ธันวาคม 2555 : พระราชพิธีมหามงคล 85 พรรษา ในหลวงทรงเตือนให้เมตตา – ปรารถนาดีต่อกัน 10 เหตุการณ์เด่นทางการเมือง ปี 55 สื่อทำเนียบฯ ตั้งฉายานายกฯ-รัฐมนตรี ส่งท้ายปี 55 ศาลอาญาอ่านคำวินิจฉัยศาล รธน. : ม.112 ไม่ขัด รธน. ศาลรับฟ้อง ปลอดประสพ คดีอนุมัติส่งออกเสือโคร่ง 100 ตัว ศาล ปค. ชี้ ผู้ตรวจการฯ ไร้อำนาจฟ้องกรณีประมูล 3 จี ปชป. มีมติส่ง “สุขุมพันธุ์” ลงชิงผู้ว่าฯ กทม. อีกสมัย ป.ป.ช. เปิดบัญชีทรัพย์สิน ครม. “ยิ่งลักษณ์ 3” ตั้งคณะทำงานศึกษาแนวทางการทำประชามติ ครม. เห็นชอบปรับโครงสร้างภาษี 3 ชุดใหญ่ ปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ โบนัสข้าราชการ 3.5 พันล้านบาท ทุนสำรองประเทศเพิ่ม 500 ล้านเหรียญสหรัฐ รายได้รัฐบาลทะลุเป้า บีโอไออนุมัติ 3.14 หมื่นล้าน ฟื้นฟูน้ำท่วม ขยายเวลามาตรการภาษี-ชำระหนี้-ลดค่าธรรมเนียม เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนใต้อีก 2 ปี ไทยรั้งที่ 3 ประเทศที่ประชาชนมีความสุขมากที่สุด ทรงเตือนให้เมตตา – ปรารถนาดีต่อกัน เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2555 เวลา 09.55 น.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จฯ ออกมหาสมาคม ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต ในการพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสว่า “คำอวยพรและคำปฏิญาณสัญญาที่ทุกท่านได้กล่าวนั้น เป็นที่ประทับใจมาก ขอบใจท่านทั้งหลาย ตลอดจนประชาชนชาวไทยทุกคน ที่พรั่งพร้อมกันมาด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิต ความปรารถนาดีและความพร้อมเพรียงกันของทุกท่านอย่างที่ได้เห็นวันนี้ ทำให้ข้าพเจ้าปลื้มใจ มีกำลังใจมากขึ้นด้วยความเชื่อเสมอว่า ความเมตตาปรารถนาดีต่อกันนี้ เป็นปัจจัยอย่างสำคัญ ที่จะยังความพร้อมเพรียงให้เกิดมีขึ้น ทั้งในหมู่คณะและในชาติบ้านเมือง และถ้าคนไทยเรายังมีคุณธรรมข้อนี้ประจำอยู่ในจิตใจ ก็มีความหวังได้ว่า บ้านเมืองไทยไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดใด ก็จะอยู่รอดปลอดภัย และดำรงมั่นคงต่อไปได้ตลอดรอดฝั่งอย่างแน่นอน ขออำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์จงคุ้มครองรักษาท่านและชาติไทยให้มีแต่ความสุขร่มเย็นยั่งยืนไป” ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ได้มีประชาชนจากทั่วประเทศมาเฝ้ารอรับเสด็จและถวายความจงรักภักดีเต็มลานพระบรมรูปทรงม้าทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตา ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2556 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทาน ส.ค.ส. เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ มีข้อความพิมพ์ด้วยตัวอักษรสีเหลือง ว่า “ความเมตตาเป็นคุณธรรมนำความสุข ช่วยปลอบปลุกปรุงใจให้หรรษา ความกตัญญูรู้คุณผู้เมตตา ทวีค่าของน้ำใจไมตรีเอย” สรุป 10 เหตุการณ์เด่นรอบปี 1. ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองทำพิษสภาป่วน ถือเป็นเหตุการณ์ความวุ่นวายในสภาผู้แทนราษฎรครั้งใหญ่ที่สุด เมื่อ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เสนอร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ ทันทีที่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร นัดประชุมวันที่ 30-31 พฤษภาคม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์คัดค้านเต็มที่ถึงขั้นขว้างเอกสารใส่ประธานสภา แม้สุดท้ายพรรคเพื่อไทยจะใช้เสียงข้างมากให้เลื่อนกฎหมายขึ้นพิจารณาก่อนได้สำเร็จ แต่ถึงวันนี้รัฐบาลก็ยังไม่กล้าเดินหน้า 2. แก้รัฐธรรมนูญ 2550 ติดหล่ม พรรคร่วมรัฐบาลเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 แต่กระบวนการทั้งหมดต้องมาสะดุดในขั้นตอนการเตรียมลงมติวาระ 3 ช่วงเดือนมิถุนายน เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำร้องว่าจะเข้าข่ายล้มล้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 หรือไม่ ต่อมาศาลได้ยกคำร้องและเสนอให้ทำประชามติก่อนหรือแก้ไขเป็นรายมาตรา ในที่สุดเมื่อถึงสิ้นปี รัฐบาลตัดสินใจให้ทำประชามติ แต่ฝ่ายเสื้อแดงต้องการให้เดินหน้าโหวตวาระ 3 สร้างความขัดแย้งให้ดำรงอยู่ต่อไป 3. คลิปเสียงขุนค้อนสะเทือน 'เพื่อไทย' สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร คงไม่คาดว่าคำพูดที่ตัวเองพูดในงานเลี้ยงที่ จ.