กรกฎาคม 2557 : รัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว โปรดเกล้าฯ พระราชทานรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) ได้สมาชิก สนช. 200 คนแรก คสช. โชว์ผลงาน 5 ด้านใน 2 เดือน ป.ป.ช. ชี้ “ยิ่งลักษณ์” ผิดจำนำข้าว ผลการตรวจสต็อกข้าว แนวทางช่วยชาวนา “ยิ่งลักษณ์” ถูกกล่าวหาใช้ตำแหน่งหาเสียง โครงการรถไฟทางคู่ เขมรปล่อย “วีระ” โรดแม็ปปฏิรูปการศึกษา ผลวิจัยขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทไม่คุ้ม รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว       วันที่ 22 กรกฎาคม 2557 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557       รัฐธรรมนูญฉบบันี้มีทั้งหมด 48 มาตรา โดยมีมาตราที่น่าสนใจ อาทิเช่น มาตรา 6 ให้มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ประกอบด้วยสมาชิกไม่เกิน 220 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งและมีอายุไม่ต่ำกว่า 40 ปี ตามที่ คสช. ถวายคำแนะนำ โดย สนช. ทำหน้าที่สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภาและรัฐสภา       มาตรา 8 สนช. ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามดังนี้ เคยดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองภายในระยะเวลา 3 ปี ก่อนวันที่ได้รับการแต่งตั้ง เคยถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง เคยถูกไล่ออก ปลดออกจากราชการ เคยต้องคำพิพากษาให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน เพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มผิดปกติ อยู่ระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง เป็นต้น       มาตรา 10 พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง สนช. เป็นประธาน สนช. 1 คน และเป็นรองประธานไม่เกิน 2 คน ให้หัวหน้า คสช. รับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งสมาชิก สนช. ประธาน และรองประธาน และหาก สนช. กระทำการเสื่อมเสียเกียรติหรือมีพฤติการณ์ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิก สนช. ให้สมาชิกจำนวนไม่น้อยกว่า 25 คน เข้าชื่อร้องต่อประธาน สนช. เพื่อให้ สนช. มีมติให้ผู้นั้นพ้นจากสมาชิกภาพ โดยมติต้องมีคะแนนไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของสมาชิกทั้งหมด       มาตรา 16 สมาชิก สนช. มีสิทธิตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีเกี่ยวกับงานในหน้าที่ได้ แต่รัฐมนตรีย่อมมีสิทธิที่จะไม่ตอบ เมื่อเห็นว่าไม่ควรเปิดเผย เพราะเกี่ยวกับความปลอดภัย หรือประโยชน์ของแผ่นดิน แต่เมื่อมีปัญหาสำคัญ สมาชิก สนช. จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ขอเข้าชื่อเปิดอภิปรายเพื่อซักถามข้อเท็จจริงคณะรัฐมนตรี แต่จะลงมติไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจไม่ได้       มาตรา 19 พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งตามมติของ สนช. และรัฐมนตรีอื่นอีกจำนวนไม่เกิน 35 คน ตามที่นายกรัฐมนตรีถวายคำแนะนำ ประกอบเป็นคณะรัฐมนตรีมีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน ดำเนินการให้มีการปฏิรูปในด้านต่างๆ ส่งเสริมความสามัคคี และความสมานฉันท์ของคนในชาติ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งตามที่ประธาน สนช. ถวายคำแนะนำตามมติของ สนช. และให้รัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งตามที่นายกรัฐมนตรีถวายคำแนะนำ ทั้งนี้ นายกฯ และรัฐมนตรีมีสิทธิเข้าร่วมชี้แจงแสดงความคิดเห็นในที่ประชุม สนช. หรือสภาปฏิรูปแห่งชาติ แต่ไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนน และให้นำเอกสารสิทธิตามมาตรา 18 มาบังคับใช้แก่การชี้แจงแสดงความคิดเห็นของนายกฯ และรัฐมนตรีตามมาตรานี้โดยอนุโลม       มาตรา 20 นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต้องมีคุณสมบัติ และไม่มีลักษณะต้องห้าม อาทิ มีอายุไม่ต่ำกว่า 40 ปี ไม่เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกพรรคการเมืองภายในระยะเวลา 3 ปีก่อนวันที่ได้รับการแต่งตั้ง ไม่เคยต้องคำพิพากษาให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติ อยู่ระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือเคยถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง และต้องไม่เป็น สนช. ไม่เป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ หรือผู้บริหารท้องถิ่น ไม่เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้พิพากษา หรือตุลาการ อัยการ และกรรมการในองค์กรอิสระ       มาตรา 27 ให้สภาปฏิรูปแห่งชาติ มีหน้าที่ศึกษาและเสนอแนะให้เกิดการปฏิรูปในด้านต่างๆ เช่น ปฏิรูปการเมือง การศึกษา เศรษฐกิจ พลังงาน กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม สื่อสารมวลชน เป็นต้น       มาตรา 28 ให้สภาปฏิรูปแห่งชาติมีสมาชิกไม่เกิน 250 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง มีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปี ตามที่ คสช. ถวายคำแนะนำ       มาตรา 32 ให้มีคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยสมาชิก 36 คน ซึ่งประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติแต่งตั้งจากบุคคลดังนี้ ประธาน กมธ. ที่ คสช. เสนอมา สภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอ 20 คน และ สนช. ครม. และ คสช. เสนอฝ่ายละ 5 คน       มาตรา 42 ให้คงอำนาจของ คสช. ไว้คงเดิมโดยไม่กำหนดเวลาสิ้นสุด       มาตรา 47 ให้ประกาศและคำสั่งทั้งหมดของ คสช. มีผลใช้บังคับต่อไป       มาตรา 48 ให้การกระทำก่อนหรือหลังวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเข้าควบคุมอำนาจการปกครองแผ่นดินและผู้ที่ได้รับคำสั่งหรือมอบหมาย ไม่ถือว่าเป็นความผิดและพ้นจากความรับผิดชอบจากการกระทำนั้นๆ ได้สมาชิก สนช. 200 คนแรก       เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2557 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ตามมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 จำนวน 200 คน ซึ่ง มีข้าราชการทหารทั้งในและนอกราชการมากถึง 105 คน โดยแบ่งออกเป็นกองทัพบก 67 คน กองทัพอากาศ 19 คน และกองทัพเรือ 19 คน ข้าราชการตำรวจทั้งในและนอกราชการมี 10 คน ที่เหลือ 85 คนเป็นพลเรือน ซึ่งมีทั้งอดีต ส.ว. นักวิชาการ และนักธุรกิจ       รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวกำหนดให้ สนช. มีสมาชิกทั้งสิ้นไม่เกิน 220 คน คสช. โชว์ผลงาน 5 ด้านใน 2 เดือน       27 กรกฎาคม 2557 คสช. เผยแพร่รายงานพิเศษภารกิจและผลงานรอบ 2 เดือนผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยความยาว 40 นาที แบ่งเป็น 5 ด้าน คือ ความมั่นคง ได้แก่การสร้างความเข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้แก่ต่างประเทศและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพไทยกับมิตรประเทศ เศรษฐกิจ แก้ไขปัญหาปากท้อง ลดค่าครองชีพ ตรึงราคาสินค้า แก้ปัญหาการเกษตร อนุมัติงบประมาณ 163 ล้านบาทแก้ปัญหาผลผลิตทางการเกษตร และอนุมัติงบ 6,160 ล้านบาทเพื่อแก้ปัญหายางพารา ปลดล็อคปัญหาโครงการรับจำนำข้าว จ่ายเงินให้แก่ชาวนาที่ตกค้าง เร่งฟื้นฟูสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน ตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญด้านต่างๆ อนุมัติเกือบ 100 โครงการขอส่งเสริมการลงทุน มูลค่าเกือบ 2 แสนล้านบาท