มกราคม 2557 : กปปส. ชุมนุมไล่รัฐบาล-ปิด กทม. ในหลวงพระราชทานพรปีใหม่ กปปส. ชุมนุมขับไล่รัฐบาล-ปิด กทม. ปชป. ชี้ขายข้าวจีทูจีเก๊ ชาวนาปิดถนนทวงเงินจำนำข้าว ป.ป.ช. ชี้มูลผิด 381 ส.ว.-ส.ส. แก้รัฐธรรมนูญที่มา ส.ว. ศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน แก้ รธน. ม. 190 ขัดรัฐธรรมนูญ ศาลปกครองไม่รับพิจารณาคำฟ้องโครงการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเลือกตั้งเลื่อนได้ คอร์รัปชั่นปี 56 แตะ 14% งบแผ่นดิน เศรษฐกิจฟุบยาว-ตกงานเพิ่ม ไอคิว-อีคิว เด็กไทยวิกฤติ 10 ปีไฟใต้ยังลุกโชน ในหลวงพระราชทานพรปีใหม่       วันที่ 31 ธันวาคม 2556 เวลา 20.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพรปีใหม่แก่ประชาชนชาวไทย ในโอกาสขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2557 เผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ความว่า       ประชาชนชาวไทยทั้งหลาย บัดนี้ถึงวาระจะขึ้นปีใหม่ ข้าพเจ้าขอส่งความปรารถนาดีมาอวยพรแก่ท่านทุกๆ คน ให้มีความสุข ความเจริญ และความสำเร็จ สมประสงค์ในสิ่งที่ปรารถนา ความปรารถนาของทุกๆ คนคงไม่แตกต่างกันมากนัก คือ ต้องการให้ตนเองมีความสุข ความเจริญ และให้บ้านเมืองมีความสงบสุข ร่มเย็น       ในปีใหม่นี้ ขอให้ท่านทั้งหลายรักษาสุขภาพกาย สุขภาพจิต ให้สมบูรณ์ แข็งแรง เพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้เต็มกำลัง ข้อสำคัญ จะคิด จะทำสิ่งใด ให้นึกถึงส่วนรวม และความเป็นไทยไว้เสมอ งานของตน และงานของชาติ จะได้ดำเนินก้าวหน้าไปในทางถูกต้อง เที่ยงตรง ไม่ติดขัด และบรรลุถึงประโยชน์ เป็นความสุข ความเจริญ และความสงบร่มเย็น ดังที่ทุกคนตั้งใจปรารถนา       ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครอง รักษาท่านทุกคนให้ปราศจากทุกข์ ปราศจากภัย ให้มีความสุขกาย สุขใจ ตลอกศกหน้านี้ โดยทั่วกัน กปปส. ปิด กทม. ขับไล่รัฐบาล       คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นเลขาธิการ ยังคงชุมนุมเรียกร้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลาออกจากรักษาการนายกฯ เพื่อเปิดทางให้มีการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ขับไล่รัฐบาลอย่างต่อเนื่อง และตั้งแต่เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2557 ก็ได้ยกระดับสู่การปิดใจกลางเมืองกรุงเทพมหานครในพื้นที่ 7 จุดด้วยกัน คือ ปทุมวัน ราชประสงค์ อโศก สวนลุมพินี อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แยกลาดพร้าว และศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ในเวลากลางวันนายสุเทพ ได้นำมวลชนเดินไปตามท้องถนนเพื่อเรียกร้องให้มวลชนคนกรุงเทพฯ ออกมาร่วม ในแต่ละวันได้รับการต้อนรับ มีผู้ออกมาให้กำลังใจและมอบเงินสนับสนุนการชุมนุมเป็นจำนวนมาก รวมทั้งมีผู้นำเงินมาบริจาคบนเวทีทุกคืน เพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการจัดชุมนุมวันละหลายล้านบาท       ในตอนกลางคืน กลุ่มผู้ชุมนุม แกนนำและผู้เกี่ยวข้องถูกคุกคามโจมตี ในคืนวันที่ 12 มกราคม คนร้ายได้ลอบยิงที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ คืนวันที่ 13 ล่วงเข้าวันที่ 14 มกราคม คนร้ายปาระเบิดแสวงเครื่องใส่บ้านพัก น.ส.รังสิมา รอดรัศมี อดีต ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ ที่ จ.สมุทรสงคราม และคืนเดียวกัน คนร้ายยังได้ขว้างประทัดยักษ์และยิงปืนเข้าใส่หน้ามัสยิดที่ จ.ราชบุรี ซึ่งเป็นที่ทำการของ กปปส. บ้านโป่ง คืนวันที่ 15 มกราคม คนร้ายได้ขว้างระเบิดเอ็ม 26 เข้าใส่บ้านพักนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คืนเดียวกัน คนร้ายได้ลอบยิงการ์ดและผู้ชุมนุมบริเวณสะพานหัวช้าง ใกล้เวทีชุมนุมปทุมวัน ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บ 2 ราย และคนร้ายยังได้ลอบเผารถบัสของผู้ชุมนุมกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ที่บริเวณประตูสนามม้านางเลิ้ง       คืนวันที่ 16 มกราคม คนร้ายได้ใช้ปืนกราดยิงแนวด่านทางเข้าพื้นที่ชุมนุมของกลุ่ม คปท. แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ คืนเดียวกัน คนร้ายได้ปาระเบิดใส่บ้านพักนายอิสสระ สมชัย แกนนำ กปปส. ที่ย่านหลักสี่ และมีคนร้ายปาระเบิดลูกเกลี้ยงเอ็ม 26 เข้าใส่วังสวนผักกาด ซึ่งเป็นบ้านพักของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. และมีคนร้ายใช้อาวุธปืนกราดยิงประตูวัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ) จ.นครปฐม ของหลวงปู่พุทธะอิสระซึ่งกำลังเคลื่อนไหวร่วมกับ กปปส.       วันที่ 17 มกราคม ระหว่างที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. นำผู้ชุมนุมเดินรณรงค์เพื่อชวนให้คนกรุงเทพฯ ออกมาร่วมชุมนุมบริเวณ ถ.บรรทัดทอง มีคนร้ายขว้างระเบิดลงมาจากตึกร้างบริเวณดังกล่าวเข้าใส่ขบวนของผู้ชุมนุม ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บ 38 ราย เสียชีวิต 1 ราย คือ นายประคอง ชูจันทร์ อายุ 46 ปี เป็นชาว จ.นครศรีธรรมราช หลังโดนสะเก็ดระเบิดเข้าที่บริเวณหน้าอก       หลังเกิดเหตุ การ์ดและทหารเข้าไปค้นในตึกร้างที่มีผู้ชุมนุมเห็นคนที่ขว้างระเบิดลงมา ไม่พบคนร้าย แต่พบอาวุธจำนวนหนึ่งรวมทั้งปืนเอ็ม 16 วิทยุสื่อสาร กระบอกขาตั้งปืนเอ็ม 16 และพบปุ๋ยยูเรียทิ้งไว้ในตึกร้างที่ติดกับตึกที่พบอาวุธประมาณ 1 กิโลกรัม       19 ม.ค. มีผู้ขว้างระเบิดที่ชุมนุมอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มีผู้บาดเจ็บหลายคนรวมทั้งผู้ที่วิ่งตามจับคนขว้างระเบิดและถูกยิงที่ท้องด้วย       หลังเกิดเหตุร้ายกับกลุ่มผู้ชุมนุมทั้ง กปปส. และ คปท. หลายครั้ง ในวันที่ 21 มกราคมรัฐบาลรักษาการจึงประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นเวลา 60 วัน เพื่อควบคุมดูแลสถานการณ์การชุมนุมในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ตามพื้นที่เดิมที่เคยประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง โดยตั้งศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) ขึ้นมาแทนศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) และให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นผู้อำนวยการ ศรส. ขณะที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นรองผู้อำนวยการ ศรส.       พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มีความแตกต่างจาก พ.ร.บ.มั่นคงฯ คือ ไม่อนุญาตการชุมนุม เจ้าหน้าที่สามารถปิดล้อม ตรวจค้น จับกุมผู้ชุมนุมได้ ประชาชนจะฟ้องเอาผิดเจ้าหน้าที่ไม่ได้ และถือเป็นอำนาจฝ่ายบริหาร ผู้ใช้ไม่ต้องรายงานรัฐสภา       ในวันที่ 26 มกราคม ซึ่งเป็นวันเลือกตั้งล่วงหน้า กปปส. กลุ่มย่อยๆ ได้ไปรณรงค์คัดค้านตามหน่วยเลือกตั้ง ทำให้หนึ่งในแกนนำ กปปส. นายสุทิน ธราทิน ถูกยิงที่หน้าวัดศรีเอี่ยมเสียชีวิต และมีผู้บาดเจ็บอีกหลายราย ต่อมาในวันที่ 27 มกราคม กลุ่ม กปปส. ที่ไปหน้าสโมสรกองทัพบกซึ่งกำลังมีการประชุมระหว่างรักษาการนายกรัฐมนตรี และประธาน กกต. มีผู้ยิงปืนใส่กลุ่มผู้ชุมนุมบาดเจ็บ 1 ราย ผู้ชุมนุมช่วยกันจับตัวผู้ยิงที่ใส่เสื้อวินมอเตอร์ไซด์ได้ 1 คน อีก 1 คนหนีได้ หลังนำส่งโรงพยาบาลพบว่าเป็นดาบตำรวจ ภายหลังตำรวจแถลงว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปสืบข่าว       โดยเหตุที่มีเหตุการณ์รุนแรงกับกลุ่ม กปปส. ตั้งแต่เริ่มชุมนุมมาเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 ถึง 31 มกราคม 2557 เกิดเหตุร้ายกับ กปปส. ทั้งหมด 32 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ 594 ราย เสียชีวิต 10 ราย นายสุเทพ จึงประกาศว่า กปปส. จะไม่ไปขัดขวางการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 แต่จะชุมนุมใหญ่บนถนนแทน       ความขัดแย้งที่เพิ่มความรุนแรงขึ้นทุกทีอย่างไม่มีทางออก ทำให้ในวันที่ 28 มกราคม เครือข่ายผู้รับใช้การปฏิรูปประเทศโดยสันติของประชาชนไทย นำโดยนายธีรยุทธ บุญมี ผู้อำนวยการสถาบันสัญญา ธรรมศักดิ์ ม.ธรรมศาสตร์ และผู้สนับสนุนจำนวน 217 คน ประกอบด้วยผู้มีชื่อเสียงทางสังคม ทั้งจากภาคธุรกิจ วิชาการ ประชาสังคม ได้จัดแถลงการณ์ “Restart ประเทศไทย” เรียกร้องให้มีการปฏิรูป 5 ด้าน คือ ปฏิรูปปรับปรุงโครงสร้างระบบกฎหมายที่จำเป็น เพื่อขจัดการคอร์รัปชั่น ปฏิรูปโครงสร้างการเมืองการปกครอง และระบบบริหารราชการแผ่นดินเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ปฏิรูปโครงสร้างและกระบวนการยุติธรรม ปฏิรูปโครงสร้างเพื่อป้องกันการผูกขาด สร้างธรรมาภิบาลเศรษฐกิจ ปฏิรูปสังคมเพื่อเสริมสร้างพลเมืองที่เข้มแข็ง       ต่อมาในวันที่ 30 มกราคม 60 องค์กรวิชาชีพ ได้ร่วมกันเปิดตัว “เครือข่ายเดินหน้าปฏิรูป” หรือ “Reform Now Network” ผลักดันการขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศไทย เรียกร้องให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าคุยกันเพื่อหาทางออกขจัดความขัดแย้งและเดินหน้าปฏิรูปประเทศ ป.