ตุลาคม 2555 : โปรดเกล้าฯ ครม.ยิ่งลักษณ์ 3 โปรดเกล้าฯ ครม.ยิ่งลักษณ์ 3 แล้ว ยื่นญัตติซักฟอกรัฐบาล กำหนดวันอภิปราย 25-26 พ.ย. เพื่อไทยได้ จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ มติ กทค. 4 ต่อ 1 รับรองผลประมูล 3 จี อนุมัติงบ 517.34 ล้านบาท พัฒนา 27 โครงการ 4 จังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย วุฒิสภารับหลักการ พ.ร.บ.ร่วมทุน รัฐ-เอกชน หนี้สาธารณะ ปี 56 แตะเพดาน 47.5% จีดีพี เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 โตแค่ 4% หนี้สาธารณะ ณ ส.ค. 55 เท่ากับ 44.89% ของ จีดีพี หมายจับ “ทักษิณ” คดีทุจริตปล่อยกู้แบงก์กรุงไทย สภาผ่านร่าง พ.ร.บ.ฟอกเงิน และ พ.ร.บ.ป้องกันสนับสนุนการเงินก่อการร้าย รับจำนำข้าวเปลือกนาปรังกรณีพิเศษอีก 1.39 ล้านตัน 68 ส.ว. ขอศาล รธน. วินิจฉัยขายข้าวจีทูจี องค์กรพิทักษ์สยามชุมนุมไล่รัฐบาล วุฒิสภารับหลักการตั้งกรมฝนหลวง ศาล รธน. ชี้ "มาตรา 112" ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. เปิดบัญชีทรัพย์สินหนี้สินรัฐบาล “อภิสิทธิ์” หลังพ้นตำแหน่ง 1 ปี ครม. เห็นชอบ "หวยออนไลน์" ป.ป.ช. ขึ้นเงินเดือน ขรก. ครูแรกบรรจุ ย้อนหลังตั้งแต่ 1 ม.ค. 2555 ไทยติดอันดับ 26 ประเทศที่มีภาพลักษณ์ดีสุดในโลก โปรดเกล้าฯ ครม. ยิ่งลักษณ์3 เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2555 ราชกิจจานุเบกษาได้ประกาศรายชื่อคณะรัฐมนตรีที่ได้มีการแต่งตั้งรัฐมนตรีใหม่ ดังต่อไปนี้ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรมว.กระทรวงการต่างประเทศ นายปลอดประสพ สุรัสวดี เป็นรองนายกรัฐมนตรี นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา เป็นรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ศึกษาธิการ นายวราเทพ รัตนากร เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายยุคล ลิ้มแหลมทอง เป็น รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ เป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์ นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร เป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เป็น รมว.คมนาคม พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต เป็น รมช.คมนาคม นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เป็น รมช.คมนาคม นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล เป็น รมว.พลังงาน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็น รมช.พาณิชย์ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ เป็น รมว.มหาดไทย พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก เป็น รมช.มหาดไทย นายประชา ประสพดี เป็น รมช.มหาดไทย นายสนธยา คุณปลื้ม เป็น รมว.วัฒนธรรม นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล เป็น รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช เป็น รมช.ศึกษาธิการ นายประดิษฐ สินธวณรงค์ เป็น รมว.สาธารณสุข นายชลน่าน ศรีแก้ว เป็น รมช.สาธารณสุข นายประเสริฐ บุญชัยสุข เป็น รมว.อุตสาหกรรม นายฐานิสร์ เทียนทอง เป็น รมช.อุตสาหกรรม ยื่นญัตติซักฟอกรัฐบาล 9 พ.ย. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวว่า ได้ประสานกับวิปรัฐบาลแล้วได้ข้อสรุปร่วมกันว่า จะดำเนินการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลระหว่างวันที่ 25-26 พฤศจิกายน 2555 และลงมติวันที่ 27 พฤศจิกายน แต่หากการอภิปรายต้องต่อเนื่องไปถึง 27 พฤศจิกายน ก็จะลงมติ 28 พฤศจิกายน โดยจะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจวันที่ 9 พฤศจิกายน 2555 ขณะที่พรรคภูมิใจไทยจะร่วมลงชื่อและร่วมอภิปรายในครั้งนี้ด้วย เพื่อไทยเลือก "จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ" เป็นหัวหน้าพรรค เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2555 สมาชิกพรรคเพื่อไทยจำนวน 334 คน ได้เข้าประชุมใหญ่วิสามัญประจำปี ครั้งที่ 1/2555 เพื่อเลือกตั้งหัวหน้าและคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยชุดใหม่ โดยที่ประชุมมีมติ 332 ต่อบัตรเสีย 2 เลือก นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย เป็นหัวหน้าพรรคแทนนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ ที่ลาออกไปก่อนหน้านั้น บอร์ด กทค. รับรองผลประมูล 3 จี เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2555 ที่ประชุมคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม หรือ กทค. ได้มีมติ 4:1 รับรองผลการประมูลใบอนุญาตให้บริการ 3 จี หรือไลเซ่นส์ 3 จี 2.1 กิกะเฮิร์ตซ ซึ่งได้ทำการประมูลไปเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2555 และมีผู้ได้รับอนุญาต 3 บริษัทด้วยกัน คือ บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด ในเครือเอไอเอส เสนอราคาสูงสุดที่ 14,625 ล้านบาท บริษัท เรียล ฟิวเจอร์ จำกัด ในเครือทรูมูฟ และบริษัท ดีแทค เน็ทเวอร์ค จำกัด ในเครือดีแทค เสนอราคาเท่ากันที่ 13,500 ล้านบาท ภายหลังจากการประมูลดังกล่าวเสร็จสิ้นลงได้มีหลายหน่วยงานออกมาคัดค้านการประมูลดังกล่าวว่าทำให้รัฐเสียรายได้และนำไปสู่กระบวนการขอยกเลิกการประมูลดังกล่าว มติ ครม. อนุมัติ 517 ล้าน 27 โครงการ 4 จว.ใต้ เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2555 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจรที่วิทยาลัยนานาชาติการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี มีมติเห็นชอบแผนงานการพัฒนา 4 จังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย 27 โครงการ ในวงเงิน 517.34 ล้านบาท นอกจากนี้ ครม.ยังอนุมัติเห็นชอบในหลักการกรอบข้อเสนอแผนงานและโครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย ทั้ง 4 จังหวัด อีก 96 โครงการ วงเงินรวม 40,200.99 ล้านบาท โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่รับผิดชอบไปศึกษาหาความเหมาะสมต่อไป วุฒิสภารับหลักการ พ.ร.บ.ร่วมทุนรัฐ-เอกชน เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2555 การประชุมวุฒิสภามีมติเสียงข้างมาก 111 เสียง รับหลักการร่าง พ.ร.บ. การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐและตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา จำนวน 23 คน พร้อมกำหนดแปรญัตติภายใน 7 วัน ในวาระที่ 1 โดยมีสาระสำคัญ คือ กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานโดยมีอำนาจหน้าที่สำคัญ เช่น การจัดทำแผนยุทธศาสตร์เพื่อเสนอขอความเห็นชอบต่อคณะรัฐมนตรี การให้ความเห็นชอบหลักการโครงการที่จะให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน และการดำเนินโครงการตามที่กำหนด การพิจารณาเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางด้านการเงินหรือการคลังในการสนับสนุนให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐต่อคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ ยังกำหนดให้มีการจัดทำแผนยุทธศาสตร์เพื่อกำหนดให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐให้มีระยะเวลาดำเนินการตามแผนครั้งละ 5 ปี หนี้สาธารณะปี 56 แตะเพดาน 47.5% ของจีดีพี เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2555 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปี 2556 วงเงินรวม 1.92 ล้านล้านบาท เป็นแผนก่อหนี้ใหม่รวม 959,391 ล้านบาท แบ่งเป็นหนี้ในประเทศ 943,936 ล้านบาท หนี้ต่างประเทศ 15,455 ล้านบาท และในวงเงินดังกล่าวแบ่งเป็นหนี้รัฐบาล 700,000 ล้านบาท และหนี้ของรัฐวิสาหกิจ 20,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ประมาณการดังกล่าวเมื่อเทียบต่อจีดีพีแล้ว มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 47.5 และภาระหนี้ต่องบประมาณอยู่ที่ร้อยละ 7.4 จึงยังเป็นไปตามกรอบความยั่งยืนทางการคลังที่มีกรอบหนี้สาธารณะต้องไม่เกินร้อยละ 60 ต่อจีดีพี และภาระหนี้ต่องบประมาณไม่เกินร้อยละ 15 ต่อจีดีพี เศรษฐกิจไตรมาส 3 โตเพียง 4 % นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือน กันยายน 2555 และไตรมาส 3/55 เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยได้รับแรงสนับสนุนหลักจากการใช้จ่ายในประเทศทั้งจากการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่ยังคงขยายตัวได้ดี ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยช่วงไตรมาส 3/2555 จะเติบโตในช่วง 3.5-4% ขณะที่ไตรมาส 4/2555 เศรษฐกิจไทยจะต้องเติบโตในระดับ 12-14% เพื่อทำให้ทั้งปี 2555 เป็นไปตามคาดการณ์ที่ สศค. ประเมินไว้ที่ 5.5% หนี้สาธารณะ ส.