เห็นชอบร่างกฎหมาย 3 ฉบับ คือ ขยายระยะเวลาการใช้บังคับอัตราเงินได้บุคคลธรรมดา 7 ขั้น ลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือร้อยละ 20 และการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเหลือร้อยละ 7 ไปอีก 1 ปี กำหนดนโยบายและจัดทำแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ผลักดันกฎหมาย 11 ฉบับให้มีผลบังคับใช้ เช่น การเพิ่มเงินค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญที่ได้รับเงินต่ำกว่าเดือนละ 9,000 บาท และการขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม สังคมจิตวิทยา จัดกิจกรรมคืนความสุขให้คนในชาติ เร่งแก้ไขปัญหาขยะและมลพิษ ปราบปรามการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ จัดทำโรดแม็ปปฏิรูปการศึกษา บรรจุค่านิยมของคนไทย 12 ประการในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน จัดตั้งศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปครบทุกจังหวัด กิจการพิเศษ เตรียมการจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนม์พรรษา 82 พรรษา 12 สิงหาคม 2557 รับเรื่องราวร้องทุกข์และแสดงความคิดเห็นของประชาชน       ผลการสำรวจ “นิด้าโพล” ของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ระหว่างวันที่ 24-25 กรกฎาคม 2557 พบว่าประชาชนร้อยละ 66.48 มีความสุขเพิ่มขึ้น เพราะปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองสงบลง คนในชาติไม่ทะเลาะแบ่งพรรคแบ่งฝ่ายกัน การเดินทางสัญจรมีความคล่องตัวมากขึ้น ชาวนาได้รับเงินจำนำข้าว มีการแก้ไขปัญหาในด้านต่าง ๆ อย่างเป็นระเบียบ เช่นการแก้ปัญหาทางการเมือง การทุจริตคอร์รัปชั่น การจัดระเบียบสังคม เป็นต้น       ร้อยละ 29.94 ระบุว่ามีความสุขเท่าเดิม เพราะยังมองไม่เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงใดๆ ร้อยละ 4.94 ระบุว่ามีความสุขลดลง เพราะยังได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น       วันที่ 29 กรกฎาคม 2557 ที่กองทัพภาคที่ 1 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมด้วยกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กอ.รส.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ร่วมแถลงข่าวการจับกุมอาวุธสงคราม ยาเสพติด บ่อนการพนัน และการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า ป.ป.ช. ชี้ยิ่งลักษณ์ ผิดจำนำข้าว       วันที่ 17 กรกฎาคม 2557 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติเอกฉันท์ 7:0 ชี้มูลความผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ฐานกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหรือใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ       จากการไต่สวน ป.ป.ช. เห็นว่าการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) มีหน้าที่กำหนดนโยบายและบริหารโครงการรับจำนำข้าว ได้กำหนดราคารับจำนำข้าวเปลือกสูงกว่าราคาตามท้องตลาดเกินกว่าที่ควรตามปกติ มีลักษณะบิดเบือนกลไกการตลาด นอกจากนี้ การดำเนินโครงการยังเกิดการขาดทุนทุกขั้นตอน ทั้งการขึ้นทะเบียนและสวมสิทธิ์เกษตรกร นำข้าวมาเวียนในโครงการ การลักลอบนำข้าวออกจากคลัง       ส่วนการระบายข้าวที่รับจำนำ มีการใช้อิทธิพลทางการเมืองช่วยเหลือพวกพ้องให้ได้ข้าวจากโครงการไปจำหน่ายเกิดระบบนายหน้าค้าข้าว ไม่เปิดประมูลข้าวอย่างเปิดเผย การทุจริตดังกล่าวก่อให้เกิดภาวะขาดทุนเป็นจำนวนมาก และยังอาจมีปัญหาข้าวเสื่อมคุณภาพ ขายข้าวขาดทุน ข้าวหายจากโกดัง รัฐบาลกลายเป็นผู้ค้าข้าวรายใหญ่ ทำลายระบบการค้าข้าวโดยเสรี ราคาข้าวไทยแพงกว่าต่างประเทศ ทำให้ไทยสูญเสียตลาดส่งออกสำคัญ และเมื่อการระบายข้าวเกิดผลขาดทุนจำนวนมาก ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณืรับทราบจากรายงานผลการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล และรับทราบว่ามีการทุจริตทุกขั้นตอนของโครงการจำนำข้าวและระบายข้าว อีกทั้งชาวนาที่เข้าร่วมโครงการนับล้านครอบครัวยังไม่ได้รับเงิน ทำให้ได้รับความเดือดร้อน หลายรายถึงกับฆ่าตัวตาย จึงจำเป็นที่ผู้ถูกกล่าวหาต้องยับยั้งโครงการมิให้เกิดการทุจริตหรือเสียหายมากยิ่งขึ้น แต่กลับยืนยันดำเนินโครงการต่อไป จนเกิดความเสียหายแก่ราชการมากขึ้นเรื่อยๆ ถือว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากดครงการรับจำนำข้าวที่ร้ายแรงที่สุดของประเทศมีมูลค่า 3 แสนล้านบาท หรือาจจะถึง 5 แสนล้านบาท       ป.ป.ช. จึงมีมติว่าผู้ถูกกล่าวหามีความผิดตามมาตรา 157 ให้ส่งเรื่องต่ออัยการสูงสุดเพื่อฟ้องร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป       ก่อนหน้าที่ ป.ป.ช. จะมีมติดังกล่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพิ่งจะได้รับอนุญาตจาก คสช. ให้เดินทางออกนอกประเทศเพื่อไปพักผ่อนที่ประเทศแถบยุโรปในระหว่างวันที่ 20 กรกฎาคม 2557 ถึง 10 สิงหาคม 2557 ผลการตรวจสต็อกข้าว       เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2557 พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม นบข. ได้รับทราบผลการตรวจสอบสต็อกข้าวทั่วประเทศจากคณะอนุกรรมการตรวจสอบปริมาณข้าว ซึ่งล่าสุดได้ตรวจสอบไปแล้ว 1,290 แห่ง จากที่มีทั้งหมด 1,787 แห่งทั่วประเทศ หรือคิดเป็น 72% โดยปริมาณข้าวส่วนใหญ่กว่า 80%เป็นข้าวที่มีคุณภาพดีและถูกต้องตามบัญชี มีเพียง 10% เท่านั้นที่มีตัวเลขไม่ตรงกับที่แจ้งไว้และเป็นข้าวที่เสื่อมคุณภาพ       คณะอนุกรรมการตรวจปริมาณและคุณภาพข้าวคงเหลือของรัฐ ได้จัดส่งชุดตรวจสอบ ออกทำงานร่วมกับกองทัพ เริ่มทำงานตั้งแต่ 2 กรกฎาคม 2557 และพบว่ามีข้าวจำนวนหนึ่งซึ่งเลขรหัสข้างกระสอบไม่ตรงกับเอกสารที่แจ้งไว้ นอกนั้นยังมีข้าวเน่า ข้าวปลอม ไม่มีการรมยาโดยบริษัทเอกชนรับผิดชอบ บางแห่งพบข้าวร่วนป่นเป็นผง พบการเรียงกระสอบข้าวไม่เป็นระเบียบตามหมวดหมู่ ยากในการตรวจสอบ บางแห่งพบกระสอบแตก มีรอยหนูแทะ ข้าวเริ่มเสื่อมคุณภาพ มีมอดเจาะข้าว และมียอดไม่ตรงตามบัญชี รวมทั้งในบางโกดังพบข้าวไหลล้มทับลงมากองไม่สามารถนับกระสอบได้ แนวทางช่วยชาวนา       2 กรกฎาคม 2557 ที่ประชุมคณะกรรมการ คสช. ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธาน มีมติเห็นชอบแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2557/2558 จำนวน 3 แนวทาง วงเงิน 4,804.1 ล้านบาท ประกอบด้วย การลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้เกษตรกร 3% ต่อปีระยะเวลา 6 เดือน วงเงินสินเชื่อรายละไม่เกิน 5 หมื่นบาท มีวงเงินดำเนินการ 2,292 ล้านบาท ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ปล่อยสินเชื่อให้เกษตรกรเพื่อรวบรวมข้าว วงเงิน 700 ล้านบาท ให้ ธ.ก.ส. ปล่อยสินเชื่อเพื่อชะลอการขายข้าวเปลือก วงเงิน 1,100 ล้านบาท “ยิ่งลักษณ์” ถูกกล่าวหาใช้ตำแหน่งหาเสียง       เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2557 คณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนของ กกต. มีมติว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคณะ ใช้ตำแหน่งหน้าที่ราชการ ทรัพยากรของรัฐไปหาเสียงในลักษณะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่พรรค และผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.