พฤษภาคม 2557 : 4 เหล่าทัพยึดอำนาจการปกครอง 4 เหล่าทัพยึดอำนาจการปกครอง คสช. แถลงสาเหตุการยึดอำนาจ ประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศ ท่าทีต่างชาติต่อการยึดอำนาจในประเทศไทย แผนปฏิรูปประเทศของ คสช. ทหารลุยจับขบวนการก่อความไม่สงบ ระเบิดที่ปัตตานี สตง. ทวงใบเสร็จ ศอ.รส. ป.ป.ช. ชี้มูลผิดยิ่งลักษณ์ กรณีจำนำข้าว จำนำข้าวขาดทุน 5 แสนล้าน ศาล รธน. ตัดสิน ยิ่งลักษณ์ พ้นนายกฯ วุฒิสภาเลือก สุรชัย เป็นประธานคนใหม่ ประธานศาล รธน. ลาออก- เลือก นุรักษ์ มาประณีต แทน อภิสิทธิ์ เสนอโร้ดแมพการเมือง กรมควบคุมมลพิษเรียกค่าเสียหายคดีคลองด่าน แผ่นดินไหวภาคเหนือ 6.3 ริกเตอร์ 4 เหล่าทัพยึดอำนาจการปกครอง       วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เวลา 16.59 น. ผู้บัญชาการสามเหล่าทัพและสำนักงานตำรวจแห่งชาติประกาศเข้าควบคุมอำนาจการปกครองในนาม “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ” (คสช.) ให้เหตุผลเพื่อให้สถานการณ์ที่จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนกลับเข้าสู่สภาวะปกติโดยเร็ว และเพื่อปฏิรูปโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และอื่นๆ เพื่อให้เกิดความชอบธรรมทั่วทุกฝ่าย       หลังจากนั้น คสช. ได้ออกประกาศอย่างต่อเนื่องอีกหลายฉบับ อาทิเช่น ห้ามบุคคลออกนอกเคหะสถานในระหว่างเวลา 22.00-05.00 น. ให้ทุกสถานีวิทยุกระจายเสียง โทรทัศน์ เคเบิล งดรายการประจำและถ่ายทอดรายการจากสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ให้คณะรัฐมนตรีรักษาการและวุฒิสภาสิ้นสุดการปฏิบัติหน้าที่ แต่ศาลและองค์กรอิสระยังคงมีต่อและทำงานต่อไป เรียกให้กลุ่มบุคคลเข้ามารายงานตัว ให้ผู้ชุมนุมทั้ง กปปส. และ นปช. กลับบ้าน ขอให้สื่อสังคมออนไลน์ระงับการเผยแพร่ข้อความปลุกระดมที่อาจก่อให้เกิดความรุนแรง ให้สถานีโทรทัศน์ดาวเทียม เคเบิลระบบดิจิตอล และสถานีวิทยุชุมชนระงับการถ่ายทอดออกอากาศ       ทั้งนี้ ประกาศฉบับที่ 10 ได้ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. หรือผู้ได้รับมอบหมายจากหัวหน้า คสช. ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรี และต่อมาให้ปลัดกระทรวงปฏิบัติหน้าที่แทนรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราว       ประกาศฉบับที่ 11 ให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 สิ้นสุดลง เว้นแต่หมวด 2 พระมหากษัตริย์       ก่อนหน้าที่ คสช. จะควบคุมอำนาจ ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2557 พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก ได้ประกาศใช้บังคับกฎอัยการศึกทั่วประเทศตั้งแต่เวลา 03.00 น. และในวันที่ 21 พฤษภาคม ได้เชิญ 7 กลุ่มๆ ละ 5 คน ได้แก่ วุฒิสภา คณะกรรมการการเลือกตั้ง ตัวแทนรัฐบาลรักษาการ กปปส. นปช. พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ มาประชุมที่สโมสรกองทัพบกเพื่อร่วมกันแสวงหาทางออกจากความขัดแย้ง แต่การประชุมในวันแรกยังไม่ได้ข้อยุติ จึงเชิญประชุมต่อในวันต่อมา คือ 22 พฤษภาคม ซึ่งก็ไม่มีทางออกเช่นกัน พล.อ.ประยุทธ์ จึงประกาศยึดอำนาจ และเชิญตัวแทนกลุ่มต่างๆ ยกเว้นวุฒิสมาชิกและ กกต. ไปควบคุมไว้ตามค่ายทหารหลายๆ แห่ง       ต่อมา คสช. ได้ออกประกาศรายชื่อให้บุคคลมารายงานตัว รวมทั้งอดีตนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายสมชาย และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และได้เชิญบางคนไปเก็บไว้ในค่ายทหารต่างๆ เป็นเวลา 5-7 วัน ก่อนที่จะปล่อยตัวไปตามที่กฎหมายกำหนดไว้       สำหรับผู้ชุมนุมทั้งฝ่าย กปปส. และ นปช. ทางกองทัพได้อำนวยความสะดวกจัดรถพาไปส่งยังสถานีรถโดยสารจนหมดทุกคนในวันที่ 23 พฤษภาคม คสช. แถลงสาเหตุการยึดอำนาจ       วันที่ 23 พฤษภาคม 2557 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะ คสช. ประชุม ชี้แจงหัวหน้าส่วนราชการเรื่องความร่วมมือในการขับเคลื่อนอนาคตของประเทศชาติ พร้อมชี้เหตุผลความจำเป็นในการยึดอำนาจว่า เป็นเพราะมีความขัดแย้งทางด้านการเมืองที่แบ่งเป็นขบวนการต่างๆ ความไม่มีประสิทธิภาพของระบบการบริหารประเทศ องค์กรอิสระเกิดความแตกร้าวลึกมาหลายปี จนขยายความรุนแรงมากขึ้นตามลำดับ ตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ กปปส. ชุมนุม เกิดการบาดเจ็บสูญเสียทั้งภาคประชาชนและเจ้าหน้าที่       ด้านเศรษฐกิจโดยรวม ประชาชนมีความเดือดร้อน การดำเนินชีวิตของคนในสังคมไม่เป็นปกติ เกษตรกรมีปัญหาหนัก เศรษฐกิจแย่ ความเชื่อมั่นลดลง การลงทุนลดลง ประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศ       ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2557 เพียงสองวันก่อนที่จะมีการทำรัฐประหาร ผู้บัญชาการทหารบก พลเอกประยุทธ์ จันทน์โอชา ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วประเทศตั้งแต่เวลา 03.00 น. มีผลให้ยุบ ศอ.รส. และตั้งกองอำนวยการรักษาความสงบ (กอ.รส.) ให้ทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยแทน กำลังทหารได้เข้าดูแลสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ ออกคำสั่งให้สถานีโทรทัศน์ทุกช่องเกี่ยวสัญญาณถ่ายทอดจากช่อง 5 กองทัพบกเมื่อมีประกาศ และต่อมาสั่งห้ามสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม รวมทั้งบลูสกาย เอเอสทีวี เอเชียอัพเดท แพร่ภาพออกอากาศ คำสั่งนี้รวมไปถึงวิทยุชุมชนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้จัดขึ้นตามกฎหมายที่กำหนดด้วย       กฎอัยการศึกถือว่าเป็นมาตรการขั้นสุดท้ายในการรักษาความมั่นคงภายในประเทศที่ฝ่ายทหารสามารถจะประกาศใช้ในยามเกิดศึกสงครามหรือจลาจล แต่ยังคงมีการบังคับใช้กฎหมายอื่นๆ ตามปกติรวมทั้งกฎหมายรัฐธรรมนูญด้วย เมื่อประกาศกฎอัยการศึก เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารจะมีอำนาจเหนือฝ่ายพลเรือน และเจ้าหน้าที่ทหารที่ออกปฏิบัติราชการจะได้รับการยกเว้นความผิดทั้งทางแพ่ง อาญา และวินัย นอกจากนี้ยังห้ามการชุมนุมอีกด้วย       พ.ร.บ.ความมั่นคง ถือเป็นมาตรการขั้นแรกในการรักษาความสงบเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่เป็นภัยต่อความมั่นคง โดยใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นหลักในการรักษาความสงบ หากเจ้าหน้าที่กระทำเกินกว่าเหตุ ผู้ได้รับความเสียหายสามารถฟ้องร้องได้ และแม้จะประกาศใช้ พ.ร.บ. ความมั่นคง ก็ยังสามารถจัดการชุมนุมได้       พ.ร.บ.ฉุกเฉิน เป็นมาตรการขั้นที่สองที่สามารถใช้บังคับในสภาวะคับขันมีการใช้กำลังประทุษร้ายร้ายแรง เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบยังคงเป็นตำรวจเป็นหลักเช่นกฎหมายความมั่นคง แต่ไม่สามารถจะฟ้องร้องเจ้าหน้าที่ได้ และห้ามการชุมนุม       มาตรา 11 ของกฎอัยการศึก ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ทหารผู้รักษากฎหมายไว้ 4 ข้อ คือ ห้ามการมั่วสุมชุมนุม ห้ามออก จำหน่าย จ่ายหรือแจก ซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หนังสือพิมพ์ ภาพบทหรือคำประพันธ์ ห้ามการใช้ทางสาธารณะเพื่อการจราจรไม่ว่าจะเป็นทางบก ทางน้ำหรือทางอากาศ หรือทางรถไฟและทางรถรางที่มีรถเดินด้วย ห้ามมีหรือใช้เครื่องมือสื่อสารหรืออาวุธ เครื่องอุปกรณ์ของอาวุธ และเคมีภัณฑ์หรือสิ่งอื่นใด ที่มีคุณสมบัติทำให้เกิดอันตรายแก่บุคคล สัตว์ พืช หรือทรัพย์สินที่อาจนำไปใช้ทำเป็นเคมีภัณฑ์หรือสิ่งอื่นใดที่มีคุณสมบัติดังกล่าวได้ ห้ามบุคคลออกนอกเคหะสถานภายในระหว่างระยะเวลาที่กำหนด       นอกจากนั้น หลังประกาศกฎอัยการศึก ยังมีอำนาจที่จะห้ามอีก 2 ประการ คือ ห้ามบุคคลเข้าไปหรืออาศัยอยู่ในเขตท้องที่ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารเห็นว่าเป็นการจำเป็นเพื่อการยุทธ การระงับปราบปราม หรือการรักษาความสงบเรียบร้อย และเมื่อได้ประกาศห้ามเมื่อใดแล้ว ให้ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในเขตนั้นออกไปจากเขตนั้นภายในเวลาที่ได้ประกาศกำหนด ห้ามบุคคลกระทำหรือมีซึ่งกิจการหรือสิ่งอื่นใดได้ตามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้กำหนดไว้ว่าควรต้องห้ามในเวลาที่ได้มีการประกาศใช้กฎอัยการศึก       ก่อนหน้าที่จะประกาศใช้กฎอัยการศึก ตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ กปปส. ชุมนุม มีการโจมตีกว่า 70 ครั้งด้วยอาวุธสงคราม ทั้งปืนเอ็ม 16 และระเบิด เอ็ม 79 ทั้งในกลางวันและกลางคืน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 28 และบาดเจ็บอีก 780 คน ครั้งสุดท้ายในกลางดึกวันที่ 14 พฤษภาคม มีการยิงระเบิดเอ็ม 79 และกราดยิงปืนเอ็ม 16 ใส่ผู้ชุมนุม กปปส. ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ทำให้เสียชีวิต 3 และบาดเจ็บ 22 ราย แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจ และ ศอ.รส. ไม่สามารถจะสืบจับหาผู้ก่อเหตุได้แม้แต่คนเดียว ท่าทีต่างชาติต่อการยึดอำนาจในประเทศไทย       หลัง คสช. ประกาศควบคุมอำนาจการปกครอง สำนักข่าวต่างประเทศ เช่น บีบีซี ได้รายงานข่าวว่าหลายประเทศมีทีท่าไม่พอใจ เช่น นายจอห์น เคอร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ แถลงเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2557 ว่าสหรัฐฯ ผิดหวังกับการรัฐประหารของไทยและเรียกร้องให้ไทยคืนสู่การปกครองโดยรัฐบาลพลเรือนโดยเร็ว ต่อมากองทัพสหรัฐฯ ได้ยกเลิกแผนจัดการฝึกอบรมและเตรียมความพร้อมทางทหารทั้งมวลกับประเทศไทย ระหว่างวันที่ 19-27 พฤษภาคม ภายใต้รหัส CARAT ( Co-operation Afloat Readiness and Training) ซึ่งจะมีนาวิกโยธินและทหารเรือสหรัฐฯ เข้าร่วมราว 700 นาย ตัดความช่วยเหลือด้านการทหาร 10 ล้านเหรียญสหรัฐ และยกเลิกการเดินทางเยือนประเทศไทยของผู้บัญชาการกองเรือแปซิฟิกในเดือนมิถุนายน       นอกจากมาตรการด้านการทหารแล้ว เจน ซากี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยังแถลงว่า วอชิงตันจะประสานความร่วมมือกับพันธมิตรนานาประเทศใช้มาตรการกดดันที่จำเป็นทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจเพื่อเรียกร้องให้ไทยจัดการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด       เช่นเดียวกับประธานาธิบดีฝรั่งเศสและรัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมันก็ประณามการยึดอำนาจเช่นกัน ส่วนนายบันคีมูน เลขาธิการสหประชาชาติ แสดงความห่วงใย สหภาพยุโรปออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ไทยจัดการเลือกตั้งให้เร็วที่สุด และจะไม่ดำเนินการสนับสนุนต่อไปหากยังไม่คืนสู่การปกครองภายใต้ระบอบรัฐธรรมนูญ ส่วนออสเตรเลียประกาศลดความร่วมมือกับกองทัพไทยและลดระดับความสัมพันธ์กับผู้นำทางทหารของไทยออสเตรเลีย       26 พฤษภาคม กระทรวงการต่างประเทศสหราชอาณาจักรเผย กำลังทบทวนความสัมพันธ์ทางทหารกับไทย โดยขั้นแรกจะยกเลิกการเยือนทางทหารระหว่างสองชาติ       ท่าทีของสหรัฐฯ ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ว่ามีสาเหตุมาจากการที่ได้สนับสนุนฝ่าย นปช. อย่างชัดเจนมาก่อนหรือไม่ เพราะเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2557 ระหว่างที่ กปปส. กำลังชุมนุมขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์อยู่นั้น เลขานุการเอกฝ่ายการเมืองของสถานทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยได้เดินทางไปเยี่ยมหมู่บ้านเสื้อแดงและสถานีวิทยุเสียงประชาชนที่ชุมชนพรสวรรค์ ต.หนองบัว อ.เมือง จ.อุดรธานี       สำหรับยักษ์ใหญ่จีน ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน กล่าวในพิธีปิดการประชุมความร่วมมือว่าด้วยการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์และมาตรการสร้างความร่วมมือระหว่างภูมิภาคเอเชีย (ซีไอซีเอ) ที่นครเซี่ยงไฮ้ ว่า ปัญหาภายในเอเชียเป็นเรื่องของเอเชียที่ต้องแก้ปัญหาเองโดยชาวเอเชีย เพื่อผลประโยชน์และสันติภาพระหว่างประเทศในเอเชียด้วยกัน ซึ่งจีนเชื่อทุกประเทศมีศักยภาพเพียงพอที่จะประสานความร่วมมือ เพื่อแก้ไขปัญหาภายในภูมิภาคอยู่แล้ว ต่อมากระทรวงการต่างประเทศจีนได้แถลงเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม แสดงจุดยืนที่จะร่วมมือกับไทยต่อไป       25 พฤษภาคม นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ที่ปรึกษากฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และกลุ่มคนเสื้อแดงตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ปี 2010 กล่าวผ่านสื่อประเทศออสเตรเลียว่า ทักษิณ -ยิ่งลักษณ์ มีแผนจะตั้ง “รัฐบาลพลัดถิ่น” ในต่างแดน โดยยกชื่อประเทศกัมพูชามาเป็นตัวอย่าง ซึ่งต่อมาเมื่อ 26 พฤษภาคม นายกรัฐมนตรีฮุน เซน รวมทั้งแกนนำระดับสูงของพรรครัฐบาลของกัมพูชาหลายคนได้ปฏิเสธ และชี้ว่านอกจากจะเป็นการขัดรัฐธรรมนูญของกัมพูชาแล้ว รัฐบาลกัมพูชายังไม่มีนโยบายที่จะเข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่นทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม แผนปฏิรูปประเทศของ คสช.       วันที่ 30 พฤษภาคม 2557 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้แถลงถึงแนวทางการบริหารประเทศที่แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ       ระยะแรก จะดำเนินการในเรื่องการปรองดองสมานฉันท์ให้เร็วที่สุดในกรอบ 2-3 เดือน โดยจัดตั้งศูนย์การปรองดองสมานฉันท์ซึ่งได้มอบให้ กอ.รมน. ดำเนินการ เพื่อการปฏิรูปทั้งในส่วนกลางและในระดับพื้นที่โดยเริ่มรวมจากกลุ่มเล็กมาใหญ่ จากครอบครัว หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด เพื่อให้ผู้เห็นต่างได้พบปะพูดคุยกันแต่เนิ่นและเพื่อสลายความขัดแย้งมิให้เป็นปัญหาการปฏิบัติในระยะที่ 2 แต่ทั้งนี้มิได้มีการดำเนินการในเรื่องการปรับโครงสร้างส่วนราชการใดเพื่อ เรียกผลประโยชน์ค่าตอบแทนหรือให้มีการนิรโทษกรรมใดๆ ทั้งสิ้น       ระยะที่ 2 จะมีการจัดตั้งสภานิติบัญญัติ สรรหานายกฯ ตั้งคณะรัฐมนตรีบริหารราชการ ร่างและจัดทำรัฐธรรมนูญพร้อมกับการตั้งสภาปฏิรูปเพื่อปฏิรูปแก้ไขในทุกเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องการและเป็นที่ยอมรับ คาดว่าคงจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี       ระยะที่ 3 จะมีการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ หลังจากที่ได้มีการปฏิรูปแก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบ กติกาต่างๆ แล้ว ซึ่งจะทำให้บ้านเมืองมีการปกครองด้วยหลักธรรมาภิบาล ทหารลุยจับขบวนการก่อความไม่สงบ       หลังจากการทำรัฐประหารเพียงวันเดียว ในวันที่ 23 พฤษภาคม 2557 กำลังเจ้าหน้าที่ทหารออกปฏิบัติการตรวจค้นจับกุมกลุ่มที่มีอาวุธสงครามไว้ในครอบครองโดยเริ่มที่จังหวัดขอนแก่น จับกุมผู้ต้องหา 21 คนพร้อมอาวุธสงคราม ยานพาหนะและเอกสาร เบื้องต้นผู้ถูกจับกุมให้การรับสารภาพว่าได้รับคำสั่งให้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ในจังหวัดใหญ่ๆ เช่น จ.ขอนแก่น, อุดรธานี, นครราชสีมา, อุบลราชธานี และกาฬสินธุ์ เป็นต้น โดยจะเริ่มที่จังหวัดขอนแก่นเป็นแห่งแรก ในชื่อว่า “ขอนแก่นโมเดล” วิธีการคือใช้กำลังปล้นเงินจากตู้เอทีเอ็มและธนาคารมาโปรยแจกจ่าย ก่อความวุ่นวายและเข้ายึดสถานที่เศรษฐกิจ       ในส่วนของหมู่บ้านเสื้อแดงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคอีสานจำนวนมากนั้น หน่วยทหารแต่ละพื้นที่ได้เข้าไปทำความเข้าใจกับประชาชนขอให้นำธงเสื้อแดงและป้ายหมู่บ้านเสื้อแดงออก และยังได้เข้าทำการตรวจค้นตามสถานีวิทยุชุมชน และบ้านพักของแกนนำด้วย       นอกจากจะมีการจับกุมกลุ่มที่มีอาวุธแล้ว ทหารยังได้เข้าตรวจจับกลุ่มผู้สงสัยว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้านการเงินอีกหลายราย ยึดได้อาวุธปืน หลักฐานการโอนจ่ายและรายชื่อผู้เกี่ยวข้องเพื่อทำการขยายผลต่อไป       หลังวันที่ 22 พฤษภาคม มีการนัดชุมนุมต้านการทำรัฐประหารอีกหลายครั้งในหลายสถานที่ ซึ่งฝ่ายเจ้าหน้าที่ได้ใช้มาตรการอย่างอ่อนไปเข้มในการดำเนินการรักษาความสงบ มีการจับกุมผู้ที่กระทำผิดส่วนหนึ่งตามมาตรการการประกาศกฎอัยการศึกที่จะถูกดำเนินคดีในศาลทหาร       ก่อนหน้าการทำรัฐประหาร ในวันที่ 16 พฤษภาคม กำลังเจ้าหน้า ที่ตำรวจที่เข้าตรวจค้นที่จันทรารีสอร์ท ในจังหวัดนครนายก ตามแจ้งความของผู้เข้าพักคนหนึ่งที่ของมีค่าหาย ได้พบบุคคลมีพิรุธซึ่งนำไปสู่การพบอาวุธจำนวนมาก ซึ่งต่อมาแม้เจ้าของรีสอร์ท อดีต ส.