กันยายน 2556 :รัฐบาลแถลงผลงานช้าไป 1 ปี นโยบายประชานิยม สร้างภาระการคลังประเทศ 5.4 แสนล้าน ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน ผ่านสภาครบ 3 วาระ จำนำข้าว 2 ปี ขาดทุนกว่า 4 แสนล้านบาท การแก้รัฐธรรมนูญเรื่องที่มา ส.ว. จัดงบ 3.7 พันล้าน แจกโบนัสข้าราชการย้อนหลัง ศาลฎีกาฯ พิพากษา คดีซื้อรถ-เรือดับเพลิง น้ำท่วมรวม 30 จังหวัด เดือดร้อนกว่า 2 ล้านคน 57 ล. ช่วยเกษตรกรปลูกพืชต้นทุนสูง โดนน้ำท่วมปี 54 กองทุนหมู่บ้านได้เงินเพิ่มอีก 8.8 พันล้าน พนักงาน-ลูกจ้าง อปท. เตรียมเข้าระบบหลักประกันสุขภาพ ขสมก. ได้กู้ใช้หนี้เก่าอีก 3,615 ล้านบาท วุฒิสภาผ่าน กม. รับรอง “หมออนามัย” เตรียมออก กม. ตั้งองค์การคุ้มครองผู้บริโภค ลดเป้าเศรษฐกิจเหลือโต 3.7% ศธ. เดินหน้าปฏิรูปการศึกษา นายกฯ ยิ่งลักษณ์ แถลงผลงาน 1 ปี      วันที่ 24 กันยายน 2556 นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลงานในวาระครบรอบ 1 ปี (ระหว่างวันที่ 23 สิงหาคม 2554 – 23 สิงหาคม 2555) ว่า รัฐบาลได้ยึด 3 เป้าหมายหลักในการปฏิบัติหน้าที่ คือ      1. สร้างเศรษฐกิจสมดุลเพื่อความเข้มแข็งของประเทศ      2. สร้างความเชื่อมั่นสู่สังคมที่ปรองดอง บนหลักของความเสมอภาคและเท่าเทียม      3. เตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)      นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า การบริหารประเทศมีความท้าทายในด้านเศรษฐกิจ การส่งออกมากถึง 70% รัฐบาลได้ช่วยเหลือให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนถูก เพื่อลดค่าใช้จ่าย ขณะนั้นมีปัญหายาเสพติด จึงต้องร่วมมือกับภาคส่วนอื่นๆ เพื่อยกให้เป็นปัญหาระดับชาติ ส่วนกรณีความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยเฉพาะจังหวัดที่อยู่ไกล ก็เป็นความท้าทายที่ต้องแก้ไข และความผันผวนทางการเมืองก็ทำให้ขาดความต่อเนื่องของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ นานถึง 7 ปี ในปีแรกที่เข้ามาบริหารก็พบกับปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่ จึงต้องออกพระราชกำหนดกู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท มาบริหารจัดการปัญหาน้ำท่วม และตัดสินใจลดงบประมาณของกระทรวงต่างๆ เพื่อนำมาเยียวยาความเสียหาย และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนไม่ให้ย้ายฐานการผลิตได้ นอกจากนี้ยังเร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์กับต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในกลุ่ม AEC เพื่อเรียกความเชื่อมั่นในด้านเศรษฐกิจการค้า      ในการแถลงผลงานของรัฐบาลครั้งนี้ พรรคฝ่ายค้านประชาธิปัตย์ได้แสดงความเห็นว่ารัฐบาลล้มเหลวในการดูแลสินค้าอุปโภคบริโภคให้อยู่ในราคาที่เหมาะสมตามที่สัญญาไว้ในวันแถลงนโยบายเร่งด่วนที่จะดำเนินการในปีแรกต่อรัฐสภา เนื่องจากสินค้าอุปโภคบริโภคทุกอย่างรวมทั้งน้ำมันมีราคาสูงขึ้นมาก      ปัญหาค่าครองชีพสูงขึ้นทำให้มีการวิพากษ์กันมาก แต่กระทรวงพาณิชย์ยืนยันว่าราคาสินค้าไม่ได้แพงขึ้น และได้ดำเนินการแก้ไขโดยตรึงราคาสินค้าในร้านธงฟ้าของกระทรวงพาณิชย์ ประชานิยมสร้างภาระ 5.4 แสนล้าน      คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การเงิน การคลัง การธนาคาร และสถาบันการเงิน วุฒิสภา เปิดเผยรายงานผลการศึกษา เรื่อง “ความห่วงใยนโยบายประชานิยมต่อหนี้สาธารณะของประเทศ” โดยระบุว่า นโยบายประชานิยมของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในรอบปีที่ผ่านมา ได้สร้างภาระทางการคลังสูงถึง 544,300 ล้านบาท ทั้งนี้ นโยบายดังกล่าว ประกอบด้วย      - การลดหย่อนภาษีบ้านหลังแรก ทำให้เกิดภาระการคลัง 1.2 หมื่นล้านบาท      - ภาษีรถยนต์คันแรก 3 หมื่นล้านบาท      - การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล 5.2 หมื่นล้านบาท      - ลดภาษีน้ำมันดีเซล 9,000 ล้านบาทต่อเดือน      - การปรับเพิ่มเงินเดือนข้าราชการและลูกจ้างระดับปริญญาตรี 1.5 หมื่นบาท สร้างภาระ 1.8 หมื่นล้านบาท ในปี 2555 และ 2.3 หมื่นล้านบาท ในปี 2556      - โครงการแจกแท็บเล็ตนักเรียน สร้างภาระ 1,600 ล้านบาท ในปี 2555 และ 1,200 ล้านบาท ในปี 2556      - โครงการพักชำระหนี้เกษตรกร รัฐบาลใช้งบสนับสนุนปีละ 1.5 หมื่นล้านบาท      - โครงการรับจำนำข้าว 3 แสนล้านบาท และ      - กองทุนพัฒนาสตรี สร้างภาระ 7,700 ล้านบาท      กมธ.