พรรคเพื่อไทย ให้ได้รับเลือกตั้งในการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557       ทั้งนี้ เนื่องจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ และคณะรัฐมนตรีในขณะนั้นได้เดินทางไปตรวจราชการในพื้นที่ภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หลังจากที่มีพระราชกฤษฎีกายุบสภา 9 ธันวาคม 2556       น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพวกอีก 8 คน จะสามารถเข้าชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาด้วยตัวเองต่อคณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวน หรือจะส่งเป็นหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาก็ได้ และหาก กกต. มีความเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. มาตรา 137 ก็อาจมีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี ปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท และอาจถูกศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี และโดยที่สองในผู้ร่วมคณะ คือ นายปลอดประสพ สุรัสวดี กับนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ เป็นกรรมการบริหารพรรค หากศาลตัดสินว่ามีความผิด กกต. อาจพิจารณาเสนอศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมืองได้ โครงการรถไฟทางคู่       29 กรกฎาคม 2557 นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ปลัดกระทรวงคมนาคมเปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เห็นชอบกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งระยะ 8 ปี ตั้งแต่ปี 2558-2565 ประกอบด้วย 4 ด้าน 5 แผนงาน โดยในปี 2557-2558 จะมีโครงการเร่งด่วนประกอบด้วยการขยายรถไฟทางคู่เดิม 6 เส้นทางวงเงิน 127,427 ล้านบาท และรถไฟทางคู่ขนาดทางมาตรฐาน ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 2 เส้นทางวงเงิน 741,460 ล้านบาท       ปัจจุบันโครงข่ายรถไฟไทยมีขนาดทาง 1 เมตร ระยะทางรวม 4,043 กม. ครอบคลุมพื้นที่ 47 จังหวัด ส่วนใหญ่ 3,763 กม. หรือ 93% เป็นทางเดี่ยว มีทางคู่เพียง 173 กม. และอีก 107 กม. เป็นทางสาม ในเส้นทางหลัก 6 เส้นทางที่จะขยายเป็นทางคู่มีปริมาณการจราจรค่อนข้างสูง และต้องรอสับหลีก การขยายเป็นทางคู่จะทำให้ไม่ต้องรอสับหลีก และสามารถจะเพิ่มความเร็วของขบวนรถสินค้าจาก 29 กม. ต่อ ชม. เป็น 60 กม. ต่อ ชม. และขบวนรถโดยสารจาก 50 กม. ต่อ ชม. เป็น 100 กม. ต่อ ชม.       ส่วนรถไฟทางคู่ขนาดทางมาตรฐานจะเป็นการก่อสร้างทางขนาด 1.435 เมตร เท่ากับความกว้างที่ใช้ในประเทศเพื่อนบ้าน โดยในชั้นแรกจะนำร่อง 2 โครงการคือ สายหนองคาย-โคราช-สระบุรี-แหลมฉบัง-มาบตาพุด ระยะทาง 737 กม. และสายเชียงของ-เด่นชัย-บ้านพาชี ระยะทาง 655 กม. ทั้งสองเส้นทางจะมีจุดศูนย์รวมที่สถานีบ้านพาชี ส่วนระยะต่อไปจะมีเส้นทางต่อจากบ้านพาชีไปปาดังเบซาร์ เพื่อเป็นโครงข่ายที่สมบูรณ์จากจีนผ่านไทยไปลาว มาเลเซียและสิงคโปร์ เขมรปล่อย “วีระ”       2 กรกฎาคม 2557 นายวีระ สมความคิด เดินทางกลับถึงไทยพร้อมกับนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ หลังได้รับพระราชทานอภัยโทษจากกษัตริย์กัมพูชาเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2557 รวมเวลาที่เขาติดคุกมาแล้ว 3 ปีครึ่งจากโทษตัดสินจำคุก 8 ปี       21 สิงหาคม 2553 นายวีระ ร่วมเดินทางไปกับคณะของนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ อดีต ส.ส. กทม.พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อไปสำรวจพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาที่บ้านหนองจาน อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ที่มีประชาชนร้องเรียนว่าถูกทหารเขมรรุกล้ำเข้ามายึดครองที่ดินทำกินของราษฎรไทย ระหว่างเดินสำรวจทั้งคณะถูกทหารเขมรควบคุมตัวไปและถูกตั้งข้อหาว่าสอดแนมและเดินทางเข้ากัมพูชาโดยผิดกฎหมาย ทั้งยังเข้าไปในเขตพื้นที่หวงห้ามของทหารในจังหวัดบันเตียเมียนเจย ต่อมานายพนิช และผู้ติดตาม 4 คนได้รับการปล่อยตัว เหลือเพียงนายวีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ ที่ปฏิเสธที่จะยอมรับว่าพื้นที่ที่ถูกจับเป็นของกัมพูชาจึงถูกศาลกัมพูชาตัดสินเมื่อ 29 ธันวาคม 2553 แต่ น.