เพชรบูรณ์ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2555 จะเป็นเหตุให้เกือบถูกพรรคเพื่อไทยปลดจากประมุขฝ่ายนิติบัญญัติเนื่องจากเนื้อหาที่ระบุในทำนองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โทรมาหาหลายครั้งระหว่างการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ และร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง จึงกลายเป็นกุญแจไขปริศนาให้สังคมได้รับรู้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีส่วนเกี่ยวข้องแบบเต็มๆ 4. ซักฟอกจำนำข้าว หมัดเด็ดฝ่ายค้าน ปฏิเสธไม่ได้ว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคประชาธิปัตย์เป็นปรากฏการณ์สำคัญ โดยทีเด็ดที่ฝ่ายค้านแสดงออกมาและเขย่ารัฐบาลได้อย่างเหลือเชื่อ คือ การชำแหละโครงการรับจำนำข้าว ว่ามีคนในพรรคเพื่อไทยเกี่ยวข้องกับความไม่ชอบมาพากล ส่งผลให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รับเรื่องไว้ไต่สวน 5. องค์การพิทักษ์สยามถอยทัพ ปลายปี 2555 รัฐบาลต้องเผชิญแรงเสียดทานจากมวลชนฝ่ายต่อต้านในนาม “องค์การพิทักษ์สยาม" นำโดย พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย การประกาศชุมนุมล้มรัฐบาล แต่การเคลื่อนไหวก็ต้องยุติลงเพียงแค่การนัดชุมนุมครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ภายหลังถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุมบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ทำให้ เสธ.อ้าย ประกาศขอถอนตัวในเวลาต่อมา 6. คอป. เปิดโปงชายชุดดำสะท้าน 'เสื้อแดง' คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.)ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน เปิดแถลงผลการตรวจสอบเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง ระบุชัดว่า ขบวนการชายชุดดำเมื่อปี 2553 มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนเสื้อแดงส่งผลให้ขบวนการเสื้อแดงต้องเสียรังวัด ผลการตรวจสอบของ คอป. สร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างมาก 7. มาตรา 112 จากวิวาทะสู่การปะทะ ประมวลกฎหมายมาตรา 112 ว่าด้วยความผิดในการดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้ถูกหยิบมาเป็นประเด็นสาธารณะของสังคมไทยตลอดทั้งปี และยิ่งเกิดเหตุการณ์การเสียชีวิตของนายอำพล ตั้งนพคุณ หรืออากง ผู้ต้องหาคดี 112 ทำให้เกิดการเรียกร้องจากฝ่ายที่ต้องการให้มีการแก้ไขกฎหมาย ซึ่งนำโดย ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ แกนนำคณะนิติราษฎร์ กระแสต่อต้านรุนแรงขึ้นถึงขั้นมีการทำร้ายร่างกายนักวิชาการรายนี้ 8. เด้ง 'ปลัดกลาโหม'เขย่ากองทัพ คำสั่งย้าย "พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์" จากปลัดกระทรวงกลาโหม มาช่วยราชการสำนักงาน รมว.กลาโหม ของ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต สร้างรอยปริระหว่างกองทัพกับรัฐบาลอย่างมีนัยสำคัญ เพราะถือเป็นการเข้ามาจัดระเบียบกองทัพอย่างที่ไม่มีพรรคการเมืองไหนกล้าทำมาก่อน แม้ว่า พล.อ.เสถียร จะพยายามฟ้องศาลปกครอง แต่ก็ไม่เป็นผล อย่างไรก็ตาม ป.ป.