ได้มีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลว่า ถ้าจะใช้นโยบายประชานิยมต้องมีการวางยุทธศาสตร์เพื่อรองรับและต้องสนับสนุนการบริหารเศรษฐกิจมหภาคด้วย คือ ต้องสร้างความเชื่อมั่นกับนักลงทุนต่อเศรษฐกิจไทยและต้องกระตุ้นการบริโภคของภาคครัวเรือน      นักวิชาการและสื่อมวลชนให้ความเห็นว่า โครงการประชานิยมไม่เพียงแต่สร้างภาระทางการคลังและสร้างหนี้สินให้ภาครัฐ แต่ยังสร้างหนี้ให้ประชาชนอีกด้วย ธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานว่า หนี้ภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 50% เป็น 80%ของจีดีพี หรือ 8 ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อบ้าน รถยนต์ และเครื่องอุปโภคบริโภค      ในภาคอุตสาหกรรมผู้ผลิตรถยนต์ใหม่และผู้ค้ารถยนต์มือสองพบว่านโยบายรถคันแรกที่เอื้อต่อรถยนต์ขนาดเล็กหรืออีโคคาร์จนมียอดขายพุ่งสูงในปลายปี 2555 นั้น เมื่อหมดระยะเข้าสู่ปี 2556 ยอดขายรถยนต์ทุกประเภทลดลงอย่างต่อเนื่องจนเข้าสู่การชะลอตัวของตลาด ทำให้ผู้ผลิตต้องลดราคารถขนาดอื่นๆ เพื่อล่อใจคนซื้อ มีลูกค้าส่วนหนึ่งที่ซื้อรถคันแรกและรับเงินภาษีสรรพสามิตคืนไปแล้วผ่อนส่งต่อไม่ได้ แต่ก็ไม่สามารถจะขายได้เนื่องจากยังถือครองไม่ครบ 5 ปี ผู้ให้สินเชื่อจึงประสบปัญหา ต้องฟ้องร้อง ยึดรถ หรือบางครั้งต้องคืนเงินภาษีให้กรมสรรพสามิตเองเพื่อจะได้นำรถที่ยึดไปขายได้ ทำให้ดอกเบี้ยรถเก่าสูงขึ้น ส่วนผู้ค้ารถเก่ามือสองก็ประสบปัญหายอดขายฝืดต้องลดราคาไปด้วย มติสภาฯ ผ่าน พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้าน วาระ 3      เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2556 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร นัดพิเศษ ได้ลงมติผ่านร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ (2 ล้านล้านบาท) ในวาระ 3 ด้วยเสียงข้างมาก 287 ต่อ 105      ก่อนการลงมติ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมาธิการ ได้ยืนยันว่าจะดูแลเงินกู้อย่างโปร่งใส จำนำข้าว 2 ปีขาดทุน 4 แสนล้าน      ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 3 กันยายน 2556 ได้อนุมัติกรอบวงเงิน 2.7 แสนล้านบาท เพื่อรับจำนำข้าวเปลือกในปีการผลิต 56/57 ช่วงเวลาตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2556 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2557 ซึ่งคาดว่าจะมีข้าวเปลือกเข้าโครงการรวม 16.5 ล้านตัน เงินจำนวนนี้ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้จัดหาเงินทุนให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ผู้ดำเนินการ      น.ส.สุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง ประธานอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว เปิดเผยว่า โครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาลในช่วง 2 ปีการผลิต คือ ปีการผลิต 2554/2555 และ 2555/2556 คาดว่าจะมีผลขาดทุนเฉลี่ยปีการผลิตละ 2 แสนล้านบาท รวมสองปีกว่า 4 แสนล้านบาท เกินกว่าครึ่งของวงเงิน 6.8 แสนล้านบาทที่ใช้ไปแล้ว      ก่อนหน้านี้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ทำหนังสือเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี เสนอให้ยกเลิกโครงการรับจำนำข้าว โดยระบุว่า โครงการนี้จะเกิดผลสูญเสียต่องบประมาณของประเทศชาติและมีการคอร์รัปชั่นอย่างมาก โดยอ้างถึงข้อมูลที่รวบรวมได้จากการสรุปผลของการจำนำใน 2 ปีที่ผ่านมาว่าได้สร้างความสูญเสียไปแล้วไม่น้อยกว่า 425,000 ล้านบาท ขณะที่ชาวนาได้รับผลประโยชน์ไม่ถึงครึ่ง เนื่องจากมีช่องโหว่ให้ผู้ที่มิใช่ชาวนาทำการคอร์รัปชั่นหาประโยชน์เข้าตนเองไปมากกว่า 110,000 ล้านบาท โดยที่เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่สามารถสกัดกั้นการหาประโยชน์หรือคอร์รัปชั่นในโครงการนี้ได้ จึงน่าจะหาวิธีช่วยเหลือชาวนาในลักษณะอื่น ที่จะกระจายประโยชน์ไปถึงชาวนาที่มีฐานะยากจนให้มากขึ้น เช่นที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาราคายางพารา คือจ่ายเงินเพิ่มเฉพาะส่วนต่างที่ต้องการให้ชาวนาได้รับผลประโยชน์โดยตรง และต้องเป็นในลักษณะที่มิได้ไปดึงดูดให้ข้าวมารวมกันอยู่ในมือรัฐบาลจนเกิดความเสียหายจากการเน่าเสียของข้าว      ปัญหาจากโครงการรับจำนำข้าวนอกจากการขาดทุนสะสมติดต่อกันมาถึง 2 ปีแล้ว ยังมีสต๊อกอีกประมาณ 16 ล้านตันที่จะต้องระบายออก สต๊อกขนาดนี้เท่ากับปริมาณส่งออกข้าว 2 ปี ในขณะที่จากการที่กระทรวงพาณิชย์เปิดประมูลขายข้าวไปแล้ว 3 ครั้งสามารถระบายข้าวออกได้เพียง 2.4 แสนตัน นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มั่นใจว่าในปีนี้จะสามารถระบายข้าวในสต๊อกได้ไม่ต่ำกว่า 7-8 ล้านตัน และจะสามารถส่งคืนเงินกระทรวงการคลังได้ 2 แสนล้านบาทตามแผน เพื่อนำไปดำเนินการซื้อข้าวใหม่ในกรอบวงเงิน 2.7 แสนล้านบาทได้อย่างแน่นอน      ในขณะที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายทนุศักด์ เล็กอุทัย กล่าวว่ายังไม่มีข้อสรุปว่าเงิน 2.7 แสนล้านบาท จะได้มาจากไหน เพราะขณะนี้ ธ.ก.ส. ได้ใช้เงินกองทุนหมุนเวียนของธนาคาร 9 หมื่นล้านบาท บวกกับวงเงินกู้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันรวมกันแล้ว 6.8 แสนล้านบาท เกินกว่ามติ ครม. ที่กำหนดในวงเงิน 5 แสนล้านบาทจนถึงสิ้นปี 2556 ไปแล้ว      เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2556 ธนาคารกรุงไทยได้ทำหนังสือแจ้งองค์การคลังสินค้าว่ามีบริษัทเซอร์เวเยอร์ได้ทำการปลอมแปลงหนังสือค้ำประกันธนาคาร จำนวน 9 ฉบับ มูลค่ารวม 18.84 ล้านบาท ซึ่งบริษัทนี้เป็นหนึ่งในสี่ที่ถูกโรงสีซื้อกิจการไปแต่ไม่แจ้งเปลี่ยนชื่อเจ้าของกิจการ ทำให้เข้าลักษณะเป็นนอมินี ไม่สามารถจะควบคุมคุณภาพข้าวได้ เป็นการเปิดช่องให้โรงสีนำข้าวคุณภาพต่ำหรือข้าวเน่าไปสวมรอยวางที่โกดัง ได้กำไรส่วนต่างตันละ 4,000 บาท เป็นสาเหตุให้ผู้ซื้อไม่ยอมรับข้าวที่ซื้อจากรัฐบาล เป็นภาระให้รัฐบาลต้องจ่ายค่าเช่าโกดังกระสอบละ 2 บาทต่อเดือน      บริษัทเอเชียเพสคอนโทรล แอนด์อินสเปคชั่น จำกัด ผู้ตรวจสอบคุณภาพและรักษาข้าว หรือเซอร์เวเยอร์ เรียกร้องให้กรมวิชาการเกษตรเพิ่มปริมาณการนำเข้าสารอะลูมิเนียมฟอสไฟต์ (Aluminium Phosphide) ที่ใช้รมรักษาคุณภาพข้าวจากที่สั่งลดจากการนำเข้าได้ครั้งละ 300 ตันเหลือครั้งละเพียง 24 ตัน เนื่องจากสารอะลูมิเนียมฟอสไฟต์ขาดตลาดทำให้ข้าวในโกดังได้รับความเสียหาย      รัฐบาลได้พยายามแก้ปัญหาเรื่องราคารับจำนำที่ทำให้ต้นทุนข้าวในสต๊อกมีราคาสูงกว่าประเทศผู้ขายข้าวอื่นๆ โดยลดราคารับจำนำลง แต่เสียงคัดค้านจากชาวนาทำให้ต้องกลับไปสู่ราคาเดิมตันละ 15,000 บาทอีกครั้ง เพียงแต่กำหนดวงเงินรับจำนำต่อครัวเรือนที่ 3.5 และ 3 แสนบาท ตามลักษณะของข้าวเปลือก การแก้ รธน. เรื่องที่มา ส.ว.      เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2556 ที่ประชุมรัฐสภาลงมติออกเสียงในวาระ 3 ของร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมในมาตราที่มาของสมาชิกวุฒิสภา ด้วยคะแนนเสียง 358 ต่อ 2 และงดออกเสียง 30 เสียง ซึ่งเท่ากับเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ มีผลให้ร่างกฎหมายฉบับนี้ได้รับการเห็นชอบจากรัฐสภา ขั้นตอนต่อไปคือนายกรัฐมนตรีจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยให้มีผลใช้เป็นกฎหมายต่อไป      การแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องประเด็นที่มาของ ส.ว. ที่แก้ไขให้คู่สมรสและบุตรของ ส.ส. ตลอดจน ส.ส. และ ส.ว. ที่เพิ่งพ้นจากตำแหน่งสามารถลงรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาได้ทันทีโดยไม่ต้องเว้นวรรค 5 ปี ได้รับการคัดค้านทั้งจากในและนอกสภา โดยก่อนหน้าที่จะมีการลงคะแนนในวาระ 3 พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหา และนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลาพรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้วินิจฉัยว่า การที่นายนิคม ไวยรัชพานิช ในฐานะรองประธานรัฐสภา กับพวกรวม 309 คน ได้เข้าชื่อกันเสนอต่อนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ให้มีการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ ในประเด็นเกี่ยวกับที่มาของ ส.ว. เป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่      เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2556 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 2 เสียง รับคำร้องไว้พิจารณา ส่วนคำขอให้ศาลมีคำสั่งกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวเป็นกรณีฉุกเฉิน เพื่อให้ผู้ถูกร้องระงับการพิจารณาการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนั้น ศาลมีคำสั่งให้ยกคำขอ      นายชัช ชลวร ตุลาการเสียงข้างน้อย ให้ความเห็นว่า เมื่อพิจารณาจากลายลักษณ์อักษรและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 แล้วนั้น รัฐธรรมนูญมุ่งประสงค์ให้เฉพาะอัยการสูงสุดเท่านั้น เป็นผู้มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย ดังนั้นผู้ทราบการกระทำดังกล่าวจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลได้โดยตรง ส่วนนายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี ตุลาการเสียงข้างน้อยอีก 1 คน เห็นว่า กรณีคำร้องยังไม่มีมูลกรณีฝ่าฝืนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 จัดงบ 3.7 พันล้านแจกโบนัสข้าราชการ      เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2556 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการจัดสรรเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ 2555 สำหรับส่วนราชการ จังหวัดและสถาบันอุดมศึกษา รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,745 ล้านบาท ศาลฎีกาตัดสินคดี กทม. ซื้อรถ-เรือดับเพลิง      เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2556 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้อ่านคำพิพากษาคดีทุจริตการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของกรุงเทพมหานคร ตัดสินโทษจำคุกนายประชา มาลีนนท์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นเวลา 12 ปี และจำคุก พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ อดีตผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นเวลา 10 ปี โดยไม่รอลงอาญา และให้ยกฟ้องนายนายโภคิน พลกุล สมาชิกพรรคเพื่อไทย อดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยนายวัฒนา เมืองสุข ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร      คดีนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2549 เมื่อ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมัคร สุนทรเวช อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และอีก 5 บุคคลดังมีรายชื่อดังกล่าวข้างต้น ในคดีสั่งซื้อรถและเรือดับเพลิงมูลค่ารวมกว่า 6,687 ล้านบาทจากบริษัท สไตเออร์ เดมเลอร์ พุค สเปเชียล ฟาห์รซอยก์ จำกัด ด้วยวิธีการจัดซื้อพิเศษ ในปี 2547 ก่อนที่นายสมัคร จะพ้นจากตำแหน่งผู้ว่าราชการ กทม. เพียงไม่กี่วัน      ศาลฎีกามีความเห็นว่าจำเลยทั้งสอง คือ นายประชา และ พล.