กรกฎาคม 2556 : ประกาศ พ.ร.บ.มั่นคงฯ รับมือม็อบการเมือง หลุดคลิปเสียงสนทนาคนแดนไกล อัลเคด้า ประกาศล้างแค้นทักษิณ เหตุสังหารมุสลิมเมื่อปี 47 รมว.คลังสั่งตั้ง กก.สอบข้อเท็จจริง "สุภา" แฉโกงจำนำข้าว ประธานศาลรัฐธรรมนูญลาออกก่อนครบวาระ "สุดารัตน์" พ้นผิดคดียกเลิกประมูลคอมพิวเตอร์ ป.ป.ช. ชี้ผิด ''สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี'' กรณีแก้สัญญาเอื้อกลุ่มชินคอร์ป น้ำมันรั่วในอ่าวไทยส่งผลกระทบเกาะเสม็ด ยื่นอุทธรณ์โครงการน้ำ 3.5 แสนล้าน ความรุนแรงใต้ลดใน 14 วันแรกรอมฎอน ปรับโครงสร้างภาษีบุคคลธรรมดาเป็น 7 ขั้น เศรษฐกิจไตรมาส 2 ชะลอ 1 ก.ย. ขึ้นราคาแก๊สแอลพีจี ภาคครัวเรือนแน่ ประกาศ พ.ร.บ.มั่นคงฯ คุมม็อบการเมือง ที่มา: โพสทูเดย์ 31 กรกฎาคม 2556      เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2556 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดเล็กมีมติให้ประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงฯ ในพื้นที่ 3 เขตของกรุงเทพมหานคร ได้แก่ เขตดุสิต เขตพระนคร และเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ระหว่างวันที่ 1-10 สิงหาคม 2556 โดยมอบหมายให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เป็นผู้รับผิดชอบในการป้องกัน ปราบปราม ยับยั้งเหตุการณ์ที่อาจจะกระทบต่อความมั่นคง หลังจากฝ่ายความมั่นคงประเมินสถานการณ์เห็นว่ามีความจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายนี้ เนื่องจากมีการประกาศว่า จะมีการชุมนุมของหลายกลุ่มเพื่อคัดค้านและประท้วงไม่เห็นด้วยกับการประชุมรัฐสภา มีแนวโน้มว่าจะมีมวลชนมาร่วมชุมนุมเป็นจำนวนมาก อาจยืดเยื้อและลุกลามไปถึงขั้นยึดสถานที่ราชการ เพื่อหวังผลทางการเมืองและต้องการขัดขวางการทำหน้าที่ของรัฐสภา      ก่อนหน้านี้ตำรวจทั้งนครบาล ภูธรและ ตชด. ได้เตรียมรับการชุมนุมคัดค้านการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่มีกำหนดพิจารณาในการเปิดประชุมสภาสมัยสามัญวันแรกในวันที่ 7 สิงหาคม 2556      กลุ่มผู้ชุมนุมประกอบด้วยองค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) และกลุ่มหน้ากากขาว กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ และอีกหลายเครือข่ายที่ประกาศว่าจะชุมนุมคัดค้านอย่างสงบ      พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ ในฐานะประธานกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม พร้อมด้วยนายไทกร พลสุวรรณ แกนนำกลุ่มอีสานกู้ชาติ พล.อ.ชูเกียรติ ตันสุวัฒน์ พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ และ พล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคนี ร่วมกันในนาม กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ แถลงเปิดตัวเสนาธิการร่วม ว่ามีภารกิจเพื่อขัดขวางระบอบทักษิณ และประสานงานในการเคลื่อนไหว โดยยื่น 6 ข้อเสนอแก่ทางรัฐบาล คือ ต้องแสดงจุดยืนถึงความจงรักภักดีและดำเนินการกับคนหมิ่นสถาบัน โดยเฉพาะกลุ่มของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ลาออกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ยุติของแพง ปัญหาราคาสินค้า เลิกขึ้นราคาแก๊สหุงต้ม ปฏิรูป ปตท. ให้เป็นของประชาชน ยุติการกู้เงิน จำนวน 3.5 แสนล้าน และ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน ให้ถอนร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมทุกฉบับที่จะล้างผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และ ให้รัฐบาลเอาผิดคนทุจริตโครงการรับจำนำข้าวและยกเลิกการตั้งคณะกรรมการสอบ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ โดยเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการใน 7 วัน หากไม่ดำเนินการจะมีการนัดชุมนุมแสดงออกโดยสันติในวันที่ 4 สิงหาคม 2556      พรรคฝ่ายค้านประชาธิปัตย์ ได้มีมติไม่รับร่างกฎหมายนิรโทษกรรมด้วยเหตุผลว่าเป็นกฎหมายทำลายหลักนิติรัฐนิติธรรม นิรโทษกรรมให้ผู้กระทำผิดคดีก่อการร้าย เผาสถานที่ราชการและเอกชน กระทำผิดต่อชีวิตร่างกาย การฆ่าคนตายและกระทำหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อีกทั้งยังอาจจะนำไปสู่การนิรโทษกรรมให้ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และกฎหมายฉบับนี้อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 30 ที่ระบุว่า บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมายและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน      ร่างกฎหมายฉบับนี้เสนอโดยนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย มีเพียง 6 มาตรา เนื้อหาสาระให้นิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมทางการเมืองในทุกระดับยกเว้นผู้สั่งการ คลิปเสียงสนทนาคนแดนไกล ที่มา: โพสทูเดย์ 07 กรกฎาคม 2556      เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2556 สมาชิกเว็บไซต์ยุทูปชื่อ "ไทยรักชาติ" ได้โพสต์คลิปเสียงชื่อ "เสียงการสนทนาของบุคคลสองคนที่คาดว่าอาจจะเป็น พล.อ.ยุทธศักดิ์ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ในการวางแผนกลับประเทศ" โดยมีจำนวน ทั้งสิ้น 4 ตอน ความยาวตอนละ 5- 8 นาที โดยเนื้อหาในบทสนทนามีการระบุถึงการโยกย้ายทหาร การผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรม รวมถึงการเตรียมการเพื่อเดินทางกลับมา ขณะที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ออกมาปฏิเสธว่า ที่ผ่านมาไม่เคยคุยและพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งเชื่อว่าการเผยแพร่คลิปดังกล่าวเป็นความพยายามทำลายความน่าเชื่อถือทางการเมือง คลิปอัลเคด้าขู่ล้างแค้นทักษิณ ที่มา: โพสทูเดย์ 27 กรกฎาคม 2556      เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2556 ซึ่งตรงกับวันเกิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้มีการแพร่คลิปวิดีโอที่ ใช้ชื่อว่า Al-Qaeda video against former Thailand Prime Minister Thaksin Shinawatra ลงในเว็บไซต์ยูทูป ความยาวประมาณ 2.45 นาที เป็นภาพชายในชุดเสื้อคลุมคล้ายชาวอาหรับพร้อมผ้าคลุมหน้า 3 คน คนหนึ่งถืออาวุธปืน ขณะที่อีกคนหนึ่งถือกระดาษขาวที่พิมพ์ภาพ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคนกลางถือกระดาษอ่านแถลงการณ์ มีเสียงประกอบเป็นภาษาอังกฤษสรุปความว่า จะล้างแค้น พ.ต.ท.ทักษิณ กรณีที่สังหารชาวมุสลิมที่ภาคใต้ เมื่อปี 2004 (พ.ศ. 2547) ตั้ง กก.สอบ"สุภา" แฉโกงจำนำข้าว ที่มา: โพสทูเดย์ 05 กรกฎาคม 2556      นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ให้ปลัดกระทรวงการคลังตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีที่นางสาวสุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลังในฐานะประธานอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ไปให้ข้อมูลโครงการรับจำนำข้าวในคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ วุฒิสภา กรณีระบุว่าโครงการรับจำนำข้าวเปลือกมีการทุจริตทุกขั้นตอน      ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2556 คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การพาณิชย์ และอุตสาหกรรม วุฒิสภาได้เชิญ นางสาวสุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ไปชี้แจง ซึ่ง น.ส.