พฤษภาคม 2555 : สภาวุ่นเพราะร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง สภาวุ่นเพราะร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ร่างแก้ไข รธน. ผ่านรัฐสภา วาระ 2 งบ 2.4 ล้านล้าน ปี 56 เข้าสภา ครม. ไฟเขียว ร่าง กม.ฟอกเงิน ศาล รธน. ให้ “จตุพร” พ้นสภาพ ส.ส. คอป. เสนออัตราเยียวยาต่างจากรัฐบาล ตัวแทน ครก. ขอแก้ มาตรา 112 จำคุก “ธรรมรักษ์” ฐานจ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้ง ยอดจดทะเบียนธุรกิจใหม่ลดต่อเนื่อง ครัวเรือนไทยมีหนี้เพิ่ม ธ.โลกเตือนลดประชานิยม จำนำข้าวขาดทุน 2 หมื่นล้าน แท็กซี่ต้องมีใบขับขี่สาธารณะ สภาเด็กฯ ท้องถิ่นประสบความสำเร็จเพียง 30% รำลึก 2 ปี สลายเสื้อแดงชุมนุม ศาลสั่ง กทม. จ่ายเหยื่อซานติก้า 1-2 แสน บ./ราย เว้นภาษีเงินได้ สมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่เกษียณอายุ เด็ก ป.4 ใช้แท็บเล็ตคุ้มค่ากว่า ป.1 ฟรีไว-ไฟ ขยายทั่วไทย สภาวุ่นเพราะร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2555 ได้เกิดความวุ่นวายในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรจนเป็นเหตุให้ประธานสภาฯ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ต้องสั่งให้ที่ประชุมออกเสียงว่าจะนำร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ทั้ง 4 ฉบับ บรรจุเข้าวาระการประชุมในวันที่ 1 มิถุนายน 2555 หรือไม่ และที่ประชุมได้มีมติด้วยคะแนนเสียง 272 ต่อ 2 งดออกเสียง 1 และไม่ลงคะแนน 1 ให้บรรจุเข้าวาระ แต่เมื่อถึงเวลาประชุมในตอนบ่ายวันที่ 1 มิถุนายน 2555 ประธานสภาฯ ได้สั่งให้เลื่อนวาระการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ ทั้ง 4 ฉบับออกไปก่อนเนื่องจากเกิดความวุ่นวายในสภาอีกครั้ง ร่าง พ.ร.บ. ปรองดองฯ 4 ฉบับนี้ เสนอโดย 1.) พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ 2.) นายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย 3.) นายนิยม วรปัญญา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และ 4.) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โดยใน 3 ฉบับแรกมีเนื้อหาเดียวกันหมด คือ ในมาตรา 5 และมาตรา 6 ให้นิรโทษกรรมแก่บุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติทั้งหลายขององค์กรหรือคณะบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งโดยประกาศหรือคำสั่งคณะรัฐประหาร (คปค.) รวมทั้งบรรดาอดีตกรรมการบริหารพรรคที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ซึ่งเท่ากับการให้ลบล้างคำพิพากษาศาลฎีกา รวมทั้งการลบล้างความผิดทั้งหมดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกตัดสินจำคุก 2 ปี และถูกยึดทรัพย์ ส่วนร่างฯ ฉบับที่ 4 ของนายณัฐวุฒิ ได้ตัดประเด็นนิรโทษกรรมในคดีก่อการร้ายและคดีที่ทำอันตรายต่อชีวิตประชาชนออกไป จึงมีคำถามว่า หากกฎหมายปรองดองมีผลใช้บังคับ จะเท่ากับการคืนเงินจำนวน 4.6 หมื่นล้านบาทให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วยหรือไม่ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็จัดเข้าประเภทของกฎหมายที่เกี่ยวกับการเงินซึ่งจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญมาตรา 143 คือต้องผ่านการรับรองของนายกรัฐมนตรีเสียก่อน นอกจากความวุ่นวายในสภาแล้ว ที่หน้ารัฐสภายังมีกลุ่มผู้คัดค้านกฎหมายดังกล่าวจำนวนหนึ่งมาชุมนุมกันอยู่ทั้งในวันที่ 30 และ 31 พฤษภาคม ก่อนหน้านี้ พรรคประชาธิปัตย์ฝ่ายค้าน ได้ตั้งข้อสงสัยว่า ร่างกฎหมายปรองดองจะเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเงินหรือไม่เนื่องจากอาจจะมีผลต่อการคืนเงินให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ในวันที่ 30 พฤษภาคม ประธานคณะกรรมาธิการสามัญทั้ง 35 คณะ ได้ประชุมกัน และมีมติ 22 ต่อ 1 ว่า ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ ไม่ใช่กฎหมายการเงิน นายสมศักดิ์ จึงได้แจ้งให้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรทราบและให้เลื่อนวาระนี้ขึ้นจากลำดับที่ 27-30 มาเป็นลำดับแรก จนเกิดความวุ่นวายในที่ประชุมสภาฯ ถึงขั้นที่ต้องมีการให้ออกเสียงรับรองดังกล่าวข้างต้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์จะคัดค้านร่างกฎหมายทั้ง 4 ฉบับอย่างถึงที่สุด เพราะกฎหมายนี้ไม่ควรเป็นกฎหมายปรองดอง แต่สร้างความแตกแยกในสังคมอย่างรุนแรง ทำลายหลักนิติรัฐนิติธรรม จึงขอให้ประชาชนที่รักความถูกต้องไปใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญภายใต้ที่กฎหมายกำหนด นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า ไม่เคยมีกฎหมายประเทศใดในโลกที่ให้อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติหรือฝ่ายบริหาร ล้มล้างอำนาจตุลาการ ซึ่งส่วนใหญ่ในอดีตจะเป็นการขออภัยโทษหรือการนิรโทษกรรมในคดีที่ตัดสินไปแล้ว ไม่ใช่การลบล้างความผิด แม้แต่อำนาจเผด็จการหรือการปฏิวัติรัฐประหารก็ไม่เคยก้าวล่วงอำนาจตุลาการ นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตเลขานุการ คตส. ตั้งข้อสังเกตว่า มาตรา 5 ให้นิรโทษกรรมแก่บุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติทั้งหลายขององค์กรหรือคณะบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งโดยประกาศหรือคำสั่งคณะรัฐประหาร คปค. มีผลเป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญมาตรา 309 ซึ่งเท่ากับว่ากฎหมายฉบับนี้สามารถยกเลิกรัฐธรรมนูญที่มีลำดับสูงกว่าได้ นายสมชาย แสวงการ แกนนำกลุ่ม 40 ส.ว. ให้ความเห็นว่า จะทำให้เกิดการเสียดุลอำนาจโดยเฉพาะฝ่ายศาลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และนางยินดี วัชรพงศ์ ต่อสุวรรณ อดีตผู้พิพากษาได้ให้ความเห็นว่า การเสนอร่าง พ.ร.บ.ความปรองดองฯ การรับร่าง พ.ร.บ.ความปรองดองฯ เข้าสู่การประชุมของสภา และการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ความปรองดองฯ ของสภา เป็นการร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ และขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 30, 39 และ ฯลฯ และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ทั้งนี้ เนื่องจาก ร่าง พ.ร.บ.ความปรองดองฯ บัญญัติให้ผู้กระทำความผิดไม่ต้องรับโทษทางอาญา อันเป็นการใช้อำนาจนิติบัญญัติยกเลิกความผิดของผู้กระทำความผิดอาญาและทางแพ่ง จึงเป็นกฎหมายที่มีลักษณะเช่นเดียวกันกับกฎหมายสากลที่เรียกว่า Bill of attainder และ Bill of pains and penalties ซึ่งเป็นที่รู้และยอมรับกันในสากลว่า เป็นกฎหมายที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะออกใช้บังคับไม่ได้และเป็นโมฆะ ดังนั้น ผู้เสนอร่างกฎหมายจะเสนอได้ก็แต่เฉพาะร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งองค์กรเพื่อการปฏิรูปกฎหมาย และร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งองค์กรเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 81(3) (4) เท่านั้น รัฐสภาผ่านร่างแก้ไข รธน. วาระ 2 วันที่ 14 พฤษภาคม 2555 ที่ประชุมร่วมรัฐสภา ลงมติผ่านร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ในวาระที่ 2 แล้ว หลังพิจารณามานาน 15 วัน โดยที่ประชุมเห็นด้วยกับเนื้อหาของกรรมาธิการ (กมธ.) ทั้งหมด ยกเว้นมาตรา 291/5 ที่ กมธ. ให้นำกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งท้องถิ่นมาใช้เลือกสมาชิกร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) แต่ที่ประชุมฯ ให้นำ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ว. มาใช้ พร้อมให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีอำนาจสั่งให้เลือกตั้งใหม่ (ให้ใบเหลือง) หากมีหลักฐานอันควรเชื่อว่าการเลือกตั้งเป็นไปโดยไม่ถูกต้อง และให้ กกต. ทำหน้าที่ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาวินิจฉัยในกรณีที่จะต้องมีการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (ให้ใบแดง) เสนองบ 2.4 ล้านล้าน ปี 56 เข้าสภา วันที่ 21 พฤษภาคม 2555 รัฐบาลเสนอร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2556 เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร มียอดเงินรายจ่าย 2.4 ล้านล้านบาท เพิ่มจากปีงบประมาณ 2555 จำนวน 2 หมื่นล้านบาท หรือร้อยละ 0.8 เป็นการดำเนินงบประมาณแบบขาดดุล กระทรวงศึกษาธิการได้รับงบประมาณสูงสุดคือ 460,075.2 ล้านบาท รองลงไปคือกระทรวงมหาดไทยและกลาโหม กระทรวงละ 309,205 ล้านบาท และ 180,811.4 ล้านบาท ตามลำดับ ครม. ไฟเขียวร่าง กม.ฟอกเงิน เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2555 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ที่จังหวัดกาญจนบุรี ได้อนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ...) พ.ศ. .... และร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ หลังจากนี้จะส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติเพื่อออกเป็นกฎหมายต่อไป ศาล รธน. ให้ “จตุพร” พ้นสภาพ ส.ส. เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2555 ศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัยตามที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติ 7 ต่อ 1 ให้นายจตุพร พรหมพันธุ์ สิ้นสุดสมาชิกภาพการเป็น ส.ส. แบบสัดส่วนพรรคเพื่อไทย ตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 106(4) กำหนดไว้ ว่าสมาชิกภาพของ ส.