ต.ต.อธิลักษณ์ มีพฤติกรรมฝ่าฝืนกฎระเบียบการจัดซื้อเพื่อเอื้อประโยชน์ให้บริษัทฯ จนรัฐเกิดความเสียหาย ทั้งที่สามารถจัดซื้อได้ในวิธีการปกติ ทำให้ กทม. ต้องจ่ายเงินแพงกว่าราคาปกติรวมทั้งหมดถึง 2,195 ล้านบาท ส่วนนายสมัคร สุนทรเวช จำเลยที่ 1 นั้นได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว      ทั้งนายประชา และ พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ไม่ได้มาฟังคำพิพากษา โดยนายประชา มีหมายจับเนื่องจากไม่ได้มาฟังคำพิพากษาครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2556 ส่วน พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ส่งทนายความมาฟังแทน น้ำท่วม 30 จังหวัด เดือดร้อน 2 ล้านคน      เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2556 นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2556 ทั่วประเทศประสบอุทกภัย รวม 30 จังหวัด 210 อำเภอ มีประชาชนได้รับผลกระทบกว่า 2 ล้านคน แบ่งเป็นผู้ประสบภัยที่ได้รับความเดือดร้อนจากสภาวะฝนตกหนักและน้ำไหลหลาก มีพื้นที่ 26 จังหวัด และผู้ประสบภัยจากสถานการณ์ปริมาณน้ำล้นตลิ่ง 4 จังหวัด 57 ล้านบาทช่วยเกษตรกรปลูกพืชต้นทุนสูงประสบอุทกภัยปี 54      เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2556 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกพืชต้นทุนสูงที่ประสบอุทกภัยปี 2554 เป็นกรณีพิเศษ จำนวน 5 จังหวัด ได้แก่ กทม. นนทบุรี นครปฐม ลพบุรี และพระนครศรีอยุธยา จำนวน 227 ราย ภายในกรอบวงเงิน 57,146,917 บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 ส่วนของงบกลาง ในรายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ จำนวน 1,203,917 บาท และรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 55,943,000 บาท ทั้งนี้ ให้กรมส่งเสริมการเกษตรตรวจสอบความถูกต้องในขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรี รวมถึงหลักเกณฑ์ในการช่วยเหลือเกษตรกรเพื่อให้การช่วยเหลือเกษตรกรเป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส โดยให้ทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนก่อนดำเนินการต่อไป กองทุนหมู่บ้านได้เงินเพิ่มอีก 8.8 พันล้าน      คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ที่มีนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน มีมติเห็นชอบให้โอนเงิน วงเงิน 8,860 ล้านบาทให้กับกองทุนหมู่บ้าน 8,860 แห่ง ในระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงกันยายนนี้ โดยการโอนเงินครั้งนี้จะเป็นการโอนครั้งที่ 4 ในระยะที่ 3      ก่อนหน้านี้ รัฐบาลได้เพิ่มทุนให้แก่กองทุนหมู่บ้าน จำนวน 5,359 แห่ง เป็นหมู่บ้านละ 1 ล้านบาท เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 53,590 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2556 จะสามารถโอนเงินลงไปให้กับหมู่บ้านต่างๆ ได้ประมาณ 80% ของวงเงินทั้งหมด      นอกจากนี้ คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านฯยังมีมติอนุมัติงบประมาณปี 2557 จำนวน 1,700 ล้านบาท เพิ่มเติมจากปีงบ 2556 ที่ได้รับการจัดสรรมาแล้ว 1,300 ล้านบาท เพื่อจัดสรรให้กับประชาชนที่มีการรวมตัวกันเป็นกลุ่มตั้งแต่ 100 หลังคาเรือนขึ้นไป เช่น หมู่บ้านจัดสรร คอนโด หรืออาคารสำนักงาน เสนอโครงการเพื่อขอรับงบประมาณในการพัฒนาชุมชนหรือพื้นที่ได้ 5 แสน-2 ล้านบาทต่อโครงการ ซึ่งในปี 2556 มีผู้เสนอโครงการเข้ามาแล้ว 362 โครงการ วงเงินกว่า 550 ล้านบาท โดยขณะนี้คณะกรรมการอนุมัติโครงการไปแล้ว 36 โครงการ วงเงินกว่า 60 ล้านบาท      กองทุนหมู่บ้านตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ. 