมกัน 1 มี.ค. เริ่มคิดค่าโทรมือถือเป็นวินาที       เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2558 ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. มีมติให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 5 ราย ได้แก่ เอไอเอส ดีแทค ทรู ทีโอที และ กสท. โทรคมนาคม คิดค่าโทรตามจริงเป็นวินาที เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2558 เป็นต้นไป มติ ครม. ยกเลิกรถเมล์ฟรี       เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2558 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้มีการยกเลิกโครงการรถเมล์รถไฟฟรี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2558 เป็นต้นไป พร้อมกับให้กระทรวงคมนาคมไปพิจารณาหาแนวทางช่วยเหลือลดค่าครองชีพแก่ผู้มีรายได้ต่ำใหม่ เพราะที่ผ่านมาโครงการนี้มีการนำภาษีของคนส่วนรวมไปอุดหนุนให้แก่คนเฉพาะกลุ่ม อีกทั้งยังมีคนที่ไม่มีรายได้ต่ำ รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของโครงการมาใช้บริการรถเมล์รถไฟฟรีจำนวนมาก นายกฯ ลงนามพัฒนา 5 พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ       พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ลงนามในประกาศคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ กำหนดพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่ชัดเจนใน 5 พื้นที่ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 19 มกราคม 2558 เป็นต้นไป สำหรับเขตเศรษฐกิจพิเศษ 5 พื้นที่ คือ เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก, เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษมุกดาหาร, เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสระแก้ว, เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลา และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตราด กรมฝนหลวงชี้ภัยแล้งรุนแรง       นายวราวุธ ขันติยานันท์ อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เปิดเผยว่า สถานการณ์ภัยแล้งและภัยธรรมชาติในปี 2558 คาดการณ์ว่าน่าจะมีความรุนแรงกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากการเข้าสู่ช่วงปรากฏการณ์เอลนิโญ่ของประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งระหว่างต้นเดือน ก.พ.-พ.ค.นี้ สถาบันด้านอุตุนิยมวิทยาทั้งในประเทศและต่างประเทศได้คาดหมายว่าปริมาณน้ำฝนจะต่ำกว่าเกณฑ์ปกติในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศไทย ประกอบกับพฤติกรรมการเผาป่าและเศษซากพืชในไร่นาทั้งในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านในระยะจากนี้ไป จะทำให้เกิดการสะสมของหมอกควันซึ่งเป็นอนุภาคขนาดเล็กจำนวนมากที่มีปัญหาต่อสุขภาพของประชาชนในภาคเหนือ และยังมีผลทำให้โอกาสการเกิดฝนในธรรมชาติลดลงด้วย ซึ่งจะซ้ำเติมให้สถานการณ์ภัยแล้งมีความรุนแรงยิ่งขึ้น นโยบายเงินชดเชยชาวนาได้ผล ปีนี้น้ำประปาไม่เค็ม       กรมชลประทานคาดในปีนี้จะไม่เกิดปัญหาน้ำประปาเค็มเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา แม้ปริมาณน้ำในเขื่อนจะมีน้อย เหตุเพราะมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) งดจ่ายเงินชดเชยชาวนาที่ฝ่าฝืนประกาศห้ามปลูกข้าวในลุ่มเจ้าพระยาและลุ่มแม่กลอง