ส. จะสิ้นสุดเมื่อบุคคลนั้นขาดคุณสมบัติตามมาตรา 101 สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2554 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ลงมติ 4 ต่อ 1 ว่า นายจุตพร ขาดสมาชิกภาพการเป็น ส.ส. จึงได้ส่งเรื่องให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานสภาฯ ได้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโดยมีข้อเท็จจริงว่า ในในปี พ.ศ. 2553 ขณะที่นายจุตพร เป็น ส.ส.แบบสัดส่วน พรรคเพื่อไทย ได้กระทำความผิดโดยขัด พ.ร.บ. ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 แต่ได้ใช้เอกสิทธิ์การเป็น ส.ส. ประกันตัว ตลอดระยะเวลาสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร จนกระทั่งเมื่อมีการยุบสภาในวันที่ 10 พฤษภาคม 2554 เพื่อประกาศให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ศาลจึงได้เพิกถอนประกัน และนายจตุพร ต้องถูกคุมขังโดยหมายศาลตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคม 2554 ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2554 พรรคเพื่อไทยได้ส่งรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบสัดส่วนต่อ กกต. ในจำนวนนั้นมีรายชื่อนายจตุพร อยู่ในอันดับที่ 8 และในวันที่ 2 มิถุนายน 2554 กกต. ได้ประกาศรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทย ซึ่งก็มีนายจตุพร อยู่ด้วย ในเวลานั้น ทนายความของนายจตุพร ได้ยื่นขอให้ศาลปล่อยตัวนายจตุพร ชั่วคราวถึงสองครั้ง คือ ครั้งแรกในวันที่ 28 มิถุนายน และครั้งที่สองในวันที่ 30 มิถุนายน 2554 แต่ศาลได้ปฏิเสธทั้งสองครั้ง ซึ่งต่อมาในวันที่ 17 กรกฎาคม 2554 ศาลจึงได้ให้เหตุผลการปฏิเสธคำขอดังกล่าว หลังการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 และ กกต. ประกาศผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 สิงหาคม 2554 นายจตุพร ผู้สมัครพรรคเพื่อไทยลำดับที่ 8 เป็น ส.ส.แบบสัดส่วน จึงได้รับการปล่อยตัวจากจากการถูกคุมขัง ในวันที่ 2 สิงหาคม 2554 ต่อมา กกต. ได้วินิจฉัยสถานภาพการเป็น ส.ส. ของนายจตุพร ในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2554 และส่งเรื่องให้ประธานสภาฯ เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2555 ดังกล่าวแล้วข้างต้น จากคำวินิจฉัยของศาลจึงสรุปได้ว่า นายจุตพรเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 เนื่องจากต้องคุมขังโดยหมายศาลตามข้อบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 100(3) จึงขาดสมาชิกภาพการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองตามมาตรา 19 และมาตรา 8 วรรค 1 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง จึงถือว่านายจตุพร ขาดคุณสมบัติการเป็นผู้มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ตามมาตรา 101(3) แห่งรัฐธรรมนูญ ดังนั้น สภาพการเป็น ส.ส. ของนายจตุพร พรหมพันธุ์ จึงสิ้นสุดลงตามมาตรา 106(4) แห่งรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญมาตรา 100(3) ห้ามมิให้ผู้ต้องคุมขังโดยหมายศาลหรือโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายไปใช้สิทธิเลือกตั้ง มาตรา 101 (3) กำหนดว่า ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. จะต้องเป็นสมาชิกพรรค การเมืองนั้นเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 90 วันจนถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในกรณียุบสภา จะต้องเป็นสมาชิกพรรคไม่น้อยกว่า 30 วันจนถึงวันเลือกตั้ง มาตรา 101(6) กำหนดว่า ผู้มีสิทธิรับสมัครเลือกตั้งเป็น ส.ส. จะต้องมีคุณสมบัติตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 106(3) กำหนดว่า สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะสิ้นสุดเมื่อบุคคลนั้นขาดคุณสมบัติตามมาตรา 101 ส่วน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 มาตรา 20 กำหนดว่า สมาชิกภาพของสมาชิกสิ้นสุดเมื่อบุคคลนั้นมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 19 มาตรา 19 ระบุว่า สมาชิกพรรคจะต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 8 วรรค 1 มาตรา 8 วรรค 1 เขียนว่า สมาชิกจะต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามมิให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ อนึ่ง ตุลาการเสียงข้างน้อย 1 เสียง ที่วินิจฉัยว่านายจตุพร ไม่หมดสมาชิกภาพคือนายชัช ชลวร และก่อนหน้านี้ นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีกคนหนึ่งได้ขอถอนตัวจากการวินิจฉัยโดยให้เหตุผลว่าภริยามีคดีพิพาทกับนายจตุพร ทำให้มีตุลาการตัดสินคดีนี้ทั้งสิ้น 8 คน หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย ทนายความส่วนตัวของนายจตุพร ได้กล่าวว่า การสิ้นสุดสมาชิกภาพการเป็น ส.