เมษายน 2557 : ดัน 20 กรกฎาคมเลือกตั้งใหม่ กกต. – รัฐบาล ดันเลือกตั้งใหม่ 20 ก.ค. กปปส. เตรียมเผด็จศึก 14 พ.ค. ศาล รธน. รับวินิจฉัยกรณี “ยิ่งลักษณ์” ย้าย “ถวิล” กิตติรัตน์ ให้ปากคำเรื่องจำนำข้าว ป.ป.ช. ชี้ 36 ส.ว. ผิดเรื่องแก้ รธน. ที่มา ส.ว. ศาลปกครอง ให้ “ประชา-ทายาทสมัคร” ใช้ค่าเสียหายคดี กทม. ซื้อรถดับเพลิง เปิดประชุมวุฒิสภาวิสามัญ 2-10 พ.ค. ศาลไม่ถอนประกัน “จตุพร-ณัฐวุฒิ” กกต. รับรอง ส.ว. ล็อตแรก ขาด “คุณหญิงจารุวรรณ” กก. สรรหา เลือก สุภา ปิยะจิตติ นั่ง ป.ป.ช. ระเบิด 4 จุดในเมืองยะลา เศรษฐกิจไตรมาสแรกปี 57 ยังหดตัว รัฐขาดดุลเงินสดหนัก 5.2 แสนล้านบาท อนุมัติ 9 พันล. คืนภาษีรถคันแรก ชงคลังต่ออายุภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% อีก 1 ปี เวิลด์แบงก์ลดเป้าจีดีพีไทยเหลือต่ำสุดในอาเซียน ครัวเรือนไทยเริ่มก่อหนี้ลดลง กกต. – นรม. ตกลงเลือกตั้ง 20 ก.ค.       วันที่ 30 เมษายน 2557 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ร่วมหารือกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ได้ข้อสรุปว่า จะจัดเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งใหม่ ในวันที่ 20 กรกฎาคม 2557 โดยรักษาการนายกฯ จะเป็นผู้นำร่างพระราชกฤษฎีกาขึ้นกราบบังคมทูลต่อไป       รัฐบาลยิ่งลักษณ์ประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2556 และ กกต. จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปทั้งประเทศในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 แต่ กปปส. ชุมนุมรณรงค์ให้มีการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2557 ว่าสามารถเลื่อนการเลือกตั้งออกไปได้ โดยให้ประธาน กกต. และรักษาการนายกรัฐมนตรีไปหารือร่วมกัน       การเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ไม่สามารถจัดได้ครบทุกเขต จึงไม่สามารถประกาศผลการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตและนับคะแนน สส. แบบบัญชีรายชื่อได้ ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2557 ว่าเป็นโมฆะไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงทำให้ กกต. ร่วมกับรัฐบาลกำหนดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 20 กรกฎาคม ดังกล่าว กปปส. เตรียมเผด็จศึก 14 พ.ค.       เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2557 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) ได้ประกาศแผนเผด็จศึกครั้งใหญ่ โดยมี 3 ขั้นตอน คือ ในวันฉัตรมงคล ที่ 5 พฤษภาคม เวลา 17.00 น. จะทำพิธีตั้งสัตยาธิษฐาน ทำดี สู้เพื่อแผ่นดินให้สำเร็จ ที่หน้าวัดพระศรีรัตนศาสดาราม 13 พฤษภาคม วันวิสาขบูชา จะจัดพิธีทำบุญประเทศ ขับไล่เสนียดจัญไรของแผ่นดินให้หมดสิ้นไป 14 พฤษภาคม ปฏิบัติการทวงคืนอำนาจอธิปไตยให้กลับมาเป็นของประชาชน (นายสุเทพยังไม่เปิดเผยถึงแผนปฏิบัติการในวันนี้)       ด้านหลวงปู่พุทธะอิสระ ได้เสนอแนวทางแก้ปัญหาประเทศด้วยการถวายคืนพระราชอำนาจ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 3 พร้อมประกาศว่าเดินขบวนไปยัง อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นเวลา 3 วัน 3 คืน ระหว่างวันที่ 16-18 พฤษภาคม       ด้านกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ได้ประกาศเลื่อนการชุมนุมที่ถนนอักษะในวันที่ 6 พฤษภาคม มาเป็นวันที่ 5 พฤษภาคม แต่เมื่อถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่เหมาะสม เพราะเป็นวันฉัตรมงคล นายจตุพร จึงได้ประกาศเลื่อนวันชุมนุมคนเสื้อแดงอีกครั้ง ไปเป็นวันที่ 10 พฤษภาคม และก่อนหน้าจะมีการจัดเวทีปราศรัยในจังหวัดต่างๆ ก่อน ส่วนในวันที่ 5-6 เมษายน ที่กลุ่ม นปช. จัดการชุมนุมใหญ่ที่บริเวณถนนอักษะนั้น มีมวลชนมาร่วมไม่มาก นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ออกตัวว่า เป็นแค่การซ้อมเท่านั้น       ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน กปปส. ได้เปิดกระทรวง ทบวง กรม ให้ข้าราชการทำงานตามปกติโดยมีเงื่อนไขว่าข้าราชการต้องไม่รับคำสั่งจากรัฐบาลอีกต่อไป ให้ทำงานรับใช้ประชาชนเท่านั้น รวมทั้งห้ามรัฐมนตรีเข้ากระทรวงด้วย แต่มีการยกเว้นเพียง 2 แห่ง คือ ทำเนียบรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย ศาล รธน. รับวินิจฉัยกรณี “ยิ่งลักษณ์” ย้าย “ถวิล”       วันที่ 2 เมษายน 2557 นายเชาวนะ ไตรมาศ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เปิดเผยว่า ที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 ให้รับพิจารณาคำร้องของนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา และกลุ่ม ส.ว. รวม 28 คน กรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ใช้สถานะหรือตำแหน่งการเป็นนายกฯ เข้าไปแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมือง ในการแต่งตั้งหรือโอนย้ายข้าราชการประจำ คือนายถวิล เปลี่ยนสี จากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ โดยศาลรัฐธรรมนูญได้สั่งให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน       ทั้งนี้ กลุ่มผู้ร้องได้อ้างถึงรัฐธรรมนูญ มาตรา 182(7) และมาตรา 268 และคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุดในวันที่ 7 มีนาคม 2557 ที่ได้พิพากษาว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ใช้อำนาจโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่มีเหตุผลรองรับ พร้อมสั่งคืนตำแหน่งเลขาธิการ สมช. แก่นายถวิล กิตติรัตน์ ให้ปากคำ ปปช. กรณีจำนำข้าว       วันที่ 18 เมษายน 2557 นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เข้าให้ปากคำต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะพยานตามที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ชาติ (กขช.) ขอให้สอบพยานเพิ่ม โดยนายกิตติรัตน์ ได้ชี้แจงด้วยถ้อยคำ พร้อมเอกสารประกอบ 90 หน้า ซึ่งมีทั้งมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) และมติ กขช. รวมทั้งตัวเลขการปิดบัญชีของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำสินค้าเกษตร เป็นเวลานานเกือบ 5 ชั่วโมง       หลังจากนั้นนายกิตติรัตน์ กล่าวว่า การตั้งงบประมาณในโครงการรับจำนำข้าวไม่ได้เกินความจำเป็น และถือเป็นการช่วยเหลือชาวนา เพราะโครงการรับจำนำข้าว เกิดประโยชน์ ดูแลชาวนากว่า 3.7 ครัวเรือน คิดเป็นประชากร 12 ล้านคน หรือร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการดำเนินการ มีความเป็นไปได้ที่ผู้ปฎิบัติจะมีการทุจริต แต่ในทุกขั้นตอนของโครงการรับจำนำข้าว สามารถที่จะตรวจสอบได้ และได้ดำเนินการทุกขั้นตอนอย่างเข้มงวด ขณะที่กรอบวินัยการเงินการคลังของไทยในขณะนี้ยังมีความเข้มแข็ง       น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถูกกล่าวหาว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี ปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว หากมีหลักฐานว่าผิดจริงอาจถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด 36 ส.ว. คดีแก้ รธน. ที่มา ส.ว.       วันที่ 29 เมษายน 2557 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีความเห็นว่าสมาชิกวุฒิสภา 36 คน มีพฤติการณ์ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 270 ในกรณีร่วมลงชื่อเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มา ส.ว. และลงมติเห็นชอบร่างดังกล่าวในวาระที่ 1 ,2 และ 3 ระหว่างนี้ ส.ว. ทั้ง 36 คน ต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ส่วน ส.