เป็นกุญแจสำคัญทำให้การทำข้าวนาปรังลดลงจาก 9.5 ล้านไร่ เหลือเพียง 2.3 ล้านไร่       นายสุเทพ น้อยไพโรจน์ รองอธิบดีฝ่ายบำรุงรักษา กรมชลประทาน กล่าวว่า ในเดือน กุมภาพันธ์ 2557 เกิดเหตุการณ์น้ำประปาในเขตกรุงเทพฯเค็ม เพราะน้ำจืดในแม่น้ำเจ้าพระยามีน้อยเกินไป ทำให้น้ำทะเลรุกล้ำจากปลายแม่น้ำเข้ามาถึงปากคลองสำแล ซึ่งเป็นจุดสูบน้ำดิบเข้าสู่ระบบประปาหล่อเลี้ยงกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก       แม่น้ำเจ้าพระยาตอนกลาง เริ่มตั้งแต่ จ.นครสวรรค์ มีระบบชลประทานทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวาเป็นตัวดักน้ำจืดออกไปสองข้างทาง เพื่อให้เกษตรกรใช้ทำนา บริเวณนี้จึงเป็นพื้นที่ทำนาที่หนาแน่นที่สุด เป็นจุดที่ดึงน้ำออกจากแม่น้ำเจ้าพระยามากที่สุด       น้ำที่ระบายจากเขื่อนทางภาคเหนือลงมา จะเหลือมาถึงระบบน้ำประปามากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับว่าพื้นที่การปลูกข้าวในช่วงฤดูแล้ง หรือข้าวนาปรัง มีมากน้อยเพียงใด ถ้าปีใดมีการทำนาในฤดูแล้ง หรือปลูกข้าวนาปรังมาก ก็ต้องมีการใช้น้ำชลประทานมาก น้ำที่เหลือมาถึงระบบสูบน้ำประปาก็จะมีน้อย       สำหรับปี 2558 กรมชลฯ พบว่าปริมาณน้ำต้นทุนในเขื่อนต่างๆ มีไม่มาก เพราะภาพรวมของสภาพภูมิอากาศเป็น ปีแล้ง จึงได้มีการออกประกาศห้ามชาวนาในเขตลุ่มเจ้าพระยาและลุ่ม น้ำแม่กลอง รวม 26 จังหวัด งดปลูกข้าวนาปรัง โดยมีเหตุผล 2 ประการ คือ หนึ่ง เพื่อสำรองน้ำที่มีอยู่ในช่วงหน้าแล้ง เพื่อเก็บไว้ส่งให้ชาวนาเริ่มต้นปลูกข้าวได้พร้อมกันในช่วงเริ่มต้นฤดูฝน เพราะถ้าปลูกข้าวพร้อมกัน ก็จะเก็บเกี่ยวได้พร้อมกัน เมื่อถึงหน้าฝนน้ำหลาก จะได้บรรเทาปัญหาคนที่เกี่ยวข้าวหนีน้ำไม่ทัน       ส่วนสาเหตุที่สอง คือ ป้องกันปัญหาระบบนิเวศในแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะปัญหาน้ำจืดไม่เพียงพอ จนถูกน้ำทะเลรุกล้ำเข้ามามาก เกิดปัญหาน้ำเจ้าพระยามีค่าความเค็มเกินมาตรฐาน เกิดความเสียหายต่อการเลี้ยงปลาในกระชังริมแม่น้ำ และการเพาะปลูกพืชผักพืชไร่       ในลุ่มน้ำเจ้าพระยามีการเพาะปลูกข้าวในฤดูแล้ง รวมประมาณ 3.2 ล้านไร่ แบ่งเป็นข้าวนาปีที่ปลูกคาบเกี่ยวมาถึงช่วงหน้าแล้ง ยังไม่ทันได้เก็บเกี่ยวประมาณ 880,000 ไร่ ส่วนใหญ่เป็นข้าวเบาอายุสั้นไม่เกิน 90 วัน เก็บเกี่ยวเร็วและไม่ต้องการใช้น้ำจากเขื่อน       อีกส่วนหนึ่ง 2.35 ล้านไร่ เป็นข้าวนาปรังที่ชาวนาฝ่าฝืนประกาศห้ามของกรมชลฯ ส่วนนี้เองเป็นพื้นที่ที่จะแย่งน้ำจืดในแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งจะต้องเป็นผู้แบกรับความเสี่ยงเองหากข้าวยืนต้นตายเพราะขาดน้ำ เนื่องจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติออกมาแล้ว จะไม่จ่ายเงินช่วยเหลือให้กับชาวนาที่ฝ่าฝืนประกาศงดปลูกข้าวนาปรัง ไทยใช้พลังงานเพิ่ม 1.9% ตลอดปี 57       นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ยอดการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ ขั้นต้นปี 2557 คิดเป็นมูลค่าการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายมีมูลค่ารวม 2,168,867 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2556 ประมาณ 39,644 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.9% คาดว่าในปี 2558 จะเพิ่มขึ้นเป็น 2.9% 3 กรมฯ จับมือลุยทวงผืนป่าทั่วประเทศ       กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า วันที่ 14 มกราคม 2558 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรมป่าไม้ และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จะเปิดยุทธการทวงคืนผืนป่าพร้อมกันทั่วประเทศตามแผนปฏิบัติการ โดยจำแนกพื้นที่เป้าหมายในการดำเนินการ (Area of Operation: AO) ออกเป็น 4 ระดับ ประกอบด้วย หนึ่ง คือ พื้นที่ที่คดีถึงที่สุดแล้ว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่สามารถดำเนินการรื้อถอนยึดคืนได้ทันที สอง คือ พื้นที่ที่อยู่ระหว่างการดำเนินคดี สาม คือ พื้นที่ที่บุกรุกใหม่หลังปี 2545 หรือพื้นที่ที่คาดว่ามีการบุกรุก ซึ่งต้องตรวจสอบก่อนดำเนินการ และ สี่ คือ พื้นที่ที่ยังคงสภาพป่าอยู่ หรือพื้นที่ป่าที่ยึดคืนมาได้ ทั้งนี้ เป้าหมายในการทวงคืนผืนป่าจะเน้นการจับกุมนายทุนรายใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังการบุกรุกผืนป่า รัฐเริ่มตื่นเปิดโรดแม็ปแก้ปัญหาขยะ       ประเทศไทยวันนี้ กำลังประสบปัญหาขยะล้นประเทศอย่างรุนแรง โดยในแต่ละวันมีขยะถึง 73,355 ตัน เฉลี่ยเท่ากับ 1 คน ผลิตขยะ 1-1.15 กิโลกรัมต่อวัน โดยขยะในกรุงเทพมหานครมีมากที่สุดถึง 10,000 ตัน/วัน หรือเท่ากับ 2 กิโลกรัมต่อวันต่อคน ส่วนในจังหวัดอื่นๆ ผลิตขยะเฉลี่ย 0.93 กิโลกรัมต่อคนต่อวัน และข้อมูลจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยังระบุว่า มีปริมาณขยะตกค้างที่มีมากกว่า 30 ล้านตัน       ประเทศไทยมีสถานที่กำจัดขยะทั้งหมด 2,500 แห่งทั่วประเทศ 80% เป็นการกำจัดขยะอย่างไม่ถูกต้อง ส่งผลให้กลายเป็นกองขยะกลางแจ้งที่สะสมเพิ่มขึ้นทุกปี โดย 9 จังหวัดที่มีปัญหาขยะตกค้างมากที่สุด ได้แก่ สมุทรปราการ สงขลา กาญจนบุรี นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ราชบุรี ขอนแก่น พระนครศรีอยุธยา และปราจีนบุรี       จากปัญหาขยะล้นประเทศทำให้รัฐบาลประกาศให้การแก้ไขปัญหาขยะเป็น “วาระแห่งชาติ” กำหนดแนวทางไว้ 4 ขั้นตอนภายใน 1 ปี คือ 1. กำจัดขยะมูลฝอยตกค้างสะสม 2. สร้างรูปแบบการจัดการที่เหมาะสม 3. เน้นบริหารจัดการขยะ และ 4. ให้คัดแยกขยะก่อนทิ้ง และตั้งเป้าว่า ภายใน 5 ปี จะต้องแปลงขยะมาผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้าให้ได้ โดยให้ 6 จังหวัด ได้แก่ จ.พระนครศรีอยุธยา, นครปฐม, สระบุรี, ลพบุรี, สมุทรปราการ และปทุมธานี นำร่องในการจัดการแก้ไขปัญหาขยะ       ในปี 2557 กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรฯ ได้จัดทำ “โรดแม็ป” การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย ประกอบด้วย 4 กิจกรรม คือ 1. เร่งจัดการขยะมูลฝอยสะสมในสถานที่กำจัดขยะพื้นที่วิกฤติ 2. ให้มีรูปแบบที่เหมาะสมเพื่อจัดการกับขยะที่เข้ามาใหม่ เน้นการคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทางและแปรรูปพลังงานจากขยะ 3. จัดระเบียบมาตรการบริหารจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย และ 4. การสร้างวินัยของคนในชาติ มุ่งสู่การจัดการที่ยั่งยืน และได้รณรงค์สร้างวินัยให้กับคนในชาติโดยการสร้างเครือข่ายการดำเนินการจาก 4 ส่วน คือ 1. การสร้างกระแสสังคม เพื่อสร้างกระแสวัฒนธรรมใหม่ในการรักษาความสะอาดและการจัดการขยะอย่างครบวงจร 2. ส่งเสริมต้นแบบที่ดีสู่สังคม เชิดชูบุคคล