ส. พรรคเพื่อไทย นายสิทธิชัย กิตติธเนศวร จะปฏิเสธความเกี่ยวข้อง แต่มีข่าวว่าได้มี “ผู้ใหญ่” ในบ้านเมืองโทรมาขอร้องไม่ให้ขยายผลสาวลึก       20 พฤษภาคม หลังประกาศกฎอัยการศึก ฝ่ายทหารได้จับกุมอดีตทหารพรานที่บ้านพักในจังหวัดลพบุรี พบอาวุธสงคราม เครื่องกระสุน ระเบิดและอุปกรณ์ประกอบระเบิดอีกจำนวนมาก ผู้ถูกจับสารภาพว่ามีคนรู้จักเป็นผู้ร่วมชุมนุมทางการเมืองมาฝากไว้ และว่าจ้างตนให้ประกอบเพื่อนำไปก่อความไม่สงบใน กทม. ที่ผ่านมา ได้ส่งมอบระเบิดไปแล้ว 1 ชุด       ในวันเดียวกันเวลาบ่าย เจ้าหน้าที่ทหารตรวจพบอาวุธสงครามจำนวนมากรวมทั้งกระสุนและเครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ที่ห้องเช่าในอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสงคราม หญิงเจ้าของห้องรับสารภาพว่าเป็นคนเสื้อแดงและเป็นเจ้าของอาวุธ ระเบิดที่ปัตตานี       วันที่ 24 พฤษภาคม 2557 เวลา 19.30 น. เกิดเหตุระเบิดหลายจุดพร้อมกันทั่วทั้งเขตเทศบาลเมืองปัตตานี ทำให้ไฟฟ้าดับทั้งเมือง เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร สมาชิกอาสารักษาดินแดน และหน่วยกู้ภัยกว่า 500 นาย กระจายกำลังเข้าตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุ พบว่าที่เกิดเหตุมีทั้งร้านสะดวกซื้อ เซเว่น อีเลฟเว่น จำนวน 5 แห่ง และปั๊มน้ำมัน 4 แห่ง มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 1 ราย และได้รับบาดเจ็บ 59 รายถูกนำส่งโรงพยาบาล ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิตที่โรงพยาบาล       28 พฤษภาคม มีการลอบวางระเบิดที่บริเวณลานจอดรถโรงพยาบาลโคกโพธิ์ จ.ปัตตานีอีก ทำให้มีผู้บาดเจ็บทั้งหมด 10 คน สตง. ทวงใบเสร็จ ศอ.รส.       17 พฤษภาคม 2557 สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ขอให้สั่งการให้ผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) นำเอกสารหลักฐานการใช้จ่ายงบประมาณทุกประเภทให้ตรวจสอบว่ามีการใช้จ่ายถูกต้องตามระเบียบหรือไม่       ในระหว่างที่กลุ่ม กปปส. ชุมนุมในวันที่ 22 มกราคม ถึง 22 มีนาคม 2557 มีการเบิกจ่ายเงินจากงบประมาณรายจ่ายทั้งสิ้น 2,747 ล้านบาท ให้กับ 10 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบ อาทิเช่น ดีเอสไอ 20 ล้านบาท กระทรวงกลาโหม 11.3 ล้านบาท กอ.รมน. 53.56 ล้านบาท และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) 1,978.93 ล้านบาท       ค่าใช้จ่ายตามที่ สตช. เบิกจ่ายไปนั้น แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายด้านกำลังพล 1,444 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นค่าตอบแทนอัตราคนละ 300 บาทต่อวัน ค่าใช้จ่ายด้านบริหารจัดการ 534 ล้านบาท แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ งบดำเนินการ 303 ล้านบาท โดยมีค่าใช้จ่ายสูงสุดในลำดับแรกๆ ได้แก่ ค่าเครื่องแบบสนาม 59 ล้านบาท วัสดุอุปกรณ์สำนักงาน 47 ล้านบาท ส่วนงบลงทุน 231 ล้านบาท แบ่งเป็นหมวกกันกระสุน 208 ล้านบาท กล้องส่องทางไกลดิจิตอล บันทึกภาพแบบสองตา 18 ล้านบาท และครุภัณฑ์กล้องวงจรปิดและระบบบันทึกภาพ 3 ล้านบาท ป.ป.ช. ชี้มูลผิดยิ่งลักษณ์ กรณีจำนำข้าว       วันที่ 8 พฤษภาคม 2557 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 ชี้มูลความผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีละเลยการทุจริตจำนำข้าว และจะส่งเรื่องให้ ส.ว. ดำเนินการถอดถอนออกจากตำแหน่งต่อไปตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน มาตรา 11(1)       ทั้งนี้ ป.ป.ช. ให้เหตุผลว่าในฐานะหัวหน้ารัฐบาลผู้กำหนดนโยบายข้าวมาตั้งแต่ต้น และในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่มีอำนาจกำหนดนโยบายและมีส่วนร่วมบริหารโครงการ รวมทั้งที่ ป.ป.ช. ได้มีหนังสือแจ้งไปถึงสองครั้ง ว่าโครงการรับจำนำข้าวจะก่อให้เกิดปัญหาและความเสียหายอย่างยิ่งในการทุจริตทุกขั้นตอนของกระบวนการรับจำนำ อีกทั้งในฐานะนายกรัฐมนตรี ยังได้รับทราบปัญหาการดำเนินการจากการอภิปรายในสภาฯ และรายงานผลการดำเนินการที่ผ่านมาว่ามีผลขาดทุนสะสมสูงถึงกว่า 3 แสนล้านบาท น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงไม่อาจปฏิเสธความผิดฐานปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตได้       แต่แม้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นตำแหน่งไปแล้วเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2557 ก็จะต้องมีการดำเนินเรื่องการถอดถอน เพราะหาก ส.