มีนาคม 2557 : คนเสื้อแดงอยากแยกประเทศ คนเสื้อแดงอยากแยกประเทศ กปปส. เดินหน้าหาแนวทางปฏิรูปประเทศ ศาลปกครองสูงสุดสั่งคืนตำแหน่ง ถวิล ศาล รธน. วินิจฉัยเลือกตั้ง 2 ก.พ. โมฆะ กกต. ไฟเขียวงบกลางอีก 2หมื่นล้านจ่ายชาวนา ชาวนาฟ้องยิ่งลักษณ์ ทวงเงินจำนำข้าว ศาล รธน. วินัจฉัย กม.กู้เงิน 2 ล้านล้านขัด รธน. กกต. แจกใบเหลืองสุขุมพันธุ์ ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ป.ป.ช. ชี้มูลผิดประธานวุฒิสภาขัด รธน. ผลเลือกตั้ง ส.ว. กทม. อย่างไม่เป็นทางการ ยิ่งลักษณ์เข้าชี้แจงกรณีจำนำข้าว คนเสื้อแดงอยากแยกประเทศ       เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2557 ในขณะที่รักษาการนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มคนเสื้อแดงที่คาดหัวด้วยแถบป้ายข้อความ “สปป. ล้านนา” ได้มาต้อนรับพร้อมยกป้ายข้อความ “ประเทศนี้ไม่มีความยุติธรรม กูขอแยกประเทศเป็นประเทศล้านนา”พร้อมให้สัมภาษณ์ยอมรับกับสื่อมวลชนว่าต้องการแยกประเทศเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนล้านนา และหลังจากวันนั้นก็มีการนำป้ายข้อความดังกล่าวไปติดในบางจังหวัด       เรื่องนี้ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก สั่งการให้แม่ทัพภาคที่ 3 แจ้งความดำเนินคดีกับผู้กระทำการดังกล่าว ใน วันที่ 3 มีนาคม ต่อตำรวจ สภ.แม่ปิง ให้ดำเนินคดีอาญากับนายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล แกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ตามความผิดกฎหมายอาญา มาตรา 113, 114 ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ทหารได้นำหลักฐานเป็นภาพถ่ายข้อความและคำให้สัมภาษณ์ของนายเพชรวรรต เกี่ยวกับความคิดเรื่อง สปป.ล้านนา และการแยกเป็นประเทศล้านนาที่มีมานานกว่า 6 เดือนแล้ว มามอบให้ตำรวจเพื่อประกอบการแจ้งความดำเนินคดีด้วย       ต่อมาแกนนำพรรคเพื่อไทยและแกนนำคนเสื้อแดงต่างออกมายืนยันว่า ไม่มีความคิดแบ่งแยกประเทศ พร้อมอ้างว่า คำว่า “สปป. ล้านนา” หมายถึง สมัชชาปกป้องประชาธิปไตยล้านนา ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกฯ ก็ย้ำว่า รัฐบาลไม่ได้สนับสนุนให้มีการแบ่งแยกดินแดน พร้อมชี้ หากมีการตรวจสอบ ต้องตรวจสอบทุกกลุ่มทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียม       ที่ปทุมธานี นายวุฒิพงษ์ กชธรรมคุณ หรือ โกตี๋ แกนนำคนเสื้อแดง จ.ปทุมธานี ก็ได้นำแผ่นป้ายขอแบ่งแยกดินแดนมาติดบนสะพานลอยบริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติเช่นกัน ทำให้กองทัพบกให้นายทหารพระธรรมนูญเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายวุฒิพงษ์ ซึ่งถูกแจ้งความดำเนินคดีในกรณีพูดหมิ่นสถาบันบนเวทีและวิทยุอีกด้วย       ก่อนหน้านี้มีแกนนำคนเสื้อแดงขึ้นเวทีปราศรัยเรื่องการแบ่งแยกประเทศ ในจำนวนนี้มีคนในรัฐบาลรักษาการถึงสองคนคือนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รักษาการรัฐมนตรีมหาดไทย และนายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ รักษาการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งทั้งคู่ได้ประกาศว่าจะรับข้อเสนอของแกนนำคนเสื้อแดงที่ขึ้นเวทีเพื่อไปดำเนินการ       นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. ปฏิเสธว่าไม่ได้มีแนวคิดแยกประเทศ ส่วนนางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช. กล่าวว่า การพูดแบ่งแยกประเทศ อาจจะเกิดจากอารมณ์ประชด และคนเสื้อแดงไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกประเทศ เพราะเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศอยู่แล้ว       นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ได้ปราศรัยผ่านเวที ช่วงหนึ่งว่า เรื่องแบ่งแยกประเทศนั้น