ช. ได้รับเรื่องไว้ไต่สวนแล้ว 9. สหรัฐฯ ขอใช้อู่ตะเภาปมร้อนอาเซียน องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (นาซา) แสดงความจำนงต้องการขอใช้สนามบินอู่ตะเภาของไทยเป็นฐานสำรวจสภาพเมฆในภูมิภาคนี้ ซึ่งมีทั้งเสียงสนับสนุนและเสียงต้าน แต่ถึงกระนั้นรัฐบาลไทยก็ไม่กล้าอนุมัติเพราะกลัวจะสร้างความอ่อนไหวในภูมิภาค และจะกระทบกระเทือนความสัมพันธ์กับประเทศจีน รวมไปถึงหมิ่นเหม่ต่อการขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 190 10. สองผู้นำโลกเยือนไทยกระชับสัมพันธ์ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ได้มีโอกาสต้อนรับสองผู้นำจากประเทศมหาอำนาจ ทั้งนี้ ไทยเป็นประเทศแรกที่ นายบารัก โอบามา เดินทางมาเยือนหลังจากเป็นผู้นำสหรัฐฯ สมัยที่ 2 ถัดมาภายในเดือนเดียวกัน เวินเจียเป่า นายกรัฐมนตรีของจีน ซึ่งใกล้จะหมดวาระการดำรงตำแหน่งมาเป็นแขกของรัฐบาลเช่นกัน สื่อตั้งฉายารัฐบาล รมต. และสภาส่งท้ายปี 55 เป็นธรรมเนียมประจำทุกสิ้นปี ที่สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลจะร่วมกันตั้งฉายาคณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีแต่ละกระทรวง เพื่อเป็นการสะท้อนการทำหน้าที่ของข้าราชการฝ่ายการเมือง ในโอกาสส่งท้ายปลายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่ โดยในปีนี้สื่อได้ตั้งฉายารัฐบาล ว่า "พี่คนแรก" มีความหมายต้องการล้อคำมาจากนโยบายที่ขึ้นชื่อของรัฐบาล เช่น รถคันแรก บ้านหลังแรก แต่ด้วยความที่นายกรัฐมนตรีต้องทำงานบริหารประเทศภายใต้เงาของพี่ชาย พี่สาว รวมไปถึงปัญหาต่างๆ ก็มาจากเรื่องของพี่ ทั้งปัญหาของบ้านเมือง ข้าวของแพง ปัญหาปากท้องของชาวบ้าน ข้อครหาทุจริตไม่ได้รับการแก้ไขหรือชี้แจงอย่างชัดเจน ดังเช่นที่นายกรัฐมนตรีกล่าวชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา หลังถูกกล่าวหาเรื่องการขาดความรับผิดชอบ ลอยตัวเหนือปัญหา ไม่ชี้แจงประเด็นที่ถูกกล่าวหา โดยเฉพาะเรื่องนโยบายรับจำนำข้าว โครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ที่ถูกตั้งข้อสังเกตถึงความไม่โปร่งใสและเอื้อประโยชน์พวกพ้อง ทั้งนี้ ฉายารัฐมนตรีที่สื่อได้ตั้งให้นั้น มีดังต่อไปนี้ 1. นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ฉายา “ปูกรรเชียง” 2. ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ได้ฉายา “กันชนตระกูลชิน” 3. นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ฉายา “ลูกไก่ไวท์ไล” 4. พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ฉายา “ตามล่าหน้าหล่อ” 5. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ฉายา “ไพร่เทียม” 6. นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ฉายา “บุญทรุด” 7. นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ฉายา “ด.ดันดี” 8. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ฉายา “โฟร์แมนสแตนด์บาย” 9. นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี ได้ฉายา “ปั้นน้ำเป็นทุน“ และ 10. นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ฉายา “สิงห์สำรอง” ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2555 สื่อมวลชนประจำรัฐสภาได้ตั้งฉายาสภาผู้แทนราษฎร คือ “จองล้าง...จ้องผลาญ” เนื่องจากภาพรวมการทำงานของสภาฯ ที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ ต่างเสนอญัตติหรือยื่นเรื่องให้คณะกรรมาธิการที่เป็นพรรคพวกเดียวกันตรวจสอบฝ่ายตรงข้าม รวมทั้งตั้งกระทู้ถามสดเพื่อหาข้อผิดพลาดของอีกฝ่าย ซึ่งไม่ต่างกับการจ้องจะล้างแค้นซึ่งกันและกัน ขณะที่ “จ้องผลาญ” คือการผลาญงบประมาณแผ่นดิน เห็นได้จากการที่ ส.ส.จ้องจัดสรรงบฯ ให้พวกตัวเอง ศาล รธน. ชี้ขาด ม.112 ไม่ขัด รธน. เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2555 ที่ศาลอาญา ศาลออกนั่งบัลลังก์นัดพร้อมเพื่อฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนา เพื่อประชาธิปไตย และอดีตบรรณาธิการหนังสือ วอยซ์ ออฟ ทักษิณ จำเลยหมิ่นเบื้องสูง ได้ขอให้ศาลส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญฯ ปี 2550 มาตรา 3, 8, 29 และ 45 เรื่องการจำกัดสิทธิเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น รวมทั้งลักษณะคดีกลับไม่มีการกำหนดข้อยกเว้นในการแสดงความคิดเห็นเหมือนกับคดีการหมิ่นประมาททั่วไป ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329 หรือไม่ ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ภายหลังอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้นายสมยศ จำเลย ฟังแล้ว ศาลอาญาจึงนัดฟังคำพิพากษา ในวันที่ 23 