ค. 44.89% ของจีดีพี น.ส.จุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือน 31 สิงหาคม 2555 มีจำนวน 5.01 ล้านบาท หรือคิดเป็น 44.89% โดยเป็นหนี้ของรัฐบาล 3.62 ล้านล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน 1.02 ล้านล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินโดยรัฐบาลค้ำประกัน 3.51 แสนล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ 6,541 ล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นสุทธิ 1.03 แสนล้านบาท ศาลฎีกาฯ ออกหมายจับ “ทักษิณ” คดีทุจริตปล่อยกู้แบงก์กรุงไทย เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2555 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในคดีปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย แต่โดยเหตุที่จำเลยมิได้มาปรากฏตัว จึงให้จำหน่ายคดีในส่วนของจำเลยออกจากสารบบไว้ก่อน คดีนี้เป็นไปตามที่ นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายวิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย และบริษัทในเครือของบริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) กับพวกรวม 27 ราย เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และโดยทุจริต จากกรณีที่ธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้เพื่อฟื้นฟูกิจการ บมจ.กฤษดามหานคร โดยมิชอบ นับหมื่นล้านบาท มติสภาฯ อนุมัติ กม.ปราบฟอกเงิน-ก่อการร้าย เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2555 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติเป็นเอกฉันท์ 371 เสียง และ 362 ต่อ 1 เสียง เห็นชอบวาระ 3 ร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และ ร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย และให้ส่งวุฒิสภาพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เป็นการกำหนดความผิดมูลฐานเพิ่มเติมและกำหนดกรอบของความผิดมูลฐานให้ชัดเจน รวมทั้งกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ที่จะกำหนดนโยบายในการประเมินความเสี่ยงเกี่ยวกับการฟอกเงินและเสนอแนวทางเพื่อป้องกันความเสี่ยง และให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สนับสนุนการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดหรือการดำเนินการกับทรัพย์สินเกี่ยวกับการกระทำความผิด และกำหนดให้มีคณะกรรมการเปรียบเทียบปรับ เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับมาตรฐานสากล ขณะที่สาระสำคัญของ ร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย เพื่อกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินและการก่อการร้ายและการเข้าถึงเงินทุนของผู้ก่อการร้าย โดยจัดทำบัญชีรายชื่อผู้ก่อการร้าย การระงับการดำเนินการกับทรัพย์สินของผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อผู้ก่อการร้าย ตลอดจนการกำหนดโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.นี้ รับจำนำข้าวนาปรังเพิ่มอีก 1.39 ล้านตัน เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2555 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังประจำปี 2555 เป็นกรณีพิเศษ จำนวน 1.39 ล้านตัน ซึ่งเป็นไปตามมติของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ทำให้ขณะนี้มีข้าวที่เข้าโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล จำนวนรวมทั้งสิ้น 14.70 ล้านตัน โดยให้ใช้วงเงินทุนหมุนเวียนเดิมของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ในการรับจำนำประจำปี 54/55 จำนวน 9 หมื่นล้านบาท 68 ส.ว. ขอศาล รธน. วินิจฉัยขายข้าวจีทูจี เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2555 นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา พร้อมด้วย ส.