สุภา กล่าวว่า การรับจำนำข้าวใน 3 ฤดูการผลิตคือ 54/55, 55 และ 55/56 ในเบื้องต้นเมื่อปิดบัญชี ณ วันที่ 31 มกราคม 2556 ใช้วงเงินไปแล้ว 4.96 ล้านบาทซึ่งรัฐบาลจะต้องใช้คืนให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) ตัวเลขการขาดทุนอยู่ที่ 220,968 ล้านบาท หากรวบรวมตัวเลขถึงเดือนพฤษภาคา 2556 อาจจะมากกว่านี้ ในการรับจำนำข้าวมีโอกาสที่จะเกิดการทุจริตในทุกขั้นตอนนับตั้งแต่การขึ้นทะเบียนเกษตรกรที่แจ้งเกินจำนวนจริง ไปจนถึงการเวียนเทียนข้าวเปลือก      สำหรับเรื่องนี้ นางสาวสุภา ได้ปฏิเสธว่า ไม่ได้พูดว่ามีการทุจริต แต่มีช่องโหว่ที่อาจจะเกิดการทุจริตและได้ส่งเอกสารที่จัดทำขึ้นเองเกี่ยวกับช่องโหว่ที่เป็นจุดเสี่ยงของการโกงในขั้นตอนต่าง ๆ รวมถึงภาระที่รัฐบาลต้องแบกรับให้แก่นายกรัฐมนตรีได้รับทราบแล้ว      ก่อนหน้านี้คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว แถลงว่า ยังไม่สามารถปิดบัญชีโครงการได้เนื่องจากข้อมูลยังไม่ครบ โดยเฉพาะสต็อกข้าวจากกระทรวงพาณิชย์ และข้อมูลราคาขายข้าวจากกรมการค้าต่างประเทศ ทั้งการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ และราคาข้าวที่บริจาคออกไป      อย่างไรก็ตาม ธกส. กล่าวว่า ในฤดูการผลิต 55/56 ธกส. ได้รับจำจำข้าวไปแล้ว 21 ล้านตัน คิดเป็นเงิน 230,000 ล้านบาท รัฐบาลได้กำหนดกรอบไว้ที่ 22 ล้านตัน คาดว่าการรับจำนำจะสิ้นสุดในเดือนพฤศจิกายน ปีนี้ ตั้งแต่เริ่มโครงการในปี 2554 ใช้เงินไปแล้ว 650,000 ล้านบาท จากกรอบที่กำหนดไว้ 500,000 ล้านบาท โดยส่วนที่เกินกรอบ ธกส. ได้สำรองจ่ายไปก่อน ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ได้ส่งเงินคืนจากการระบายข้าวมาแล้ว 120,000 ล้านบาท ยังเหลืออีก 220,000 ล้านบาทที่ต้องคืนในปีนี้      กรมการค้าต่างประเทศให้ข้อมูลว่า ได้ส่งมอบข้าวสัญญาจีทูจีไปแล้วกว่า 3 ล้านตัน จากสัญญา 7.3 ล้านตัน ได้ส่งเงินให้กระทรวงการคลังไปแล้ว 130,000 ล้านบาท      ส่วนผลการประมูลข้าวล็อตแรกจำนวน 350,000 ตันจากคลังกลางขององค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อตก.) เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2556 มี 5 บริษัทส่งออกมาประมูลไปเพียง 90,000 ตัน รัฐมนตรีพาณิชย์จึงสั่งให้ประมูลใหม่ทันที      และสำหรับราคาข้าวที่รับจำจำนั้น หลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 19 มิถุนายนนั้นเห็นชอบข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ให้ปรับราคาลงเหลือตันละ 12,000 บาทและวงเงินรับจำนำไม่เกินรายละ 5 แสนบาท มีผลตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2556 เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม กขช. ได้เปลี่ยนแปลงราคารับจำนำให้กลับไปเป็นตันละ 15,000 บาทอีกครั้งหนึ่ง แต่ยังคงวงเงินไม่เกินรายละ 5 แสนบาทเช่นเดิม โดยจะมีผลจนถึงวันที่ 15 กันยายน 2556 ต่อจากนั้นจะนำเรื่องราคาในตลาดโลกและค่าเงินบาทมาพิจารณา "วสันต์" ลาออกจากประธานศาลรัฐธรรมนูญ มีผล 1 ส.ค. ที่มา: โพสทูเดย์ 16 กรกฎาคม 2556      เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2556 สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้แถลงว่านายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้ยื่นหนังสือลาออกจากประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยจะมีผลบังคับในวันที่ 1 สิงหาคม ทั้งนี้ นายวสันต์ ได้ให้เหตุผลว่า ได้สะสางคดีที่คงค้างอยู่ 123 คดีให้เหลือเพียง 30 คดีเท่านั้น จึงขอลาออกตามที่ได้ให้สัญญาไว้กับคณะตุลาการเมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่งว่าจะขออยู่ปฏิบัติภารกิจให้แล้วเสร็จไม่เกิน 2 ปี ซึ่งเรื่องนี้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้ยื่นใบลาออกของนายวสันต์ ไปยังประธานวุฒิสภาเพื่อให้ดำเนินการสรรหาตุลาการคนใหม่ให้ได้ภายใน 30 วันหลังจากนายวสันต์ พ้นตำแหน่ง      ก่อนหน้านี้นายวสันต์และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ถูกกลุ่มเสื้อแดงโจมตีอย่างต่อเนื่องในบทบาทหน้าที่ของตุลาการ รวมทั้งได้ถูกข่มขู่และเปิดเผยชื่อและเบอร์โทรศัพท์บุคคลในครอบครัวอีกด้วย ขณะนี้ยังมีคดีสำคัญที่ยังคงค้างอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญอีก เช่น คำร้องที่ขอให้วินิจฉัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบรายมาตราขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 68 หรือไม่ และคำร้องที่ให้วินิจฉัยความเป็น ส.