ป.ช. ชี้ทุจริตจำนำข้าว จีทูจีเก๊       เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2557 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติเป็นเอกฉันท์แจ้งข้อกล่าวหานายบุญทรง เตริยาภิรมย์ และนายภูมิ สาระผล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ผู้รวมทั้งผู้รับมอบอำนาจของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่เข้ามาเจรจาด้วย รวม 15 ราย ในคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว และการระบายข้าว เนื่องจากมีพยานหลักฐานแล้วรับฟังได้ว่า การเข้าทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี กับสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้น ยังไม่มีข้อเท็จจริงใดๆ สนับสนุนว่าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจทั้ง 2 แห่งที่เข้ามาทำสัญญาซื้อขายแบบจีทูจีได้รับมอบหมายจากสาธารณรัฐประชาชนจีน และไม่มีการส่งออกข้าวนอกราชอาณาจักรจริง       นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 28 มกราคม คณะกรรมการ ป.ป.ช.ยังมีมติเอกฉันท์ตามที่คณะอนุกรรมการเสนอให้ไต่สวนข้อเท็จจริง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงมีเหตุอันควรสงสัยว่า การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ซึ่งมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ได้ทราบถึงการท้วงติงและความเสียหายจากการดำเนินโครงการดังกล่าวจาก ป.ป.ช. แล้วถึงสองครั้ง แต่กลับละเลยไม่ดำเนินการระงับหรือยับยั้ง อันอาจเป็นมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง       นอกจากนี้ ป.ป.ช. ยังมีมติให้ไต่สวนเพิ่มเติมในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบริษัทสยามอินดิก้าฯ ที่อ้างว่ามีการขายแบบจีทูจี และให้รวมเรื่องที่ประธานวุฒิสภาได้ส่งคำร้องขอให้ถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในการดำเนินนโยบายโครงการรับจำนำข้าว ไว้เพื่อไต่สวนในคราวเดียวกันด้วย       จากการที่ ป.ป.ช. ดำเนินการดังกล่าวข้างต้น พรรคเพื่อไทยจึงพยายามรวบรวมรายชื่อประชาชน 2 หมื่นชื่อเพื่อยื่นถอดถอนนายวิชา มหาคุณ ออกจากการเป็นองค์คณะในการไต่สวน ด้วยเหตุผลว่า นายวิชา ไม่เป็นกลาง ชาวนาปิดถนนทวงเงินจำนำข้าว       จากการที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ยังคงค้างจ่ายเงินในโครงการรับจำนำข้าวอยู่อีก 1.3 แสนล้านบาท เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2557 ชาวนาทั่วทุกภาคที่ยังไม่ได้รับเงินจากการจำนำข้าว นำโดยนายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาไทย เดินทางมายังสภาทนายความใน กทม. เพื่อหารือแนวทางยื่นฟ้องทางแพ่งและอาญา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) กรณีผิดนัดชำระเงินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปี 2555/2556 และ 2556/2557 นายประสิทธิ์ กล่าวว่า ชาวนาที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าว 3.2 ล้านครัวเรือน จากทั้งหมด 4 ล้านครัวเรือนยังไม่ได้รับเงินจาก ธ.ก.ส. เป็นเวลานาน 4-5 เดือนแล้ว ขณะนี้ทุกคนเดือดร้อนไม่มีเงินจ่ายหนี้ ธ.ก.ส. ต้องเสียดอกเบี้ยทุกเดือน และไม่มีเงินจ่ายหนี้ค่าปุ๋ย สารเคมี และค่าเช่านาจนต้องนำใบประทวนไปจำนำกับนายทุนเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ก่อน และบางส่วนต้องกู้เงินนอกระบบ       รัฐบาลพยายามหาเงินจำนวนนี้มาจ่ายหนี้ชาวนา แต่จากการยุบสภาทำให้รัฐบาลรักษาการมีอำนาจจำกัดตามที่กฎหมายบัญญัติ แม้รัฐบาลอ้างว่าคณะกรรมการกฤษฎีกายืนยันแล้วว่ารัฐบาลสามารถกู้ได้ แต่จากเอกสารที่มีผู้นำมาเปิดเผยภายหลัง พบว่าเป็นเพียงความเห็นของนายชูเกียรติ รัตนชัยชาญ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ไม่ใช่ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา       รัฐบาลได้สอบถามไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าจะสามารถจะกู้เงินจำนวนดังกล่าวได้หรือไม่ ซึ่ง กกต. ได้ตอบว่า เรื่องนี้ไม่อยู่ในอำนาจ กกต. เพราะเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องพิจารณาดำเนินการเอง แต่เตือนว่า หากรัฐบาลเดินหน้ากู้ แล้วภายหลังมีองค์กรที่มีอำนาจวินิจฉัยว่าการดำเนินการดังกล่าวไม่ถูกต้อง รัฐบาลต้องรับผิดชอบทั้งทางกฎหมายและการเมือง       รัฐบาลหาทางออกโดยการ ทำหนังสือเชิญชวนให้สถาบันการเงินเข้าร่วมปล่อยกู้ให้ ธ.