ว. พิจารณาให้ถอดถอนจากตำแน่ง จะมีผลให้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี และยังมีการดำเนินคดีทางอาญาอีกด้วย จำนำข้าวขาดทุน 5 แสนล้าน       27 พฤษภาคม 2557 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ไต่สวนพยานบุคคลอีก 4 ราย ได้แก่ นายสมชาติ สร้อยทอง อธิบดีกรมการค้าภายใน นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง นายกุลิศ สมบัติศิริ ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง และผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือผู้แทน และให้ขยายผลตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในช่วงที่นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายยรรยง พวงราช อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ รับผิดชอบโครงการ       ก่อนหน้านี้คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ได้ตรวจสอบผลการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวในช่วง 2 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2554 ถึง 2557 พบว่าอาจจะขาดทุนกว่า 5 แสนล้านบาท เนื่องจากราคาขายต่ำกว่าราคาต้นทุนที่คำนวณหลังแปรสภาพข้าวเปลือกเป็นข้าวสารแล้ว คือเฉลี่ยที่ 2.3 หมื่นบาทต่อตัน หากมีการขายตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานที่ราคา 1.2-1.4 หมื่นบาทต่อตัน และเมื่อเป็นรัฐบาลรักษาการได้ขายข้าวไปอีกในราคาตันละ 8 พันบาท ก็ยิ่งจะทำให้มีส่วนต่างราคาขายกับราคาต้นทุนสูงขึ้นอีก       นอกจากนี้คณะอนุกรรมการฯ ยังพบว่า กรณีที่มีข้าวสารหายไปจากสต็อกอีกราว 3 ล้านตันนั้น ปรากฏว่าในสต็อกไม่ได้มีข้าวอยู่จริง เป็นแค่ตัวเลขทางบัญชีเท่านั้น ขณะเดียวกันก็ยังพบว่ามีข้าวเสื่อมคุณภาพอีกจำนวนมากที่ยังรอให้เซอร์เวย์เยอร์ตีราคา ซึ่งหากมีการตีราคาแล้วคาดว่าจะทำให้ผลขาดทุนโครงการรับจำนำข้าวเพิ่มมากกว่า 5 แสนล้านบาท       จากปัญหาที่ชาวนาไม่ได้รับเงินค่าข้าวที่เข้าร่วมโครงการ หลังการทำรัฐประหาร คสช. ดำเนินภารกิจเร่งด่วนจ่ายหนี้ชาวนาโดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นำเงินกองทุนช่วยเหลือชาวนามาสำรองจ่ายไปก่อนในวงเงินไม่เกิน 40,000 ล้านบาท จากนั้นกระทรวงการคลังจะจัดหาเงินกู้กว่า 92,431ล้านบาทให้ ธ.ก.ส และได้ทยอยจ่ายตามคิวใบประทวนที่ขึ้นทะเบียนไว้ในปี 2556/2557 ตั้งแต่วันที่ 26 พฤษภาคม ถึงวันที่ 30 พฤษภาคม ได้จ่ายเงินให้แก่ชาวนาแล้วกว่า 303,950 ราย เป็นเงิน 30,878,230 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถจ่ายหนี้ที่เหลือทั้งหมดเสร็จภายในเดือนมิถุนายน ศาล รธน. ตัดสิน ยิ่งลักษณ์ พ้นนายกฯ       วันที่ 7 พฤษภาคม 2557 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์วินิจฉัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กระทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 266(2) (3) และมาตรา 268 ในการใช้สถานะในตำแหน่งการเป็นนายกฯ เข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ตัวเองและผู้อื่น ในเรื่องการบรรจุ แต่งตั้ง โยกย้าย โอน หรือการพ้นจากตำแหน่งของข้าราชการ ทำให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเป็นการเฉพาะตัวตามมาตรา 182(7) และรัฐมนตรีที่ร่วมลงมติประชุม ครม. เมื่อ 6 กันยายน 2554 ต้องสิ้นสุดการเป็นรัฐมนตรีเป็นการเฉพาะตัวด้วย       เรื่องนี้เป็นไปตามที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และคณะรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ไปเป็นที่ปรึกษานายกฯ ในเดือนกันยายน 2554 และให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มาดำรงตำแหน่งแทน และแต่งตั้ง พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ พี่ชายคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร (ดามาพงศ์) อดีตภรรยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชาย ขึ้นเป็น ผบ.ตร.       สำหรับรัฐมนตรีที่ต้องสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งไปพร้อมกันนี้ คือ 1. นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 2. ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ขณะดำรงตำแหน่งรองนายกฯ 3. นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ 4. นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกฯ ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 5. พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกฯ ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม 6. นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ 7. พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม 8. นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และ 9. น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร       ผลจากการสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งของรัฐมนตรีทั้ง 9 คน ทำให้คณะรัฐมนตรีมีจำนวน 25 คน โดย ครม. ได้ประชุมนัดพิเศษเห็นชอบให้นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นรองนายกฯ อันดับที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ ทันทีที่คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยเสร็จ ทางด้านหน้าสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญมีเสียงปืนดังกว่า 10 นัด นายเชาวนะ ไตรมาศ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ จึงประกาศให้หยุดทำการในวันรุ่งขึ้นเพื่อความปลอดภัย และในคืนวันที่ 8 พฤษภาคม มีผู้ปาระเบิดเอ็ม 67 ใส่บ้านนายสุพจน์ ไข่มุกด์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ วุฒิสภาเลือก สุรชัย เป็นประธานคนใหม่       วันที่ 9 พฤษภาคม 2557 ที่ประชุมวุฒิสภามีมติเลือกนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานวุฒิสภาให้ดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภา ด้วยคะแนนเสียง 96 ต่อ 51 และงดออกเสียง 1       การเลือกประธานวุฒิสภาในครั้งนี้สืบเนื่องมาจากที่นายนิคม ไวยรัชพาณิช อดีตประธานวุฒิสภาถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากการเข้าชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องที่มาของ ส.ว. แต่โดยเหตุที่นายสุรชัย เป็น ส.ว. แต่งตั้ง และมีกระแสความคาดหวังว่าเมื่อรับตำแหน่งจะทูลเกล้าเสนอชื่อผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่ามีความผิดกรณีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี จึงทำให้การดำรงตำแหน่งของนายสุรชัย ได้รับการคัดค้านจากพรรคเพื่อไทยว่ามิชอบด้วยกฎหมาย ส่อเป็นโมฆะ ขัดรัฐธรรมนูญมาตร 132       อย่างไรก็ตาม หลังจากได้รับตำแหน่ง นายสุรชัย ได้พยายามเดินหน้าแก้ไขปัญหาวิกฤติประเทศ โดยนัดหมายให้ตัวแทนรัฐบาลรักษาการ ประธานศาลต่างๆ และองค์กรอิสระมาหารือทางออกของประเทศ แต่ไม่เป็นผลเพราะไม่ได้รับการตอบรับจากฝ่ายต่างๆ จึงเปลี่ยนวิธีโดยการเดินสายรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ ในขณะที่ฝ่าย กปปส. ก็เรียกร้องให้วุฒิสภาเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีคนกลาง       วันที่ 16 พฤษภาคม ประธานวุฒิสภาได้เรียกประชุมเพื่อแสวงหาทางออก แต่ไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน รวมทั้งมีข่าวลือว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะซื้อตัว ส.ว. 35 คน หัวละ 200 ล้านบาท ในที่สุดเมื่อคณะทหารยึดอำนาจ ในวันที่ 22 พฤษภาคม แม้ในระยะแรกยังคงให้วุฒิสภามีอยู่เช่นเดิม แต่ต่อมาในวันที่ 24 พฤษภาคม ก็ได้ประกาศให้วุฒิสภาสิ้นสุดลง ประธานศาล รธน. ลาออก- เลือก นุรักษ์ มาประณีต แทน       วันที่ 21 พฤษภาคม 2557 นายจรูญ อินทจาร ประธานศาลรัฐธรรมนูญได้ลาออกเนื่องจากจะมีอายุครบ 70 ปีในปลายเดือนนี้ และที่ประชุมคณะตุลาการได้เลือก นายนุรักษ์ มาประณีต ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้ขึ้นมาทำหน้าที่แทน ต่อจากนี้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญจะส่งเรื่องไปยังประธานวุฒิสภาเพื่อให้นำความกราบบังคมทูล โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งต่อไป       อนึ่ง นายจรูญ ยังคงดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต่อไปจนกว่าจะครบอายุ 70 ปีตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งนี้ นายจรูญ ได้ให้เหตุผลที่ขอลาออกจากตำแหน่งประธานก่อนว่าเพื่อเปิดโอกาสให้ตุลาการท่านอื่นได้ทำหน้าที่แทน และเพื่อให้การทำงานของศาลรัฐธรรมนูญเป็นไปอย่างต่อเนื่อง อภิสิทธิ์ เสนอโร้ดแมพการเมือง       วันที่ 3 พฤษภาคม 2557 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แถลงแผนปฏิรูปประเทศไทย ที่สังเคราะห์จากความคิดเห็นหลายภาคส่วนในสังคม มีหลัก 4 ประการ คือ เดินหน้าปฏิรูปทันที สร้างความชอบธรรม กระบวนการกติกา เพื่อรองรับให้ปฏิรูปต่อเนื่องเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ระหว่างการปฏิรูป มีรัฐบาลและสภาฯ ที่เป็นไปตามกฎหมาย เป็นที่ยอมรับทุกฝ่าย การเลือกตั้งต้องเป็นไปตามสุจริต เสรีและเที่ยงธรรม เป็นที่ยอมรับของประชาชนและทุกพรรค คดีความที่มีอยู่ต้องดำเนินไปตามกระบวนการของกฎหมายและหลักนิติธรรม นายอภิสิทธิ์ ยังเสนอขั้นตอนการดำเนินงาน 10 ขั้นตอน คือ ชะลอการออก พ.