พฤศจิกายน 2554 : วิกฤตน้ำท่วม วิกฤตประเทศไทย วิกฤตน้ำท่วมประเทศไทย สภาฯ วางใจให้ “ประชา” ทำงานต่อ เทงบ 2,650 ล้านบาทเยียวยาน้ำท่วม ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ ไทยพัง 1.36 ล้านบาทเพราะน้ำท่วม “แท็บเล็ต” แก้ปัญหาขาดครู 300 บาทเลื่อนไป 1 เม.ย. 55 ลดวงเงินรับจำนำข้าวเปลือก 1 ธ.ค. เริ่มใช้บัตรเครดิตพลังงาน แผนแม่บทบริหารคลื่นความถี่ 4 มหาวิทยาลัยขอออกนอกระบบ วิกฤตน้ำท่วมประเทศไทย น้ำที่ท่วมทางภาคกลางได้มาถึงจังหวัดปทุมธานี นนทบุรี และตอนเหนือของกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่เดือนตุลาคม และเข้าท่วมสนามบินดอนเมืองจนเต็มพื้นที่ในเดือนพฤศจิกายนทำให้ต้องย้ายศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ไปตั้งใหม่ที่อาคารกระทรวงพลังงาน น้ำจากดอนเมืองไหลไปตามถนนวิภาวดีรังสิตและพหลโยธินถึงสี่แยกมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และเลยไปถึงห้าแยกลาดพร้าว ระดับน้ำบนถนนหลายสายสูงมากจนรถเล็กผ่านไม่ได้ ส่วนตามตรอกซอกซอยที่ส่วนใหญ่ต่ำกว่าระดับถนนนั้น บางแห่งระดับน้ำสูงเกินกว่าหนึ่งเมตร การแก้ไขปัญหาที่ล่าช้าของภาครัฐทำให้นายกรัฐมนตรีสั่งปรับโครงสร้าง ศปภ. ใหม่ ให้อยู่ใต้นายกฯ แต่เพียงผู้เดียวเพื่อความเป็นเอกภาพ โดยนายกฯ จะเป็นศูนย์กลางเบ็ดเสร็จทำงานคู่กับกองทัพในแต่ละวันตลอดทั้งเดือนพฤศจิกายน กทม. จะประกาศพื้นที่เฝ้าระวังน้ำและพื้นที่ให้คนอพยพ โดยตั้งศูนย์พักพิงตามโรงเรียนต่าง ๆ ในสังกัด กทม. และแม้ว่าในเดือนพฤศจิกายน ระดับน้ำในจังหวัด เช่น นครสวรรค์ ชัยนาท อ่างทอง สิงห์บุรี อุทัยธานี ลพบุรี และพระนครศรีอยุธยา จะเริ่มลดลงเรื่อยๆ จนบางพื้นที่น้ำแห้งสนิทแล้ว แต่ในเขตจังหวัดปทุมธานี นนทบุรี และ กทม. กลับวิกฤตสูงสุด พื้นที่ทางตอนเหนือของ กทม. ทั้งทางฝั่งตะวันตกและตะวันออก ได้กลายเป็นพื้นที่รับน้ำที่ผันให้ไปลงแม่น้ำท่าจีนและบางปะกง โดยฝั่งตะวันตก มีขีดความสามารถในการระบายต่ำไม่มีประสิทธิภาพ น้ำท่วมจึงขยายไปในพื้นที่กว้างและมีระดับสูงมาก ส่วนฝั่งตะวันออกนั้น คันกั้นน้ำของ กทม. ที่คลองสามวาสร้างความไม่พอใจให้ประชาชนนอกเขตคันกั้นน้ำจนออกมารวมตัวกันเรียกร้องให้เปิดประตูระบายน้ำจนเกรงว่าหากระบายมากเกินไป ก็จะทำให้น้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมบางชันและลาดกระบัง ต้นเดือนเริ่มมีเสียงวิพากษ์เรื่องการซื้อถุงยังชีพของ ศปภ. ผ่านทางโซเชียลมีเดียว่า บางรายการแพงมากเมื่อเทียบกับที่หน่วยงานอื่นๆ จัดซื้อ ประเด็นการจัดซื้อแพงนี้ได้ถูกพรรคฝ่ายค้านนำมาอภิปรายไม่ไว้วางใจผู้อำนวยการ ศปภ. ในเวลาต่อไป ท่ามกลางเสียงวิพากษ์ทั้งในเรื่องการจัดซื้อที่แพงและในเรื่องประสิทธิภาพการทำงานของ ศปภ. และรัฐบาล นายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการสองชุด คือ คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) และคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) โดยคณะแรกมีนายวีรพงษ์ รามางกูร เป็นประธาน และคณะหลังมีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ เป็นประธาน ทันที่ที่รับตำแหน่ง นายวีรพงษ์ ปฏิบัติภารกิจทันทีโดยการเดินสายสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ลงทุนอันดับหนึ่งในประเทศไทย ไม่ให้ย้ายฐานการผลิต และให้บริษัทประกันภัยจากทั่วโลกยอมรับประกันอุทกภัยในประเทศไทยต่อไป รัฐบาลประกาศจะจ่ายเงินชดเชยให้บ้านน้ำท่วมครัวเรือนละ 5,000 บาท ผู้มีสิทธิรับค่าชดเชยต้องมีทะเบียนบ้าน หากเป็นบ้านเช่าต้องมีหนังสือรับรองจากเขต หลักเกณฑ์นี้ครอบคลุมถึงคอนโดมิเนียม แต่ต้องเป็นชั้นที่น้ำท่วมเท่านั้น 9-10 พฤศจิกายน เปิดประชุมสภาฯ พิจารณางบประมาณรายรับ-รายจ่ายปี 2555 วงเงิน 2.38 ล้านล้านบาท ซึ่งจัดทำไว้ก่อนน้ำท่วม ผู้นำฝ่ายค้านนายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ กล่าวว่า น้ำท่วมอาจจะทำให้ตัวเลขรายรับต่ำกว่าเป้า และจะทำให้ตัวเลขขาดดุลสูงกว่าที่ตั้งไว้ และยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า งบฟื้นฟูหลังน้ำท่วม 1.2 แสนล้านยังไม่มีรายละเอียดซึ่งอาจจะทำให้เป็นช่องทางทุจริต ควรจะเลื่อนนโยบายประชานิยมที่ไม่จำเป็นออกไปก่อน เอาเงินไปเยียวยาประชาชนที่ถูกน้ำท่วมแทน หลังจากที่ประชุมได้อภิปรายเรื่องน้ำท่วมกันอย่างกว้างขวาง นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ฯ ได้กล่าวว่า ตนเป็นผู้สั่งการให้ชะลอน้ำจากเขื่อนเพื่อให้พี่น้องชาวนาได้เกี่ยวข้าว นวัตกรรมใหม่ของถุงทรายขนาดใหญ่หรือ “บิ๊กแบ็ก” สร้างความแตกต่างของระดับน้ำสองฟากจนทำให้เกิดกรณีที่ชาวบ้านรวมตัวกันไปรื้อทั้งคันกั้นน้ำของ กทม. และ “บิ๊กแบ็ก” ของ ศปภ. 13 พฤศจิกายน ชาวบ้าน 20 ชุมชนรุมรื้อบิ๊กแบ็กบนถนนวิภาวดีช่วง สน.ดอนเมือง ทำให้น้ำทะลักลงคลองเปรมประชากร ในที่สุด ศปภ. ต้องยอมปรับแนวบิ๊กแบ็กเป็นฝายกั้นน้ำ ทำให้น้ำหลังแนวฝายเริ่มลดลง เหตุการณ์ที่ดอนเมืองกลายเป็นต้นแบบที่ทำให้ประชาชนในพื้นที่อื่น ๆ ออกมากดดันเรียกร้องให้ทั้ง ศปภ. และ กทม. แก้ไขปัญหาน้ำเน่าขังนาน เช่น ที่ลำลูกกาและสายไหม เป็นต้น กลางเดือนพฤศจิกายน สถานการณ์น้ำท่วมใน กทม. ดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะระบบระบายน้ำฝั่งตะวันออกของ กทม. ทำงานได้ผล สามารถผันน้ำลงคลองบางซื่อและคลองแสนแสบได้ดี ทำให้น้ำท่วมกรุงเทพฯ ชั้นในเพียงไม่กี่วัน แต่ในเขตชั้นนอกๆ เช่น ดอนเมือง สายไหม บางเขน ก็ยังมีน้ำท่วมขังตลอดจนกระทั่งถึงปลายเดือน ถนนหลายสายยังมีน้ำท่วมขังจนต้องเดินทางด้วยเรือหรือรถทหารอยู่ สิ้นเดือนพฤศจิกายน นายกรัฐมนตรีเรียกประชุมร่วมผู้ว่าราชการจังหวัด 7 จังหวัดที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับวิธีระบายน้ำ ส่วนฝั่งตะวันตกนั้น