ส. ของนายจตุพรไม่ส่งผลกระทบกับการได้รับการประกันตัว เนื่องจากนายจตุพรได้ใช้ทรัพย์สินประกันตัว ไม่ได้ใช้ตำแหน่ง ส.ส. ซึ่งต่อไปนายจตุพร จะเข้าสู่กระบวนการขั้นศาลเนื่องจากไม่มีเอกสิทธิ์การเป็น ส.ส. คุ้มครอง ก่อนหน้านี้มีกระแสว่าในการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งต่อไป นายจตุพร พรหมพันธุ์ จะต้องได้รับตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งใน ครม. แน่นอน เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้แสดงความชื่นชมในผลงานและบอกว่าจะมีรางวัล ครั้งแรกมีข่าวลือว่านายจตุพร จะได้เป็น รมว. หรือ รมช. มหาดไทย และต่อมาก็เปลี่ยนเป็น รมว. ศึกษาธิการ คอป. เสนออัตราเยียวยาต่างจากรัฐบาล คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน นำเสนอร่างแนวทางและหลักเกณฑ์ในการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง โดยมีสาระน่าสนใจคือ ให้เงินช่วยเหลือกรณีถึงแก่ความตาย รวมถึงบุคคลสูญหาย 3.4 ล้านบาท เงินช่วยจัดการศพ 4 หมื่นบาท ส่วนผู้บาดเจ็บได้รับค่ารักษาพยาบาลตามจริง เงินฟื้นฟูสมรรถภาพจ่ายตามจริง แต่เกินค่าแรงขั้นต่ำโดยกำหนดให้จ่ายเป็นรายเดือนจนกว่าจะหายอาการทุพลภาพ ฯลฯ เป็นที่น่าสังเกตว่าอัตราเงินช่วยเหลือที่ คอป. เสนอนี้ต่ำกว่าที่รัฐบาลกำหนด คือ สูงสุดที่ 7.75 ล้านบาทต่อคน อนึ่ง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) แจ้งว่า ระหว่างปี 2548-2553 มีผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองที่ตรวจสอบแล้วว่าถูกต้องตามหลักเกณฑ์เป็นกลุ่มแรกจำนวน 529 ราย แบ่งเป็นเสียชีวิต 46 ราย ทุพพลภาพ 6 ราย บาดเจ็บสาหัส 56 ราย บาดเจ็บไม่สาหัส 181 ราย และบาดเจ็บเล็กน้อย 240 ราย คาดว่าจะจ่ายเงินเยียวยาได้ภายในสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้ ทั้งนี้ สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณให้แล้วกว่า 2 พันล้านบาท นายคณิต ณ นคร กล่าวว่า คอป. จะเร่งจัดทำรายงานฉบับสุดท้ายเสนอต่อนายกรัฐมนตรีก่อนที่การทำงานของ คอป. จะสิ้นสุดลงภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ตัวแทน ครก. ขอแก้ มาตรา 112 เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2555 ตัวแทนคณะกรรมการรณรงค์แก้ไข ม.112 ( ครก.112) และมวลชนเสื้อแดงประมาณ 300 คน ได้มาที่รัฐสภาเพื่อยื่นร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ต่อประธานสภา โดยมีรายชื่อประชาชนจำนวน 26,968 เป็นผู้รับรอง นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ ตัวแทนได้กล่าวว่า กฎหมายดังกล่าวได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง และละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน เพราะมีบทลงโทษที่สาหัสที่สุดในโลก และยังทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์อ่อนแอ ก่อนหน้านี้ กลุ่มนิติราษฎร์ได้ริเริ่มรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2555 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จำคุก “ธรรมรักษ์” ฐานจ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2555 ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาให้จำคุก พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม และอดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย เป็นเวลา 3 ปี 4 เดือน โดยไม่มีการรอลงอาญา ในความผิดมาตรา 6 และ 11 พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กร หรือหน่วยงานของรัฐ จากกรณีที่จ้างวานให้ทำการตัดต่อเปลี่ยนแปลงข้อมูลสมาชิกของพรรคพัฒนาชาติไทยเพื่อให้สมาชิกพรรคสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้ เป็นเหตุให้พรรคไทยรักไทยไม่ต้องติดเงื่อนไขว่าจะต้องได้คะแนนเสียงเกิน 20% เพราะพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคมหาชน ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน ไม่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน 2549 นอกจากนี้ ศาลยังสั่งจำคุกจำเลยคนอื่นๆ ได้แก่ นายอมรวิทย์ สุวรรณผล อดีตเจ้าหน้าที่ กกต. ฝ่ายวิจัยและบริหารฐานข้อมูลพรรคการเมือง และอดีตสมาชิกพรรค หัวหน้าพรรค อดีต ผอ. การเลือกตั้งพรรคพัฒนาชาติไทยอีกด้วย หลังคำพิพากษา พล.อ.