ร.ฎ.เลือกตั้งไปก่อน ให้ กกต. ออกระเบียบเพื่อปฏิรูปการบริหารการเลือกตั้ง ให้เครือข่ายเดินหน้าปฏิรูปร่วมกับ กปปส. เป็นแกนนำจัดทำข้อเสนอจัดตั้งสภาปฏิรูป กำหนดประเด็นขอบเขตการปฏิรูป จัดลำดับความสำคัญ เช่น ต่อต้านการทุจริต ไม่มีนิรโทษกรรม การมีส่วนร่วมของประชาชน ฯลฯ โดยใช้เวลา 15-30 วัน รัฐบาลรักษาการลาออก เปิดทางให้มีรัฐบาลเฉพาะกาล ที่ไม่มีนักการเมืองและพรรคการเมืองมาเกี่ยวข้องมาบริหารการจัดทำประชามติและการเลือกตั้ง รัฐบาลเฉพาะกาลต้องไม่มีอำนาจด้านนิติบัญญัติ จัดทำประชามติแนวทางการปฏิรูปภายใน 30 วัน ให้ทุกฝ่ายรณรงค์เรื่องการปฏิรูปได้โดยเสรี จัดให้มีการเลือกตั้งภายใน 45-60 วันหลังการทำประชามติ รัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งต้องนำข้อเสนอของสภาปฏิรูป โดยเฉพาะข้อเสนอการปฏิรูปการเมืองมาดำเนินการให้เสร็จภายใน 1 ปี แล้วจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง ให้รัฐบาลใหม่นำประเด็นการปฏิรูปด้านอื่นๆ มาดำเนินการด้วยวิธีปกติ       พร้อมนี้ นายอภิสิทธิ์ ประกาศจะเว้นวรรคไม่รับตำแหน่งหรือมีสถานะทางการเมืองใดๆ ในช่วงการปฏิรูป กรมควบคุมมลพิษเรียกค่าเสียหายคดีคลองด่าน       วันที่ 16 พฤษภาคม 2557 กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ออกหนังสือคำสั่งให้ผู้เกี่ยวข้องชดใช้ค่าสินไหมกรณีที่ก่อให้เกิดความเสียหายจากโครงการออกแบบก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียเขตควบคุมมลพิษคลองด่าน จ.สมุทรปราการ รวม 14 คน ประกอบด้วย นายวัฒนา อัศวเหม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย จากกรณีมีการเพิกถอนโฉนดที่ดินที่จัดซื้อในโครงการดังกล่าว เนื่องจากเป็นการออกโฉนดโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย มูลค่า 912 ล้านบาท โดยให้นายวัฒนาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในอัตราร้อยละ 80 หรือประมาณ 729.6 ล้านบาท       ส่วนบุคคลอื่นที่ถูกเรียกร้องค่าสินไหมยังมีนายยิ่งพันธ์ มนะสิการ (ถึงแก่กรรม) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ผู้เสนอโครงการ เป็นมูลค่าร้อยละ 25 ของความเสียหายทั้งหมด หรือประมาณ 4,770 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีข้าราชการเจ้าหน้าที่ของกรมควบคุมมลพิษ 3 คน ผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลคลองด่านอีก 3 คน รวมเป็นเงินที่กรมควบคุมมลพิษเรียกค่าเสียหายในครั้งนี้ถึง 2 หมื่นล้านบาท       ในคำสั่งของ คพ. ระบุว่า กรณีนี้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เคยชี้มูลความผิดทางอาญาผู้เกี่ยวข้องไว้แล้ว และ คพ. จะยื่นร้องต่อศาลอาญาขอให้บังคับบุคคลเหล่านี้และทายาทให้ชดใช้ค่าเสียหายต่อไป แผ่นดินไหวภาคเหนือ 6.3 ริกเตอร์       วันที่ 5 พฤษภาคม 2557 เวลา 18.08 น. เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.3 ริกเตอร์ ศูนย์กลางที่ อ.พาน จ.เชียงราย ลึกลงไป 10 กม. รับรู้แรงสั่นสะเทือนได้โดยเฉพาะในตึกสูงตั้งแต่เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา แพร่ น่าน ลำปาง ทำให้อาคารเสียหายจำนวนมาก มีรอยแยกแตกร้าวบนถนน และเกิดอาฟเตอร์ช็อคตามมาอีกนับร้อยๆ ครั้ง กรมอุตุนิยมวิทยาแถลงว่าเกิดจากการเคลื่อนตัวของรอยเลื่อนพะเยา       ในเดือนพฤษภาคม ยังเกิดแผ่นดินไหวในจังหวัดเชียงรายอีก แต่ไม่รุนแรงเท่าที่เกิดในวันที่ 5 อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านในเขตแผ่นดินไหวหลายคนยังคงนอนนอกอาคารที่มีรอยร้าว เนื่องจากกลัวว่าหากแผ่นดินไหวหรือมีอาฟเตอร์ช็อคจะทำให้อาคารถล่มลงมา