มกราคม 2556 เวลา 09.00 น. อัยการฟ้องปลอดประสพ คดีส่งออกเสือโคร่ง 100 ตัว เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2555 ศาลอาญาได้รับคำฟ้อง ตามที่อัยการได้ยื่นฟ้องนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ขณะที่จำเลยดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมป่าไม้ กระทำผิดกฎหมาย อนุญาตให้ส่งเสือโคร่งพันธุ์เบงกอล จำนวน 100 ตัว ตามคำร้องของบริษัทศรีราชา ไทเกอร์ ซู โดยไม่ได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และไม่พิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งเพราะปรากฏภายหลังอย่างชัดเจนว่า การขออนุญาตเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์อันมีลักษณะเป็นการค้า และไม่ได้คำนึงถึงกรณีที่ประเทศไทยเป็นสมาชิกเหล่าภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งชนิดของสัตว์ปีกและสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (Cites) ทั้งนี้ ศาลได้นัดตรวจพยานหลักฐานทั้ง 2 ฝ่าย วันที่ 22 เมษายน 2556 เวลา 09.00 น. ศาล ปค. ชี้ ผู้ตรวจการฯ ไร้อำนาจ กรณีประมูล 3 จี เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2555 องค์คณะตุลาการศาลปกครองกลาง ได้มีมติ 4 ต่อ 2 ไม่รับฟ้องกรณีผู้ตรวจการแผ่นดินฯ ยื่นฟ้องคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กรณีจัดประมูล 3จี ไม่ชอบตามรัฐธรรมนูญ พร้อมขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา ทั้งนี้ ตุลาการเสียงข้างมาก 4 เสียง เห็นว่าผู้ตรวจการแผ่นดินไม่มีอำนาจฟ้อง กสทช. เนื่องจาก กสทช. เป็นองค์กรอิสระ และการจัดประมูล 3จี เป็นไปตามอำนาจและหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้ กสทช. ทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่ ดังนั้นการที่คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) ได้กำหนดเงื่อนไขการประมูลต่างๆ ถือเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย ปชป. ส่ง “สุขุมพันธุ์” ลงชิงผู้ว่าฯ กทม. ซ้ำ เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2555 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้เรียกประชุมกรรมการบริหารพรรค 19 คน เพื่อพิจารณารายชื่อบุคคลที่เสนอตัวลงสมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จำนวน 4 คน ที่คณะกรรมการคัดเลือกผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ที่มีนายบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นประธาน พิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว ประกอบด้วย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ อดีตกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ นายประกอบ จิรกิติ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรองผู้ว่าฯ กทม. และนายอภิชัย เตชะอุบล ผู้สมัครบัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ซึ่งคณะกรรมการบริหารพรรคแต่ละคนได้ร่วมแสดงความคิดเห็น จนสุดท้ายมีการเสนอชื่อนายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้ที่ประชุมได้พิจารณาโดยระบุว่า ขอให้เป็นทางเลือกอีกคนหนึ่ง หลังจากนั้นได้มีการลงคะแนนลับเพื่อโหวตเลือกผู้ที่มีความเหมาะสมทั้ง 5 คน และที่สุดที่ประชุมมีมติเลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เป็นผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีการพูดคุยถึงจุดอ่อนของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ที่เป็นผู้ว่าฯ กทม. มานาน จึงต้องมีรอยช้ำ โดยเฉพาะคดีการต่อสัญญาโครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าบีทีเอส แต่เห็นว่า ไม่ว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ จะได้ลงสมัครหรือไม่ได้ลงสมัคร ก็ต้องต่อสู้คดีนี้อยู่แล้ว เพราะเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยคงจะเล่นคดีนี้ถึงที่สุด และมั่นใจว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ จะสามารถชี้แจงได้ ป.ป.