ส. ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นต้น      คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้เข้ารับตำแหน่งในเดือนพฤษภาคม 2551 มีวาระการดำรงตำแหน่งรวม 9 ปี จึงยังคงเหลือเวลาอีก 4 ปี และสำหรับนายวสันต์ ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ 26 ตุลาคม 2554 และได้ขอลาออกจากทั้งการเป็นตุลาการและประธานศาลรัฐธรรมนูญ      สำหรับกระบวนการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่แทนนายวสันต์ นั้น เนื่องจากนายวสันต์ มาจากผู้ทรงคุณวุฒิสายนิติศาสตร์ ดังนั้นตุลาการฯ คนใหม่จึงต้องเป็นผู้ทรงคุณวุฒิสายนิติศาสตร์เช่นกัน โดยขั้นตอนการสรรหานั้น รัฐธรรมนูญระบุว่าให้สรรหาและคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีเหตุให้ต้องเลือกบุคคลมาดำรงตำแหน่งดังกล่าว ป.ป.ช. ชี้'สุดารัตน์' ไม่ผิดคดียกเลิกประมูลคอมฯ ฉาว ที่มา: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์      เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2556 ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติ 5:3 เห็นว่าคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กับพวกรวม 16 คน ไม่มีมูลกระทำความผิด กรณีโครงการประกวดราคาจัดซื้อและติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์เพื่อการบริหารข้อมูลข่าวสารด้านการเงินการคลังและข้อมูลโรงพยาบาล 818 แห่งทั่วประเทศ ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2547      ผลการตัดสินตามคะแนนเสียงทำให้คำร้องนี้ตกไป ปปช. ชี้ “สุรพงษ์” แก้สัญญาดาวเทียมเอื้อชินคอร์ป ที่มา: โพสทูเดย์ 17 กรกฎาคม 2556      เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2556 ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. มีมติ 6 ต่อ 2 เสียง ชี้มูลว่า น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที และพวกอีก 2 คน ทำการอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทานโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ ฉบับที่ 5 เพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ต้องถือในบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) จากไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 เป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด โดยมิชอบ ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้ส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. ดำเนินการ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2551 ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติให้ส่งรายงานเอกสารและความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาโทษทางวินัย และได้ส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุด ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อดำเนินการฟ้องผู้ถูกกล่าวหาต่อไป น้ำมันรั่วในอ่าวไทย ที่มา: โพสทูเดย์ 30 กรกฎาคม 2556      เมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม 2556 น้ำมันดิบ 50 ตันหรือ 50,000 ลิตร รั่วสู่ทะเลในอ่าวไทยระหว่างกำลังขนถ่ายจากเรือบรรทุกน้ำมันด้วยท่อเข้าโรงกลั่นของบริษัทพีทีที โกลบอล เคมิคัล ในเครือ ปตท. ไหลทะลักเข้าไปในหมู่เกาะเสม็ดจังหวัดระยองโดยเฉพาะที่อ่าวพร้าว ทางบริษัทได้ส่งพนักงาน ทหาร เจ้าหน้าที่กู้ภัยเข้าแก้ไขโดยการดูดน้ำมันใส่ถังขนาดใหญ่ ตักทรายที่เปื้อนคราบน้ำมันออกไปทิ้ง และใช้สารเคมีฉีดสลายตามแนวโขดหินและชายหาด และใช้เครื่องบินโปรยสารเคมีขจัดคราบน้ำมัน      กรมสอบสวนคดีพิเศษส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบข้อมูลว่าเกิดจากความประมาทหรือเป็นอุบัติเหตุ หากเป็นการกระทำโดยประมาทจะเข้าข่ายตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย ที่อยู่ในอำนาจสอบสวนของดีเอสไอ      ในวันที่ 30 กรกฎาคม 2556 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ได้รับแจ้งถึงสถานการณ์เหตุน้ำมัน จึงได้ให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ และกระทรวงคมนาคม เร่งแก้ไขปัญหา โดยรัฐบาลได้ประสานกับ บมจ. ปตท. วางแนวทางแก้ปัญหา และป้องกันเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ให้เกิดขึ้นอีก ส่วนการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ รัฐบาลจะประสานกับ บมจ. ปตท. ในการให้ความช่วยเหลือเยียวยาอย่างเต็มที่ "พงศ์เทพ" ยื่นอุทธรณ์โครงการน้ำ 3.5 แสนล้าน ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์      เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2556 นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ทางรัฐบาลได้ส่งตัวแทนยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองกลาง กรณีโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ต่อศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2556 โดยทางฝ่ายรัฐบาลจะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองกลางในทุกประเด็น ซึ่งทางฝ่ายผู้ร้องได้มีการยื่นอุทธรณ์เช่นกัน ทั้งนี้ การดำเนินการโครงการดังกล่าว ส่วนไหนที่สามารถดำเนินการได้จะดำเนินการต่อไปไม่จำเป็นต้องหยุด โดยจะดำเนินการให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และคำพิพากษาของศาลปกครองกลางให้ได้มากที่สุด ถึงแม้จะไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลปกครองกลางก็ตาม 14 วันแรกรอมฎอนความรุนแรง 3 จังหวัดใต้ลดลง ที่มา: โพสทูเดย์ 24 กรกฎาคม 2556      พล.ต.ชรินทร์ อมรแก้ว รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 เปิดเผยว่า จากการติดตามสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 14 วันแรกในช่วงเดือนรอมฎอน ระหว่างวันที่ 10-23 กรกฎาคม 2556 พบว่ามีเพียง 4 เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีเหตุการณ์ความมั่นคง 16 เหตุการณ์ จะเห็นได้ว่าลดลงถึง 12 เหตุการณ์ ทั้งนี้ เนื่องจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกับกลุ่มแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติ (บีอาร์เอ็น) ในการยุติความรุนแรงใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยในช่วงเดือนรอมฎอน ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม ถึง 18 สิงหาคม 2556 รวมเวลา 40 วัน ประกอบด้วย จ.ปัตตานี, จ.นราธิวาส, จ.ยะลา และ 5 อำเภอใน จ.สงขลา ได้แก่ อ.นาทวี, อ.สะเดา, อ.จะนะ, อ.เทพา และ อ.สะบ้าย้อย      เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2556 ดาโต๊ะ เสรี อาห์หมัด ซัมซามิน ฮาชิม ผู้อำนวยความสะดวกในการเจรจาสันติภาพมาเลเซียได้แถลงที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ว่า ฝ่ายบีอาร์เอ็น จะพยายามไม่ให้เกิดความรุนแรงในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้และอีกห้าอำเภอในสงขลาเป็นเวลา 40 วันในช่วงเทศกาลถือศีลอดรอมฎอน ระหว่างวันที่ 10 กรกฎาคม ถึง 18 สิงหาคม 2556 ในกรอบดังต่อไปนี้ คือ ให้พื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ และ 5 อำเภอในสงขลาเป็นเขตปลอดความรุนแรงในทุกรูปแบบในช่วงเวลา 3 เดือนของเทศกาลรอมฎอน กลุ่มบีอาร์เอ็นตกลงจะยุติการก่อเหตุรุนแรง การโจมตีด้วยอาวุธ การลอบวางระเบิด การลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่และการทำลายทรัพย์สินของทางราชการ ขอรับประกันความปลอดภัยต่อประชาชนทุกคนที่ไม่ใช่ชาวมุสลิม ฝ่ายไทยจะปรับกำลังเจ้าหน้าที่ให้เหมาะสมเพื่อไม่ใหห้เป็นอุปสรรคขัดขวางต่อการปฏิบัติศาสนกิจในช่วงเดือนรอมฎอน ลดการใช้มาตรการรุนแรงในการปิดล้อมตรวจค้นผู้ต้องสงสัยในคดีความมั่นคงชั่วคราว แต่ยังคงภารกิจเฝ้าระวังดูแลสถานที่ราชการสำคัญ รักษาความปลอดภัยประชาชนและการปราบปรามอาชญากรรมเช่นเดิม ในช่วง 40 วันของเดือนรอมฎอน ฝ่ายเจ้าหน้าที่และกลุ่มบีอาร์เอ็นจะร่วมกันทำงานอย่างจริงจังเพื่อสานต่อการพูดคุยสันติภาพให้เกิดผลสำเร็จโดยเร็ว ฝ่ายใดที่ละเมิดหรือทำลายข้อตกลงร่วมกัน ถือเป็นผู้ไม่ยึดมั่นสันติวิธี เป็นผู้ขัดขวางความปรารถนาของประชาชนที่ต้องการให้สันติสุขกลับคืนสู่ชายแดนใต้อย่างยั่งยืน      วันที่ 11 กรกฎาคม ได้เกิดเหตุลอบวางระเบิดที่ยะลา มีทหารบาดเจ็บ 8 นาย ทางบีอาร์เอ็นยอมรับว่าเป็นการกระทำของคนกลุ่มน้อยที่คิดต่างในฝ่ายตน โครงสร้างภาษีบุคคลธรรมดาใหม่ ที่มา: โพสทูเดย์ 30 กรกฎาคม 2556      เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2556 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้นำเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ...) พ.ศ. .... ตามมาตรการปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพื่อส่งเสริมความเป็นธรรมและให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจต่อรัฐสภา โดยมีสาระสำคัญดังต่อไปนี้      1. ปรับปรุงขั้นและอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจาก 5 ขั้น เป็น 7 ขั้น และลดอัตราสูงสุดจาก 37% เป็น 35% เพื่อกระจายภาระภาษีให้เท่าเทียมกันมากขึ้น สำหรับเงินได้สุทธิตั้งแต่ 0-300,000 บาท ซึ่งกำหนดอัตราภาษีไว้ร้อยละ 5 กระทรวงการคลังจะตราพระราชกฤษฎีกายกเว้นภาษีสำหรับเงินได้สุทธิ 150,000 บาทแรกต่อไป โดยการปรับปรุงขั้นและอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะใช้บังคับสำหรับเงินได้ประจำปีภาษี 2556 เป็นต้นไป      2. ปรับปรุงหลักเกณฑ์และอัตราภาษีเงินได้ของห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ทั้งนี้ การปรับปรุงหลักเกณฑ์และอัตราภาษีเงินได้ของห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลนี้ จะใช้บังคับกับเงินได้ประจำปีภาษีถัดจากปีภาษีที่กฎหมายมีผลใช้บังคับต่อไป ศก.ไทยครึ่งปี ชะลอจากบริโภคและส่งออกหด ที่มา: โพสทูเดย์ 31 กรกฎาคม 2556      นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายเศรษฐกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานภาวะเศรษฐกิจและการเงินเดือนมิถุนายน และไตรมาสที่ 2 ปี 2556 ว่า เศรษฐกิจเดือนมิถุนายนชะลอลงต่อเนื่องจากเดือนก่อน ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจากจีนที่ชะลอการนำเข้า ส่งผลให้การส่งออกสินค้า การผลิตภาคอุตสาหกรรมเพื่อส่งออก และการลงทุนภาคเอกชนหดตัว ขณะที่การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนทรงตัว ส่วนภาคการท่องเที่ยวขยายตัวดีต่อเนื่อง ก.พลังงาน ย้ำ 1 ก.ย. ขึ้นแอลพีจี ที่มา: โพสทูเดย์ 27 กรกฎาคม 2556      นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวในรายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์ พบประชาชน ถึงการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ครัวเรือนว่า วันที่ 1 กันยายน 2556 จะมีการขึ้นแน่นอน ในอัตรา 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม ทุกเดือน โดยสาเหตุผลของการปรับขึ้นราคาในครั้งนี้เนื่องจากการอุดหนุนราคาแก๊สแอลพีจี ปัจจุบันใช้งบประมาณไปกว่า 1.4 แสนล้านบาท เป็นเงินจากกองทุนน้ำมัน และการอุดหนุนก็ยังไม่เป็นธรรมต่อคนที่ใช้น้ำมัน และการทยอยปรับขึ้นราคาแก๊สแอลพีจีว่า จะปรับขึ้นไปทั้งหมด 6 บาท ทำให้ราคาแก๊สเป็นราคาตามตลาด ณ โรงแยกแก๊ส ซึ่งสูงสุดคือ ก.ก. ละ 24.82 บาท