ธรรมรักษ์ ได้ยื่นหลักทรัพย์ 5 แสนบาท ขออนุญาตศาลปล่อยตัวชั่วคราว และเตรียมอุทธรณ์ต่อไป ส่วนที่สืบเนื่องกับคดีนี้คือการที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้ยุบพรรคไทยรักไทยและตัดสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 5 ปี ยอดจดทะเบียนธุรกิจใหม่ลดต่อเนื่อง นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ใน 4 เดือนแรกของปีนี้ มีจำนวนบริษัทที่ตั้งใหม่ 20,306 ราย ลดลง 932 ราย หรือ 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2554 ซึ่งมี 21,238 ราย ทั้งนี้ ยอดจดทะเบียนตั้งบริษัทใหม่ได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง และในเดือนเมษายน 2555 มียอดบริษัทจดทะเบียนใหม่ต่ำสุดในรอบ 4 เดือน คือมีการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทใหม่เพียง 4,014 ราย เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันในปี 2554 แล้วลดลง 1,057 ราย หรือ 20% และลดลง 1,390 ราย หรือ 25% จากเดือน มีนาคมที่ผ่านมา รวมเป็นเงินทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 14,105 ล้านบาท ทั้งนี้ นายศิริวัฒน์ ให้เหตุผลว่า เนื่องจากเดือนเมษายนเป็นเดือนที่มีวันหยุดราชการมาก คือมีวันทำการเพียง 17 วันเท่านั้น และจากการตรวจสอบในเดือนเมษายนของทุกปี ยอดการจดทะเบียนก็ลดลงเป็นประจำจากวันทำการที่น้อย สำหรับการเลิกกิจการทั่วประเทศในเดือนเมษายน 2555 มี 797 ราย เทียบกับเดือนเมษายน 2554 เพิ่มขึ้น 235 ราย หรือ 41% และเทียบเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ลดลง 126 ราย หรือ 13% ทุนจดทะเบียน 2,793 ล้านบาท รวม 4 เดือนเลิกกิจการ 3,584 ราย เพิ่มขึ้น 468 ราย คิดเป็น 15% เทียบช่วงเดียวกันปี 2554 ที่มี 3,116 ราย นางหิรัญญา สุจินัย ที่ปรึกษาด้านการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ช่วง 4 เดือนนี้ (มกราคม-เมษายน) มีการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 407 โครงการ เงินลงทุน 155,489 ล้านบาท โครงการเพิ่มขึ้น 21% เงินลงทุนเพิ่มขึ้น 44% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยส่วนใหญ่ 59% เป็นการขยายการลงทุนจากกิจการเดิมที่ได้ลงทุนอยู่แล้ว โดยมีจำนวน 240 โครงการ เงินลงทุน 113,099 ล้านบาท และโครงการลงทุนใหม่ 167 โครงการ เงินลงทุน 42,390 ล้านบาท ประเทศที่เข้ามาลงทุนสูงสุดยังเป็นญี่ปุ่น มีทั้งสิ้น 228 โครงการ เงินลงทุน 93,068 ล้านบาท รองมาเป็นมาเลเซีย 12 โครงการ เงินลงทุน 10,746 ล้านบาท สหรัฐฯ 17 โครงการ เงินเงินลงทุน 9,116 ล้านบาท เนเธอร์แลนด์ 11 โครงการ เงินลงทุน 9,808 ล้านบาท ฮ่องกง 9 โครงการ ลงทุน 5,463 ล้านบาท ครัวเรือนไทยมีหนี้เพิ่ม นางสุวรรณี คำมั่น รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า ในปี 2555 สัดส่วนของหนี้ครัวเรือนมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นจากปี 2554 ที่มีอยู่ 55.8% ของครัวเรือนทั่วประเทศ หรือประมาณ 134,000 บาทต่อครัวเรือน โดยส่วนหนึ่งเป็นการก่อหนี้จากผลการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่ต่อเนื่องมาจากปี 2554 ทั้งนโยบายเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัยน้ำท่วมเมื่อปลายปี 2554 นโยบายบ้านหลังแรก รถคันแรก และการเปลี่ยนแปลงหนี้นอกระบบให้เข้าสู่ระบบ ขณะเดียวกัน ยังมีการก่อหนี้รายย่อยเพิ่มอีก เห็นได้จากยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตเมื่อสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นถึง 10% จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 6.4% ส่วนยอดสินเชื่อบัตรเครดิตคงค้างเกิน 3 เดือนขึ้นไปเพิ่มขึ้น 13.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 0.7% ขณะที่การให้สินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคลของธนาคารพาณิชย์ก็ยังสูงขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อการเช่าซื้อรถยนต์และสินเชื่อเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลอื่นๆ ซึ่งสาเหตุหลักเกิดจากประชาชนต้องกู้เงินมาซ่อมแซมและฟื้นฟูที่อยู่อาศัยรวมทั้งรถยนต์หลังเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม ธ.โลกเตือนลดประชานิยม ดร.กิริฎา เภาพิจิตร นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสธนาคารโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตถึง 4.5% มากกว่าปีที่แล้วที่ขยายตัวเพียง 0.1% เนื่องจากน้ำท่วมก็ตาม แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะวิกฤติเศรษฐกิจยุโรปซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกในไตรมาสแรก รวมทั้งการส่งออกไปยังประเทศจีนที่หากความต้องการสินค้าจากจีนลดเพราะผลกระทบจากยุโรป ก็จะส่งผลทางอ้อมต่อไทยด้วย ประกอบกับการฟื้นตัวของนิคมอุตสาหกรรมที่ช้ากว่ากำหนด ดังนั้นประเทศไทยจึงควรทบทวนและปรับปรุงนโยบายประชานิยมที่มีต้นทุนสูงแต่ช่วยเพิ่มผลผลิตในเชิงเศรษฐกิจไม่มาก เช่น โครงการจำนำข้าวที่ใช้เงินถึง 3 แสนล้านบาท การลดภาษีนิติบุคคลที่รัฐเสียรายได้ 5.2 หมื่นล้านบาท และการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันที่รัฐต้องจ่ายเดือนละ 9 พันล้านบาท โครงการแจกแท็บเล็ตนักเรียน วงเงิน 2.8 พันล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับนโยบายอื่นๆ รัฐจะเสียรายได้ถึง 1.5% ของจีดีพีในปี 2555 และคิดเป็นรายจ่าย 3% ของจีดีพีรวม ทั้งนี้ เพื่อให้ไทยมีงบฯ และช่องว่างทางการคลังเพียงพอกับการลงทุนในโครงการพื้นฐานซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในระยะยาว และยังเป็นการสำรองงบประมาณรองรับกรณีที่เศรษฐกิจโลกเกิดการชะลอตัว หลังการให้สัมภาษณ์ของ ดร.