บางพลัดเป็นเขตแรกที่น้ำลด และก็ค่อยๆ ลดในพื้นที่ต่อๆ มา คงเหลือเพียงแต่บางส่วนเท่านั้น ได้แก่ เขตภาษีเจริญ จอมทอง ทวีวัฒนา บางแค บางมด ที่น้ำกำลังไหลเข้าสู่เขตจังหวัดนครปฐมและสมุทรสาคร เพื่อลงแม่น้ำท่าจีนสู่อ่าวไทย ปลายเดือนพฤศจิกายน สถานการณ์น้ำท่วมใน กทม. เกือบเข้าสู่ปกติ กทม. ปิดศูนย์พักพิง 40 แห่งที่ตั้งในโรงเรียนสังกัด กทม. เพื่อเตรียมรับเปิดเทอมในวันที่ 6 ธันวาคม ผู้อพยพบางคนได้กลับบ้านพร้อมถุงบรรจุผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้าน แต่ยังมีอีกหลายคนที่ยังเข้าบ้านไม่ได้ ต้องย้ายไปพักพิงที่ศูนย์ใหม่ แต่ในจังหวัดนนทบุรีและปทุมธานีนั้นยังมีน้ำขังอยู่ในหลายพื้นที่ ชาวบ้านทั้งสองจังหวัดยังรอวันที่น้ำแห้งต่อไป 30 พฤศจิกายน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) สรุปว่า นับตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2554 ที่พายุโซนร้อนนกเตนพัดเข้ามาทำให้เกิดน้ำท่วมใน 65 จังหวัดทั่วประเทศ ขณะนี้สถานการณ์ 50 จังหวัดคลี่คลายแล้ว ยังคงมีน้ำท่วมอยู่อีกใน 15 จังหวัดในตอนบน ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ ชัยนาท อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรสาคร สมุทรปราการ นครนายก ฉะเชิงเทรา และ กทม. น้ำท่วมครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิต 652 ราย สูญหาย 3 คน และมีราษฎรได้รับความเดือดร้อนทั้งสิ้น 1,800,043 ครัวเรือน 4,827,958 คน ในเดือนพฤศจิกายนมีฝนตกชุกในภาคใต้ เกิดอุทกภัยแล้วใน 8 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพัทลุง ตรัง สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช นราธิวาส สงขลา ยะลา และจังหวัดปัตตานี มีราษฎรได้รับความเดือดร้อน 134,853 ครัวเรือน 437,312 คน มีผู้เสียชีวิต 9 ราย และได้ประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (อุทกภัย) แล้ว สภาฯ วางใจให้ “ประชา” ทำงานต่อ สืบเนื่องมาจากการที่พรรคฝ่ายค้านประชาธิปัตย์ได้ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.ต.อ. ประชา พรหมนอก รมว ยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ด้วยข้อกล่าวหาว่าล้มเหลวในการบริหารจัดการน้ำท่วมนั้น ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้เรียกประชุมในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2554 และมีการลงมติในวันที่ 28 ผลปรากฏว่า พล.ต.อ. ประชา ได้รับคะแนนไว้วางใจ 273 ต่อ 188 เสียง งดออกเสียง 5 และไม่ลงคะแนน 15 สำหรับข้อกล่าวหา พล.ต.อ.