ว. อีก 14 คนให้พ้นข้อกล่าวหาเนื่องจาก ยังฟังไม่ได้ว่ามีพฤติการณ์ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ศาลปกครอง ให้ “ประชา-ทายาทสมัคร” ชดใช้ คดีทุจริตรถดับเพลิง       วันที่ 30 เมษายน ศาลปกครองกลาง พิพากษาให้นายประชา มาลีนนท์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และทายาทของนายสมัคร สุนทรเวช ชดใช้เงินค่าเสียหายให้แก่ กทม. เป็นเงิน 587,580,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ซึ่งเป็นผลมาจากการที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ชี้มูลความผิดในคดีจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงฯ มูลค่า 1,958 ล้านบาทของ กทม. ในปี 2547 ทั้งนี้ เงินที่ให้ชดใช้ดังกล่าวเท่ากับ 30% ของราคาจัดซื้อที่ถือว่าสูงกว่าความเป็นจริง       ขณะนี้นายประชา อยู่ระหว่างหลบหนีคดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองออกหมายจับ หลังถูกพิพากษาจำคุก 12 ปี ในคดีทุจริตจัดซื้อรถและเรือดับเพลิง 2-10 พ.ค. ประชุมวุฒิสภาสมัยวิสามัญ       วันที่ 28 เมษายน 2557 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภาในวันที่ 2-10 พฤษภาคม 2557 ตามที่นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานวุฒิสภา ได้ทำหนังสือมา เพื่อให้วุฒิสภาพิจารณาเรื่องการแต่งตั้งบุคคล 2 ตำแหน่ง คือ ตำแหน่งกรรมการตุลาการศาลปกครอง ซึ่งเป็นกรรมการตุลาการผู้ทรงคุณวุฒิ และกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ศาลไม่ถอนประกัน “จตุพร-ณัฐวุฒิ”       วันที่ 18 เมษายน 2557 ศาลอาญามีความเห็นไม่เพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราว นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และนายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. เนื่องจากเห็นว่าจำเลยทั้งสองยังไม่มีพฤติการณ์เข้าข่ายผิดเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราว จากการขึ้นเวทีปราศรัย นปช. ที่ จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2557 แต่ตักเตือนให้ระมัดระวังในการจัดการชุมนุม หรือจัดให้มีการปราศรัยอย่างหนึ่งอย่างใด ซึ่งอาจผิดเงื่อนไขการอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว อันเป็นเหตุให้ศาลอาจเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวได้       เรื่องนี้เป็นไปตามที่ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้แก่ นายสาธิต ปิตุเตชะ อดีต ส.ส.ระยอง, นายบรรจบ รุ่งโรจน์ อดีต ส.ส.ชลบุรี และนายทศพล เพ็งส้ม อดีต ส.ส.นนทบุรี ได้กล่าวหาว่า นายจตุพร และนายณัฐวุฒิ มีพฤติการณ์เข้าข่ายผิดเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราว ด้วยการขึ้นเวทีปราศรัย นปช. ที่ จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2557       ทั้งนี้ นายจตุพร และนายณัฐวุฒิ ถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ 2 และ 3 ร่วมกับแกนนำ นปช. รวม 24 คน ในคดีก่อการร้าย และได้รับการประกันตัวชั่วคราว กกต. รับรอง ส.ว. รุ่นแรกไร้คุณหญิงจารุวรรณ       วันที่ 8 เมษายน 2557 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ว. อย่างเป็นทางการให้กับบุคคลที่ได้รับคะแนนสูงสุดและไม่มีเรื่องร้องคัดค้านการเลือกตั้งใน 58 จังหวัด ซึ่งไม่มีการคัดค้านการเลือกตั้ง ส่วนอีก 19 จังหวัด ที่ยังไม่สามารถประกาศรับรองได้ เนื่องจากมีเรื่องร้องคัดค้านนั้น มีกรุงเทพมหานคร ซึ่งคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ได้คะแนนเป็นลำดับที่ 1 และเป็นผู้สมัครที่ได้คะแนนสูงสุดของประเทศด้วย       ทั้งนี้ กกต. จะสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน หากไม่แล้วเสร็จ กกต. จะประกาศรับรองผลไปก่อน จากนั้นจะพิจารณาภายในกรอบ 1 ปี เพื่อส่งให้ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยต่อไป คณะกรรมการสรรหาฯ เลือก สุภา ปิยะจิตติ นั่ง ป.ป.ช.       