ก.ส. เพื่อใช้ในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลวงเงิน 1.3 แสนล้าน โดยกระทรวงการคลังจะเป็นผู้ค้ำประกัน โดยให้เสนอวงเงินกู้ก้อนแรกจำนวน 20,000 ล้านบาทในวันที่ 30 มกราคม แต่ปรากฏว่าธนาคารพาณิชย์หลายราย เช่น ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารทหารไทย ธนาคารกรุงไทย ฯลฯ ยื่นข้อเสนอเงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าอัตราตลาดมาก เนื่องจากเห็นว่าโครงการรับจำนำข้าวมีความเสี่ยงด้านความเชื่อมั่นสูง       กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลังต้องการให้ ธ.ก.ส. นำเงินสภาพคล่องของธนาคารจ่ายไปก่อน แต่ ธ.ก.ส. เกรงว่าอาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงของธนาคาร จึงมีข่าวว่ารัฐบาลอาจจะนำเงินฝากธนาคารออมสินมาใช้ ผู้บริหารธนาคารออมสินจึงชี้แจงว่าไม่สามารถจะทำได้เพราะผิดวัตถุประสงค์ ซึ่งนำไปสู่ข่าวลือว่าอาจมีการขอกู้จากกองทุนประกันสังคม 100,000 ล้านบาท       นายจีรศักดิ์ สุคนธชาติ ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานบอร์ดสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่สามารถทำได้ เพราะเป็นเรื่องที่ขัดต่อระเบียบการลงทุนของกองทุนประกันสังคม ซึ่งกำหนดให้ลงทุนในหุ้นและทรัพย์สินที่ไม่มีความเสี่ยง ทรัพย์สินที่มีความมั่นคงและหุ้น พันธบัตร และการจะอนุมัติเงินลงทุนจำนวนถึง 1 แสนล้านบาท จะต้องผ่านความเห็นชอบจากบอร์ด สปส.ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนฝ่ายรัฐบาล นายจ้างและลูกจ้างฝ่ายละ 5 คน       มีข้อสันนิษฐานถึงสาเหตุที่โครงการรับจำนำข้าวขาดทุนจนไม่มีเงินจ่ายให้ชาวนาว่า เกิดจากหลายสาเหตุ คือ มีการทุจริตอย่างมากในการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ เนื่องจากไม่มีการส่งออกไปนอกประเทศ แต่กลับขายข้าวให้แก่เอกชนในประเทศในราคาต่ำกว่าราคาตลาด มีการนำข้าวที่ซื้อไปในราคาต่ำเวียนกลับมาจำนำใหม่ มีการลักลอบนำข้าวราคาต่ำกว่าจากประเทศเพื่อนบ้านมาเข้าโครงการ และมีการทุจริตในเรื่องการระบายข้าวเพื่อทำข้าวถุง ข้าวที่รับจำนำมาในราคาสูงกว่าราคาตลาดทำให้รัฐกลายเป็นผู้ซื้อเพียงรายเดียวในประเทศ ทำลายกลไกการค้าข้าว แต่ต้นทุนที่สูงทำให้ไม่สามารถจะขายเพื่อส่งออกนอกประเทศได้ กลายเป็นข้าวเก่าค้างสต็อก ไม่มีใครต้องการ แต่กลับมีการนำมาปะปนเข้าโครงการรับจำนำใหม่อีกครั้ง ค่าบริหารโครงการที่สูงและมีการทุจริตเอื้อประโยชน์แก่พรรคพวก เมื่อบวกกับราคารับจำนำที่สูงกว่าตลาดอยู่แล้ว จึงทำให้ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเกินวงเงิน 500,000 ล้านบาทที่ตั้งไว้ เป็นเหตุให้รัฐบาลต้องหาเงินมาเพิ่มอีก 130,000 ล้านบาท แต่การยุบสภาทำให้เป็นรัฐบาลรักษาการไม่อาจจะทำได้ จึงต้องหารือไปยัง กกต. ว่า ครม. จะเห็นชอบแผนการกู้เงินใหม่นี้หรือไม่       การรับจำนำข้าวในปี 2556/2557 มีวงเงินรวม 2.7 แสนล้านบาท ได้เริ่มดำเนินการมาแล้วตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2556 และมีการออกใบประทวนให้เกษตรกรไปแล้วมีวงเงินประมาณ 1 แสนล้านบาท โดย ธ.ก.ส. ได้ทยอยจ่ายเงินบางส่วนไปแล้ว แต่ยังขาดอีก 1.3 แสนล้านบาท       ที่ผ่านมา ธ.ก.ส. ได้จ่ายเงินให้เกษตรกรที่เข้าโครงการจำนำข้าวในฤดูกาลผลิตใหม่ไปแล้ว จำนวนประมาณ 4 หมื่นล้านบาท ขณะนี้เหลือเม็ดเงินที่จะใช้ในโครงการนี้อยู่ประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาท ซึ่ง ธ.ก.ส. จะจ่ายหมดภายในวันที่ 10 มกราคมนี้ อย่างไรก็ดี ทางกระทรวงพาณิชย์มีแผนจะนำส่งเงินจากการระบายข้าวมาให้แก่ ธ.ก.ส. อีกประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ภายในเดือนมกราคมนี้       เว็บไซด์กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า การรับจำนำข้าวในฤดูการผลิต 2556/2557 (ครั้งที่ 1) ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2556 ถึง 29 มกราคม 2557 ได้ออกใบประทวนไปแล้ว 1,862,094 สัญญา เป็นปริมาณรับจำนำข้าวเปลือก 10,763,259 ตัน ล่าสุดวันที่ 14 มกราคม ธ.