ประชา นั้น สรุปได้เป็น 5 ประเด็นหลัก คือ บกพร่องในการทำงานแก้วิกฤตน้ำท่วม ไม่มีประสิทธิภาพ สร้างความเสียหายและสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน การสื่อสารระหว่าง ศปภ. กับประชาชนไม่ชัดเจนจนมีความผิดพลาดในสาระสำคัญ ทำให้เกิดความขัดแย้งบานปลาย ใช้อำนาจแต่งตั้ง ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ให้มีหน้าที่ใน ศปภ. เป็นการขัดข้อห้ามตามรัฐธรรมนูญ ถึงจะมีการยกเลิกคำสั่งภายหลังก็ยังไม่พ้นความผิดอยู่ดี การจัดการสิ่งของที่ประชาชนบริจาคผ่าน ศปภ. ล้มเหลว การจัดส่งถุงยังชีพไม่มีระบบ ไม่ทั่วถึง เพราะนักการเมืองเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซง ปล่อยให้เกิดกรณีทุจริตจัดซื้อถุงยังชีพแพงกว่าความเป็นจริง ทำให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ งบ 2,650 ล้านบาทเยียวยาน้ำท่วม เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2554 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติอนุมัติงบประมาณงบกลางประจำปี 2555 ให้จังหวัดจ่ายช่วยเหลือประชาชน ตามหลักเกณฑ์ วงเงิน 2,650 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นสำหรับจังหวัดช่วยเหลือประชาชน 1,250 ล้านบาท และสำหรับหน่วยงานช่วยเหลือประชาชนอีก 1,400 ล้านบาท ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า ผลจากภาวะน้ำท่วมกระทบต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ จีดีพี ในไตรมาส 4 (เดือนตุลาคม-ธันวาคม) ปีนี้ถึง 8.7% หรือคิดเป็นมูลค่าที่หายไปประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท ทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไตรมาสที่ 4 ติดลบ 3.7% จากเดิมที่มีแนวโน้มจะขยายตัว 4.2% และผลกระทบของน้ำท่วมคิดเป็นเม็ดเงิน 2 ถึง 3 แสนล้านบาท ทางด้านสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) คาดว่ามีพื้นที่เกษตรที่ถูกน้ำท่วม 11.48 ล้านไร่ มูลค่าความเสียหายเบื้องต้นรวม 76,673 ล้านบาท เมื่อคิดเป็นมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคเกษตร (จีดีพีภาคเกษตร) แล้วเท่ากับ 14,646 ล้านบาท คาดว่าความเสียหายดังกล่าวจะทำให้จีดีพีภาคเกษตรปีนี้ลดลง 3.84% จากเดิมที่คาดว่าทั้งปีจะขยายตัว 4.80% คงเหลือการขยายตัวเพียง 0.96% เท่านั้น สศก. ยังคาดว่าในปี 2555 นี้จะมีผลผลิตข้าวนาปีประมาณ 20 ล้านตันข้าวเปลือก ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 25 ล้านตันข้าวเปลือก เนื่องจากนาข้าวส่วนหนึ่งเสียหายจากน้ำท่วม อย่างไรก็ตามเมื่อรวมกับผลผลิตข้าวนาปรังอีก 10 ล้านตันข้าวเปลือกและข้าวในสต็อกของรัฐบาลอีก 11-12 ล้านตันข้าวเปลือก จะทำให้ผลผลิตทั้งปีมีประมาณ 42 ล้านตันข้าวเปลือก จึงไม่มีปัญหาด้านการบริโภคภายในประเทศที่มีความต้องการอยู่ที่ประมาณ 20 ล้านตันข้าวเปลือกต่อปี นอกจากนี้เศรษฐกิจโลกที่ตกต่ำยังทำให้กำลังซื้อในตลาดโลกลดลง ในขณะที่ประเทศผู้ส่งข้าว เช่น อินเดียและเวียดนามมีกำลังการผลิตมากขึ้น นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนตุลาคมหดตัวต่ำสุดในรอบ 26 เดือน อยู่ที่ระดับ 89 ซึ่งค่าดัชนีต่ำกว่า 100 