วันที่ 9 เมษายน 2557 คณะกรรมการสรรหากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งประกอบด้วย นายดิเรก อิงคนินันท์ ประธานศาลฎีกา นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด และนายจรูญ อินทจาร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้ประชุมร่วมกันเป็นครั้งที่ 2 เพื่อพิจารณาสรรหาผู้เหมาะสมเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ให้เหลือ 1 คน จากผู้สมัครทั้งหมด 14 คน แทน นายใจเด็ด พรไชยา กรรมการ ป.ป.ช. ที่ต้องพ้นวาระตามรัฐธรรมนูญมาตรา 247 เนื่องจากอายุครบ 70 ปี ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเลือก น.ส.สุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง เป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช.ด้วยคะแนนเสียง 2 คะแนน โดยเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดว่า ผู้ได้รับการเสนอชื่อต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของคณะกรรมการสรรหาที่มีอยู่       ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญ ปี 2550 มาตรา 247 ได้ระบุว่าให้มีคณะกรรมการสรรหากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ จำนวน 5 คน ประกอบด้วย ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานสภาผู้แทนราษฎร และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนฯ แต่เนื่องจากมีการยุบสภาฯ เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2556 ทำให้เหลือกรรมการสรรหา 3 คน ดังกล่าว       หลังจากนี้คณะกรรมการสรรหาจะนำชื่อ น.ส.สุภา เสนอต่อประธานวุฒิสภา เพื่อให้เปิดประชุมวุฒิสภาและให้สมาชิกวุฒิสภาได้ลงมติให้ความเห็นชอบ ก่อนนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไป ระเบิด 4 จุดในยะลา       วันที่ 6 เมษายน 2557 เวลา 16.00 น. เกิดเหตุระเบิดแบบคาร์บอมบ์ขึ้นสี่จุดในเวลาไล่เลี่ยกันในตัวเมือง จ.ยะลา ทำให้อาคารเสียหาย มีผู้บาดเจ็บหลายราย และเสียชีวิตหนึ่งราย เหตุระเบิดครั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่รุนแรงสุดในรอบ 2 นับตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2555 เป็นต้นมา ซึ่งครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตถึง 12 ราย และบาดเจ็บอีกจำนวนมาก เศรษฐกิจไตรมาสแรกปี 57 ยังหดตัว       นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการ สำนักเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจไตรมาส 1 ปีนี้มีแนวโน้มหดตัวจากไตรมาสก่อน จากสถานการณ์ทางการเมืองที่ยืดเยื้อทำให้ครัวเรือนและธุรกิจระมัดระวังในการบริโภคและลงทุน การใช้จ่ายภาครัฐทำได้จำกัดโดยเฉพาะงบลงทุน บวกกับภาคการท่องเที่ยวที่หดตัวมากขึ้น แม้การส่งออกสินค้าจะมีทิศทางปรับดีขึ้นแต่ก็ไม่สามารถชดเชยการหดตัวดังกล่าวได้ ส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัว       อย่างไรก็ดีเสถียรภาพเศรษฐกิจโดยรวมยังดี การว่างงานอยู่ในระดับต่ำ อัตราเงินเฟ้อปรับสูงขึ้นบ้างแต่ยังน่าจะอยู่ในกรอบเป้าหมาย ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลจากการนำเข้าสินค้าที่หดตัว คาดว่าในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 น่าจะค่อยๆ ปรับดีขึ้น และน่าจะฟื้นตัวได้ในไตรมาส 4 แต่ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองด้วย ขาดดุลเงินสดหนัก 5.2 แสนล้าน       นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2557 รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 9.23 แสนล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 5.51 หมื่นล้านบาท หรือ 5.6% ซึ่งมีสาเหตุหลักจากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์ได้ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วเนื่องจากอุปสงค์รถยนต์ในประเทศที่ชะลอตัวจากภาวะเศรษฐกิจและการส่งมอบรถยนต์สำหรับโครงการรถยนต์คันแรกได้เกือบครบทั้งโครงการแล้วในปีงบประมาณก่อนหน้า