กิริฎา นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวว่า ประเทศไทยมีกรอบงบประมาณปี 2555 วงเงิน 2.4 ล้านล้านบาท เพิ่มจากปีก่อนเพียง 2 หมื่นล้านบาท และขาดดุลเพียง 4 แสนล้านบาท ถือว่ายังมีวินัยการคลังสูง รัฐบาลชุดนี้ได้ทำให้หนี้กว่า 1.14 ล้านล้านบาท ไม่เป็นภาระงบประมาณซึ่งในปีต่อไปไม่ต้องตั้งงบฯ มาชดเชยแล้ว ส่วนที่ธนาคารโลกเข้าใจว่าเป็นนโยบายประชานิยมนั้นที่จริงเป็นการกระจายอำนาจให้ 8 หมื่นหมู่บ้านได้คิดและรู้ปัญหาตนเอง จึงยืนยันว่าขณะนี้ไทยมีเศรษฐกิจเข้มแข็ง หลายโครงการทำให้ประชาชนเสียภาษีน้อยลง จะเชื่อมโยงไปสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจด้านอื่น เช่น ตลาดวัสดุก่อสร้าง ไม่ใช่การนำเงินไปแจกอย่างเดียว ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2555 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปรับขึ้นประมาณการเศรษฐกิจไทยอีกครั้งจากที่เคยปรับมาแล้วครั้งหนึ่งที่ 5.7% เป็น 6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) เนื่องจากภาคการผลิตฟื้นตัวดีกว่าที่คาดไว้ ขณะนี้หลายภาคอุตสาหกรรมกลับมาผลิตเต็มกำลังแล้ว จำนำข้าวขาดทุน 2 หมื่นล้าน นายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) เปิดเผยว่า โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปีการผลิต 2554/2555 มีข้าวเข้าร่วมแล้วจำนวน 6.8 ล้านตัน แต่ยังไม่รวมข้าวจากพื้นที่ภาคใต้ที่ยังรอการเก็บเกี่ยว มีราคารับจำนำข้าวเปลือกเจ้าที่ตันละ 15,000 บาท สูงกว่าราคาตลาดประมาณตันละ 2,500-3,000 บาท คาดว่าจะขาดทุนประมาณ 17,000-20,400 ล้านบาท ขณะนี้ ธกส. กำลังสรุปเพื่อรายงานให้คณะรัฐมนตรีรับทราบเพื่อขอให้สำนักงบประมาณจัดสรรเงินมาชดเชยต่อไป โดยที่ผ่านมา ธกส. ได้ใช้เงินไปแล้ว 116,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้ใช้เงินของ ธกส. สำรองจ่ายไป 90,000 บาท ที่เหลือ 26,000 ล้านบาทกู้จากแหล่งอื่น นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเศรษฐกิจการเงินธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวถึงเศรษฐกิจไทยในภาพรวมว่า ภาคการผลิตและการลงทุนฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวเต็มศักยภาพเร็วกว่าที่คาดไว้ อย่างไรก็ตาม การส่งออกในไตรมาสแรกขยายตัวติดลบ 4% เพราะการส่งออกในภาคเกษตรลดลง เนื่องจากการส่งออกข้าวลดลง เพราะราคาข้าวไทยสูงกว่าประเทศคู่แข่ง เนื่องจากข้าวที่มาเข้าโครงการรับจำนำของรัฐบาลมีมากขึ้นและมีราคาสูง ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อการส่งออกข้าวต่อไปอีกระยะ และได้ทำให้รายได้ของเกษตรกรไทยติดลบต่อเนื่องมา 6 เดือนแล้ว นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ประเมินปริมาณส่งออกข้าวไทยในปีนี้ว่าจะลดเหลือเพียง 6.5-7 ล้านตัน และอาจสูญเสียตำแหน่งผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 ของโลกให้กับประเทศอินเดียนั้น เป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น จึงไม่ควรกังวลกับปัญหาดังกล่าว แท็กซี่ต้องมีใบขับขี่สาธารณะ เพื่อเป็นการลดการก่อคดีอาชญากรรมและสามารถตรวจสอบประวัติคนขับแท็กซี่คันก่อเหตุได้ในทันที กรมการขนส่งทางบกได้กำหนดมาตรการให้ผู้ขับขี่รถยนต์โดยสารสาธารณะหรือรถแท็กซี่ทุกคนจะต้องมีใบอนุญาตขับขี่ประเภทสาธารณะและแสดงบัตรประจำตัวไว้ในรถโดยสารในขณะขับรถ หากมีการตรวจพบว่าไม่ปฏิบัติตามจะมีความผิดโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งปรับทั้งจำ และหากเจ้าของรถแท็กซี่ยินยอมให้ผู้ที่ไม่มีใบขับขี่สาธารณะเช่าหรือขับ จะมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือหากไม่จัดทำประวัติคนขับรถแท็กซี่ก็จะมีความผิดปรับไม่เกิน 1,000 บาทเช่นกัน มาตรการนี้มีผลใช้บังคับนับตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2555 เป็นต้นไป สภาเด็กฯ ท้องถิ่นประสบความสำเร็จเพียง 30% จากการประชุมวิชาการเรื่อง “สร้างพลเมือง ปรองดอง...