สะท้อนว่าความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมของไทยอยู่ในภาวะที่เลวร้ายมาก เนื่องจากได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมโดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมการผลิตที่สำคัญ ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมทั้ง 7 แห่งที่ถูกน้ำท่วมหมด ขณะเดียวกันคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) ยอดขาย ปริมาณการผลิต ราคาขาย และผลประกอบการในประเทศก็ลดลงทั้งหมดจากเดือนกันยายน ในขณะที่ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น แต่ปัจจัยที่เอกชนมีความกังวลและไม่ต้องการเห็นคือความขัดแย้งภายในประเทศ จึงอยากให้มีความปรองดอง สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ความเสียหายเบื้องต้นในด้านอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน มีทุนประกันรวม 745,398 ล้านบาท ประเมินความเสียหายอยู่ที่ 149,000-216,000 ล้านบาท บริษัทประกันภัยมีความสามารถในการจ่ายสินไหมทดแทน เนื่องจากได้มีการทำประกันภัยต่อไว้กับบริษัทประกันภัยในต่างประเทศ (รีอินชัวรันซ์) ที่มีศักยภาพ ไทยพัง 1.36 ล้านบาทจากน้ำท่วม น.ส.กิริฎา เภาพิจิตร เศรษฐกรอาวุโสธนาคารโลกหรือเวิล์ดแบงก์ ประจำประเทศไทยกล่าวว่า จากการศึกษาผลกระทบน้ำท่วม คาดว่าไทยต้องใช้งบประมาณในการฟื้นฟูหลังน้ำลดเพื่อให้สามารถกลับมาผลิตใหม่อีกถึง 756,000 ล้านบาท โดยจำนวนนี้เป็นการฟื้นฟูภาคเอกชน 520,000 ล้านบาท และของรัฐบาลอีก 235,000 ล้านบาท โดยวงเงินที่ต้องใช้แบ่งเป็น ด้านโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ ระบบการจัดการน้ำ 69,100 ล้านบาท ระบบขนส่ง 24,500 ล้านบาท เป็นต้น ภาคการผลิต อาทิ ภาคการเกษตร ปศุสัตว์ และประมง 1,290 ล้านบาท ภาคอุตสาหกรรม 151,000 ล้านบาท และคาดว่าจะมีผู้ประกอบการต้องการใช้เงินสภาพคล่องผ่านระบบสถาบันการเงิน 430,000 ล้านบาท เป็นต้น ภาคสังคม เช่น ด้านสุขภาพ 3,692 ล้านบาท สังคม 21,800 ล้านบาท การศึกษา 14,000 ล้านบาท ภาคส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ สิ่งแวดล้อม 8,184 ล้านบาท เป็นต้น นางแอนเน็ต ดิกสัน ผู้อำนวยการธนาคารโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า วงเงินฟื้นฟูที่ต้องใช้ 756,000 ล้านบาท รัฐบาลไทยไม่น่ามีปัญหา สิ่งสำคัญคือการจัดลำดับความสำคัญทางการทำแผนไม่ให้น้ำท่วมซ้ำอีก ส่วนความกังวลเรื่องย้ายฐานผลิตไปจากไทยนั้นมองว่าไทยยังเป็นประเทศน่าลงทุนเมื่อเทียบกับในภูมิภาคและโลก ทั้งนี้ ธนาคารโลกยังประเมินความเสียหายและความสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจจากน้ำท่วมครั้งนี้มีมูลค่า 1.36 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นความเสียหายทรัพย์สิน 640,000 ล้านบาท และความสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจอีก 717,000 ล้านบาท