กุมภาพันธ์ 2555 : รัฐสภาผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ รัฐสภาผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ศาล รธน. ชี้ 2 พ.ร.ก. กู้เงินไม่ขัด รธน. ครม.ไฟเขียวกรอบงบปี 56 ตั้ง 2 บอร์ดบริหารจัดการน้ำ ครม. สัญจรแจกงบโครงการอีสาน 1.6 พันล้าน ซื้อแท็บเล็ตแบบจีทูจีกับจีน กลุ่มกรีนยื่นสอบจริยธรรมนายกฯ ไปโฟร์ซีซั่น วัยรุ่นไทยตั้งครรภ์สูงสุดในเอเซีย เริ่มรับจำนำข้าวนาปรัง ไทยถูกขึ้นบัญชีดำด้านฟอกเงิน 3 ระบบประกันสุขภาพร่วมใช้ราคายากลาง ขยายเวลาเว้นเก็บภาษีดีเซลอีก 1 เดือน ปัญหาบัตรเครดิตแท็กซี่ เหยื่อไฟใต้ได้ค่าเยียวยาเท่าการเมือง ค้าน “กองทุนฯ สตรี” รัฐสภาผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2555 ที่ประชุมรัฐสภามีมติ 399 ต่อ 199 และงดออกเสียง 14 เห็นชอบรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ร่าง คือ ร่างของ ส.ส. พรรคเพื่อไทย ร่างของรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี และร่างของพรรคชาติไทยพัฒนา ในขณะที่ร่างของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ที่เสนอโดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน 60,000 คน ยังตรวจสอบความถูกต้องไม่เสร็จ จากนั้นที่ประชุมแต่งตั้งคณะกรรมาธิการรัฐสภาเพื่อพิจารณาจำนวน 45 คน กำหนดเวลาแปรญัตติ 30 วัน การแก้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 เพื่อเปิดทางให้มีการแก้ไขมาตรา 291 ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) เป็นผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่นี้ มีเสียงคัดค้านจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะจากกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ นำโดยนายบรรเจิด สิงคเนติ คณบดีคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ที่กล่าวว่า จะนำไปสู่การสร้างระบอบเผด็จการพรรคการเมืองนายทุนผูกขาดภายใต้เสื้อคลุมประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555 นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ผู้ประสานเครือข่ายพลเมืองอาสาป้องกันแผ่นดินพร้อมคณะ ก็ได้ยื่นเรื่องขอแสดงตนเป็นผู้ริเริ่มรวบรวมรายชื่อประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 20,000 ราย เสนอให้วุฒิสภามีมติถอดถอน ครม. ส.ส. และ ส.ว. จำนวน 399 คน ที่ร่วมกันเสนอและรับรองร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุผลว่า มาตรา 291(1) ให้อำนาจ ครม. ส.ส. และ ส.ว. ดำเนินการได้อยู่แล้ว แต่กลับเสนอให้ตั้ง สสร. มาทำหน้าที่แทน จึงเป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญและเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ศาล รธน. ชี้ 2 พ.ร.ก. กู้เงินไม่ขัด รธน. เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2555 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่า พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 จำนวน 3.5 แสนล้านบาท และ พ.ร.ก.ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2555 จำนวน 1.14 ล้านล้านบาท ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ โดยให้เหตุผลสำหรับ พ.ร.ก.ฉบับแรกว่า รัฐบาลมีความจำเป็นเร่งด่วนต้องใช้เงินฟื้นฟูประเทศและวางระบบบริหารจัดการน้ำเพื่อฟื้นฟูความเสียหายของเศรษฐกิจที่ถดถอยและมีความเสื่อมต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของประเทศ ส่วน พ.ร.ก. ฉบับที่สองนั้น ศาลมีความเห็นว่า รัฐบาลมีความพยายามแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะเพราะกระทรวงการคลังตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่อชำระหนี้ดังกล่าวมาตลอด 15 ปี เป็นเงินกว่า 6.7 แสนล้านบาท แต่ชำระเงินต้นได้เพียง 13 เปอร์เซ็นต์ เหลือหนี้ 1.14 ล้านล้านบาท และในปีงบประมาณ 2555 ได้ตั้งงบประมาณเพื่อชำระดอกเบี้ยไว้ 6.8 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้มีเงินลงทุนน้อยมาก ดังนั้น ศาลจึงมีความเห็นว่า พ.ร.ก. ฉบับนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศและเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ครม. ไฟเขียวกรอบงบประมาณ 56 เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2555 คณะรัฐมนตรีสัญจรจังหวัดอุดรธานี มีมติเห็นชอบกรอบงบประมาณประจำปีงบประมาณปี 2556 โดยเป็นกรอบงบประมาณรายจ่าย 2.4 ล้านล้านบาท ประมาณการรายได้ 2.1 ล้านล้านบาท และขาดดุล 3 แสนล้านบาท โดยงบประมาณรายจ่ายที่ประมาณไว้นี้จะแบ่งเป็นรายจ่ายเพื่อชำระหนี้เงินกู้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย 1.82 แสนล้านบาท (เงินต้น 4.86 หมื่นล้านบาท ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม 1.34 แสนล้านบาท) แต่ไม่มีการตั้งวงเงินดอกเบี้ยเงินกู้และค่าธรรมเนียมหนี้สินกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) เนื่องจากได้โอนไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทยรับผิดชอบ ในปี 2556 คาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จะมีมูลค่า 12.544 ล้านล้านบาท จากการคาดการณ์ว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะมีค่าเท่ากับ 4-5% ซึ่งต่ำกว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2555 ที่อยู่ที่ 4.5-6.5% ในขณะที่กรอบงบประมาณปี 2556 เพิ่มสูงขึ้นจากปี 2555 ถึงสองหมื่นล้านบาท (งบประมาณรายจ่ายปี 2555 เท่ากับ 2.38 ล้านล้านบาท) ตั้ง 2 บอร์ดบริหารจัดการน้ำ สำนักนายกรัฐมนตรีมีคำสั่ง ที่ 62/2555 เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555 แต่งตั้งคณะกรรมการทำหน้าที่บริหารจัดการน้ำและอุทกภัย รวม 2 คณะ ได้แก่ 1. คณะกรรมการนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (กนอช.) มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ โดย กนอช. จะมีหน้าที่กำหนดนโยบายการจัดทำแผนปฏิบัติการบริหารจัดการน้ำ การป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยแห่งชาติ 2. คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) มี รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานกรรมการ โดย กบอ. จะมีหน้าที่จัดทำแผนปฏิบัติการและดำเนินการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยตามนโยบายของ กนอช. และการดำเนินการอื่นที่เกี่ยวข้องซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ กนอช. ครม. แจกงบโครงการอีสาน 1.6 พันล้าน เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2555 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรจังหวัดอุดรธานี มีมติอนุมัติงบประมาณ จำนวนเงิน 1,655 ล้านบาท สำหรับการดำเนินโครงการในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจำนวน 29 โครงการ ส่วนใหญ่เป็นโครงการบริหารจัดการน้ำ พัฒนาแหล่งท่องเที่ยว พัฒนาศักยภาพด้านการแพทย์และสาธารณสุข เพิ่มประสิทธิภาพทางหลวง ปรับปรุงภูมิทัศน์ ฯลฯ โดยให้ดำเนินการได้ทันทีภายในปีงบประมาณ 2555 ซื้อแท็บเล็ตแบบจีทูจีกับจีน เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2555 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบงบประมาณ 1,900 ล้านบาท เพื่อจัดหาแท็บเล็ตเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 860,000 เครื่อง โดยได้กำหนดราคาเบื้องต้นต่อเครื่องไว้ที่ 3,100 บาท และราคาประกอบ 300 บาท รวมราคาแล้ว 3,400 บาท/เครื่อง โดย ครม. มอบให้สามกระทรวง คือ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงไอซีที และกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมรับผิดชอบดำเนินการ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศเจรจาจัดหาในแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) กับรัฐบาลจีน กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาเนื้อหาที่เหมาะสมตามหลักสูตรบรรจุลงไปในแท็บเล็ต และให้กระทรวงไอซีทีเป็นผู้ดำเนินการจัดหาแท็บเล็ต จัดวางระบบไว-ไฟ รวมทั้งจัดทำระบบอินเทอร์เน็ตไร้สายในสถานศึกษา คาดว่าจะเริ่มดำเนินงานในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2555 นี้ทันที โดยตั้งเป้าจะให้เด็ก ป.1 ได้ใช้แท็บเล็ตทันเปิดเทอมหน้า หรือปลายเดือนพฤษภาคม 2555 ในส่วนของ กทม. นางทยา ทีปสุวรรณ รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า ขณะนี้ได้รับงบฯ อุดหนุนจำนวน 137 ล้านบาทแล้ว และกำลังรอสเปกจากรัฐบาลอยู่ หากพร้อมจะดำเนินการแจกให้นักเรียน ป.1 ในสังกัดจำนวนประมาณ 45,000 คนได้ ขณะนี้ สำนักการศึกษา กทม. กำลังจัดทำเนื้อหาใน 5 กลุ่มสาระ ได้แก่ ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ สังคม ภาษาไทยและวิทยาศาสตร์ เพื่อบรรจุเข้าไปในแท็บเล็ต นอกจากนี้ ยังจะต้องเตรียมการด้านอื่นๆ เช่น การฝึกอบรมครูผู้สอน การเชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ต กลุ่มกรีนยื่นสอบนายกฯ ไปโฟร์ซีซั่น เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2555 กลุ่มการเมืองสีเขียว หรือกลุ่มกรีน ได้ยื่นหนังสือถึงผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อขอให้ตรวจสอบจริยธรรมของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จากกรณีที่เดินทางไปโรงแรมโฟร์ซีซั่นเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2555 เพื่อปฏิบัติภารกิจส่วนตัวในเวลาราชการ โดยไม่สามารถชี้แจงต่อประชาชนได้ จึงขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินใช้อำนาจตามมาตรา 279 แห่งรัฐธรรมนูญและประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2551 ตรวจสอบ ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2555 นายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นในระหว่างเวลา 14.00-16.00 น. ซึ่งเป็นช่วงระหว่างการประชุมสภาฯ และหลังจากถูกซักถาม นายกฯ ได้กล่าวว่า เป็นการเดินทางไปส่วนตัวและไม่ได้มีความเสียหาย ต่อมานายเศรษฐา ทวีสิน นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ได้ออกมารับว่าได้พบกับนายกรัฐมนตรีเพื่อหารือพร้อมกับนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์อีกจำนวนหนึ่ง เรื่องนี้ทำให้มีการคาดการณ์ไปต่างๆ และเป็นเหตุให้กลุ่มกรีนได้ยื่นหนังสือเพื่อขอให้ผู้ตรวจการฯ สอบหาข้อเท็จจริงว่ามีเรื่องใดที่ขัดกฎหมายหรือไม่ วัยรุ่นไทยตั้งครรภ์สูงสุดในเอเชีย องค์กรทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือยูนิเซฟ จัดให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับแรกในภูมิภาคเอเชียที่มีอัตราการตั้งครรภ์ของแม่วัยรุ่นมากที่สุด และเป็นลำดับที่สองทั่วโลกรองจากทวีปแอฟริกา นางสุวรรณี คำมั่น รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า อัตราการตั้งครรภ์ของวัยรุ่นไทยเพิ่มจากร้อยละ 13.55 ในปี 2552 เป็น 13.76 ในปี 2553 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่เฝ้าระวังการตั้งครรภ์ของผู้หญิงอายุต่ำกว่า 20 ปี ตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลกที่กำหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 10 ต่อจำนวนหญิงตั้งครรภ์ทั้งหมด นอกจากนี้ รายงานเฉพาะกิจ โรงพยาบาลสายใยรักแห่งครอบครัว พบว่า อัตราคุณแม่ที่มีอายุน้อยกว่า 20 ปีคลอดบุตรได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คือ ร้อยละ 17.51 ในปี 2552 เป็นร้อยละ 18.24 ในปี 2553 และ ร้อยละ 19.20 ในปี 2554 นอกจากนี้จากข้อมูลของคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติยังพบว่าเด็กวัยรุ่นไทยที่ตั้งครรภ์มีอายุเฉลี่ยน้อยลง โดยในปี 2553 อายุเฉลี่ยคือ 13-15 ปี และมีเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 15 ปีตั้งครรภ์โดยไม่พร้อมและไม่ตั้งใจเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 จากปี 2552 รศ.นพ.ธราธิป โคละทัต อาจารย์ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า ข้อมูลจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ระบุปี 2553 ประเทศไทยมีหญิงอายุต่ำกว่า 20 ปีตั้งครรภ์ประมาณ 100,000 คน คิดเป็น 14% ของการตั้งครรภ์ทั้งหมด เริ่มรับจำนำข้าวนาปรัง เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2555 นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรจังหวัดอุดรธานี เห็นชอบมาตรการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี 2555 เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม-15 กันยายน 2555 โดยเปิดรับจำนำแบบทุกเมล็ดไม่จำกัดปริมาณ และใช้ราคารับจำนำเดียวกับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 54/55 คือตันละ 15,000 บาท คาดว่าจะมีข้าวนาปรังมาเข้าจำนำ 11.11 ล้านตัน วงเงินรับจำนำ 166,650 ล้านบาท สำหรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2554 สิ้นสุดวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555 นั้น นายสุพัฒน์ เอี้ยวฉาย ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการนโยบายรัฐ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) เปิดเผยว่า พบพฤติกรรมที่น่าสงสัยของเกษตรกรบางรายว่ามีการนำข้าวตกค้างมาเข้าร่วมโครงการเป็นรอบที่ 2 ซึ่งน่าจะเป็นข้าวจากโรงสีในพื้นที่ที่รับซื้อไว้ในราคาตันละ 10,000 บาท แต่ไม่น่าจะเป็นข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านที่นำมาสวมสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม ธกส. ได้ส่งเรื่องให้คณะอนุกรรมการสอบ ที่มีกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ ดีเอสไอ ลงพื้นที่ตรวจสอบแล้ว พร้อมสั่งให้หยุดรับจำนำข้าวรอบที่ 2 ไว้ก่อน นางวัชรี วิมุกตายน อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า มีเกษตรกรโทรศัพท์ผ่านสายด่วนแจ้งข่าวการสวมสิทธิ์ในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปีปี 54/55 ว่า บางจังหวัดมีข้าวมาเข้าจำนำมากกว่าปริมาณที่ระบุในหนังสือรับรอง จึงเตือนว่าหากทางดีเอสไอตรวจสอบพบมีเจตนาสวมสิทธิ์จริง จะดำเนินการตามกฎหมายเด็ดขาดและห้ามเข้าร่วมรับจำนำอีก โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลได้รับเสียงวิจารณ์และคัดค้านมาตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการ และท้ายที่สุดก็มีการวิเคราะห์ว่านโยบายที่รับจำนำโดยยึดเพียงตัวเลขของปริมาณข้าวจะทำให้ชาวนาไม่สนใจการพัฒนาคุณภาพรวมทั้งยังเป็นการส่งเสริมข้าวที่ใช้เวลาปลูกน้อยแทนที่จะส่งเสริมข้าวคุณภาพที่ใช้เวลานานกว่าจึงจะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ และราคาจำนำตันละ 15,000 บาท ทำให้ข้าวไทยมีต้นทุนในการส่งออกสูงกว่าข้าวจากประเทศอื่นที่มีคุณภาพเท่ากัน ไทยถูกขึ้นบัญชีดำด้านฟอกเงิน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติมอบให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปร่วมพิจารณากับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ว่ามีความจำเป็นเพียงใดที่จะต้องมีกฎหมายใหม่เพื่อป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน รวมถึงการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่ขบวนการก่อการร้าย ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน [Financial Action Task Force on Money Laundering - FATF] ได้ประกาศเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2555 ให้ประเทศไทยเป็น 1 ใน 5 ประเทศใหม่ที่ถูกขึ้นบัญชีดำในฐานะประเทศที่ต้องเฝ้าระวังอันดับหนึ่งในการทำธุรกรรมทางการเงิน เพื่อป้องกันธุรกรรมการฟอกเงิน และสนับสนุนการก่อการร้าย ซึ่งนอกจากไทยแล้ว ยังมีอีก 4 ประเทศที่ถูกขึ้นบัญชีดำพร้อมกัน คือ อินโดนีเซีย ปากีสถาน แทนซาเนีย และกานา ส่วนอีก 12 ประเทศที่ถูกขึ้นบัญชีดำอยู่ก่อนแล้วคือ พม่า โบลิเวีย คิวบา เอธิโอเปีย อิหร่าน เคนยา ไนจีเรีย เกาหลีเหนือ เซาตูเม ปรินซิปี ซีเรีย และตุรกี สาเหตุที่ไทยถูกขึ้นบัญชีครั้งนี้เพราะไทยมีข้อบกพร่องด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถผลักดันกฎหมายสำคัญทั้งสองฉบับ คือ กฎหมายต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย และกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ออกมาบังคับใช้ได้ 3 ระบบประกันสุขภาพร่วมใช้ราคายากลาง เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555 สี่หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการประกันสุขภาพ คือ กรมบัญชีกลาง สำนักงานประกันสังคม (สปส.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสำนักงานพัฒนาระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพแห่งชาติ (สพคส.) มีการลงนามความร่วมมือเพื่อจัดทำราคายากลางและเครื่องมือแพทย์เพื่อกำหนดราคากลางของยาและเครื่องมือแพทย์ให้มีราคาที่สมเหตุสมผล เพื่อเป็นการเริ่มต้นในการสร้างความเท่าเทียมของระบบประกันสุขภาพทั้ง 3 ระบบของไทย ทั้งนี้ที่ผ่านมาโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขมักจะสั่งซื้อยาในราคาสูงเกินจริงเพราะสั่งซื้อผ่านเซลส์ ซึ่งเมื่อมีการลงนามความร่วมมือนี้แล้ว หากโรงพยาบาลใดสั่งซื้อในราคาเกินกำหนดจะถูกตรวจสอบตามขั้นตอนของกฎหมายโดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ทั้งนี้ ยืนยันว่าการลงนามครั้งนี้ไม่ได้เป็นการลดสิทธิของข้าราชการ ขยายเวลาเว้นเก็บภาษีดีเซลอีก1เดือน เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2555 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลายกเว้นการจัดเก็บภาษีน้ำมันดีเซลต่อไปอีก 1 เดือน ตั้งแต่ วันที่ 1 - 31 มีนาคม 2555 ก่อนหน้านี้ ได้มีการขยายระยะเวลายกเว้นการจัดเก็บภาษีน้ำมันดีเซลมาเรื่อยๆ หลายครั้งแล้ว และครั้งสุดท้ายก็ได้มีการขยายจากวันที่ 1 ไปถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555 มาตรการพลังงานของรัฐบาลทำให้ ณ เดือนกุมภาพันธ์ กองทุนน้ำมันมีหนี้สินสะสมถึง 20,623 ล้านบาท ในขณะที่มีเงินสดเพียง 2,988 ล้านบาท เท่ากับติดลบถึง 17,635 ล้านบาท เนื่องจากต้องชดเชยราคาก๊าซแอลพีจีถึงวันละ 142 ล้านบาท ปัญหาบัตรเครดิตแท็กซี่ ดร.