รวมทั้งในปีที่แล้วมีการนำส่งรายได้จากการประมูลให้ใช้คลื่นความถี่ 3 จี จำนวน 2.08 หมื่นล้านบาท       ด้านการเบิกจ่ายเงินงบประมาณมีจำนวนทั้งสิ้น 1.38 ล้านล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 1.25 หมื่นล้านบาท หรือ 0.9% ทำให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 4.6 แสนล้านบาท เมื่อรวมกับดุลเงินนอกงบประมาณที่ขาดดุล 6 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้รัฐบาลขาดดุลเงินสดรวม5.2 แสนล้านบาท ซึ่งรัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล 1.3 แสนล้านบาท ทำให้ดุลเงินสดหลังกู้ขาดดุลทั้งสิ้น 3.9 แสนล้านบาท และเงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2557 มีจำนวนทั้งสิ้น 2.13 แสนล้านบาท อนุมัติงบเกือบ 9 พันล. คืนภาษีรถคันแรก       เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2557 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติงบกลางกว่า 8,830 ล้านบาทให้กรมสรรพสามิตจ่ายคืนภาษีรถคันแรก โดยในวันที่29 เมษายนนี้ กรมสรรพสามิตจะหารือกับค่ายรถยนต์เพื่อปิดโครงการรถยนต์คันแรก ทั้งนี้ การคำนวณภาษี จะคำนวณจากต้นทุนหน้าโรงงาน ชงคลังคงภาษีแวต 7% ต่ออีก1ปี       นายสุทธิชัย สังขมณี อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรมสรรพากรได้ทำหนังสือถึงนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้ออกพระราชกฤษฎีกาต่ออายุการลดภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) 7% ออกไปอีก 1 ปี หลังจากที่จะสิ้นสุดระยะเวลาการลดแวตจาก 10% เป็น 7% ในวันที่ 30 กันยายน 2557 นี้ นอกจากนี้จะมีการเสนอให้ต่ออายุการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล เหลือ 20% ออกไปอีก 1 ปีเช่นกัน จากเดิมมีกำหนดสิ้นสุดรอบปีภาษี 2557 คือ วันที่ 31 ธันวาคม 2557 ทั้งนี้ หากกระทรวงการคลังอนุมัติ จะต้องนำเสนอไปยังคณะรัฐมนตรีเพื่อเห็นชอบก่อนที่จะเสนอให้คณะกรรมการการเลือกตั้งวินิจฉัยการขอต่ออายุการลดภาษีทั้งสองประเภทอีกครั้ง ว่าขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 181 หรือไม่ 'เวิลด์แบงก์'หั่นเป้าจีดีพีไทยต่ำสุดในอาเซียน       ธนาคารโลกปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจชาติกำลังพัฒนาในเอเชียตะวันออก เหลือ 7.1% จาก 7.2% ปีนี้ พร้อมปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้ลงอีก 1.5% เหลือ 3.0% และปรับลดลง 0.5% เหลือ 2.5% ปีหน้า ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดของประเทศในอาเซียน ธนาคารโลกเตือนว่า อุปสงค์ภายในประเทศของไทยยังคงอ่อนแอ อันเนื่องจากความไม่สงบทางการเมืองที่ยังคงดำเนินอยู่ ซึ่งกระทบต่อรายได้จากการท่องเที่ยว การลงทุนในภาครัฐ และความเชื่อมั่นของนักลงทุน ครัวเรือนเริ่มก่อหนี้ลดลง       นางรุ่ง มัลลิกะมาส โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ระดับหนี้ครัวเรือนต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)ที่มีสัญญาณเพิ่มขึ้น จากสิ้นปี 2555 อยู่ที่ 77.3% เพิ่มเป็น 82.3% ในสิ้นปี 2556 ซึ่งยอมรับว่าหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นมาต่อเนื่องในช่วงปี 2556 โดยไตรมาส 1 อยู่ที่ 77.6% ไตรมาส 2 อยู่ที่ 79.1% ไตรมาส 3 อยู่ที่ 80.1% และไตรมาส 4 อยู่ที่ 82.3% แต่ยังไม่น่าห่วงมากนัก เนื่องจากอัตราการก่อหนี้ของครัวเรือนลดลงแล้ว ทั้งนี้ หนี้ในสิ้นปี 2555 มีจำนวน 8.8 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 18% แต่ในสิ้นปี 2556 หนี้เพิ่มเป็น 9.8 ล้านล้านบาท แต่การขยายตัวลดลงเหลือ 11.4% สะท้อนแนวโน้มการก่อหนี้ที่ลดลง อีกอย่างที่หนี้ครัวเพิ่มขึ้นเพราะรายได้ประชาชาติหรือการขยายตัวของจีดีพีบวกเงินเฟ้อแล้วยังลดลงมาก ปี 2555 ขยายตัว 7.9% แต่ปี 2556 ขยายตัวเพียง 4.6% และ ธปท. ยังติดตามดูต่อเนื่อง