เป็นเพราะฝ่ายอำมาตยาธิปไตยพยายามดำเนินการหลายเรื่องผ่านกลไกองค์กรอิสระ หรือเครือข่ายต่างๆ มาหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ จนกระทั่งสบโอกาสเรื่องแบ่งแยกประเทศ กปปส. เดินหน้าหาแนวทางปฏิรูปประเทศ       คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นเลขาธิการประกาศเดินหน้าปฏิรูปประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม 2557 เป็นต้นไป ด้วยการเปิดเวทีภาควิชาการ เสวนาระดมสมอง 6 หัวข้อ ได้แก่ แก้ความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ, แก้ทุจริต คอร์รัปชั่น, การกระจายอำนาจ, การปฏิรูปโครงสร้างตำรวจ, การปฏิรูปการเมือง การเลือกตั้ง และพรรคการเมือง และการปฏิรูประบบราชการ เมื่อได้ข้อสรุปจากเวทีวิชาการแล้ว จะนำข้อสรุปส่งต่อให้เวทีสมัชชาปฏิรูปดำเนินการต่อ เพื่อให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็น ก่อนนำข้อเสนอทั้งหมดส่งให้สภาประชาชนต่อไป       วันที่ 29 มีนาคม 2557 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. นัดชุมนุมใหญ่อีกครั้งเพื่อแสดงเจตนารมณ์ต้องการให้มีการปฏิรูปประเทศก่อนเลือกตั้ง มีประชาชนร่วมเดินขบวนกับ กปปส. จำนวนมากและยังมีกลุ่มองค์กรเข้าร่วมด้วย 70 กลุ่ม เดินจากสวนลุมพินีไปยังลานพระบรมรูปทรงม้า และด้านหน้าอาคารรัฐสภา บนเส้นทางนี้ขบวน กปปส. ได้ทำการสักการระพระบรมราชานุสาวรีย์บูรพกษัตริย์ถึง 3 พระองค์ คือ รัชกาลที่ 6 รัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 7 ตามลำดับ ก่อนที่จะเดินกลับไปยังสวนลุมพินี       ในเวลาประมาณ 13.30 น. ขณะที่ขบวนนายสุเทพกำลังเคลื่อนไปยังลานพระบรมรูปทรงม้า มีผู้ยิงระเบิดเอ็ม 79 มาตกบนถนนสวรรคโลกติดกับเส้นทางที่ผู้ชุมนุมบางส่วนกำลังเดินอยู่ทำให้รถยนต์ที่จอดอยู่เสียหายสองคัน แต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ศาลปกครองสูงสุดสั่งคืนตำแหน่ง ถวิล       เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2557 ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาสั่งให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คืนตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) แก่นายถวิล เปลี่ยนสี ภายใน 45 วันนับแต่วันมีคำพิพากษา       ทั้งนี้ ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาเห็นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้มอบหมายงานให้นายถวิล ปฏิบัติ ตามที่ได้อ้างถึงความสำคัญและความจำเป็นเร่งด่วนในการมีคำสั่งแต่งตั้งนายถวิล ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ ตามที่ได้อ้างไว้ต่อศาลปกครองกลาง และศาลปกครองสูงสุด และยังเห็นว่า แม้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล และในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของข้าราชการประจำ จะมีอำนาจดุลพินิจในการสับเปลี่ยนการทำหน้าที่ของข้าราชการ เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปตามแนวนโยบายรัฐบาล แต่การใช้อำนาจดุลพินิจดังกล่าว นอกจากต้องอยู่ภายในขอบเขตของกฎหมายแล้ว ยังต้องมีเหตุผลรองรับที่มีอยู่จริงและอธิบายได้ แต่กรณีนี้ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายถวิล ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีประสิทธิภาพ หรือมีข้อบกพร่อง หรือไม่สนองนโยบายของรัฐบาล จนเป็นผลให้ต้องโอนย้ายได้ตามความเหมาะสม เท่ากับว่าฝ่ายบริหารได้ใช้อำนาจดุลพินิจในการโอนย้ายนายถวิลโดยไม่มีเหตุผลรองรับ จึงถือได้ว่าเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ เป็นเหตุให้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นการโอนย้ายนายถวิล จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย       ก่อนหน้านี้ศาลปกครองได้พิพากษาเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2555 เพิกถอนคำสั่งสำนักนายกฯ ดังกล่าว พร้อมให้คืนตำแหน่งเลขาธิการ สมช. แก่นายถวิล แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองกลางต่อศาลปกครองสูงสุด       คดีนี้ นายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกฯ กรณีออกคำสั่งสำนักนายกฯ เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2554 ให้นายถวิล ไปปฏิบัติราชการสำนักนายกฯ และออกประกาศสำนักนายกฯ ลงวันที่ 30 กันยายน 2554 ให้นายถวิล พ้นจากตำแหน่งเลขาธิการ สมช. ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ สำนักเลขาธิการนายกฯ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่เป็นธรรม โดยนายถวิล ได้ต่อสู้มานานถึง 2 ปี 6 เดือนกว่าศาลปกครองสูงสุดจะมีคำพิพากษาดังกล่าว และนายถวิล จะครบอายุเกษียณราชการในวันที่ 30 กันยายน 2557 นี้       เมื่อวันที่ 25 มีนาคม คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้คืนตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติให้แก่นายถวิล เปลี่ยนศรี พร้อมกันนั้นก็ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนนายถวิล ในกรณีที่ขึ้นปราศรัยบนเวที กปปส. ด้วย       สำหรับ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการ สมช. นั้น ครม. มีคำสั่งให้ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และมอบให้ดูแลปัญหาภาคใต้และความมั่นคง ศาล รธน. วินิจฉัยเลือกตั้ง 2 ก.พ. โมฆะ       21 มีนาคม 2557 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 โมฆะด้วยมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 เสียง และให้ฝ่ายรัฐบาลและคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หารือกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ ทั้งนี้ เนื่องจากการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 มิได้จัดขึ้นทุกเขตในวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร เนื่องจากยังมีอีก 28 เขตเลือกตั้งที่ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ เป็นผลให้ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญมาตรา 108 วรรค 2       เรื่องนี้เป็นไปตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอเรื่องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 245(1) ว่าการจัดการเลือกตั้ง ส.ส. เป็นการทั่วไปเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ตามพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2556 เป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่       ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปัญหาที่ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งใน 28 เขต 8 จังหวัด ใน 3 ประเด็น คือ       1. กกต. จะสามารถประกาศรับสมัครเลือกตั้งใหม่ใน 28 เขตที่ไม่มีผู้สมัครและไม่มีการจัดการเลือกตั้งได้หรือไม่       2. หาก กกต. ไม่มีอำนาจ เป็นอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบโดยเฉพาะของนายกฯ ใช่หรือไม่ และ       3. จะต้องมีการตรา พ.ร.ฎ. เพื่อรับสมัครเลือกตั้งใหม่ใน 28 เขต จะกำหนดให้มีการลงคะแนนเลือกตั้งใหม่เฉพาะ 28 เขต หรือจะต้องมีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นใหม่ในทุกเขตเลือกตั้ง เป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร กกต. ไฟเขียวงบกลางอีก 2 หมื่นล้าน จ่ายชาวนา       เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2557 ที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้มีมติอนุมัติให้ คณะรัฐมนตรีใช้งบกลาง 20,000 ล้านบาท เพื่อไปจ่ายชาวนาในโครงการรับจำนำข้าวได้ ภายใต้เงื่อนไขที่เป็นเงินยืมทดรองราชการ พร้อมขอคำยืนยันว่าการใช้เงินครั้งนี้จะไม่กระทบกับงบกลางที่เหลืออยู่ 67,000 ล้านบาท ทั้งนี้เพราะรัฐบาลชี้แจงว่าจะสามารถขายข้าวได้เป็นเวลา 3 เดือน มูลค่า 24,000 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าเงินที่ขออนุมัติไป และจะนำมาจ่ายคืนงบกลางภายในเดือนพฤษภาคมนี้ อีกทั้งยังเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลยังคงรักษาการอยู่ จึงไม่ผูกพันรัฐบาลชุดต่อไป และไม่เข้าข่ายเป็นการได้เปรียบเสียเปรียบในการหาเสียงเลือกตั้ง       นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต. ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวว่า เงิน 20,000 ล้านบาทดังกล่าว จะเป็นการชำระหนี้ให้แก่ชาวนาที่ได้รับใบประทวนภายในเดือน พฤศจิกายน 2556 ซึ่งเกิดขึ้นก่อนที่รัฐบาลจะประกาศยุบสภา ในส่วนที่ยังมีหนี้ที่รัฐบาลค้างชำระชาวนาที่มีใบประทวนของเดือน ธันวาคม 2556 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2557 อยู่อีก 90,000 ล้านบาท เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องไปหาเงินจากแหล่งอื่น ไม่สามารถจะมาขอยืมงบกลางได้อีก       17 มีนาคม 2557 นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ลงนามขอใช้เงินงบกลางรายการสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 2 หมื่นล้านบาท มาจ่ายเป็นค่าข้าวให้ชาวนาในโครงการรับจำนำข้าวแล้ว และกระทรวงการคลังจะโอนเงินตามกระบวนการไปให้กระทรวงพาณิชย์ จากนั้นกระทรวงพาณิชย์จะโอนเงินไปให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อโอนไปยังสาขาของธนาคารทั่วประเทศ และจัดสรรเข้าบัญชีชาวนา       นายยรรยง พวงราช รักษาการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า รัฐบาลจะมีเงินเฉลี่ยเดือนละ 10,000 ล้านบาท จ่ายค่าข้าวให้ชาวนาตามลำดับใบประทวนตั้งแต่เดือน ธันวาคม 2556 และหลังเดือนเมษายน เป็นต้นไป แนวโน้มการระบายข้าวจะมีมากขึ้น จึงสามารถคืนเงินได้มากกว่าเดือนละ 10,000 ล้านบาทแน่นอน โดยมาจากทั้งการเปิดประมูลขายและการขายทั่วไป ชาวนาฟ้องยิ่งลักษณ์ ทวงเงินจำนำข้าว       เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2557 ชาวนาจำนวนหนึ่งจาก จ.กาญจนบุรี นำโดยนายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อัยการ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เพื่อให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันชำระเงินตามสัญญาในโครงการรับจำนำข้าวเปลือก รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 2,700 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี       นายปรเมศวร์ กล่าวว่า ยังมีชาวนาอีก 500-600 รายขอให้ช่วยยื่นฟ้องคดี เหตุที่ฟ้องต่อศาลปกครอง แทนที่จะฟ้องต่อศาลแพ่ง เนื่องจากเห็นว่าเข้าลักษณะสัญญาทางปกครอง       เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2557 ยังมีชาวนาอีกกลุ่มที่ได้ร่วมกับหลวงปู่พุทธะอิสระ เข้าแจ้งความที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้ดำเนินคดี น.ส.ยิ่งลักษณ์ และผู้เกี่ยวข้องรวม 9 คน ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชนกรณีไม่จ่ายค่าจำนำข้าวให้ชาวนา และในวันที่ 7 มีนาคม ก็ได้เข้าแจ้งความต่อตำรวจกองปราบปรามในข้อหาเดียวกัน ศาล รธน. วินัจฉัย กม.กู้เงิน 2 ล้านล้านขัด รธน.       วันที่ 12 มีนาคม 2557 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หมวด 8 ว่าด้วยการเงิน การคลัง และงบประมาณ ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ และมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ       เรื่องนี้เป็นไปตามที่ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ส่งความเห็นของสมาชิกรวม 2 คำร้อง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่าร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 169 วรรค 1 และมาตรา 170 หรือตราขึ้นไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหรือไม่       ในการไต่สวนศาลรัฐธรรมนูญได้ข้อสรุปว่า เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2556 นายนริศร ทองธิราช ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย ได้ใช้บัตรแสดงตนและออกเสียงลงคะแนนในระบบอิเล็กทรอนิกส์แทน ส.ส. คนอื่นในการประชุมสภาฯ ซึ่งเป็นการขัดต่อมาตรา 122 และมาตรา 126 วรรคสาม ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 2 เสียง เห็นว่าร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ จากการพิจารณาทั้งจากข้อกฎหมายและความเห็นของพยานบุคคล ซึ่งเป็นผู้มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญทางการเงิน การคลัง และงบประมาณ ศาลเห็นว่า การกู้ตามร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เป็นเงินแผ่นดินตามความหมายของรัฐธรรมนูญ จึงต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติและต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลังตามกฎหมาย และต้องเป็นไปตามกรอบวินัยการเงินการคลังตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสอง เพื่อรักษาเสถียรภาพ การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และความเป็นธรรมในสังคม       ดังนั้น การที่ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท บัญญัติให้กู้เงินและนำไปใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์โดยไม่ต้องนำส่งคลังตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง และบัญญัติให้คณะรัฐมนตรีรายงานการกู้เงิน ผลการดำเนินการและการประเมินผลการดำเนินการตามแผนงานในแต่ละยุทธศาสตร์ต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเพื่อทราบเท่านั้น จึงทำให้การควบคุมตรวจสอบการใช้จ่ายเงินดังกล่าวไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องว่าด้วยกรอบวินัยการเงินการคลังที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ หมวด 8 แจกใบเหลืองสุขุมพันธุ์       เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2557 คณะกรรมการการเลือกตั้งลงมติ 3 ต่อ 2 ให้จัดการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครขึ้นใหม่ และแจกใบเหลืองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร จากสาเหตุพบว่าทีมงานมีการปราศรัยให้ร้ายผู้สมัครจากพรรคตรงข้ามใน 3 เวที 3 สถานที่ และให้ส่งเรื่องให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจะสั่งให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ใหม่หรือไม่       อย่างไรก็ดี กกต. จะไม่ดำเนินคดีอาญา และไม่เรียกค่าชดใช้ในการต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ เนื่องจากไม่ได้เป็นการแจกใบแดง อีกทั้งจากข้อเท็จจริงยังไม่มีความเชื่อมโยงไปถึง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์       28 มีนาคม ศาลอุทธรณ์ภาค 1 รับคำฟ้องตามข้อกล่าวหาว่าทำผิดมาตรา 57 พ.ร.บ.เลือกตั้งท้องถิ่น ทำให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ยุติการทำหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม เป็นต้นไป ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน       เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2557 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบยกเลิกการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่กรุงเทพฯ และพื้นที่บางส่วนของปริมณฑล โดยให้กลับไปใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรที่เคยประกาศใช้มาก่อนหน้านี้แทน ป.ป.ช. ชี้มูลผิดประธานวุฒิสภาขัด รธน.       20 มีนาคม 2557 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติเอกฉันท์ชี้มูลความผิดนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา ในฐานะรองประธานรัฐสภา ว่าทำหน้าที่ขัดรัฐธรรมนูญ และเป็นมูลเหตุให้ถูกถอดถอน ในกรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มา ส.ว. มิชอบด้วยกฎหมาย       จากการไต่สวน ป.ป.ช. พบว่า นายนิคม สั่งให้ปิดการอภิปรายเพื่อลงมติการแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องที่มาของสมาชิกวุฒิสภาทั้งที่มีผู้แปรญัตติ ผู้สงวนคำแปรญัตติ และผู้สงวนความเห็น ที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิอภิปรายจำนวนมาก โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านของสมาชิก ซึ่งเป็นการตัดสิทธิ์ผู้ขอแปรญัตติ ผู้สงวนคำแปรญัตติ และผู้สงวนความเห็น โดยได้ใช้เสียงข้างมากในที่ประชุมปิดการอภิปราย การกระทำดังกล่าวจึงมีมูลความผิดว่านายนิคม จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรค 2 และมาตรา 291 อันเป็นมูลเหตุให้ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 270 และมาตรา 274 ประกอบ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ปี 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) ปี 2554 มาตรา 56 มาตรา 58 มาตรา 61 และมาตรา 62       การชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช. มีผลให้นายนิคม ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งประธานวุฒิสภาในทันที       ต่อจากนี้ ป.ป.ช. จะส่งรายงานและเอกสารที่มีอยู่พร้อมทั้งความเห็นไปยังประธานวุฒิสภาเพื่อดำเนินการตามมาตรา 273 และมาตรา 274 ถอดถอนต่อไป ส่วนนายสมศักดิ์ จะมีการพิจารณาในวันหลัง ผลเลือกตั้ง ส.ว. กทม. อย่างไม่เป็นทางการ       แม้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะยังไม่ประกาศผลการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2557 อย่างเป็นทางการ แต่หลังจากปิดหีบเลือกตั้งประมาณ 24 ชั่วโมงก็ทราบรายชื่อผู้ที่ได้คะแนนนำในแต่ละจังหวัดแล้ว โดยใน กทม. คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้สมัครหลายเลข 8 ได้รับคะแนนเสียงเป็นลำดับแรกถึง 552,530 เสียง อันดับสอง พล.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ได้คะแนน 267,947 และอันดับสาม นายโฆษิต สุวินิจ ได้ 78,747 คะแนน       กกต. แถลงว่า การเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศ 48,787,153 คน มาลงคะแนน. 20,873,423 คน เท่ากับร้อยละ 42.78 ของผู้มีสิทธิ เป็นบัตรเสีย 1,086,184 ใบ คิดเป็นร้อยละ 5.20 และบัตรที่ไม่ประสงค์ลงคะแนนอีก 2,496,341 ใบ คิดเป็นร้อยละ 11.96       จังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิมากที่สุด คือ จังหวัดลำพูน คิดเป็นร้อยละ 68.39 ส่วนจังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิน้อยที่สุด คือ จังหวัดชลบุรี คิดเป็นร้อยละ 24.99       กกต.จะเร่งรับรองประกาศผลใน 7 วัน หากไม่มีเรื่องร้องคัดค้าน และจะทยอยประกาศผลให้ครบ 77 จังหวัดภายใน 30 วัน       รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 กำหนดให้วุฒิสภามีสมาชิกทั้งสิ้น 150 คน 77 คนมาจากการเลือกตั้งจังหวัดละ 1 คน และอีก 73 คนได้มาจากการสรรหา ในการเลือกตั้งครั้งนี้ มีผู้สมัครทั้งสิ้น 468 คนลงสมัครครบทั้ง 77 เขตทั่วประเทศ ผู้ที่ได้รับเลือกจะทำหน้าที่วุฒิสมาชิกเป็นเวลา 6 ปีเต็ม จะครบกำหนดในปี 2563 ยิ่งลักษณ์เข้าชี้แจงกรณีจำนำข้าว       วันที่ 31 มีนาคม 2557 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีและคณะ ประกอบด้วยนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา นายวราเทพ รัตนากร นายชัยเกษม นิติศิริ นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และทีมทนายความ ได้เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในกรณีถูกกล่าวหาว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำข้าว โดยใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 20 นาที       นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความผู้รับมอบอำนาจจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่า รักษาการนายกฯ ได้ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาใน 2 ลักษณะ คือ       1. ส่งคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาเป็นลายลักษณ์อักษรจำนวน 150 แผ่น พร้อมเอกสารประกอบจำนวน 278 แผ่น และ 3 เล่ม       2. ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาด้วยวาจา โดยยืนยันว่าไม่ได้ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวแต่อย่างใด พร้อมขอให้สอบพยานเพิ่มเติมจำนวนอีก 11 ปาก       โครงการรับจำนำข้าวเริ่มต้นในฤดูการผลิตข้าว 2554/2555 ในวันที่ 15 ตุลาคม 2555 พรรคการเมืองใหม่ได้ยื่นคำร้องขอให้ ป.ป.ช. ไต่สวนเป็นรายแรก และต่อจากนั้นมีผู้ยื่นคำร้องอีก 2 ราย คือ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น ยื่นขอให้ตรวจสอบการทุจริตเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2555 และ นพ. วรงค์ เดชวิกรม ยื่นให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบการทุจริตในกรณีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (บริษัทสยามอินดิก้า) เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2555       ต่อมาเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2556 นพ.วิกรม ได้ยื่นอีกคำร้องต่อ ป.ป.ช. ขอให้ตรวจสอบการระบายข้าวค้างเก่ารับจำนำปี 2554/55       9 กรกฎาคม 2556 ป.ป.ช. แถลงความคืบหน้าในการไต่สวนใน 2 ประเด็นสำคัญ คือ 1. การดำเนินโครงการ และ 2. การระบายข้าว       3 ธันวาคม 2556 ป.ป.ช. แถลงว่า พบว่ามีมูลทุจริตในการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ และมีมติให้ขยายการไต่สวนไปยังอีก 5 กลุ่มบุคคล       16 มกราคม 2557 ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์ แจ้งข้อกล่าวหานายบุญทรง เตริยาภิรมย์ และพวก 15 ราย ทุจริตการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ และให้ไต่สวน น.ส. ยิ่งลักษณ์ ในความผิดละเว้นต่อหน้าที่       28 มกราคม 2557 ป.ป.ช. ตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ไต่สวน น.ส.ยิ่งลักษณ์ในคดีโครงการรับจำนำข้าว และมีมติเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ เรียก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไปรับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2557 ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้มอบให้ทีมทนายความมารับทราบแทน       4 มีนาคม 2557 ทีมทนายความของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. ขอคัดสำเนาเอกสารพยานหลักฐานต่างๆ รับทราบข้อกล่าวหาแทนและขอเลื่อนวันชี้แจงออกไปจากกำหนดเดิม       4 มีนาคม วันเดียวกัน มีผู้ปาระเบิดใส่สำนักงาน ป.ป.ช.สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ       อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย นายไพโรจน์ อิสระเสรีพงษ์ ได้นำรายชื่อประชาชน 2 หมื่นชื่อ ยื่นต่อรักษาการประธานวุฒิสภา ขอให้ถอดถอนนายวิชา มหาคุณ ออกจากตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. โดยอ้างว่านายวิชา วางตัวไม่เป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่กรณีพิจารณาโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์