ว. 67 คน ได้ยื่นหนังสือถึงนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา เพื่อขอให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยว่าสัญญาขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) จำนวน 7.32 ล้านตัน มูลค่า 114,000 ล้านบาท เข้าข่ายสัญญาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 วรรค 2 ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) จะต้องชี้แจงและขอความเห็นจากรัฐสภาหรือไม่ และเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม นายพิมล ธรรมพิทักษ์พงษ์ หัวหน้าโฆษกศาลรัฐธรรมนูญ เผยว่า เรื่องดังกล่าวถึงศาลรัฐธรรมนูญแล้ว อยู่ระหว่างตรวจสอบความถูกต้องของคำร้อง ก่อนหน้านี้ ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำสั่งไม่รับคำร้องยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวไว้พิจารณา เหตุไม่เข้าข่ายมาตรา 212 ตามที่นายอดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา คณบดีคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) พร้อมด้วยรายชื่ออาจารย์และนักศึกษาจำนวน 146 คน ไว้พิจารณา เนื่องจากไม่อยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ประกอบกับผู้ร้องยังมิใช่เป็นบุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพอันสืบเนื่องมาจากบทบัญญัติแห่งกฎหมายหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ จึงไม่เข้าตามหลักเกณฑ์ มาตรา 212 ส่วนการทุจริตจำนำข้าวนั้น ปรากฏว่ายังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีหลายภาคส่วนได้สังเกตการณ์โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติให้สำนักงาน ป.ป.ช. ไปรวบรวมข้อมูลในเรื่องการรับจำนำข้าวทั้งหมด เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาอีกครั้งหนึ่งแล้ว เสธ.อ้าย จัดชุมนุม ไล่รัฐบาล ภาคประชาสังคมโดยแกนนำ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม ได้จัดชุมนุมในวันที่ 28 ตุลาคม 2555 ที่สนามม้านางเลิ้ง ตั้งแต่ 10.00 น. โดยมีเหตุผล 3 เรื่อง คือ รัฐบาลปล่อยปละให้มีการจาบจ้วงสถาบันอย่างกว้างขวาง นักการเมืองไทยไม่มีธรรมาภิบาล และ ปล่อยให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่น ตลอดทั้งวันมีผู้เข้าร่วมมาลงทะเบียนกว่า 30,000 คน และไม่ลงทะเบียนอีกส่วนหนึ่ง ก่อนหน้าการชุมนุม พล.อ.บุญเลิศ กล่าวว่า หากมีผู้มาชุมนุมไม่ถึงพันคนจะยุติทันที แต่ถ้ามีมากกว่านั้นจะพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไป หลังการชุมนุมจบลง พล.อ.บุญเลิศ ได้นัดให้มีการชุมนุมครั้งต่อไปที่ลานพระบรมรูปทรงม้าในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 วุฒิสภารับหลักการตั้งกรมฝนหลวง เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2555 ที่ประชุมวุฒิสภามีมติเสียงข้างมาก 109 ต่อ 8 เสียง รับหลักการวาระที่ 1 ของร่าง พ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวงทบวง กรม (ฉบับที่ ...) พ.ศ. .... (จัดตั้งกรมฝนหลวงและการบินเกษตร) ตามที่สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเห็นชอบแล้ว โดยให้คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้พิจารณาและกำหนดให้ ส.ว. แปรญัตติได้ภายใน 7 วัน สำหรับสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว คือ ยกฐานะสำนักฝนหลวงและการบินเกษตรในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขึ้นเป็นกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ศาล รธน. ชี้ ม.112 ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2555 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเอกฉันท์ว่าประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และมาตราดังกล่าวมีไว้เพื่อคุ้มครองป้องกันสถาบันกษัตริย์จากการถูกล่วงละเมิด เรื่องนี้เป็นไปตามที่นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข จำเลยคดีหมิ่นสถาบันได้ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยประมวลกฎหมายอาญา ว่ามาตรา 112 ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคสอง มาตรา 29 และ 45 วรรคหนึ่งและวรรคสองหรือไม่ เปิดบัญชีทรัพย์สินรัฐบาลอภิสิทธิ์หลังพ้นตำแหน่ง 1 ปี สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยรายการทรัพย์สินและหนี้สินของคณะรัฐมนตรี ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หลังพ้นจากการดำรงตำแหน่งครบรอบ 1 ปี เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2555 พบว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 53.94 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อพ้นจากตำแหน่งพบว่ามีทรัพย์สินลดลงกว่า 4 แสนบาท นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สินลดลงกว่า 232.26 ล้านบาท ส่วนอดีตรัฐมนตรีที่รวยที่สุด คือ นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแจ้งมีทรัพย์สิน 751,780,346.09 บาท ขณะที่คู่สมรสมี 114,129,493.75 บาท ทำให้นายกรณ์ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินรวม 865,909,839.84 บาท นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีทรัพย์สินกว่า 694.65 ล้านบาท และพบว่ามีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นกว่า 493.37 ล้านบาท ขณะที่นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย มีทรัพย์สินกว่า 27.3 ล้านบาท แต่คู่สมรสมีทรัพย์สินกว่า 176 ล้านบาท มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นกว่า 8 ล้านบาท ครม. เห็นชอบหวยออนไลน์ เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2555 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบข้อเสนอของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเดินหน้าการจำหน่ายเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว ด้วยเครื่องอัตโนมัติ เพื่อแก้ไขปัญหาสลากเกินราคาและความต้องการของผู้ซื้อ และลดการทุจริตในการจัดสรรโควตาให้พ่อค้าคนกลาง ป้องกันการฟอกเงินของกลุ่มนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐ ขึ้นเงินเดือนครูแรกบรรจุย้อนหลังตั้งแต่ 1 ม.ค.55 ที่ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ด้านเศรษฐกิจ ที่มีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และ รมว.คลัง เป็นประธาน มีมติเห็นชอบการปรับเพิ่มเงินเดือนแรกบรรจุตามวุฒิการศึกษาของข้าราชการครูและบุคลากรการศึกษาทั่วประเทศรวม 8.63 หมื่นคน เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับเพิ่มเงินเดือนข้าราชการพลเรือนสามัญ ที่ปรับขึ้นไปเป็นเดือนละ 1.5 หมื่นบาท ทั้งนี้ ให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 โดยจะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งต่อไป นอกจากนี้ คณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติเห็นชอบการปรับเงินเดือนเพื่อชดเชยผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับเพิ่มเงินเดือนแรกบรรจุ ของข้าราชการครูและบุคลากรการศึกษา โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เช่นกัน ไทยติดอันดับ 26 ประเทศมีภาพลักษณ์ดีที่สุดในโลก บริษัทโฆษณาและวิจัยตลาดชื่อดังของโลก แม็คแคนน์ เวิลด์ กรุ๊ป ได้เปิดเผยผลสำรวจประเทศที่มีภาพลักษณ์ดีที่สุดในโลก หรือ Country Brand Index ประจำปี 2012-2013 โดยพบว่า ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ถูกจัดอยู่ในอันดับหนึ่งของประเทศที่มีภาพลักษณ์ดีที่สุดในโลก ตามมาด้วยประเทศแคนาดา ญี่ปุ่น สวีเดน นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย เยอรมนี สหรัฐอเมริกา ฟินแลนด์ และนอร์เวย์ สำหรับประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 26 ของโลก ขณะที่เพื่อนบ้านใกล้เคียงอย่างสิงคโปร์ได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ 14 ของโลก อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังถูกจัดให้ติดอยู่ในกลุ่ม 15 ประเทศที่มีศักยภาพในการก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านภาพลักษณ์ระดับโลกในอนาคต หรือ “FUTURE 15” โดยในกลุ่มนี้ประกอบไปด้วย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ชิลี มาเลเซีย กาตาร์ เอสโทเนีย จีน ไอซ์แลนด์ เม็กซิโก บราซิล ตุรกี โคลอมเบีย อินเดีย คาซัคสถาน และเวียดนาม