ส. ราตรี ก็ได้รับการอภัยโทษและกลับประเทศไทยก่อน เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2556       ทันที่ที่ถึงไทย เจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุมตัวนายวีระ ไปแจ้ง 8 ข้อกล่าวหาในกรณีร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทำการยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฯลฯ และปล่อยตัวไปโดยมีเงินประกัน 1 แสนบาท โรดแม็ปปฏิรูปการศึกษา       ดร.สุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยผลการประชุมหารือถึงการปฏิรูปการศึกษาร่วมกับ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผู้บัญชาการทหารเรือ รองหัวหน้า คสช. ในฐานะหัวหน้าฝ่ายสังคมจิตวิทยา ว่า ศธ. ได้เสนอร่างโรดแม็ปปฏิรูปการศึกษาปี 2558-2564 ใน 6 แนวทาง คือ การปฏิรูปครู ให้รื้อระบบการบริหารบุคคล การสรรหา บรรจุ แต่งตั้งครุและผู้บริหาร ปรับระบบฐานเงินเดือน ปรับรื้อระบบใบอนุญาตประกอบวิชาชีพและพัฒนาครูอย่างเป็นระบบ กำหนดมาตรการให้ครูอยู่ประจำห้องเรียนและผู้บริหารอยู่ประจำโรงเรียน แก้ไขปัญหาหนี้สินและให้ครูมีความก้าวหน้าในวิชาชีพ กระจายโอกาสและคุณภาพอย่างทั่วถึงเท่าเทียม พัฒนาระบบการศึกษาทางไกล พัฒนาเครือข่ายโรงเรียน แก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก ปรับระบบเงินอุดหนุนรายหัวทุกระดับทุกประเภทให้เป็นธรรม ปฏิรูประบบการบริหาร โดยกระจายอำนาจการบริหารจัดการและเพิ่มการตรวจสอบ แก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ปรับรื้อระบบการจัดสรรงบประมาณเพื่อการศึกษา ปรับระบบเงินอุดหนุนรายหัว ปรับโครงสร้าง ศธ. รวมถึงการปรับปรุงแก้ไขระเบียบและกฎหมายที่เป็นอุปสรรค และทบทวนการได้มาของตัวแทนภาคส่วนในคณะกรรมการชุดต่างๆ ปรับระบบการผลิตและพัฒนากำลังคน โดยปรับหลักสูตรอาชีวศึกษาและอุดมศึกษาที่ต้องสนองต่อการพัฒนาประเทศ ปฏิรูปการเรียนรู้ โดยพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนในห้องเรียน ปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานที่เน้นความเป็นพลเมือง มีคุณธรรม จริยธรรม และมีวินัย ปรับระบบการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา โดยมีการจัดทำแผนแม่บท ICT มีระบบรับรองและควบคุมมาตรฐานเนื้อหาของสื่อ       ศธ. จัดเวทีรับฟังแนวทางการปฏิรูปการศึกษา ในวันที่ 16 กรกฎาคม และเปิดเว็บไซต์ปฏิรูปการศึกษา www.edreform.moe.go.th และ เฟสบุ๊ค www.facebook.com/thailandreform เพื่อรับฟังความคิดเห็น ผลวิจัยขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ไม่คุ้ม       สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยเผยผลการศึกษาเปรียบเทียบผลก่อนหลังการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน เทียบระหว่างปี 2554 กับ 2556 พบว่าแม้แรงงานและครอบครัวจะมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่รายจ่ายกลับโตเร็วกว่ารายได้ โดยรายจ่ายโต 16% ในขณะที่รายได้โต 13% เนื่องจากมีผู้ฉกฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าในขณะที่ไม่มีมาตรการควบคุมราคา ทำให้ผู้ใช้แรงงานไม่ได้มีชีวิตที่ดีกว่าเดิม ไม่สามารถจะมีเงินออมได้ แต่มีฐานะเงินออมแย่ลง นโยบายนี้ทำให้คนรู้สึกว่าตนมีรายได้มากขึ้น จึงใช้จ่ายมากขึ้น และจากการประเมินพบว่าเมื่อถึงปี 2558 อำนาจซื้อของเงิน 300 บาทจะลดลงเหลือเพียง 274 บาทเท่านั้น