สภาเด็ก ท้องถิ่น” เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2555 ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยผลการศึกษาวิจัยเรื่องสภาเด็กและเยาวชน 40 องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ใน 10 จังหวัดปรากฏว่ามีถึงร้อยละ 70 ที่ไม่ประสบผลสำเร็จเพราะผู้นำ อบต. ขาดวิสัยทัศน์ มีอคติกับเด็ก ขาดกิจกรรม เน้นแต่จัดอีเวนท์ เด็กเองก็ติดเรียน ขาดรูปแบบ ขาดการริเริ่ม ขาดโอกาส และขาดการสนับสนุน มีเพียงร้อยละ 30 ที่ประสบความสำเร็จ แต่ต้องล้มเหลว 2-3 ครั้งก่อนเพื่อเกิดการเรียนรู้และดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป นอกจากนี้จากการลงพื้นที่ยังพบว่าเด็ก-เยาวชน 3-4 แสนคนทั่วประเทศขาดการดูแลเพราะผู้ใหญ่ไม่เอาใจใส่ ปล่อยให้มีพื้นที่เลวๆ เต็มบ้านเมือง จึงเกิดปัญหาเด็กเยาวชนกลุ่มเสี่ยงมากมาย ความสำเร็จของสภาเด็กต้องเกิดจากการศึกษาปัญหาร่วมกันเพื่อกำหนดวิสัยทัศน์ ซึ่งต้องมีหน่วยงานของรัฐร่วมมือ มีงบประมาณพื้นฐาน ทีมที่ปรึกษา ข้อมูลองค์ความรู้ จึงทำให้สภาเด็กสามารถตีโจทย์เป็น ผู้บริหารในท้องถิ่นต้องเข้าใจ เปิดโอกาสให้มีการประชุมเครือข่ายพี่น้อง มีระบบธรรมาภิบาล แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และมีระบบประเมิน โดยที่ระบบการศึกษาปัจจุบันไม่สามารถจะสร้างประชาธิปไตยได้ สภาเด็กและเยาวชนจึงจะเป็นสิ่งเติมเต็มในลักษณะของการสร้างกิจกรรมในเวลาว่างไม่ให้เด็กๆ เล่นเกม มั่วสุม ติดยาเสพติด หรือมีเพศสัมพันธ์ การรับฟังความเห็นจากเด็กๆ จึงเป็นทางแก้ปัญหาที่ยั่งยืน รำลึก 2 ปี สลายเสื้อแดงชุมนุม เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2555 แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ (นปช.) หรือคนเสื้อแดงได้จัดการชุมนุมใหญ่ที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ โดยมีการปราศรัยของบรรดาแกนนำคนสำคัญที่ใส่เสื้อมีคำว่า “ไพร่” ขึ้นเวทีเป็นการย้ำเตือนความเชื่อเรื่อง “อำมาตย์” สั่งการสลายการชุมนุมและประกาศว่าจะเอาผู้ที่สั่งฆ่าประชาชนมาลงโทษให้ได้ ในคืนนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้วิดีโอลิงก์จากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน มาที่เวที ขอร้องให้คนเสื้อแดงเสียสละเปิดทางให้รัฐบาลของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินหน้าสร้างความปรองดองเพื่ออนาคตของประเทศ ซึ่งจะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ สามารถเดินทางกลับประเทศได้ เพราะถ้ารบกันต่อไป “พ่อค้าอาวุธ” ก็จะรวยฝ่ายเดียว วาทกรรมดังกล่าวได้สร้างความไม่พอใจให้กับคนเสื้อแดงกลุ่มหนึ่ง จนมีการโพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายโซเชียลเน็ตเวิร์กและเว็บไซต์ของคนเสื้อแดงว่ามีคนเสื้อแดงผิดหวังและกำลังจะเบื่อทักษิณ ศาลสั่ง กทม. จ่ายเหยื่อซานติก้า 1-2 แสนบ./ราย ศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้กรุงเทพมหานคร ชดใช้ค่าเสียหายในคดีไฟไหม้ซานติก้าผับแก่ญาติของผู้เสียชีวิต ทั้ง 5 คดี มูลค่าการชดใช้ตั้งแต่ 100,000 - 200,000 บาท ทั้งนี้ เนื่องจากเหตุผลว่า กทม. เป็นหน่วยงานทางปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ละเลยต่อหน้าที่ ไม่ควบคุมดูแลสถานบริการซานติก้าผับ ปล่อยให้เปิดบริการ ทั้งที่การดำเนินการของสถานบริการไม่ชอบด้วยกฎหมายควบคุมอาคาร จนเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต เว้นภาษีเงินได้ สมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่เกษียณอายุ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2555 มีมติเห็นชอบมาตรการเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินหรือผลประโยชน์ใดๆ ที่ได้รับเนื่องจากลูกจ้างออกจากงานเพราะตาย ทุพพลภาพ หรือเมื่อมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และเป็นสมาชิกของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี นอกจากนี้ยังให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินหรือผลประโยชน์ใดๆ ที่มีสิทธิได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เนื่องจากลูกจ้างออกจากงานในกรณีอื่นนอกจากตาย ทุพพลภาพ หรือมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ แต่เมื่อออกจากงานแล้วได้คงเงินหรือผลประโยชน์นั้นไว้ทั้งจำนวน ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และต่อมาได้รับเงินหรือผลประโยชน์หลังจากลูกจ้างผู้นั้นได้ตาย ทุพพลภาพ หรือมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และเป็นสมาชิกของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี โยมีผลตั้งแต่รายได้นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 เป็นต้นไป ทั้งนี้ รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนการออมเพื่อการชราภาพให้ลูกจ้าง ซึ่งเป็นสมาชิกของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีเงินไว้ใช้จ่ายเพื่อการดำรงชีพในยามชราภาพมากยิ่งขึ้น เด็ก ป.4 ใช้แท็บเล็ตคุ้มค่ากว่า ป.1 ผศ.นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว.) กล่าวถึงผลการศึกษาวิจัยเรื่องการใช้แท็บเล็ตในนักเรียนในโครงการนำร่อง ตามที่กระทรวงศึกษาธิการโดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้มอบให้ทำการศึกษากับนักเรียน 2 ช่วงชั้น คือ ชั้น ป.1 และ ป.4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2554 ใน 5 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนราชวินิต (ฝ่ายประถม) กรุงเทพมหานคร โรงเรียนอนุบาลลำปาง จ.ลำปาง โรงเรียนอนุบาลพังงา จ.พังงา โรงเรียนสนามบิน จ.ขอนแก่น และโรงเรียนสาธิต มศว. ประสานมิตร ฝ่ายประถม โดยศึกษาทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณ ด้วยวิธีการลงพื้นที่เก็บข้อมูลโดยตรงและจากแบบทดสอบการตรวจสุขภาพ วิธีการสังเกต สัมภาษณ์ รวมถึงศึกษาความคิดเห็นและรับฟังข้อเสนอแนะจากนักเรียน ครูผู้สอน ผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา ปรากฏผลว่า เด็ก ป.4 สามารถใช้แท็บเล็ตได้คุ้มค่ามากกว่าชั้น ป.1 ซึ่งคณะผู้วิจัยก็มีข้อเสนอว่าควรจะได้พิจารณาแจกแท็บเล็ตให้เด็ก ป.4 ด้วย โดยสามารถจะหมุนเวียนให้นักเรียนในแต่ละชั้นได้ใช้แท็บเล็ตร่วมกันซึ่งจะเป็นการใช้ประโยชน์คุ้มค่าสูงสุด จากการวิจัยพบว่านักเรียนทั้ง 2 ระดับมีความสนใจใฝ่รู้ สนใจเรื่องเทคโนโลยี มีความสุขและกระตือรือร้นในการเรียน และไม่พบปัญหาการติดเกมด้วย แต่ในระดับ ป.4 จะเรียนรู้ได้รวดเร็วกว่าเด็ก ป.1 ส่วนในด้านสุขภาพ แม้จะพบว่านักเรียนมีการปวดตา เคืองตา น้ำตาไหล แต่ไม่สามารถสรุปได้ว่าสาเหตุมาจากการใช้แท็บเล็ต เนื่องจากได้มีการสำรวจกับนักเรียนในกลุ่มที่ไม่ได้ใช้แท็บเล็ต แต่มีการใช้สายตามองวัตถุระยะใกล้เหมือนก็พบอาการในลักษณะเดียวกัน ในส่วนของครู พบว่า การสอนของครูจำเป็นต้องพึ่งช่างเทคนิคมาช่วย เพราะยังขาดความชำนาญในการใช้แม้จะมีการฝึกอบรมไปแล้ว แต่เมื่อเกิดปัญหาติดขัดระหว่างการสอนครูยังไม่สามารถแก้ไขได้ สุดท้ายต้องวางแท็บเล็ตแล้วกลับไปใช้หนังสือมาสอนดังเดิม เพราะฉะนั้น เมื่อแจกแท็บเล็ตแล้วควรจะต้องมีช่างเทคนิคประจำในทุกโรงเรียนเพื่อช่วยเหลือแนะนำครูและการอบรมครูจะต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อจะได้เท่าทันเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม ครูมีทัศนคติที่ดีกับแท็บเล็ต เพราะมองว่าเป็นเครื่องมือที่มาช่วยแบ่งเบาภาระไม่ได้มาเป็นตัวแทนของครู และยังทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างครู และนักเรียน ผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ ซึ่งช่วยให้นักเรียนเรียนรู้แบบ Learning by Doing อย่างแท้จริง และเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2555 นายสุชาติ ธำรงธาดาเวช รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ในวันเปิดภาคเรียนต้นปีการศึกษา 2555 นี้ คงจะไม่สามารถแจกแท็บเล็ตให้นักเรียนชั้น ป.1 ได้ตามที่ประกาศไว้ เนื่องจากการจัดซื้อจำนวนมากเป็นล้านเครื่อง แต่กระทรวงได้อบรมครูด้วยโปรแกรมเดียวกันที่จะใส่ในเครื่องให้แก่นักเรียนไปแล้ว และเมื่อเปิดภาคเรียนจะมีการแจกหนังสือเรียนให้ตามปกติ ฟรีไว-ไฟขยายทั่วไทย เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2555 ม.ร.ว.สุมขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงการให้บริการประชาชนผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตไร้สาย (Bangkok Wi-Fi) ร่วมกับบริษัท ทรู อินเตอร์เน็ต จำกัด ที่จะให้บริการอินเตอร์เน็ตไร้สายฟรีจำนวนไม่น้อยกว่า 2 หมื่นจุดทั่ว กทม. บริการที่ให้จะมี 2 รูปแบบ คือ ความเร็วสูงสุดไม่เกิน 2 Mbps/512 Kbps ฟรี 5 ชม.ต่อเดือน หรือความเร็ว 256 Kbps/128 Kbps โดยไม่จำกัดชั่วโมงการใช้งาน ทั้งนี้ จะสามารถให้บริการประชาชนได้ถึง 150,000 คน ทุก 6 เดือนจะเปิดให้ลงทะเบียนใช้งาน ผู้ลงทะเบียนแล้วจะได้รับรหัสผ่านเพื่อล็อคอิน และเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เปิดเผยหลังร่วมเป็นประธานเปิดโครงการ PTT Free Wi-Fi by TOT บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงด้วยเทคโนโลยีไว-ไฟ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายที่บริการสถานีน้ำมัน ปตท. บนถนนวิภาวดีรังสิตว่า บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และ ปตท.ได้นำร่องสร้างโมเดลความร่วมมือคืนประโยชน์ให้สังคมในการให้บริการอินเตอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูงไม่คิดค่าใช้บริการ ว่าจะขยายผลไปสู่สถานีน้ำมัน ปตท. 1,300 แห่งทั่วประเทศในเร็วๆ นี้