2547 เพื่อการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) ทั่วประเทศ จำนวน 86,300 แห่ง ในเรื่องการพัฒนาอาชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ สร้างการเรียนรู้ พัฒนาความคิดริเริ่ม กระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน โดยแต่ละชุมชนเลือกเองว่าจะพัฒนาด้านใดบ้าง เมื่อได้รับการอนุมัติจะได้รับเงินจำนวน 1 ล้านบาทเพื่อไปดำเนินการ โดยแต่ละชุมชนจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาบริหารจัดการกันเอง พนักงานท้องถิ่นเตรียมใช้ระบบประกันสุขภาพ      เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2556 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้พนักงานและลูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ได้ใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุข มาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 พ.ศ. .... ตามที่ กระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้เสนอ และขอให้ส่งต่อไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา นอกจากนี้ยังได้มอบให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานหลักประกันสุขภาพ (สปสช.) รับประเด็นอภิปรายและความเห็นชอบของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ขสมก. ได้กู้ใช้หนี้เก่าอีก 3 พันล.      เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2556 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการกู้เงินเพื่อนำไปชำระหนี้ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงและค่าเหมาซ่อมปีงบประมาณ 2557 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จำนวนเงิน 3,615 ล้านบาท ประกอบด้วยค่าน้ำมันเชื้อเพลิง 2,665 ล้านบาท และค่าเหมาซ่อมอีก 1,350 ล้านบาท วุฒิสภาผ่าน กม. รับรอง จนท. สาธารณสุขชุมชน      เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2556 ที่ประชุมวุฒิสภามีมติเสียงข้างมาก 116 ต่อ 4 เสียงเห็นชอบกับร่าง พ.ร.บ.วิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน ตามที่คณะกรรมาธิการร่วมกันของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเสนอ โดยจากนั้นจะส่งให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการประกาศบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป สำหรับร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ มีสาระสำคัญคือ การกำหนดนิยามคำว่าวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน หมายถึง วิชาชีพที่กระทำต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมในชุมชนเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การควบคุมโรค การตรวจประเมินและการบำบัดโรคเบื้องต้น แต่ไม่รวมถึงการประกอบโรคศิลปะตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบโรคศิลปะหรือการประกอบวิชาชีพทางการแพทย์และการสาธารณสุขอื่นตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น      แต่เดิมนั้นบุคลากรที่ประกอบวิชาชีพสาธารณสุข ได้แก่ แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล เภสัชกร เจ้าหน้าที่เทคนิคการแพทย์ เจ้าหน้าที่กายภาพบำบัด และสัตวแพทย์ แต่ไม่รวมถึงบุคลากรตั้งแต่ระดับ 4-7 ซึ่งปฏิบัติงานอยู่ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลซึ่งเรียกกันว่า “หมออนามัย” ที่มีกว่า 40,000 คนทั่วประเทศ เตรียมตั้งองค์กรคุ้มครองผู้บริโภค      เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2556 ที่ประชุมวุฒิสภามีมติเห็นชอบกับร่าง พ.ร.บ.องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งคณะกรรมาธิการร่วมกันระหว่างสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาพิจารณาเสร็จแล้ว จากนั้นสภาฯ จะพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป สำหรับร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ มีสาระสำคัญ คือ เพื่อจัดตั้งองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค มีหน้าที่ตรวจสอบการกระทำที่ละเลยการคุ้มครองผู้บริโภคและรายงานไปยังหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบ นอกจากนี้ ยังกำหนดให้รัฐบาลต้องจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปโดยตรงเป็นรายปีจากงบประมาณแผ่นดินประจำปี ไม่น้อยกว่า 3 บาทต่อหัวประชากร และในทุกสามปีให้มีการกำหนดจำนวนอัตราดังกล่าวเพิ่มขึ้นไว้ในพระราชกฤษฎีกาโดยปรับตามดัชนีค่าครองชีพ ลดเป้าเศรษฐกิจเหลือโต 3.7%      สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ลดเป้าการเจริญเติบโตของจีดีพีตลอดทั้งปี 2556 ลงเหลือ 3.5-4.0% โดยมีค่ากลางที่ 3.7% ลดลงจากที่ประเมินไว้ครั้งก่อน 4.5% หลังการส่งออก การใช้จ่ายและการลงทุนภาคเอกชนชะลอตัว      ก่อนหน้านี้ นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยภาวะเศรษฐกิจเดือนสิงหาคม 2556 ว่าเริ่มทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า โดยการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนอยู่ที่ระดับ 0.9% ซึ่งใกล้เคียงกับเดือนก่อน แต่การส่งออกมีสัญญาณปรับดีขึ้นจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ต่างประเทศ ทั้งในอาเซียนและกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมหลักของโลก ซึ่งจะส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับดีขึ้นตาม ส่วนภาคการท่องเที่ยวขยายตัวดีต่อเนื่อง ทั้งนี้ ธปท. จะทบทวนตัวเลขคาดการณ์ทางเศรษฐกิจใหม่ที่คงจะต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 4.2% ปฏิรูปการศึกษาครั้งใหม่ เริ่ม 1 ต.ค.      เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2556 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวว่าตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2556 เป็นต้นไป จะมีการขับเคลื่อนงานสำคัญ อาทิเช่น นำร่องหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน การผลักดันให้มีผู้เรียนสายวิชาชีพและสายสามัญเป็นสัดส่วน 50:50 และจัดทำแผนแม่บทไอซีทีเพื่อการศึกษา วางกรอบมาตรฐานเนื้อหาการเรียนการสอนที่จะบรรจุในแท็บเล็ต โน้ตบุ๊กและโทรศัพท์มือถือ และวางโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงระบบอินเทอร์เน็ตทั่วประเทศให้บ้านและสถานศึกษาเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับที่นายจาตุรนต์ ได้กล่าวเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2556 ว่าจะมีการปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งระบบให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์และเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง      เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2556 ดร.ภาวิช ทองโรจน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการเปิดเผยว่า จากการประชุมของ World Economic Forum (WEF- The Global Competitiveness Report 2012-2013) มีการนำเสนอการจัดอันดับคุณภาพการศึกษาของ 8 ประเทศในกลุ่มอาเซียน ไทยอยู่อันดับที่ 8 ท้ายสุด โดยมีประเทศที่ได้อันดับต่างๆ เรียงลงไป คือ สิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย กัมพูชา เวียดนาม และไทย      ก่อนหน้านี้ได้มีรายงานของกระทรวงศึกษาธิการว่ามีเด็กนักเรียนชั้น ป.3 จำนวนกว่า 8 หมื่นคนจากทั้งหมด 1.6 ล้านคนอ่านหนังสือไม่ได้หรืออ่านไม่คล่อง