องค์กร ชุมชน ที่มีผลงานดีเด่นเพื่อเป็นแบบอย่าง 3. มีภาคีความร่วมมือร่วมดำเนินงาน โดยภาครัฐเป็นผู้นำการสร้างกระแสสังคม ขณะที่ภาคเอกชนเป็นภาคีความร่วมมือสำคัญในการขยายผล ภายใต้การมีส่วนร่วมของชุมชนและประชาชน และ 4. สังคมช่วยสร้างกระแสรณรงค์ในวงกว้างให้เกิดความตื่นตัว       สำหรับกระบวนการการแก้ปัญหาขยะที่เริ่มมีการผลักดันแล้ว อาทิ โครงการเมืองสะอาดคนในชาติมีสุข ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงทรัพยากรฯ กับกระทรวงมหาดไทย เพื่อสร้างความตื่นตัวให้กับประชาชนในการร่วมกันทำความสะอาดบ้านเมือง ทิ้งขยะถูกที่ ถูกทางในพื้นที่สาธารณะ       นอกจากนี้ ยังมีการรณรงค์สร้างวินัย การมีจิตสำนึกลดและคัดแยกขยะเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ โดยใช้หลักการ “3R” Reduce Reuse Recycle ใช้น้อย ใช้ซ้ำ นำกลับมาใช้ใหม่ รวมถึงการให้อาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน (ทสม.) กว่า 170,000 คน ทั่วประเทศ ลงไปถ่ายทอดองค์ความรู้การจัดการปัญหาขยะกับประชาชนในท้องที่ต่างๆทั่วประเทศ เป็นต้น ตลาดหลักทรัพย์ลุยพัฒนาลงทุนอย่างยั่งยืน มุ่งเน้นสังคม-สิ่งแวดล้อม-บรรษัทภิบาลที่ดี       นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ได้ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สมาคมบริษัทจัดการลงทุน สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย สมาคมส่งเสริม สถาบันกรรมการบริษัท และมูลนิธิเพื่อคนไทย เพื่อพัฒนาการลงทุนอย่างยั่งยืน โดยปีนี้จะประกาศ รายชื่อกลุ่มบริษัทที่ดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการมีบรรษัทภิบาลที่ดี เพื่อให้บริษัทดังกล่าวเป็นที่รู้จักของผู้ลงทุนทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก ซึ่งจะทำให้ผู้ลงทุนที่สนใจแนวคิดของการลงทุนอย่างยั่งยืนได้นำไปประกอบการตัดสินใจลงทุน และนำไปพัฒนาการจัดทำดัชนีความยั่งยืนของประเทศไทย ซึ่งจะนำแนวทางของ Dow Jones Sustainability Index (DJSI) มาปรับใช้ตามสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และสังคมไทย คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2558 นี้ “เซ็นทรัลกรุ๊ป” เปิดโครงการ “พิทักษ์รักษ์สิ่งแวดล้อม”       นางสุพัตรา จิราธิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักนโยบายองค์กรสัมพันธ์และภาพลักษณ์ บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด เปิดเผยว่า เซ็นทรัลกรุ๊ปได้ดำเนินการเรื่องประหยัดพลังงานโดยได้ปรับเปลี่ยน ติดตั้ง หรือเลือกใช้อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพ เช่น เปลี่ยนหลอดไฟจากหลอดธรรมดาเป็นหลอด LED การติดตั้งระบบหรี่ไฟ หรือ Dimmer เพื่อลดกระแสไฟฟ้าของระบบแสงสว่าง ซึ่งช่วยในการประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ถึง 50%, ได้ติดตั้ง Solar Roof Top บนหลังคาศูนย์การค้า เพื่อนำพลังงานมาใช้ส่องสว่างในลานจอดรถ, จัดการระบบทำความเย็น โดยใช้การระเหยของน้ำเป็นไอเย็น หรือ Evaporation ซึ่งสามารถประหยัดไฟได้ถึง 40% เมื่อเทียบกับระบบเครื่องปรับอากาศทั่วไป และได้ประยุกต์ใช้นวัตกรรมด้านการออกแบบอาคารเพื่อรับแสงธรรมชาติได้มากขึ้น ภายใต้แนวคิด Leadership in Energy & Environment Design (LEED)       