ช. เปิดบัญชีทรัพย์สิน ครม. “ยิ่งลักษณ์ 3” เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2555 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยิ่งลักษณ์ 3 ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2555 จำนวน 23 ราย 24 ตำแหน่ง ซึ่งปรากฏว่ารัฐมนตรีที่มีทรัพย์สินมากที่สุดใน ครม. ชุดนี้ คือ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีทรัพย์สินกว่า 331 ล้านบาท ส่วนภรรยามีทรัพย์สินกว่า 2,590 ล้านบาท รวมมีทรัพย์สินทั้งสิ้นกว่า 2,921 ล้านบาท ส่วนผู้ที่มีทรัพย์สินรองลงมา คือ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินกว่า 1,140 ล้านบาท ตามด้วย นพ.ประดิษฐ์ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินกว่า 963 ล้านบาท สำหรับรัฐมนตรีที่มีทรัพย์สินน้อยที่สุด คือ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินแค่ 3 ล้านกว่าบาทเท่านั้น ส่วนรัฐมนตรีคนอื่นๆ อาทิ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินกว่า 48 ล้านบาท, นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินกว่า 963 ล้านบาท นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินกว่า 17 ล้านบาท เป็นต้น ตั้งคณะทำงานศึกษาแถลงการณ์ทำประชามติ เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2555 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้รับทราบการทำประชามติในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พร้อมเห็นชอบให้ตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาและพิจารณารายละเอียดความเป็นไปได้ตามมาตรา 165 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการทำประชามติ โดยคณะกรรมการประกอบด้วย รัฐมนตรียุติธรรม รัฐมนตรีมหาดไทย รัฐมนตรีศึกษาธิการ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายที่ซับซ้อน โดยจะศึกษาวิธีการออกเสียงประชามติและเวทีเสวนา เพื่อให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกประมาณ 2-3 สัปดาห์ ครม. เห็นชอบปรับโครงสร้างภาษี 3 ชุดใหญ่ เมื่อวันที่18 ธันวาคม 2555 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบปรับโครงสร้างภาษี 3 ชุดใหญ่ ประกอบด้วย การเสนอ พ.ร.ก.แก้ไขประมวลรัษฎากรเพื่อให้สามีและภรรยาสามารถแยกยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา ชุดที่สอง ครม. มีมติเห็นชอบปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ ชุดที่สาม ครม.มีมติเห็นชอบให้ปรับโครงสร้างภาษีบุคคลธรรมดา ทั้งนี้ มีรายงานว่า หลักการของการปรับโครงสร้างภาษีบุคคลธรรมดานั้นจะมีการซอยขั้นบันไดภาษีถี่ขึ้นเป็น 5% 10% 15% 20% 25% 30% และ 35% จากเดิม 10% 20% 30% และ 37% เพื่อความเป็นธรรมมากขึ้น นอกจากนี้ จะมีการตีกรอบวงเงินหักลดหย่อนทุกรายการไม่เกิน 5 หมื่นบาท ถึง 1 แสนบาท ปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2555 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่างประกาศปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนภาษีสรรพสามิตรถยนต์ทั้งระบบ โดยจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์ตามอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) เพื่อให้เหมาะสมเป็นธรรมกับรถยนต์ทุกประเภท และสอดคล้องกับแผนพัฒนาพลังงานทดแทนของรัฐบาล โดยให้คำนึงถึงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อาทิเช่น รถยนต์นั่งขนาดกลางที่มีเครื่องยนต์ขนาด 1.4-1.5 ลิตร ซึ่งเป็นกลุ่มรถยนต์ที่มียอดจำหน่ายมากที่สุดในตลาดรถยนต์นั่งนั้น โครงสร้างภาษีใหม่หากปล่อยไอเสียไม่เกิน 150 กรัม/กม. เสียภาษีเพิ่มขึ้นจาก 25% เป็น 30% แต่หากปล่อยไอเสียไม่เกิน 200 กรัม/กม. เสียภาษีเพิ่มเป็น 35% หรือราคารถยนต์จะเพิ่มขึ้นคันละ 3-8 หมื่นบาท ทั้งนี้ ประกาศดังกล่าวจะใช้วันที่ 1 มกราคม 2559 กรมสรรพสามิตชี้โครงสร้างภาษีใหม่จะทำให้กรมมีรายได้เพิ่มขึ้น 2.56 หมื่นล้านบาท แจกโบนัส ขรก. 3.5 พันล้านบาท เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2555 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2555 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ 54 ให้ส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา ทั้งนี้ สำนักงบประมาณจะจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 55 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ 54 ให้กรมบัญชีกลาง เพื่อจัดสรรให้ส่วนราชการ จังหวัดและสถาบันอุดมศึกษา ภายในกรอบวงเงิน 3,563 ล้านบาท ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สำนักงาน ก.