ความเสียหายใหญ่เกิดกับภาคเกษตร ปศุสัตว์และประมง 94,800 ล้านบาท ภาคอุตสาหกรรม 931,000 ล้านบาท การท่องเที่ยว 115,000 ล้านบาท ระบบขนส่ง 3,309 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้การขยายตัวของจีดีพีในปีนี้ลดลงอีก 1.2% จากที่ประเมินไว้ 3.6% เหลือ 2.4% “แท็บเล็ต” แก้ปัญหาขาดครู ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวว่าขณะนี้ยังไม่มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนในการแจกคอมพิวเตอร์พกพาขนาดเล็กหรือ “แท็บเล็ต” ให้กับนักเรียนชั้นประถมปีที่ 1 ในโรงเรียนสังกัด สพฐ. ทั่วประเทศที่มีประมาณ 4 แสนคน แต่เบื้องต้นจะดูความพร้อมของแต่ละโรงเรียนเป็นหลัก โดยวัตถุประสงค์ของการแจกแท็บเล็ตก็เพื่อแก้ปัญหาความขาดแคลนครู ในวิชาหลัก เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ โดย สพฐ. จะกำหนดคุณลักษณะครุภัณฑ์หรือสเปกกลางของเครื่องใช้ไปให้ แล้วให้แต่ละโรงเรียนดำเนินการจัดซื้อเองโดยมีเขตพื้นที่การศึกษาเป็นพี่เลี้ยง งบประมาณที่ได้รับการจัดสรรจะมีราคาประมาณเครื่องละ 3,400 บาท สำหรับสถานศึกษาในสังกัดคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) นั้น นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการ สอศ. กล่าวว่า เพิ่งจะได้รับงบประมาณจำนวน 1,800 ล้านบาท จากสำนักงบประมาณเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2554 และ สอศ. จะทยอยโอนเงินงบประมาณไปให้สถานศึกษาในสังกัดต่อไป โดย สอศ. ได้เตรียมสื่อที่สามารถใช้กับทั้งแท็บเล็ตและกับคอมพิวเตอร์ทั่วไปได้ โดยจะร่วมกับมหาวิทยาลัยและสถานศึกษาต่างๆ ในสังกัดมาร่วมกันทำสื่อเพื่อใช้ในการเรียนการสอน 300 บาทเลื่อนไป 1 เม.ย. 55 เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2554 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้เลื่อนกำหนดการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาทออกไปเป็น 1 เมษายน 2555 จากเดิมที่กำหนดในวันที่ 1 มกราคม 2555 ทั้งนี้ เพื่อบรรเทาผลกระทบให้ผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าของกิจการที่ประสบปัญหาอุทกภัย ลดวงเงินรับจำนำข้าวเปลือก นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว. พาณิชย์เปิดเผยว่า ครม. เห็นชอบปรับลดวงเงินหมุนเวียนในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554-2555 ลง จากวงเงิน 410,000 ล้านบาท เหลือ 359,160 ล้านบาท เพราะผลผลิตลดลง 3.10 ล้านตัน จากเหตุการณ์น้ำท่วม 1 ธ.