ที่ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ต ได้พัฒนาระบบซักผ้าโดยใช้โอโซน ซึ่งสามารถลดการใช้สารเคมี นำน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วไปรดต้นไม้ ติดตั้งระบบ Sensor ตัดไฟและแอร์อัตโนมัติ, ติดตั้ง Solar Water Heater และ Heat Recovery, บริหารจัดการน้ำ โดยการนำน้ำที่ใช้แล้วผ่านกระบวนการบำบัด และนำกลับมาใช้ในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งสามารถวัดปริมาณทดแทนน้ำเฉลี่ยได้ถึง 18% ของน้ำที่ใช้ทั้งหมดหรือกว่า 6.5 ล้านลูกบาศก์เมตร การควบคุมการระบายน้ำทิ้งผ่านบ่อบำบัด โดยใช้แผนบำรุงรักษาเชิงป้องกัน แผนซ่อมแซมระบบ และคู่มือการบำรุงรักษาในทุกศูนย์การค้า       นอกจากนี้ ยังมีการใช้กระดาษรีไซเคิล การปิดแอร์ ปิดคอมพิวเตอร์ช่วงระหว่างการพักเที่ยง หรือเมื่อไม่มีความจำเป็นในการใช้, การนำมาตรฐาน ISO 14001 มาใช้ในการบริหารจัดการขยะมูลฝอย โดยการคัดแยกแบ่งประเภท การจัดเก็บ และการจัดการเผาทำลายอย่างถูกวิธี เพื่อลดผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อม และชุมชนที่บริษัทตั้งดำเนินการอยู่       ในปีนี้กลุ่มบริหารฯ ได้มีนโยบายที่จะดำเนินการในเรื่องสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงานให้เห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยได้กำหนดเป็นนโยบายให้ทุกกลุ่มธุรกิจ จัดทำมาตรการประหยัดพลังงานและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นระเบียบปฏิบัติให้กับหน่วยงาน ผู้บริหาร และพนักงาน ได้ยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติ มีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาปรับใช้ในโครงการต่างๆ ศูนย์การค้าที่จะเปิดใหม่จะเป็นกรีนบิลดิ้งหมด       ในเรื่องของพฤติกรรม บริษัทฯได้พยายามสื่อสาร และรณรงค์ให้พนักงาน ผู้เช่า ผู้ใช้บริการมีส่วนร่วมและมีจิตสำนึกในการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ได้เชิญชวนให้ผู้เข้าพักโรงแรมมีส่วนร่วมในการลดการใช้ทรัพยากรน้ำ ไฟฟ้า และสารเคมี โดยไม่กระทบต่อความสะดวกสบายระหว่างการเข้าพัก และในส่วนธุรกิจห้างสรรพสินค้า ก็มีการจัดแคมเปญ No Bag Day Sale, No Bag No Baht โดยกำหนดจะลดการใช้ถุงพลาสติกได้มากกว่า 15 ล้านใบภายในระยะเวลา 5 ปี จีนคุ้มเข้มกฎหมายสิ่งแวดล้อม       ศาลประชาชนสูงสุดของจีน ประกาศบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองด้านสิ่งแวดล้อมฉบับใหม่อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 7 ม.ค. โดย ก.ม.ดังกล่าวเปิดทางให้นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งภาคเอกชนและหน่วยงานรัฐ สามารถยื่นฟ้องบุคคลและนิติบุคคลที่มีพฤติกรรมทำลายสิ่งแวดล้อมได้ทั่วประเทศ       ผู้ที่ยื่นฟ้องจะได้รับสถานะพิเศษและส่วนลดค่าธรรมเนียมศาลเพื่อส่งเสริมการต่อสู้ด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หลังรายงานของรัฐบาลเผยว่า 2 ใน 3 ของผืนดินจีนปนเปื้อนโลหะหนัก ส่วนแหล่งน้ำบาดาลกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ทั่วจีนปนเปื้อนสารพิษจนไม่อาจบริโภคได้ และจีนยังเป็นประเทศผู้ปล่อยก๊าซคาร์บอนและก๊าซก่อปรากฏการณ์เรือนกระจกมากเป็นอันดับ 1 ของโลกด้วย ฝนน้ำแข็ง ตกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอเมริกา       เกิดอุบัติเหตุบนทางหลวงในฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองฟิลาเดลเฟีย เมืองใหญ่สำคัญของรัฐเพนซิลเวเนีย หลังฝนตกกระหน่ำต่อเนื่องและอุณหภูมิลดต่ำลงฉับพลันทั่วภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ ทำให้น้ำฝนบนท้องถนนจับตัวอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นน้ำแข็งจนผู้ขับขี่ยานพาหนะหลายคันประสบอุบัติเหตุถนนลื่นและไม่อาจควบคุมรถได้ ทำให้เกิดอุบัติเหตุหลายจุด โดยมีรถยนต์คู่กรณีประมาณ 30-50 คัน รวมถึงผู้เสียชีวิตอีก 4 ราย       ส่วนสภาพอากาศในรัฐนิวเจอร์ซีย์และนิวแฮมพ์เชียร์ ทางตะวันออกของสหรัฐฯ มีฝนตกกระหน่ำเช่นกัน ทำให้เจ้าหน้าที่สั่งห้ามประชาชนใช้เส้นทางเชื่อมต่อระหว่างเมืองนิวเบิร์กไปยังนครนิวยอร์กเป็นการชั่วคราว นอกจากนี้ ประชาชนหลายพันคนในเมืองซีแอตเติล รัฐวอชิงตัน ทางตะวันตกของสหรัฐฯ ประสบภัยลมพายุกระโชกแรงจนทำให้ไฟฟ้าดับหลายชั่วโมง ผู้เชี่ยวชาญเตือนมลพิษทำทะเลฮ่องกงเรืองแสง       มื่อ 22 มกราคม 2558 นางซาแมนธา จอย นักสมุทรศาสตร์ประจำมหาวิทยาลัยจอร์เจียของสหรัฐฯ เผยแพร่ภาพทะเลฮ่องกงยามค่ำซึ่งเกิดแสงเรืองสีฟ้าเป็นแนวยาวบริเวณชายฝั่ง และระบุว่าทะเลเรืองแสงอาจดูสวยงาม แต่แท้จริงแล้วถือเป็นเรื่องอันตราย เพราะสาเหตุที่ทะเลเรืองแสงในยามค่ำเกิดจากสาหร่ายเซลล์เดียว “น็อคติลูกา ซินทัลลันส์” หรือ “ซี สปาร์คเกิล” เติบโตเป็นจำนวนมาก และเป็นตัวบ่งชี้ว่าน้ำทะเลในบริเวณดังกล่าวอาจได้รับผลกระทบจากมลพิษที่ใช้ในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ในละแวกใกล้เคียง ทั้งยังเป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำและพืชในทะเล วันเดียวกัน รัฐบาลบราซิลประกาศระงับการผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานน้ำจากเขื่อน 3 แห่งในรัฐริโอเดจาเนโร หลังอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วรัฐสูงถึง 40 องศาเซลเซียสติดต่อกันหลายสัปดาห์ทำให้เกิดภัยแล้ง และระดับน้ำในแม่น้ำปาไรบา โด ซูล ซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญของเขื่อนทั้ง 3 แห่งของรัฐริโอฯ ลดต่ำจนไม่เพียงพอต่อการผลิตกระแสไฟ และกระทบต่อประชาชนราว 16 ล้านคน พายุหิมะถล่มอเมริกาตะวันออก       พายุหิมะระดับความรุนแรงพัดกระหน่ำพื้นที่หลายรัฐแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ รวมทั้งรัฐนิวยอร์ก เมื่อคืนวันที่ 26 มกราคม 2558 ส่งผลให้มีหิมะตกหนักขาวโพลนไปทั่ว อิทธิพลจากพายุหิมะรุนแรงยังทำให้ต้องปิดสถานศึกษาและให้เฉพาะเจ้าหน้าที่ที่สำคัญจริงๆ ที่ต้องมาทำงาน นอกนั้นให้หยุดอยู่บ้านและยังมีการปิดระบบขนส่งมวลชนรวมทั้งรถไฟใต้ดิน ยกเลิกเที่ยวบินหลายพันเที่ยว กำหนดเวลาห้ามใช้รถใช้ถนน ทั้งนี้ เพื่อป้องกันอันตรายจากภัยพายุหิมะซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นคุกคามชีวิตผู้คน       ผลพวงจากพายุหิมะ ทำให้สำนักงานสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ปิดทำงานในวันที่ 27 มกราคม เช่นเดียวกับที่โรงเรียนในแถบชายฝั่งตะวันออกและมหาวิทยาลัยหลายแห่งรวมทั้งฮาร์วาร์ด แต่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเปิดทำการอยู่ อย่างไรก็ดี ยังไม่มีรายงานความเสียหายร้ายแรงต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากพายุหิมะรุนแรงดังกล่าว