ธันวาคม 2554 : พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนม์ครบ 7 รอบ พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนม์ครบ 7 รอบ เศรษฐกิจไทยปี 54 เตรียมกู้ 3.5 แสนล้านบาท ป้องกันน้ำท่วม ที่มาของหนี้ 1.14 ล้านล้านบาท จ่าย 2 หมื่นล้านแรกเยียวยาน้ำท่วม ภาคอุตสาหกรรม-ครัวเรือนเรียกค่าประกัน 262 พันล้านบาท ฟ้องศาลปกครอง รัฐล้มเหลวป้องกันน้ำท่วม กทม. เจอวิกฤติขยะหลังน้ำลด กยน. แจงสาเหตุมหาอุทกภัย พท. ยื่นถอดถอนอภิสิทธ์-แจกถุงยังชีพรัฐ พท. ดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ รมว. กต. คืนพาสปอร์ตให้ทักษิณ สื่อตั้งฉายานายกฯ “นกแก้ว” สื่อทุกสำนักทายการเมืองปี 55 ร้อนแน่ ลดจ่ายเงินเข้ากองทุนประกันสังคม เท 1.6 พันล้านบาท แจกแท็บเล็ตเด็ก ป.1 ข้าวสวมสิทธิ์เข้าโครงการจำนำ เลื่อนประกาศราคาประเมินที่ดินใหม่ ไวไฟฟรี 2 หมื่นจุดแรก ลดคดีพิเศษเหลือเพียง 10 ประเภท ป.ป.ช. ชี้ “วัฒนา” ผิดคดีก่อสร้างบ่อฯ คลองด่าน เฉลิมพระชนมพรรษาครบ 7 รอบ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2554 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จออกมหาสมาคม ณ มุขเด็จ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้พระบรมวงศานุวงศ์ คณะองคมนตรี คณะรัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภา คณะทูตานุทูต ข้าราชการ ตลอดจนประชาชนทุกหมู่เหล่าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 7 รอบ 84 พรรษา 5 ธันวาคม โอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสแก่ผู้ที่มาเฝ้าฯ โดยนอกจากทรงขอบใจสำหรับคำอวยพรแล้ว ยังทรงขอให้ทุกฝ่ายช่วยกันแก้ปัญหาน้ำท่วมให้ลุล่วงโดยเร็ว เนื่องจากประชาชนกำลังเดือดร้อน รวมทั้งให้จัดทำโครงการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน เศรษฐกิจไทยปี 54 สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยฐานะการคลังของประเทศว่า ในปีงบประมาณ 2554 ภาครัฐมีรายได้ทั้งสิ้น 2.822 ล้านล้านบาท คิดเป็น 26.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมทั้งประเทศหรือจีดีพี และเพิ่มจากปีที่แล้ว 2.22 แสนล้านบาท ซึ่งเท่ากับ 8.5% เนื่องจากการจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น ขณะที่รายจ่ายของภาครัฐมีจำนวนทั้งสิ้น 3.03 ล้านล้านบาท สูงกว่าปีที่แล้ว 3.77 แสนล้านบาท หรือ 14.2% ทำให้ขาดดุลทั้งสิ้น 2.07 แสนล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้วถึง 1.55 แสนล้านบาท เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2554 คาดว่าจะขยายตัวติดลบ 5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) เนื่องจากภาวะน้ำท่วมใหญ่ในช่วงที่ผ่านมามีความรุนแรง ส่งผลกระทบต่อการส่งออกและกำลังซื้อของประชาชนภายในประเทศ ทำให้อัตราการเติบโตตลอดปีนี้เฉลี่ยเติบโตเพียง 1.1% แต่ในปีหน้าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวดีขึ้นจากมาตรการต่างๆ ของรัฐบาลในการอัดแจกเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้ เติบโตได้ถึง 5% ของจีดีพี ในไตรมาสแรกของปี 2554 เศรษฐกิจไทยขยายตัว 3.2% ไตรมาสที่ 2 ขยายตัวเพียง 2.7% และไตรมาสที่ 3 ขยายตัว 3.5% เฉลี่ยรวม 3 ไตรมาสขยายตัว 3.1% แต่ไตรมาสที่ 4 กลับมาติดลบถึง 5% ทำให้อัตราการเติบโตตลอดทั้งปีเหลือแค่ 1.1% ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับปี 52 ที่มีอัตราการเติบโต 2.3% ด้านภาคอุตสาหกรรม นายยอภิวัฒน์ อสมาภรณ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 97.9 ลดลงจากเดือนตุลาคมที่มีระดับ 133.7 และเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีที่แล้วลดลง 48.6% ซึ่งเป็นค่าดัชนีที่ต่ำที่สุดในรอบ 123 เดือน นับตั้งแต่ สิงหาคม 2544 โดยค่าดัชนีเดือนล่าสุดได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมที่ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมหยุดผลิต เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีผลทำให้อัตราการผลิตของเดือนพฤศจิกายน อยู่ที่ 40.1% ต่ำที่สุดในรอบ 12 ปี การผลิตในเดือนธันวาคมคาดว่าจะปรับตัวขึ้นเล็กน้อย โดยบางอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเริ่มผลิตแต่ยังไม่มาก สศอ. ประเมินว่าในภาพรวมอุตสาหกรรมปี 2554 จะมีดัชนีผลผลิตเฉลี่ย 171.9 ลดลงจากปี 2553 ประมาณ 9-10% นายวิทยา เลื่องลือยศ ผู้จัดการทั่วไปอาวุโส บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัท ซันโยเซมิคอนดักเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งมีโรงงานผลิตในสวนอุตสาหกรรมโรจนะและได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมได้แจ้งว่าบริษัทจะหยุดการผลิตในประเทศไทยอย่างถาวรและจะไม่ประกอบกิจการในประเทศไทยอีกต่อไป ส่งผลให้มีการเลิกจ้างงานกว่า 2,000 ราย ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2554 เป็นต้นไป แต่ยังจะคงมีการจ้างพนักงานจำนวนหนึ่งต่อไปเพื่อกู้ซากเครื่องจักร เครื่องมือและอุปกรณ์ ก่อนหน้านี้ซันโยฯ มีปัญหาเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขันอยู่แล้ว เมื่อมาเผชิญกับการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทและปัญหาน้ำท่วมโรงงาน จึงตัดสินใจย้ายฐานการลงทุนไปที่ประเทศฟิลิปปินส์เนื่องจากมีฐานการผลิตอยู่ที่นั่นแล้ว แผนกู้ 3.5 แสนล้านบาท ป้องกันน้ำท่วม ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2554 ได้มีมติอนุมัติแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ และเห็นชอบในหลักการในการจัดตั้งกองทุนเพื่อนำมาใช้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการในระยะยาว วงเงิน 3.5 แสนล้านบาท และการจัดตั้งกองทุนเพื่อการประกันภัยในวงเงิน 5 หมื่นล้านบาท คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ที่มีนายวีรพงษ์ รามางกูร เป็นประธาน ได้เสนอให้เตรียมการด้านการเงินเพื่อการลงทุนวางระบบบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการครอบคลุมใน 8 ด้าน ตั้งแต่การดูแลพื้นที่ปลูกป่าให้มีความสมดุลในระบบนิเวศน์ การบริหารจัดการพื้นที่ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา การสร้างระบบการกักเก็บน้ำแก้มลิง และเส้นทางระบายน้ำหรือฟลัดเวย์เพื่อระบายน้ำลงทะเลทั้งฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา รวมไปถึงเขื่อนเพื่อดูแลจัดการน้ำ กฎหมายเรื่องผังเมือง ฯลฯ โดยการจัดตั้งกองทุนเพื่อดำเนินการ มีวงเงินเบื้องต้น 3.5 แสนล้านบาท ส่วนกองทุนเพื่อการประกันภัยในวงเงิน 5 หมื่นล้านบาทนั้น เพื่อแก้ปัญหาการขึ้นค่าประกันภัยน้ำท่วมของบริษัทประกันภัยต่างประเทศ อันเนื่องมาจากความกังวลของบางบริษัทที่ไม่ได้ทำประกันภัยต่อในต่างประเทศ และแก้ไขปัญหาความเสี่ยงจากเหตุการณ์มหาอุทกภัยในปี 2554 นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรียังมีมติรับในหลักการให้โอนหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน วงเงิน 1.14 ล้านล้านบาท กลับไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทยดูแลทั้งดอกเบี้ยและเงินต้น ที่มาของหนี้ 1.14 ล้านล้านบาท จากข้อเสนอของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ที่มีนายวีรพงษ์ รามางกูร เป็นประธาน ให้โอนหนี้ 1.14 ล้านล้านบาท ไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทยดูแลทั้งต้นและดอก เพื่อจะลดภาระของรัฐบาลในการตั้งงบประมาณชดใช้ดอกเบี้ยซึ่งสูงถึงปีละ 45,000 ล้านบาท จะทำให้รัฐบาลสามารถกู้เงินเพิ่มมาใช้จ่ายในโครงการประชานิยมและการฟื้นฟูแก้ไขป้องกันน้ำท่วมได้ ประเด็นนี้ทำให้เกิดความสงสัยถึงที่มาของหนี้จำนวนนี้ ซึ่งได้คำตอบว่าเกิดขึ้นจากการที่รัฐบาลนำเงินไปค้ำประกันธนาคารและสถาบันเงินทุนระหว่างเกิดวิกฤติการเงินในปี 2540 ที่เกิดหนี้เสียเป็นจำนวนมากส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงิน รัฐบาลในขณะนั้นจึงประกาศนโยบายรับประกันเงินฝาก 100% คือรับภาระหนี้ไว้ทั้งหมดโดยใช้กองทุนฟื้นฟูฯ เป็นกลไกสำคัญให้กับภาครัฐในการทำงานกับแลกตั๋วเงิน (บีอี) ตั๋วสัญญาใช้เงิน (พีเอ็น) ของสถาบันการเงิน ก่อนหน้านั้นในปี 2535 ไทยได้เปิดเสรีทางการเงิน หรือ BIBF แต่ยังคงผูกค่าเงินบาทไว้กับดอลล่าร์สหรัฐในอัตราคงที่ 25 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐ กลุ่มทุนนอกที่เรียกว่า Hedge Fund ได้เงินจากนอกประเทศเข้ามาเก็งกำไรในตลาดทุนไทยและซื้อดอลล่าร์ส่งกลับออกไปมากจนทำให้ทุนสำรองของประเทศลดจาก 38,000 ล้านเหรียญสหรัฐเหลือเพียง 2,800 เหรียญสหรัฐในเดือนมิถุนายน 2540 ในเดือนพฤษภาคม 2540 ธปท. ได้ใช้มาตรการซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า [SWAP] เพื่อนำเข้ามาชดเชยในทุนสำรองเงินตรา แต่ยิ่งทำให้เงินทุนสำรองเงินตราสุทธิของประเทศลดลง รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จึงประกาศลอยตัวเงินบาทเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 เป็นผลให้เงินบาทอ่อนตัวลงจาก 34 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐ เหลือ 54-56 บาทและจบที่ 44 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐในที่สุด ซึ่งยิ่งทำให้เงินทุนสำรองเหลือเพียง 1,144 ล้านเหรีญสหรัฐ และทำให้เกิดปัญหาหนี้ของสถาบันการเงินจนต้องปิดกิจการไปทั้งหมด 56 แห่ง รัฐบาลได้ออกพันธบัตรเพื่อนำเงินมาค้ำประกันเงินฝากโดยการกู้เงิน 12,296 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ (เท่ากับ 5.54 แสนล้านบาท ที่อัตราแลกเปลี่ยน 44 บาทต่อดอลล่าร์ในขณะนั้น) จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ และตั้งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูสถาบันการเงินทำหน้าที่รับผิดชอบหนี้ดังกล่าว ก่อนหน้านี้ผู้ว่าการ ธปท. นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ได้แสดงความเห็นว่า กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ไม่ใช่กลไกการปล่อยเงินของ ธปท. แต่เป็นกลไกของรัฐบาล และ รมว. คลัง นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ก็ได้ตั้งข้อสังเกตว่า การดำเนินการจะต้องไม่ให้เสียวินัยการคลัง และในทางเทคนิคแล้วรัฐบาลจะต้องเข้าไปค้ำประกัน ไม่ว่าหนี้จะเป็นของกองทุนฟื้นฟูฯ หรือรัฐบาลก็นับเป็นหนี้สาธารณะอยู่ดี จ่าย 2 หมื่นล้านแรกเยียวยาน้ำท่วม นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2554 ว่า คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณพิเศษฉุกเฉิน 20,110 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย โดยช่วงแรกตั้งแต่ธันวาคม 2554-มกราคม 2555 เพื่อใช้ในการ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยใน 62 จังหวัดและ กทม. จำนวน 2,635,110 ครัวเรือนๆ ละ 5,000 บาท เป็นเงิน 13,175 ล้านบาท ฟื้นฟูคุณภาพชีวิตตามข้อเสนอของจังหวัด 314.5 ล้านบาท : โครงการเตรียมความพร้อมให้แก่นักเรียนในโรงเรียน 2,006 แห่ง 456 ล้านบาท โครงการช่วยเหลือประชาชนด้านสาธารณสุข 121.9 ล้านบาท โครงการป้องกันและบรรเทาปัญหาการเลิกจ้าง 100,000 ราย 6.6 ล้านบาท โครงการตั้งศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน 17.8 ล้านบาท ด้านโครงสร้างพื้นฐาน : โครงการฟื้นฟูบูรณะโบราณสถาน 296 แห่ง 1,382 ล้านบาท โครงการฟื้นฟูเร่งด่วนทางสายหลักและโครงข่ายสำคัญ 708 สายทาง 1,813 ล้านบาท โครงการฟื้นฟูทางหลวงชนบทอันเนื่องมาจากอุทกภัย 11 สาย 139 ล้านบาท โดยงบประมาณจำนวนดังกล่าวจะสามารถลงไปได้ทันทีภายใน 3 วัน และงบประมาณส่วนที่เหลือ 27,000 ล้านบาท ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเร่งตรวจสอบความเสียหายจะให้ทยอยเบิกจ่ายหลังงบประมาณผ่านสภา ภาคอุตสาหกรรม-ครัวเรือนเรียกค่าประกันน้ำท่วม 262 พันล้าน นายประเวช องอาจสิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยความเสียหายจากน้ำท่วมว่า จนถึงวันที่ 20 ธันวาคม 2554 มีอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือนที่ทำประกันภัยได้เรียกร้องความเสียหายเข้ามาแล้ว 262,177 ล้านบาท จากวงเงินเอาประกันภัย 794,637 ล้านบาท แบ่งเป็นภาคอุตสาหกรรมได้รับความเสียหาย 228,392 ล้านบาท และภาคครัวเรือน 33,785 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถจ่ายค่าสินไหมได้ 75% ของทุนประกันหรือเท่ากับคิดเป็นเงิน 150,000 ล้านบาท ให้แล้วเสร็จใน 6 เดือน โดยขณะนี้มีสินไหมจากต่างประเทศเข้ามาแล้ว 1,000-1,200 ล้านเหรียญสหรัฐ ฟ้องศาล ปค. รัฐล้มเหลวป้องกันน้ำท่วม สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน พร้อมชาวบ้านที่ประสบอุทกภัย 352 คน เดินทางมายังสำนักงานศาลปกครองเพื่อยื่นคำฟ้องนายกรัฐมนตรี ผอ.ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) รมว.เกษตรและสหกรณ์ รมว.มหาดไทย อธิบดีกรมชลประทาน อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง ผอ.ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ และผู้ว่าฯ กทม. รวม 11 หน่วยงาน ที่ร่วมกันจัดการน้ำผิดพลาดล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ จนส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อประชาชน ขอให้ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งหมดจ่ายเงินชดเชยค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องตามความเป็นจริงตามรายบุคคล ทั้งยังขอให้ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งหมดกำหนดมาตรการที่เป็นรูปธรรม สร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชนว่า จะสามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต ภายใต้กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษา และขอให้นายกรัฐมนตรีสั่งการให้คณะรัฐมนตรีจัดตั้งกองทุนสวัสดิการเพื่อฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วม โดยรัฐบาลเป็นผู้จัดสรรเงินงบประมาณปีละไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาทและเพิ่มขึ้นทุก 5 เปอร์เซ็นต์ของอัตราเงินเฟ้อ โดยการบริหารจะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชน หรือตามที่เห็นสมควร หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2554 นายเกรียงศักดิ์ วรมงคลชัย อุปนายกฝ่ายปฏิบัติการสภาทนายความแห่งประเทศไทย นายศักดิ์ณรงค์ พวงศิริ ทนายความผู้รับมอบอำนาจ พร้อมด้วยทีมทนายจากสภาทนายความ เป็นตัวแทนประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในกรุงเทพมหานคร รวม 29 ราย ยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรี รมว.เกษตรและสหกรณ์ ผู้ว่าฯ กทม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมรวม 10 ราย ต่อศาลปกครองเช่นกัน โดยขอให้มีคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องทั้ง 10 รายชดใช้ค่าเสียหายตามความเสียหายจริงที่ขั้นต่ำอยู่ที่ 2 หมื่นบาท และสูงสุดคือ 4 ล้านบาท นับตั้งแต่วันฟ้องคดี พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของเงินต้น และขอให้ศาลสั่งให้ผู้ถูกฟ้องจัดทำแผนหรือมาตรการบรรเทาสาธารณภัย แผนฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบภัยให้แล้วเสร็จภายใน 90 วันนับแต่ศาลมีคำพิพากษา โดยให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบมีส่วนร่วม อีกทั้งสั่งให้มีการกำหนดมาตรการในการจัดเก็บและพร่องน้ำของเขื่อน การเปิดปิดประตูระบายน้ำ การจัดทำแนวกั้นน้ำ การระบายน้ำ ให้มีประสิทธิภาพ ป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน รวมถึงสั่งให้มีการปฏิบัติตามแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติปี พ.ศ. 2543-2557 หรือแก้ไขเพิ่มเติมปรับปรุงแผนเพื่อรองรับการป้องกันอุทกภัยอันเกิดภายภาคหน้าอย่างถาวร โดยให้ประกาศแผนให้ประชาชนทราบเพื่อให้มีส่วนร่วมกับภาครัฐและป้องกันอุทกภัย และมีคำสั่งให้ฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัยในเขตประกาศอุทกภัยให้มีสภาพเหมือนเดิม กทม.เจอวิกฤติขยะหลังน้ำลด หลังวิกฤติมหาอุทกภัยผ่านไป กทม. เจอปัญหาขยะกองสุมเป็นภูเขาย่อม ๆ ตามสองข้างทางเพราะผู้ประสบภัยนำของใช้ต่าง ๆ ที่ถูกน้ำท่วมมากองรวมกันไว้รอให้เจ้าหน้าที่มาเก็บ แม้เจ้าหน้าที่จะเร่งเก็บขยะอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม ขยะเหล่านั้นมีตั้งแต่เครื่องเรือน ของใช้ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เศษวัสดุ เช่น ไม้ โลหะ พลาสติก ไปจนถึงขยะที่เป็นอันตราย เช่น กระป๋องสเปรย์ ยาฆ่าแมลง ถ่านไฟฉาย เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ถ่านนาฬิกาควอตซ์ แบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ น้ำจากขยะอันตรายเหล่านี้เมื่อซึมลงสู่ใต้ดินอาจจะปนเปื้อนกับน้ำใต้ดินทำให้เกิดปัญหาสุขภาพอนามัยแก่ผู้พักอาศัยตลอดจนสัตว์น้ำในบริเวณใกล้เคียงได้เพราะมีสารพิษ สารเคมี กยน. แจงสาเหตุมหาอุทกภัย คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ได้ศึกษาวิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ สรุปได้ดังนี้ ฝนตกหนักผิดปกติเนื่องจากมีพายุพัดเข้าหลายลูกติดต่อกัน ปริมาณน้ำฝนสูงกว่าเกณฑ์เฉลี่ยปกติ 42 เปอร์เซ็นต์ ความเสื่อมโทรมในระบบนิเวศน์ การบุกรุกพื้นที่ป่าต้นน้ำลำธาร การรุกแม่น้ำลำคลอง และพื้นที่แก้มลิง การไม่มีระบบจัดการน้ำเชิงบูรณาการในลุ่มแม่น้ำหลักและลุ่มแม่น้ำย่อยที่จะช่วยชะลอน้ำส่วนเกินและเก็บกักน้ำไว้ใช้ประโยชน์ระยะยาว การบริหารจัดการน้ำในเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนป่าสักฯ ไม่สมดุล ไม่ระบายน้ำอย่างเหมาะสมตามจังหวะเวลา การจัดการน้ำไม่เป็นเอกภาพ ระหว่างจังหวัด ชุมชนเมือง นิคมอุตสาหกรรม พื้นที่ กทม. และปริมณฑล ความทรุดโทรมของระบบชลประทาน ประตูระบายน้ำ คลองส่งน้ำ ที่ไม่ขุดลอกปรับปรุงซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ความไม่สอดคล้อง ไม่เป็นมาตรฐานของคันกั้นน้ำที่สร้างไว้เดิมกับคันกั้นน้ำที่สร้างใหม่ และคันกั้นน้ำที่สร้างป้องกันน้ำท่วมชั่วคราว หน่วยงานต่าง ๆ มีข้อมูลน้ำผิดพลาด และไม่สามารถวิเคราะห์สถานการณ์น้ำท่วมอย่างถูกต้องแม่นยำ ความบกพร่องในการสื่อสาร การให้ข้อมูลเตือนภัยทำให้สังคมสับสน ไม่เชื่อถือ ไม่มั่นใจสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นจริง ขาดกฎหมายที่จะบังคับใช้ในแต่ละพื้นที่ให้เหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2554 นายสุเทพ น้อยไพโรจน์ รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า ตามข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยาระบุว่าอิทธิพลของลานินญาจะทำให้เกิดภาวะมีฝนมาก จะส่งผลไปถึงช่วงต้นปี 2555 จึงมีโอกาสที่ในปีหน้าประเทศไทยอาจต้องประสบภาวะฝนฤดูร้อนหรือฝนมาเร็วกว่าฤดูกาลเช่นปีนี้ ประกอบกับขณะนี้น้ำในเขื่อนต่าง ๆ มีปริมาณมากเพียงพอสำหรับการทำนา ดังนั้น กรมชลฯ จึงกำลังจัดทำแผนการปลูกข้าวในปี 2555 เพื่อให้ชาวนาปลูกข้าวเร็วขึ้นและเก็บเกี่ยวให้แล้วเสร็จก่อนน้ำหลาก ไม่ให้ผลผลิตเสียหายเช่นปีนี้อีก ศูนย์สนับสนุนการอำนวยการและการบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัยและดินโคลนถล่ม (ศอส.) รายงานว่าอุทกภัยครั้งนี้มีผู้เสียชีวิต 698 ราย สูญหาย 3 คน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 1,654,044 ครัวเรือน 4,406,600 คน พท. ยื่นถอดถอน “อภิสิทธิ์” แจกถุงยังชีพรัฐ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2554 ที่รัฐสภา พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรมและ ส.ส.เพื่อไทย จำนวน 84 คน ได้เข้าชื่อยื่นหนังสือถึงนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการสิ้นสุดสมาชิกภาพการเป็น ส.ส.ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายแพทย์ วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กรณีทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 266(1) ในการใช้สถานภาพ ส.ส.โทรศัพท์บีบบังคับเอาถุงยังชีพกระทรวงพลังงาน 500 ถุง จาก ผวจ.พิษณุโลก และนำไปให้นายอภิสิทธิ์ แจกจ่ายตามวัตถุประสงค์ของตนเอง ไม่ใช่การช่วยเหลือตามผลงานราชการ พท. เดินหน้าแก้ รธน. เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2554 นายสงวน พงษ์มณี ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย และกลุ่มเสื้อแดงเชียงใหม่ 51 จำนวนกว่าร้อยคนได้ยื่นเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร โยนายวิสุทธิ์ กล่าวว่า ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เพื่อเปิดช่องให้ตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) จำนวน 101 คนมาจากการเลือกตั้งของประชาชนจังหวัดละ 1 คน จำนวน 77 คน และตัวแทนจากผู้มีความรู้และเชี่ยวชาญด้านกฎหมายมหาชน ด้านรัฐศาสตร์ หรือรัฐประศาสนศาสตร์ และด้านการเมือง การบริหารราชการแผ่นดิน หรือการร่างรัฐธรรมนูญอีก 24 คน และจะเปิดโอกาสให้พระสงฆ์ร่วมด้วย นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคจะเสนอร่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งหมด 3 ร่างให้พิจารณาเพื่อให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญทำการศึกษาและรวบรวมประเด็นต่างๆ เหลือเป็นร่างเดียว และเมื่อรัฐสภาเห็นชอบในเดือน มีนาคม 2555 ส.ส.ร. ก็จะเริ่มทำการยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ใช้เวลา 8 เดือนพร้อมทำประชาพิจารณ์และรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน จากนั้นก็ทำประชามติตัดสินว่าประชาชนจะรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ทั้งนี้ หากรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ จะส่งให้ประธานรัฐสภาทูลเกล้าฯ โดยไม่ต้องนำเรื่องเข้ามารัฐสภาอีก นางธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ (นปช.) กล่าวว่า จะเริ่มเดินหน้าในการล่ารายชื่อเพื่อยกเลิกรัฐธรรมนูญ 50 โดยจะแจกจ่ายเอกสารที่เกี่ยวข้องผ่านแกนนำในส่วนภูมิภาคทั่วประเทศตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นไป ตั้งเป้าว่าจะได้รายชื่อคนเสื้อแดงครบ 50,000 รายชื่อ และคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเสนอต่อรัฐสภาได้ในเดือนมกราคม 2555 นี้ ก่อนหน้านี้ นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส. ยโสธร ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในช่วงต้นปีหน้ารัฐบาลจะยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เข้าสู่สภา เมื่อแล้วเสร็จจะเข้าสู่กระบวนการสรรหา ส.ส.ร. จากนั้นเข้าสู่กระบวนการทำงานของ ส.ส.ร. คาดว่าจะรัฐธรรมนูญใหม่ในปี 2557 ต่อจากนั้นจึงจะยุบสภาและจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ การแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจตัดทิ้ง ส.ว. เนื่องจากงานนิติบัญญัติ สภาผู้แทนราษฎรสามารถทำได้ครบถ้วนอยู่แล้ว รมว.กต. คืนพาสปอร์ตให้ทักษิณ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2554 รมว.กระทรวงการต่างประเทศ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ได้แถลงว่า กระทรวงการต่างประเทศได้ออกหนังสือเดินทางประเภทบุคคลธรรมดาฉบับใหม่ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตามที่ได้มีการยื่นคำร้อง ณ สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงอาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรต และกรมการกงสุลได้ประสานเรื่องผ่านทางนายธีรกุล นิยม ปลัดกระทรวงการต่างประเทศมาถึงตน และทางกระทรวงพิจารณาแล้วเห็นว่าคำร้องดังกล่าวไม่ได้เข้าข่ายตามกฎกระทรวง ในหมวดที่ 7 ข้อที่ 21(2) และหมวดที่ 8 ข้อที่ 23(7) ข้อ 21 (2) ระบุว่า เจ้าพนักงานมีสิทธิปฏิเสธหรือยับยั้งการขอหรือแก้ไขหนังสือเดินทางในกรณีที่ได้รับแจ้งว่าผู้ร้องกำลังรับโทษในคดีอาญา หรืออยู่ระหว่างการปล่อยตัวชั่วคราว หรือเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาที่ได้มีการออกหมายจับไว้แล้ว ซึ่งศาลหรือพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจเห็นว่าไม่ควรออกหนังสือเดินทางให้ ข้อ 23(7) ระบุว่าพนักงานเจ้าหน้าที่สามารถยกเลิกและเรียกคืนหนังสือเดินทางได้เมื่อปรากฏภายหลังว่าหากให้ผู้ถือหนังสือเดินทางยังคงอยู่ในต่างประเทศต่อไป อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศไทยหรือต่างประเทศได้ กระทรวงการต่างประเทศในยุครัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ได้ยกเลิกหนังสือเดินทางบุคคลธรรมดาของ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2552 หลังจากที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามคดีทุจริต พ.ศ. 2542 ม.200(1) วรรค 3 และ ม.122 วรรค 1 ให้ลงโทษจำคุก 2 ปี แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางออกนอกประเทศตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2551 ก่อนวันอ่านคำพิพากษา คดีนี้มีอายุความ 15 ปี คือตั้งแต่ 12 สิงหาคม 2551 ถึง 12 สิงหาคม 2566 สื่อตั้งฉายา “นายกฯนกแก้ว” เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวทำเนียบรัฐบาลได้ประชุมตั้งฉายารัฐบาลปี 2554 ตามธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติทุกปี เพื่อสะท้อนความคิดเห็นต่อการทำงานของรัฐบาล โดยมิได้เป็นความคิดส่วนตัวของผู้ใดผู้หนึ่ง แต่มาจากมติส่วนรวมของสื่อมวลชน โดยในปีนี้ รัฐบาลได้ฉายาว่า “ทักษิณส่วนหน้า” เนื่องจากการบริหารงานไม่สามารถสลัดภาพว่ามี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยู่เบื้องหลังได้ จนรัฐบาลเปรียบเหมือนศูนย์บัญชาการส่วนหน้าของทักษิณ ที่ต้องทำตามสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ คิดและวางไว้ให้ ตามสโลแกนตอนหาเสียงที่ชูว่า “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” หรือในการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี ผู้มีสิทธิได้ตำแหน่งต่างเดินทางไปดูไบเพื่อแสดงวิสัยทัศน์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ และล่าสุด พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ไปกรุยทางให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก่อนเดินทางไปเยือนประเทศต่างๆ นอกเหนือไปจากการการันตีว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ คือโคลนนิ่งของตัวเอง นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ได้ฉายา “นายกฯ นกแก้ว” จากการที่มีความสวย บุคลิกดี แต่เสมือนนกแก้วในกรงทองไม่สามารถบินได้ ต้องมีพี่เลี้ยงดูแลอย่างใกล้ชิด เธอพูดต่อสาธารณชนตามบทที่มีคนเขียนหรือบอกให้พูด การตอบคำถามพูดซ้ำซาก วกวนจนไม่รู้ว่าอะไรคือข้อเท็จจริง หลายครั้งพูดผิดจนตกเป็นเป้าของการวิจารณ์ ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2554 ผู้สื่อข่าวรัฐสภาก็ได้ตั้งฉายาให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่า “ดาวดับ” เนื่องจากสาเหตุที่นายกรัฐมนตรีขาดการประชุมสภาครั้งสำคัญหลายครั้ง และยังไม่แสดงบทบาทในการไกล่เกลี่ยระหว่าง ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ต่างกับนายกรัฐมนตรีคนก่อนๆ ที่พยายามทำบทบาทนี้เพื่อสร้างความประนีประนอมให้สภาฯ เดินหน้าไปได้ ตลอดจนการมอบหมายให้ผู้อื่นทำหน้าที่แทนในการตอบกระทู้สดในสภา สำหรับประธานรัฐสภา นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ได้ฉายาว่า “ค้อนปลอมตราดูไบ” เนื่องจากเดิมเคยมีฉายาว่า “ขุนค้อน” เมื่อครั้งเป็นรองประธานรัฐสภาในปี 2540 ได้แสดงความเด็ดขาดในการทำหน้าที่ แต่เมื่อเป็นประธานรัฐสภาในปัจจุบันกลับถูกโจมตีในการทำหน้าที่ไม่เป็นกลาง เอื้อต่อพรรคเพื่อไทย และยังเคยรับสารภาพว่าเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ก่อนที่จะรับตำแหน่งนี้ อนึ่งแม้ในปีนี้ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภาจะไม่มอบตำแหน่ง “คนดีศรีสภา” ให้กับใคร แต่ก็มอบตำแหน่ง “ดาวเด่นรัฐสภา” ให้กับ น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ จากผลงานที่มีความสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการทำบทบาทมือปราบ ส.ส.นอกแถวที่ชอบเสียบบัตรแสดงตนแทนกัน การขอให้ประธานสภาฯ แสดงความเป็นกลางหรือแม้กระทั่งขอความร่วมมือ ส.ส. ไม่ให้ประชุมกรรมาธิการในวันที่ตรงกับการประชุมสภาฯ บทบาทเหล่านี้ น.ส.รังสิมา ได้ปฏิบัติสม่ำเสมอโดยไม่คำนึงว่าเป็น ส.ส. รัฐบาล หรือประชาธิปัตย์ สำหรับผู้นำฝ่ายค้าน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับฉายาว่า “หล่อดีเลย์” เนื่องจากได้พยายามทำหน้าที่ชี้แนะตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มแข็งและเป็นประโยชน์ในหลายเรื่อง แต่เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีกลับไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างที่ชี้แนะ สื่อทุกสำนักทายการเมืองปี 55 ร้อนแน่ หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ไทยรัฐสรุปข่าวที่สุดแห่งปี 2554 ประเทศไทยได้นายกรัฐมนตรีหญิงแสนสวยคนแรกเดินหน้ายุทธศาสตร์ภายใต้แผน “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ไม่ทันไรน้ำไหลบ่ากลายเป็นมหาอุทกภัยสร้างความเสียหายมากที่สุดในรอบ 60 ปี พรรคเพื่อไทยเดินหน้าตอบแทนบุญคุณนายใหญ่ด้วยดวงใจ คืนพาสปอร์ต-ถอนแบล็กลิสต์ทักษิณ ชินวัตร ไม่สนใจเสียงค้าน ครม. ปิดห้องประชุมทำทีท่าว่าจะออกพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษช่วยทักษิณกลับบ้านโดยไม่ต้องติดคุก แต่เจอเสียงค้านระงม รองนายกฯ เฉลิมเลยต้องบอกเป็นเพียง “เกมสับขาหลอก” อย่างไรก็ตาม เกมเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญยังเพิ่งเริ่ม โดยมีเสียงสนับสนุนทั้งจากพรรคเพื่อไทย-คนเสื้อแดงและฝ่ายวิชาการ “นิติราษฎร์” พาดพิงไปถึงการออกกฎหมายนิรโทษกรรมโดยสภาผู้แทนราษฎรที่จะเอื้อประโยชน์แก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ทักษิณ อภิสิทธิ์ สุเทพ ตลอดไปจนถึงบรรดาขุนทหารที่ปฏิบัติการสยบคนเสื้อแดงในปี 2553 แม้การเมืองไทยจะยังวนเวียนอยู่กับเรื่องการเอื้อประโยชน์ และถึงอย่างไรฝ่ายค้าน 200 เสียงก็ไม่สามารถจะโค่นรัฐบาลได้ในสภา แต่คำวิจารณ์ของสื่อที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตลอดจนถึงการสื่อสารผ่านทางโซเชียลเน็ทเวิร์คที่มีอิทธิพลทางความคิดมากขึ้นทุกที เหตุเหล่านี้ทำให้ทุกสื่อต่างทายเป็นเสียงเดียวกันว่า ปี 2555 นี้ การเมืองไทยร้อนแรงแน่ ลดจ่ายเงินกองทุนประกันสังคม คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2554 อนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงแรงงานเสนอให้ลดการจ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคมจากปัจจุบันที่ฝ่ายรัฐบาล นายจ้าง และผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบ เพื่อจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีประสบอันตราย เจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตาย คลอดบุตร ปรับลดลงเหลือฝ่ายละ 0.5 % ของค่าจ้างจากเดิมฝ่ายละ 1.5 % ของค่าจ้าง มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-31 ธันวาคม 2555 ส่วนการจ่ายเงินสมทบเพื่อจ่ายประโยชน์กรณีสงเคราะห์บุตรและกรณีชราภาพ จากเดิมที่รัฐบาลจ่าย 1% ของค่าจ้าง ปรับเพิ่มเป็นรัฐบาลจ่าย 2% ส่วนนายจ้างและผู้ประกันตนจากเดิมจ่ายฝ่ายละ 3% ของค่าจ้าง ปรับลดลงเหลือฝ่ายละ 2% มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2555 และตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม - 31 ธันวาคม 2555 รัฐบาลจ่าย 2% ของค่าจ้าง ส่วนนายจ้างและผู้ประกันตนจ่ายที่ 3% ตามเดิม ส่วนการจ่ายเงินเพื่อประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานยังคงจ่ายสมทบในอัตราเดิมคือรัฐบาลจ่าย 0.25% นายจ้าง 0.5% และผู้ประกันตน 0.5% ขณะเดียวกันเพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ประกันตนที่จ่ายสมทบตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไปให้ได้รับเงินบำเหน็จชราภาพที่เป็นธรรมยิ่งขึ้น อันเนื่องมาจากการจ่ายเงินสมทบลดลงในช่วงเวลาที่มีการลดเงินสมทบตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2555 จึงเห็นสมควรให้จ่ายเงินบำเหน็จชราภาพเพิ่มขึ้นอีก 1% ของค่าจ้าง แจกแท็บเล็ตนักเรียนปีการศึกษาหน้า เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2554 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัตินโยบายเร่งด่วน 1 คอมพิวเตอร์แท็บเล็ต ต่อ 1 นักเรียน โดยจะมีการนำร่องให้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เป็นลำดับแรก โดยเริ่มต้นในปีการศึกษา 2555 เป็นต้นไป ทั้งนี้เพื่อใช้ในโรงเรียนในการพัฒนาองค์ความรู้หลักสูตรในระบบอิเล็กทรอนิกส์ให้กับนักเรียนตามนโยบายที่รัฐบาลได้หาเสียงไว้ น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า สำนักงบประมาณได้อนุมัติงบประมาณจำนวน 1,623 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตแบบพกพาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 477,561 คน คิดเป็น 62% ของนักเรียน ป.1 สังกัด ศธ. โดยราคาต่อเครื่องอยู่ที่ 3,400 บาท เป็นค่าตัวเครื่อง 3,100 บาท ค่าบรรจุองค์ความรู้ที่จะใส่ในแท็บเล็ต 300 บาท แต่จะไม่ให้เด็กนำแท็บเล็ตกลับบ้านเพราะเกรงจะมีปัญหาการดูแลรักษา จะให้ยืมเรียนและครูเป็นผู้ดูแล หากมีการสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก บริษัทที่นำมาเสนอก็จะจัดสรรเครื่องแท็บเล็ตให้กับครูผู้สอนและเปิดอบรมการใช้ให้ด้วย คาดว่าจะได้ตัวเครื่องประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2555 เพื่อให้ทันใช้ก่อนเปิดภาคเรียนวันที่ 17 พฤษภาคม 2555 ก่อนหน้านี้ นายอำนวย สุนทรโชติ ประธานชมรมค่านิยมเพื่อสร้างชาติเปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นที่มีต่อการแจกแท็บเล็ตให้กับนักเรียนชั้น ป.1 ว่า ร้อยละ 94.10 ไม่เห็นด้วยเพราะเด็ก ป.1 ยังเด็กเกินไป อีกทั้งการแจกแท็บเล็ตไม่ครบทุกคนเป็นสิ่งไม่ยุติธรรม นอกจากนี้ จากการสำรวจยังสะท้อนว่า เด็กไทยใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตไปในการบันเทิงมากกว่าใช้เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ ข้าวสวมสิทธิ์เข้ารับจำนำ ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐรายงานจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่า ขณะนี้บรรดาโรงสีข้าวที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลในหลายพื้นที่ใช้ช่องทางการนำข้าวเปลือกที่ซื้อจากประเทศเพื่อบ้านในราคาต่ำตันละ 8,000 บาท มาสวมสิทธิ์จำนำในราคาเมื่อหักความชื้นแล้วตันละ 13,000 บาท โดยโรงสีให้ชาวนาที่ยังมีโควต้าเหลืออยู่ไปรับใบประทวนเพื่อไปเบิกเงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ วิธีการนี้จะทำให้โรงสีได้กำไรตันละประมาณ 3,000 บาท และชาวนาได้ผลตอบแทนตันละ 1,500-2,000 บาท นายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาข้าวไทย กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องมีเจ้าหน้าที่รัฐรู้เห็นด้วยเนื่องจากการออกใบประทวนจะต้องมีเจ้าหน้าที่องค์การคลังสินค้า (อ.ค.ส.) หรือองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ประจำจุดอยู่ที่โรงสีเป็นผู้ออกให้ในวันที่นำข้าวมายังโรงสี ก่อนจะนำใบประทวนไปรับเงินที่ ธ.ก.ส. เลื่อนประกาศราคาประเมินที่ดินใหม่ กรมธนารักษ์เปิดเผยว่า คณะกรรมการกำหนดการประเมินทุนทรัพย์มีมติให้ขยายเวลาการใช้บัญชีกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน และบัญชีกำหนดราคาประเมินทรัพย์โรงเรือนสิ่งปลูกสร้างรอบบัญชี ปี พ.ศ. 2551-2554 ออกไปอีก 6 เดือนเนื่องจากปัญหาวิกฤติอุทกภัยในปี 2554 โดยกรมธนารักษ์ได้แจ้งให้ทุกจังหวัดทราบแล้ว ไวไฟฟรี 2 หมื่นจุดแรก เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2554 น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว. กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที ได้เปิดตัวบริการไวไฟฟรี หรือ SMART-WIFI@TH นำร่อง 2 หมื่นจุดทั่วประเทศเพื่อกระจายการใช้งานอินเตอร์เน็ตให้เข้าถึงประชาชนและลดช่องว่างในการเข้าถึงเทคโนโลยี และมีแผนจะขยายให้ได้ 4 หมื่นจุดในเดือนตุลาคม 2555 และได้ 2.5 แสนจุดภายใน 5 ปี บริเวณที่จะมีบริการไวไฟฟรีที่ระดับความเร็ว 2 เมกะบิตต่อวินาทีในพื้นที่สาธารณะ ได้แก่ ศาลากลางทั้ง 77 จังหวัด ที่ว่าการอำเภอ 878 แห่ง เทศบาล 2,010 แห่ง 7,355 ตำบล 5,765 อบต. 12,355 โรงเรียน 1,278 โรงพยาบาล และ 8,269 สถานีตำรวจ ผู้ใช้จะต้องลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ ด้วยชื่อนามสกุลและเลขบัตรประชาชน สามารถล็อกอินได้ครั้งละ 2 ชม. ลดคดีพิเศษเหลือเพียง 10 ประเภท เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติในหลักการให้ลดจำนวนคดีความผิดตามร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดคดีพิเศษเพิ่มเติมตามกฎหมายอาญาว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ ( ฉบับที่ ...) พ.ศ. .... จาก 14 เหลือ 10 คดี ได้แก่ 1. คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 2. คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 3. คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ 4. คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยแร่ 5. คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน 6. คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องสำอาง 7. คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตราย 8. คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยยา 9. คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยอาหาร 10. คดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา เฉพาะความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร คดีความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย และคดีความผิดเกี่ยวกับหนังสือเดินทาง ทั้งนี้จะส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกา พิจารณาต่อไป ป.ป.ช. ชี้ “วัฒนา” ผิดคดีสร้างบ่อบำบัดคลองด่าน เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2554 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แถลงมติผลการประชุมคดีทุจริตการก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย อ.คลองด่าน จ.สมุทรปราการ โดยที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ แจ้งข้อกล่าวหานายวัฒนา อัศวเหม ให้รับทราบถึงความผิดกรณีทุจริต และให้นายวัฒนา ส่งหนังสือชี้แจงกลับภายใน 15 วัน หากไม่มีการชี้แจงกลับ ป.ป.ช. จะส่งสำนวนให้อัยการโดยไม่มีคำชี้แจงประกอบ สำหรับนักการเมืองที่ถูกสอบสวนนอกจากนายวัฒนาแล้ว ยังมีนายยิ่งพันธุ์ มนะสิการ อตีต รมว.กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมและนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แต่นายยิ่งพันธุ์ ได้เสียชีวิตเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2546 ป.ป.ช. จึงมีมติจำหน่ายเรื่องดังกล่าว ส่วนนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์ยกคำร้อง นอกจากนี้ ยังมีข้าราชการจำนวน 14 คน เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าว ป.ป.ช. มีมติส่งให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาลงโทษตามวินัย ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542