ก.ส. จ่ายเงินไปแล้ว 450,990 ราย เป็นเงิน 55,332.098 ล้านบาท ที่เหลือยังไม่ได้รับเงิน       ณ สิ้นเดือนมกราคม ราคาข้าวในตลาดโลกอยู่ที่ 410 เหรียญสหรัฐต่อตัน ในอดีตเคยสูงถึง 600 ต่อตัน ป.ป.ช. ชี้มูลผิด 381 ส.ส.-ส.ว. แก้ รธน. ที่มา ส.ว.       เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2557 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติให้แจ้งข้อกล่าวหาอดีต ส.ส. และ ส.ว. 308 คน ที่อยู่ในข่ายกระทำความผิดเนื่องจากร่วมกันเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มาของวุฒิสภา และร่วมลงมติในวาระที่ 1, 2 และ 3 ทั้งๆ ที่ทราบว่าร่างที่นำมาพิจารณาในวาระที่ 1-3 ไม่ตรงกับร่างที่เสนอในตอนแรก เป็นร่างปลอมแปลง จึงถือว่าจงใจกระทำผิด       ส่วนอดีต ส.ส. และ ส.ว. อีก 73 คน ซึ่งมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีรวมอยู่ด้วย ไม่ได้เป็นผู้เสนอขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพียงแต่ร่วมออกเสียงลงมติเห็นชอบในวาระที่ 3 ไม่เข้าข่ายกระทำผิด เพราะได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 130 ที่ระบุว่า การออกเสียงลงคะแนน “เป็นเอกสิทธิ์โดยเด็ดขาด” ของสมาชิกรัฐสภา ผู้ใดจะฟ้องร้องกล่าวหามิได้       ขั้นตอนต่อไป ป.ป.ช. จะนัดผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 308 คน ไปรับทราบข้อกล่าวหา จากนั้นจะนัดชี้มูลความผิด ถ้า ป.ป.ช. ว่าเป็นข้อหาที่มีมูล ทั้ง 308 คน จะต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ในทันที และอาจเป็นเหตุให้ผู้ที่กำลังอยู่ระหว่างสมัครรับเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ นี้ไม่อาจจะทำหน้าที่ได้แม้ได้รับการเลือกตั้งมาใหม่ ศาล รธน. ตัดสินแก้ รธน. ม. 190 ขัดรัฐธรรมนูญ       เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2557 ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 เป็นการกระทำที่ขัดมาตรา 3, 4, 5, 87 และ 122 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และเป็นการกระทำให้ได้มาซึ่งอำนาจฯ โดยวิถีทางที่ไม่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ขัดมาตรา 68 เป็นการเพิ่มอำนาจฝ่ายบริหาร ตัดการมีส่วนร่วมและสิทธิการรับรู้ของประชาชน       เรื่องนี้เป็นไปตามคำร้องที่นายวิรัตน์ กัลยาศิริ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา นายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา และสมาชิกรัฐสภา 381 คน ร่วมกันดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ที่จำกัดอำนาจรัฐสภาในการให้ความเห็นชอบการทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศของฝ่ายบริหาร เข้าข่ายเป็นการกระทำที่ล้มล้างการปกครองและกระทำการให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองโดยวิถีทางที่ไม่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่ และเรื่องนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติ 6 : 3 ให้รับคำร้องไว้พิจารณา       โดยศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาว่า การแก้ไขเนื้อหารัฐธรรมนูญมาตรา190 ซึ่งมีเนื้อหาสาระสำคัญเป็นการแก้ไขอำนาจของรัฐสภาในการตรวจสอบการทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศของฝ่ายบริหารและตัดการมีส่วนร่วมของประชาชนในหลายประเด็น และเป็นบทบัญญัติที่กำหนดให้คณะรัฐมนตรีต้องให้ข้อมูลและรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน และต้องชี้แจงต่อรัฐสภาเกี่ยวกับการทำหนังสือสัญญาที่มีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนอย่างสำคัญ รวมทั้งต้องเสนอกรอบการเจรจาต่อรัฐสภา เพื่อขอความเห็นชอบ       ดังนั้น การที่ผู้ถูกร้องได้ร่วมกันกระทำการแก้ไขเพิ่มเติมเนื้อหารัฐธรรมนูญ มาตรา 190 โดยมีเจตนาเพื่อเพิ่มอำนาจในการทำหนังสือสัญญากับนานาประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศให้แก่ฝ่ายบริหารมีอำนาจมากขึ้น จึงถือได้ว่าไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนรวม แต่เป็นการกระทำเพื่อความสะดวกของบุคคลเหล่านั้น จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 122 ไม่เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และการที่ร่วมกันแก้ไขรัฐธรรมนูญในเนื้อหาที่ให้สิทธิกับประชาชนในการรับฟังข้อมูล ตรวจสอบ และแสดงความคิดเห็นในการจัดทำหนังสือสัญญาของฝ่ายบริหารรวมทั้งตัดสิทธิของประชาชนที่จะเข้าถึงรายละเอียดของหนังสือสัญญาก่อนที่คณะรัฐมนตรีจะแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันประเทศเป็นการจำกัดสิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูญและทำลายความเสมอภาคในการได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนี้ จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 4, 5 และมาตรา 87 อันเป็นการกระทำให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครอง โดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้       ทั้งนี้ การแก้ไขมาตรา 190 ดังกล่าว มีข้อท้วงติงอย่างมากระหว่างการนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมรัฐสภา ทั้งในวาระรับหลักการและในวาระที่ 2 โดยเฉพาะคำอภิปรายของ ส.ส.พรรคฝ่ายค้านเวลานั้น ที่เห็นว่า การที่กรรมาธิการเสียงข้างมากแก้ไขมาตรา 190 ให้เหลือเพียงหนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือมีบทให้เปิดเสรีด้านการค้า หรือการลงทุน ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนจะไปทำข้อตกลงกับต่างประเทศ โดยไม่มีการระบุว่าหากการเปิดเสรีด้านการค้าการลงทุนดังกล่าวมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ในการคุ้มครองหรือการจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และพลังงาน จะต้องถือว่าเข้าข่ายหนังสือสัญญาตามมาตรา 190 ด้วย ศาลปกครองไม่พิจารณาคำฟ้องโครงการน้ำ 350 แสนล้าน       เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2557 ศาลปกครองสูงสุดมีความเห็นไม่รับคำร้องให้เพิกถอนการจัดทำแผนแม่บทบริหารจัดการน้ำ และยกฟ้องนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) และคณะกรรมการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (กนอช.) เนื่องจากเห็นว่าแผนแม่บทบริหารจัดการน้ำเป็นนโยบายบริหารของรัฐบาล ไม่ใช่การใช้อำนาจทางการปกครอง จึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองในการรับพิจารณา แต่มีคำสั่งให้ กบอ. ไปเร่งจัดทำประชาพิจารณ์ให้ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจาก กบอ. ละเลยต่อหน้าที่ ไม่ได้ดำเนินการรับฟังความเห็นของประชาชนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 57 วรรค 1 แต่ในส่วนของการต้องรับฟังรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม มาตรา 67 เห็นว่ายังไม่ถึงขั้นตอนที่ดำเนินการ จึงยังไม่ถือว่าละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่ จึงสั่งให้ กบอ. นำแผนบริหารจัดการทั้ง 9 โมดูลไปจัดรับฟังความคิดเห็นประชาชนตามระเบียบของสำนักนายกรัฐมนตรี       เรื่องนี้เป็นไปตามที่นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนกับพวกรวม 45 คน ยื่นฟ้องและศาลได้ให้คู่กรณีมาแถลงปิดคดีในวันที่ 9 มกราคม 2557 ก่อนที่ศาลปกครองจะอ่านคำพิพากษาต่อไป ศาล รธน. วินิจฉัยเลื่อนเลือกตั้งได้       วันที่ 24 มกราคม 2557 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ 8 เสียง ว่าสามารถเลื่อนการเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557.ออกไปได้ และมีมติ 7 ต่อ 1 ให้ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)และนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้ร่วมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกายุบสภาเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2556 ไปหารือกันเพื่อกำหนดวันที่เหมาะสมก่อนที่จะมีการออกพระราชกฤษฎีกากำหนดวันจัดการเลือกตั้งใหม่ต่อไป       ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2557 กกต. ได้ร้องขอต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 214 เรื่องเลื่อนวันเลือกตั้งเป็นอำนาจของหน่วยงานใดระหว่าง กกต. กับรักษาการนายกรัฐมนตรี เนื่องจาก กกต. และคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกา มีความเห็นขัดแย้งกัน       วันที่ 28 มกราคม นายกรัฐมนตรีและประธาน กกต. หารือกันที่สโมสรกองทัพบก รัฐบาลยืนยันไม่เลื่อนการเลือกตั้ง กกต. ต้องจัดการเลือกตั้งต่อไปแม้ว่าจะมีถึง 28 เขตเลือกตั้งที่ไม่มีผู้สมัคร และมีผู้ลาออกจากการทำหน้าที่ประธาน กกต. ประจำเขต ผอ.กต.เขตเลือกตั้ง และเจ้าหน้าที่ กกต. เขตเลือกตั้งแล้วเป็นจำนวนมาก โดยรัฐบาลวางแผนจะใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ 1.3 แสนนายทั่วประเทศดูแลการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์       การเลือกตั้งล่วงหน้าในวันที่ 26 มกราคม มีสถานที่เลือกตั้งทั้งหมดทั่วประเทศ 548 แห่ง มีการงดลงคะแนน 111 แห่ง สถานที่เลือกตั้งนอกเขต 152 แห่ง มีการงดลงคะแนน 64 แห่ง มีผู้ลงทะเบียนไปใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้า 2,163,025 ราย มีผู้ไปใช้สิทธิ 113,030 ราย       การเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้สงสัยว่าระหว่างการไม่ไปเลือกตั้งหรือ No vote กับการไปเลือกตั้งแต่กาช่องไม่ประสงค์จะเลือกผู้ใดหรือ Vote no จะมีผลอย่างไร นักกฎหมาย เช่น นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ได้ให้ความเห็นว่า ถ้าเป็นเขตเลือกตั้งที่มีผู้สมัครคนเดียว ผู้สมัครจะต้องได้รับคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของผู้มีสิทธิออกเสียงในเขตนั้น และต้องได้รับคะแนนมากกว่าผู้ไปใช้สิทธิกาไม่ต้องการเลือกผู้ใด ดังนั้นการกาไม่ต้องการเลือกผู้ใดจึงมีผลต่อการได้รับเลือกตั้ง แต่ในเขตที่มีผู้สมัครมากกว่าหนึ่งคน ผู้สมัครที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้รับเลือกตั้งแม้ว่าจะได้คะแนนน้อยกว่าผู้ไปกาไม่เลือกผู้ใด       นายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต. กล่าวถึงเรื่องที่ 28 เขตเลือกตั้งใน 8 จังหวัดไม่มีผู้สมัครว่า จะมีการหารือกับที่ปรึกษากฎหมายว่าจะสามารถออก พ.ร.ฎ. ให้มีการเลือกตั้งอีกครั้งได้หรือไม่ ซึ่งจะทำให้การเลือกตั้งทั่วไปไม่เป็นวันเดียวกันตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด และการที่กฎหมายเขียนไว้ว่าจะต้องนับคะแนน ณ หน่วยเลือกตั้งทันทีที่ปิดหีบเลือกตั้ง ดังนั้นหากจะมีการเลือกตั้งในวันถัดๆ ไป จะต้องทำอย่างไร เพราะการนับคะแนนบางส่วนไปก่อนอาจส่งผลให้ขัดกับกฎหมายเลือกตั้ง ซึ่ง กกต. ไม่มีอำนาจวินิจฉัย ถ้ามีผู้ฟ้องร้องคงต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย       พ.ร.บ.ประกอบการเลือกตั้ง มาตรา 26 ระบุว่า ผู้ไม่ไปเลือกตั้งจะเสียสิทธิ 4 ประการ คือ สิทธิยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ส.ส. ส.ว. ผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่น สิทธิร้องคัดค้านการเลือกตั้งกำนันและผู้ใหญ่บ้าน สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ส.ว. ผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่น สิทธิสมัครรับเลือกเป็นกำนันและผู้ใหญ่บ้านตามกฎหมายว่าด้วยลักษณะการปกครองท้องที่       แต่สิทธิเหล่านี้จะกลับมาอีกหลังจากที่ไปเลือกตั้งในครั้งต่อไป คอร์รัปชั่นปี 56 ใกล้ 14% งบแผ่นดิน       ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นประชาชน ข้าราชการ/ภาครัฐ และนักธุรกิจ-ภาคเอกชน ทั่วประเทศ 2,400 ตัวอย่าง เมื่อเดือนธันวาคม 2556 ว่าดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชั่นไทยรุนแรงขึ้นกว่าการสำรวจครั้งก่อนเมื่อเดือนมิถุนายน 2556 และมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันนักธุรกิจจ่ายเงินใต้โต๊ะเพื่อให้ได้งานเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 26% ถึงมากกว่า 35% ของรายรับ เมื่อประเมินจากวงเงินงบลงทุนรัฐวิสาหกิจตลอดทั้งปี 2556 ที่มีมูลค่ารวม 942,608 ล้านบาทแล้ว หากคอร์รัปชั่น 25-35% เท่ากับสูญเงินถึง 235,652 - 329,912 ล้านบาท คิดเป็น 9.82-13.75% ของงบประมาณรายจ่ายปี 2556 ที่มีมูลค่า 2.4 ล้านล้านบาท และ 1.88-2.63% ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ที่มีมูลค่า 12.54 ล้านล้านบาท       รูปแบบการทุจริตส่วนใหญ่เป็นการใช้ตำแหน่งทางการเมืองเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อพรรคพวก การให้สินบน ของกำนัล การทุจริตเชิงนโยบาย โดยนักการเมือง การเอื้อประโยชน์ต่อญาติ พรรคพวก       โครงการที่เอื้อต่อการคอร์รัปชั่น ได้แก่ โครงการรับจำนำข้าว โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานประเทศ โครงการบริหารจัดการน้ำ และโครงการต่างๆ ภายใต้องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น เศรษฐกิจหดตัวยาว-คนตกงานเพิ่ม       สำนักบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) แถลงยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2556 ว่ามีมูลค่า 5.39 ล้านล้านบาท หรือ 45.34% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เมื่อเทียบกับเดือนก่อน หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นสุทธิ 19,850.14 ล้านบาท       สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังเดือนธันวาคม 2557 ว่าเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณหดตัว ทั้งด้านการใช้จ่ายภายในประเทศและการผลิตภายในประเทศ ส่วนหนึ่งได้รับปัจจัยลบจากปัญหาทางการเมืองปัจจุบัน ผู้บริโภคและผู้ประกอบการขาดความเชื่อมั่น นักท่องเที่ยวต่างชาติน้อยลง แม้ยอดการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจะขยายตัว 3.1 % แต่ยอดจัดเก็บยังคงหดตัวลบ 1% คาดว่าเศรษฐกิจไทยตลอดทั้งปีจะขยายตัวที่ 2.8% ของจีดีพี       สถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยภาพรวมของสถานการณ์แรงงานปี 2556 ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำกว่าคาด ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต้องปรับตัวและมีการชะลอการจ้างงานใหม่ กลุ่มแรงงานใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดในไตรมาส 2 ของปี 2557 จะได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยเฉพาะระดับปริญญาตรีที่ว่างงานสะสมทุกปี ไอคิว-อีคิว เด็กไทยน่าเป็นห่วง       ผลสำรวจระดับสติปัญญาเด็กไทยล่าสุดในปี 2554 พบว่ามีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 98.59 แม้อยู่ในเกณฑ์ปกติแต่ค่อนข้างต่ำ เนื่องจากเกณฑ์ปกติคือ 90-109 เรื่องนี้สอดคล้องกับคะแนนการสอบประเมินผลนักเรียนนานาชาติในปี 2555 ที่พบว่าเด็กไทยมีทักษะทางด้านการคิดและการใช้ภาษาอยู่ในเกณฑ์ต่ำ เห็นได้จากผลสัมฤทธิ์การเรียนคณิตศาสตร์ การอ่าน และวิทยาศาสตร์ มีคะแนนรวมอยู่ในอันดับที่ 50 จาก 65 ประเทศสมาชิกขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา ขณะที่คะแนนความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) เฉลี่ยในระดับประเทศก็ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ คือมีคะแนนอยู่ที่ 45.12 จากค่าคะแนนปกติ 50-100       กรมสุขภาพจิตได้จัดทำสื่อเทคโนโลยี “ส่งเสริมคิดคณิต...พัฒนาการอ่านเพิ่มศักยภาพเด็กไทย” ประกอบด้วย แอนิเมชั่น แผ่นพับ และสื่อการสอนการฝึกทักษะ รวมทั้งแบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์ 5 ข้อ ให้ครู ผู้ดูแลเด็กในศูนย์เด็กเล็ก และผู้ปกครองใช้ในการสังเกตทักษะทางอารมณ์ของเด็ก เพื่อปลูกฝังให้เด็กรู้จักอารมณ์ตนเอง อดทน รอได้ มีน้ำใจ รู้จักยอมรับผิด กระตือรือร้น สนใจใฝ่รู้ ปรับตัวได้ มีความพอใจ มีความสนุกสนานร่าเริงตามวัย ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดได้ที่ www.rajanukul.com 10 ปีไฟใต้ยังลุกโชน       4 มกราคม 2557 เป็นวันครบ 10 ปีเต็มที่เกิดเหตุโจมตีค่ายทหารที่อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ซึ่งปืน 413 กระบอกได้ถูกปล้นไป และเกิดเหตุร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลา 10 ปี มีรัฐบาล 7 ชุดโดยนายกรัฐมนตรี 6 คนเข้ามาบริหารประเทศ แต่เหตุร้ายในภาคใต้ยังไม่สามารถรับการแก้ไขขจัดให้หมดไปหรือแม้แต่จะลดน้อยถอยลง โดยปี 2550 ถือว่ามีเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดถึง 1,669 ครั้ง ในปี 2555 มีเหตุร้าย 542 ครั้ง และตลอดทั้ง 10 ปี มีผู้บาดเจ็บ 10,503 ราย เสียชีวิตรวมทั้งสิ้น 5,352 ราย แยกเป็นทหาร 499 ตำรวจ 312 ฝ่ายปกครอง 200 อาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) 181 ครู 187 ที่เหลืออีก 3,574 เป็นพลเรือนรวมทั้งพระสงฆ์ ผู้นำศาสนาอิสลาม และผู้ก่อความไม่สงบเสียชีวิต 399 ราย หากแยกตามศาสนาปรากฏว่าผู้ตายเป็นไทยพุทธ 2,259 ราย ไทยอิสลาม 2,962 ราย อีก 131 ไม่ระบุศาสนา       สิบปีที่ผ่านมารัฐใช้งบประมาณในการแก้ไขมากกว่าสองแสนล้านบาท เป็นค่าเยียวยาผู้เสียหายกว่าสองพันล้านบาท แต่ละปีมีการอัดฉีดงบแก้วิกฤติ 3 จังหวัดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