เติมชัย บุนนาค ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการที่ได้ออกบัตรเครดิตพลังงานเอ็นจีวีไปแล้ว 34,000 รายในปี 2554 ปตท. ได้รับหนังสือจากธนาคารกรุงไทยจำกัด (มหาชน) ผู้ร่วมโครงการออกบัตรว่า ในช่วงเดือนธันวาคม 2554 ถึง 31 มกราคม 2555 ซึ่งเป็นช่วงกำหนดชำระสินเชื่อเอ็นจีวีงวดแรก ปรากฏว่ามีผู้ประกอบการรถแท็กซี่ 10% ของยอดอนุมัติบัตรเครดิต ไม่ชำระหนี้ตามที่กำหนดไว้ อย่างไรก็ตาม ปตท. ยังจะเปิดรับทำบัตรเครดิตต่อไปจนครบ 130,000 รายตามที่ตั้งเป้าไว้ เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2555 เครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่ในเขตกรุงเทพฯ ได้สะท้อนถึงปัญหาของบัตรส่วนลดราคาเอ็นจีวีว่าไม่สามารถจะรูดใช้เป็นบัตรเครดิตได้ เพราะปั๊มเอ็นจีวีแจ้งว่าเครื่องรูดบัตรเสีย หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการบันทึกส่วนลดราคาเสีย และหัวจ่ายเอ็นจีวีที่เป็นหัวจ่ายในจุดที่ให้บริการเรื่องการรูดบัตรเครดิตพลังงานในปั๊มไม่เพียงพอกับจำนวนรถแท็กซี่ที่เข้าไปใช้บริการ ทำให้แท็กซี่บางคันรอไม่ไหว ต้องหันไปเติมเอ็นจีวีที่หัวจ่ายราคาเต็ม คือ 9 บาทต่อกิโลกรัมแทน (หัวจ่ายบัตรเครดิตลดราคาลดให้ 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม) เหยื่อไฟใต้ได้เยียวยาเท่าเหยื่อการเมือง วันที่ 12 กุมพันธ์ 2555 คณะกรรมการเยียวยาเหยื่อไฟใต้ มีมติจ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบรายละไม่เกิน 7.5 ล้านบาท เท่ากับกรณีทางการเมือง โดยแยกเป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มที่ 1 เหตุการณ์มัสยิดกรือเซะและสะบ้าย้อย เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2547 กลุ่มที่ 2 เหตุการณ์ตากใบและไอร์ปาแย กลุ่มที่ 3 กลุ่มผู้ที่ถูกกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐกรณีการหายสาบสูญโดยถูกบังคับหรือการทรมาน หรือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และกลุ่มที่ 4 ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ทั่วไป คาดจะสามารถดำเนินการได้ภายใน 2 เดือน ค้าน”กองทุนฯสตรี” จากการเสวนา “อนาคตหญิงไทยใน 4 ปีข้างหน้า” ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้มีการพูดถึงกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีแห่งชาติที่จะมีผลในเดือนมีนาคมนี้ว่า มีงบประมาณเกี่ยวข้องสูงถึง 7,700 ล้านบาท (จังหวัดละ 10 ล้านบาท) จึงควรที่จะออกเป็นพระราชบัญญัติมากกว่าเป็นเพียงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ในขณะเดียวกัน ส่วนหนึ่งของกองทุนนี้จะให้กู้ยืมซึ่งจะเป็นการเพิ่มภาระหนี้สิน ทั้งลักษณะการบริหารกองทุนคล้ายกับกองทุนหมู่บ้านที่มีงานวิจัยหลายชิ้นระบุว่าประสบความสำเร็จเพียง 10% และยังขาดความชัดเจนในเรื่องอื่นๆ อีก เครือข่ายองค์กรสตรีจึงมีความเห็นว่าควรจะชะลอการจัดตั้งออกไปก่อนเพื่อไม่ให้เป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