พ.ร. กำหนด ทุนสำรองประเทศเพิ่ม 500 ล้านเหรียญ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ 14 ธันวาคม 2555 ว่า อยู่ที่ระดับ 1.826 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 5.596 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.53 หมื่นล้านบาท หากคิดอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบันที่ระดับ 30.60 บาทต่อเหรียญสหรัฐ จากสัปดาห์ก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ 1.821 แสนล้านเหรียญสหรัฐ รายได้รัฐบาลทะลุเป้า นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า รายได้รัฐบาลในเดือนพฤศจิกายน 2555 จัดเก็บได้ 1.74 แสนล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 2.3 หมื่นล้านบาท หรือ 15.2%โดยภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิตรถยนต์จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริโภคที่ขยายตัวต่อเนื่อง ประกอบกับนโยบายรถยนต์ใหม่คันแรก ส่งผลให้รายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2556 สูงกว่าเป้าหมาย 2.51 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ ภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่เริ่มส่งสัญญาณที่ดีขึ้น ทำให้มั่นใจว่าในปีงบประมาณ 2556 รัฐบาลจะสามารถจัดเก็บรายได้ตามเป้าหมายที่ 2.1 ล้านล้านบาท บีโอไออนุมัติ 39 โครงการ ฟื้นฟูลงทุนน้ำท่วม นายประเสริฐ บุญชัยสุข รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาโครงการตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อฟื้นฟูการลงทุนจากวิกฤตอุทกภัย ครั้งที่ 6 ว่า ที่ประชุมได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนตามมาตรการฟื้นฟูฯ ให้แก่โครงการจำนวน 39 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวม 3.14 หมื่นล้านบาท เป็นการอนุมัติภายใต้มาตรการเพื่อฟื้นฟูการลงทุนจากวิกฤตอุทกภัย 32 โครงการ มูลค่า 2.79 หมื่นล้านบาท และการอนุมัติภายใต้มาตรการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนใหม่ หรือขยายการลงทุนในพื้นที่ที่ประสบปัญหาอุทกภัยเดิมจำนวน 7 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวม 3,506 ล้านบาท สำหรับโครงการที่ได้รับการอนุมัติในครั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ รวมทั้งอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน ขยายเวลาภาษี-พักชำระหนี้ชายแดนใต้ เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2555 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติการขยายระยะเวลามาตรการสำหรับเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้อีก 2 ปี ไปสิ้นสุด 31 ธันวาคม 2557 รวม 10 มาตรการ ประกอบด้วย มาตรการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลให้บริษัทหรือนิติบุคคลที่มีสถานประกอบการในเขตพัฒนาพิเศษดังกล่าว ซึ่งการขยายเวลามาตรการดังกล่าวจะส่งผลต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล 1.4 พันล้านบาท/ปี "ไทย" ติดกลุ่มท็อป คนมีความสุขที่สุด กัลอัพ อิงค์ บริษัทวิจัยจากสหรัฐฯ เผยผลการจัดอันดับประเทศที่ประชากรมีความสุขมากที่สุดในโลก พบว่า ปานามาและปารากวัย ครองอันดับ 1 ร่วมกัน ตามมาด้วยเอลซัลวาดอร์และเวเนซุเอลา ครองที่ 2 ร่วมกัน ขณะที่ไทยรั้งอันดับที่ 3 ร่วมกับ ตรินิแดดและโตเบโก จากทั้งหมด 148 ประเทศ ด้านสิงคโปร์มีความสุขน้อยที่สุด