ธันวาคม 2557 : กมธ. ยกร่างฯ เห็นชอบระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสม กมธ. ยกร่างฯ เห็นชอบระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสม ออกระเบียบควบคุมการขาย-ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คพ. ขอเว้นจ่ายดอกเบี้ยคลองด่าน 180 ล้านบาทได้สำเร็จ ปรับลดเป้าการขยายตัวเศรษฐกิจปี 57 เหลือ 0.8% รายได้ต่างชาติเที่ยวไทยลดลง 5% จีดีพี ไตรมาศ 3-4 เริ่มกระเตื้อง ครม. เห็นชอบปรับฐานเงินเดือน ขรก.-จนท.รัฐ-พนง.ราชการ 4 มาตรการภาษีช่วยคนจน-เอสเอ็มอี กมธ. ยกร่างฯ เห็นชอบระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสม       เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2557 ที่ประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ มีมติให้ใช้ “ระบบการเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสม” (Mixed-Member Proportional : MMP) ที่มีสาระสำคัญคือ ให้สภาผู้แทนราษฎร มีผู้แทนจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสมทั้งแบบแบ่งเขตและแบบสัดส่วน เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพสังคมไทยที่ควรมีทั้งผู้แทนที่เป็นผู้แทนของประชาชนในเขตจังหวัดหรือการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตและผู้แทนที่เป็นผู้แทนของประชาชนที่ไม่มีฐานเสียงในเขตจังหวัดหรือการเลือกตั้งแบบสัดส่วน สำหรับระบบการเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสมจะมี ส.ส. เป็น ส.ส. แบบแบ่งเขต 250 คน และแบบระบบสัดส่วน 200 คน รวม 450 คนซึ่งคำนึงถึงเสียงสะท้อนของภาคประชาชนสังคม ยกตัวอย่างเช่น หากพรรค ก. ได้คะแนนแบบบัญชีสัดส่วนคิดเป็น ร้อยละ10 หรือได้จำนวน ส.ส. 45 คน และพรรค ก. ยังชนะการเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขตอีก 45 เขต ผลก็คือ พรรค ก. จะมี ส.ส. ในสภาทั้งสิ้นเพียง 45 คน ที่มาจากระบบเขตเท่านั้นขณะที่พรรค ข. ได้คะแนนแบบบัญชีรายชื่อคิดเป็นร้อยละ 10 ของทั้งหมด หรือคิดเป็นจำนวน ส.ส. ที่ควรจะมี 45 คน แต่พรรค ข. ชนะการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเพียง 30 เขต ผลก็คือ พรรค ข. จะมี ส.ส. 45 คน ที่มาจากแบบแบ่งเขต 30 คนแต่จะได้ ส.ส. จากระบบบัญชีรายชื่อเข้ามาอีก 15 คน รวมเป็น 45 คน เช่นกัน ส่วนการแบ่งโซนพื้นที่เลือกตั้ง ส.ส. แบบสัดส่วน จะแบ่งเป็น 8 กลุ่ม โดยใช้ภูมิภาคเป็นตัวแบ่งเขตและจะพยายามให้มีจำนวนประชากรหรือผู้มีสิทธิเลือกตั้งในแต่ละพื้นที่ใกล้เคียงกัน ให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจในการคัดเลือกคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขณะที่ผู้สมัคร ส.ส. ไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมืองเพื่อความเป็นอิสระในการทำงานในสภา แต่สามารถสมัครเป็นกลุ่มได้ ซึ่งจะต้องมีการออกแบบวิธีการลงทะเบียนกลุ่มอีกครั้ง สำหรับระบบการเลือกตั้งดังกล่าว มี 9 ประเทศที่ใช้ก่อนหน้านี้แล้ว ได้แก่ เยอรมัน แอลเบอร์เนีย เลโซโท โบลิเวีย เม็กซิโกนิวซีแลนด์ เวเนซุเวล่า อิตาลี และฮังการี โดยทุกประเทศมี ส.ส. ที่ไม่สังกัดพรรค ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศที่ 10 ที่เตรียมจะเลือกตั้งในระบบนี้       ต่อมาเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2557 กมธ. ยกร่างได้ข้อสรุปว่า ให้นายกฯ มีที่มาเหมือนเดิม คือมาจากการเสนอชื่อโดย ส.ส. และให้ประธานสภาฯ เป็นผู้นำความกราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และจะไม่บังคับให้นายกฯ ต้องมาจาก ส.