ค. เริ่มใช้บัตรเครดิตพลังงาน วันที่ 29 พฤศจิกายน 2554 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงาน ได้มอบหมายให้ ปตท. และธนาคารกรุงไทย ดำเนินโครงการบัตรเครดิตพลังงาน NGV ด้วยการจัดทำ บัตรเครดิตพลังงาน NGV ให้กับกลุ่มผู้ขับขี่รถแท็กซี่ รถสามล้อ และ รถตู้ร่วม ขสมก. ที่ใช้ก๊าซ NGV เป็นเชื้อเพลิง ในพื้นที่เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งมีจำนวนรวมกันประมาณ 65,500 คัน และมีจำนวนผู้ขับขี่รถสาธารณะประมาณ 130,000 คน ผู้ถือบัตรจะได้รับวงเงินเครดิตสำหรับชำระค่าก๊าซแทนเงินสดจำนวน 3,000 บาทต่อคนต่อเดือน และสิทธิส่วนลดราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในอัตรา 50 สตางค์ถึง 2 บาท แล้วแต่ช่วงเวลา แต่สามารถใช้วงเงินส่วนลดได้ไม่เกินมูลค่ายอดการซื้อก๊าซ 6,000 บาทต่อเดือน โดยจะเริ่มทดสอบระบบฯ กับกลุ่มผู้ขับขี่รถสาธารณะนำร่องจำนวน 150 คัน ประกอบด้วย รถแท็กซี่ 100 คันรถตู้ร่วม ขสมก. 35 คัน และรถสามล้อ 15 คัน ในวันที่ 1 ธันวาคม 2554 นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บัตรเครดิตพลังงาน NGV ประกอบด้วย บัตรจำนวน 2 ใบ ซึ่งต้องใช้ควบคู่กันทุกครั้ง ได้แก่ 1. บัตรประจำรถ ใช้เพื่อแสดงสิทธิของรถที่เข้าร่วมโครงการ และ 2. บัตรเครดิตพลังงาน เป็นบัตรประจำตัวบุคคล แสดงเพื่อใช้ชำระค่าก๊าซแบบเครดิตแทนเงินสด ซึ่งจะเริ่มใช้วงเงินเครดิตได้ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2554 สำหรับส่วนลดราคาขายปลีกก๊าซ NGV จะเริ่มใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป จนถึงสิ้นปี 2558 แผนแม่บทบริหารคลื่นความถี่ เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. มีมติเห็นชอบร่างแผนแม่บทบริหารคลื่นความถี่ ที่มีหลักการเบื้องต้น 4 ประการ คือ ให้มีการกระจายการใช้ประโยชน์คลื่นความถี่อย่างทั่วถึง เป็นธรรม เพื่อประโยชน์ของสาธารณะ ให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ ให้มีการใช้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับเทคโนโลยี มิให้มีการใช้ที่รบกวนการใช้คลื่นความถี่ในกิจการต่างๆ และสอดคล้องกับข้อตกลงระหว่างประเทศ โดยที่แผนแม่บทกำหนดว่าต่อไปให้มีการเรียกคลื่นความถี่ที่อยู่ในครอบครองของหน่วยงานรัฐทั้งหมดที่อยู่นอกเหนือจากสัญญาสัมปทานคืนมาทั้งหมดเพื่อจะได้มีการจัดสรรใหม่ โดยมีกำหนดระยะเวลาว่า ในกิจการกระจายเสียง จะเรียกคืนหลัง 5 ปี กิจการโทรทัศน์ จะเรียกคืนหลัง 10 ปี และกิจการโทรคมนาคม จะเรียกคืนหลัง 15 ปี ดังนั้นจึงต้องมีการทำความเข้าใจกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน สำหรับภาคเอกชนและประชาชนจะต้องมีการจัดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะหรือประชาพิจารณ์ 4 มหาวิทยาลัยขอออกนอกระบบ รศ.นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวว่า มีมหาวิทยาลัย 4 แห่งได้ยืนยันความต้องการที่จะออกนอกระบบ ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยศิลปากร และมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ส่วนอีก 4 มหาวิทยาลัย คือ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กำลังรอผลการพิจารณาของสภามหาวิทยาลัย