ส. เท่านั้น เปิดช่องให้นายกฯ มาจากบุคคลภายนอกได้ เพื่อเป็นการป้องกันหากอนาคตเกิดวิกฤติทางการเมือง นอกจากนี้ยังให้นายกฯ อยู่ในวาระ 4 ปี และไม่เกิน 2 สมัย รวมทั้งมีอำนาจในการยุบสภาเหมือนเดิม       สำหรับตำแหน่งประธานสภานั้น มีข้อเสนอให้มาจากพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมาก ส่วนรองประธานสภาคนที่ 1 และ 2 อาจมาจากพรรคที่มีคะแนนรองลงมา เพื่อไม่ให้พรรคใดพรรคหนึ่งผูกขาด โดยการปฏิบัติหน้าที่ของประธานและรองประธานสภานั้น ต้องเป็นอิสระ ไม่อยู่ภายใต้มติพรรค ขณะที่ตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภา ให้มาจากพรรคฝ่ายค้าน เพื่อให้เกิดการถ่วงดุล ทั้งนี้ กมธ.ยกร่างฯ จะร่างรัฐธรรมนูญโดยคำนึงถึงรัฐธรรมนูญชั่วคราว มาตรา 35(4) ที่ห้ามบุคคลที่มีพฤติกรรมในทางทุจริตไม่ให้สามารถเข้าสู่การเมืองได้       ส่วนที่มาของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) นั้น กมธ.ยกร่างฯ ได้ข้อสรุปว่า ให้มี ส.ว.ไม่เกิน 200 คน ให้ ส.ว. เป็นสภาพพหุนิยมและพหุอำนาจนิยม โดยเปรียบเป็นกระจกสะท้อนความหลากหลายจากทุกกลุ่มอำนาจที่มีอยู่จริงในสังคมไทย ไม่ใช่สะท้อนอำนาจของ ส.ส. ส.ว. ต้องไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง และมีที่มา 5 ทาง ได้แก่ 1. มาจากอดีตผู้นำในอำนาจอธิปไตยทั้ง 3 ฝ่าย เช่น นายกรัฐมนตรี, ประธานรัฐสภา และต้องมีคุณสมบัติไม่ขัดกับข้อกำหนด 2. มาจากอดีตข้าราชการระดับสูง 3. มาจากผู้แทนองค์กรวิชาชีพที่มีกฎหมายรองรับ 4. มาจากกลุ่มภาคประชาชน 5. มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม สำหรับอำนาจของ ส.ว. ที่เพิ่มเติมจากรัฐธรรมนูญ 2550 ได้แก่ สามารถเสนอร่างกฎหมายได้ ทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจากนายกรัฐมนตรีให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ก่อนจะนำความขึ้นกราบบังคมทูล สามารถลงมติร่วมกับ ส.ส.กรณีถอดถอนนายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรี, ส.ส.-ส.ว. และข้าราชการระดับสูง โดยให้ใช้คะแนนเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้ง 2 สภา ส่วนอำนาจและหน้าที่ของ ส.ว. ในการแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่ง, การอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ และการตั้งกระทู้ถาม ยังคงไว้เช่นเดิม       สำหรับวาระการดำรงตำแหน่งของ ส.ว. นั้น ยังไม่ได้ข้อสรุป แต่มีการหารือกันว่า ส.ว. ไม่ควรอยู่ยาว ควรมีวาระเพียง 3 ปีเท่านั้น โดยประเด็นนี้จะมีการหารือกันอีกครั้ง       ล่าสุด เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ที่ประชุม กมธ.ยกร่างฯ ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ โดยในส่วนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้มี 5 คนเหมือนเดิม ให้ กกต.ทำหน้าที่เฉพาะควบคุมการเลือกตั้งให้สุจริตและเป็นธรรม และให้มีอำนาจให้ใบเหลืองหรือให้มีการเลือกตั้งใหม่ได้ ส่วนการให้ใบแดงหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้สมัครที่กระทำผิดนั้น ให้เป็นอำนาจของศาลที่จะเกิดขึ้นตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ       สำหรับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจรติแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้มี 9 คนเหมือนเดิม แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะให้ดำรงแหน่ง 6 ปี หรือ 9 ปี ส่วนที่มีข้อเสนอให้ ป.ป.ช. สามารถฟ้องตรงไปยังศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น ที่ประชุมเห็นควรให้คงเดิม คือ ให้ ป.ป.ช.ฟ้องผ่านอัยการสูงสุด ยกเว้นว่าเกินระยะเวลาที่กำหนดไว้ ให้ ป.ป.ช. ฟ้องโดยตรงเองได้ และยังให้คดีทุจริตมีอายุความต่อไป แต่จะยกเว้นการนับอายุความกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาในคดีนั้นหลบหนี ออกระเบียบห้ามขาย-ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์       เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2557 ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ได้เห็นชอบร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีและประกาศคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 7 ฉบับที่มีสาระสำคัญคือ ห้ามขายหรือบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนทางรถไฟ บริเวณสถานีรถไฟ ในสถานีขนส่ง และในท่าเรือโดยสารสาธารณะ แต่ไม่รวมเรือสำราญและเรือภัตตาคาร ห้ามขายหรือบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่ที่อยู่ในกำกับดูแลใช้สอยของราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ ยกเว้นบริเวณที่จัดไว้เป็นร้านค้า หรือสโมสร หรือบริเวณที่จัดไว้เป็นที่พักส่วนบุคคล หรือการจัดเลี้ยงตามประเพณี ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา ยกเว้นร้านค้าปลอดอากรภายในท่าอากาศยานนานาชาติ กำหนดสถานที่หรือบริเวณห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนทางสาธารณะ กำหนดให้ฉลากและบรรจุภัณฑ์ต้องไม่ใช้ข้อความเกินจริงหรือเป็นเท็จ ทำให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับสินค้า สนับสนุนให้เกิดการกระทำผิดกฎหมาย ส่งผลให้เกิดความแตกแยก เชิญชวนให้เกิดการบริโภค ทำให้เข้าใจว่าประสบความสำเร็จในทางสังคม ทางเพศ หรือร่างกายดีขึ้น ไม่มีภาพนักกีฬา ดารา ศิลปิน การ์ตูน หรือโน้มน้าวให้เข้าร่วมกิจกรรมดนตรี กีฬา การประกวด เป็นต้น คพ.ขอเว้นจ่ายดอกเบี้ยคลองด่าน 180 ล้านสำเร็จ       เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2557 นายวิเชียร จุ่งรุ่งเรือง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า กิจการร่วมค้า เอ็นวีพีเอสเคจี ได้ยินยอมยกเว้นการจ่ายดอกเบี้ยในระยะเวลา 90 วัน นับตั้งแต่วันที่ศาลตัดสิน รวมเป็นเงิน 180 ล้านบาท ให้แก่ คพ.       ส่วนเงินค่าเสียหายจำนวน 9,618 ล้านบาทนั้น ขณะนี้ยังไม่ได้มีการตกลงกันว่าจะมีการชำระเงินในรูปแบบใด อาจจะผ่อนชำระหรือเลื่อนเวลาออกไปอีก ทั้งนี้ ความเสียหายจากกรณีบ่อบำบัดคลองด่านไม่ได้มีแต่เฉพาะเงิน 9,618 ล้านที่ต้องจ่ายเท่านั้น แต่มีเงินค่าก่อสร้างที่จ่ายไปแล้วอีก 21,023 หมื่นล้านบาท รวมค่าความเสียหายทั้งหมด 30,641 ล้านบาท เรื่องนี้ยังมีคดีที่เกี่ยวข้องอีกหลายคดี ทั้งคดีอาญาและคดีแพ่ง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการทั้งสิ้น       เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2557 ศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งให้ คพ. ชดใช้ค่าเสียหายแก่กิจการร่วมค้าเอ็นวีพีเอสเคจี จากกรณีสั่งยกเลิกโครงการระบบบำบัดน้ำเสียคลองด่าน จ.สมุทรปราการ เป็นเงิน 9,618 ล้านบาท ภายใน 90 วัน นับตั้งแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง โดยให้มีดอกเบี้ยอีกวันละ 2 ล้านบาท ปรับเป้าลดการขยายตัวเศรษฐกิจ ปี 57       ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปรับลดเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ไทยปี 2557 ใหม่ เหลือ 0.8% จากเดิมที่คาดไว้ 1.5% ส่วนปีหน้าลดเหลือ 4% จากเดิมที่คาดว่าจะโตได้ถึง 4.8% พร้อมทั้งลดเป้าหมายมูลค่าการส่งออกทั้งปี เป็นติดลบ 0.5% ส่วนในปีหน้าได้ปรับลดลงเป็นการขยายตัว 1% จากเดิมที่คาดว่าจะโตถึง 4%       การนำเข้าปีนี้ติดลบมากขึ้นเป็น 7.5% จากเดิมที่คาดว่าติดลบ 6.8% แต่คาดว่าจะโตถึง 4% ในปีหน้า       ทั้งนี้ โดยภาพรวมแล้วเศรษฐกิจไทยปีนี้และปีหน้า ยังขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ รายได้ต่างชาติเที่ยวไทยปี 57 ลดลง 5%       การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ปีนี้ไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติเพียง 1.15 ล้านล้านบาท เท่ากับลดลง 5% จากปี 2556 เนื่องจากปัญหาวิกฤติการเมืองในประเทศ และเศรษฐกิจถดถอยในตลาดหลัก เช่น รัสเซีย ญี่ปุ่น และยุโรป ทำให้นักท่องเที่ยวชะลอการเดินทาง แต่ในด้านตลาดในประเทศนั้น ยังเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ คือ 700,000 ล้านบาท เนื่องจากมาตรการด้านภาษีและโครงการคืนความสุขให้ประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล       ทั้งนี้ ประเมินว่าในปีหน้าจะมีรายได้จากตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น 16% เป็น 1.35 ล้านล้านบาท ส่วนตลาดในประเทศ จะมีรายได้เพิ่มขึ้น 14% เป็น 800,000 ล้านบาท จีดีพีไตรมาส 3-4 เริ่มกระเตื้อง       เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2557 ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงผลงานของรัฐบาลด้านเศรษฐกิจ ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาส 4 นี้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดว่าจะขยายตัว 3% เป็นผลมาจากการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2557 ที่ 7.32 แสนล้านบาท รวมทั้งการบริโภคภาคเอกชน และภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้น หลังจากราคาน้ำมันปรับลดลง และสถานการณ์ทางการเมืองสงบมากขึ้น สุดท้าย คือการลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้น เห็นได้จากยอดการจัดตั้งโรงงานใหม่ ที่ขออนุญาตเข้ามาถึง 2,957 แห่ง ซึ่ง 3 ปัจจัยหลักนี้ ส่งเสริมให้เศรษฐกิจไทยโตขึ้น อย่างไรก็ดี ผลพวงจากปัญหาตลอดทั้งปีทำให้คาดว่าจีดีพีเฉลี่ยในปี 2557จะเติบโตเพียง 1% เท่านั้น       ในปีหน้า การลงทุนภาครัฐจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัวได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโครงการของกระทรวงคมนาคมหลายโครงการที่จะลงทุนในปี 2558 เช่น รถไฟความเร็วสูง ถนน ทำให้คาดว่าจีดีพีปี 2558 จะขยายตัวถึง 4.5% ปรับเงินเดือนใหม่ข้าราชการ       เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2557 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบในหลักการร่างกฎหมายเพื่อปรับเงินเดือนข้าราชการพลเรือน ข้าราชการทหาร ตำรวจ ครู บุคลากรทางการศึกษา โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2557 พร้อมขยายเพดานเงินเดือนขั้นสูงของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกระดับทุกประเภทเพิ่มขึ้น 3 ขั้นสำหรับบัญชีเงินเดือนแบบขั้น หรือประมาณร้อยละ10 สำหรับบัญชีเงินเดือนแบบช่วง รวมทั้งปรับปรุงบัญชีเงินเดือนข้าราชการให้สอดคล้องกับการดำรงตำแหน่ง ทั้งนี้ การปรับเงินเดือนข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐครั้งนี้ จะครอบคลุมข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐประเภทต่างๆ ประมาณ 1.98 ล้านคน 4 มาตรการภาษีช่วยคนจน-เอสเอ็มอี       เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2557 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ให้ความเห็นชอบมาตรการด้านภาษี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันและช่วยเหลือคนจน 4 มาตรการ ได้แก่ โครงการนาโนไฟแนนซ์ โครงการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) โดยจะลดภาษีให้ผู้ประกอบการตั้งแต่เดือน มกราคม 2558 เป็นต้นไป ปรับโครงสร้างภาษีศุลกากร 2 ประเภท คือ ยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าที่เป็นวัตถุดิบในการผลิต เครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์ที่ใช้ประกอบเครื่องจักรที่ไม่มีในประเทศไทย 1,274 รายการ ลดภาษีนำเข้าเครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์ที่ใช้ประกอบเครื่องจักร เพื่อมาใช้ในการผลิต รวม 258 รายการ ออกพันธบัตรออมทรัพย์ให้ประชาชนทั่วไป วงเงิน 1 แสนล้านบาท ดอกเบี้ยสูงกว่าปกติเกือบ 4% โดยแบ่งเป็นการออกพันธบัตรเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 2558 และพันธบัตรของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อชดเชยภาระขาดทุนจากโครงการรับจำนำข้าว