ตุลาคม 2554 : กองทัพน้ำบุกถึง กทม. กองทัพน้ำบุกถึง กทม. รัฐบาลเตรียมงบฟื้นฟูหลังน้ำท่วม ลดภาษีเงินได้นิติบุคคล บ้านหลังแรกเพื่อคนจน เลื่อนค่าแรง 300 บาทไป 1 เม.ย. 55 บัตรเครดิตพลังงาน “นิวไทยแลนด์” แก้น้ำท่วม พท. เดินหน้าแก้ พ.ร.บ.กลาโหม อัมสเตอร์ดัมหาหลักฐานเพิ่ม คัดร่าง กม.ค้างสภาเหลือ 24 ฉบับ กองทัพน้ำบุกถึง กทม. มวลน้ำมหาศาลที่ท่วมในพื้นที่กว่ายี่สิบจังหวัดในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางตอนบนทยอยไหลบ่าลงมายังพื้นที่ภาคกลาง สมทบกับน้ำฝนที่ท่วมขังอยู่ตามท้องทุ่งที่ราบลุ่ม เข้าท่วมจังหวัดต่าง ๆ ในภาคกลาง ไหลลงมายังจังหวัดนนทบุรีและปทุมธานีที่อยู่ทางด้านเหนือของกรุงเทพมหานครและทะลักเข้าท่วมพื้นที่ทางตอนเหนือและตะวันออกของ กทม. เป็นลำดับแรก น้ำบางส่วนได้ไหลข้ามแนวกั้นลงมาทางถนนวิภาวดีรังสิต และถนนพหลโยธิน หลากเข้าไปในสนามบินดอนเมือง ท่วมรันเวย์ทั้งหมดและอาคารต่างๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งอาคารที่เป็นที่ตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) รัฐบาลได้เริ่มแก้ปัญหาน้ำท่วมตั้งแต่ 4 ตุลาคม 2554 โดยนายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง พล.ต.อ. ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย โดยใช้อาคารในสนามบินดอนเมืองเป็นที่ตั้ง เพื่อรับบริจาคสิ่งของไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย หลังจากที่มีพายุสามลูกพัดเข้าประเทศไทย คือ เนสาด ไห่ถาง และนาลแก เกิดฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขื่อนภูมิพลมีปริมาณน้ำในเขื่อนถึงร้อยละ 93 ของความจุ เขื่อนสิริกิติ์ มีปริมาณน้ำร้อยละ 99 เขื่อนแควน้อย มีปริมาณน้ำร้อยละ 94 และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์มีปริมาณน้ำเกินความจุของอ่างมากที่สุดถึงร้อยละ 135 ทุกเขื่อนต้องเร่งระบายน้ำออก จึงทำให้เกิดน้ำท่วมตั้งแต่จังหวัดตาก และกำแพงเพชรลงไปจนถึงลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ทำนายว่า ในปีนี้จะมีน้ำท่วมอย่างหนัก และน่าจะรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของไทย น้ำจากสี่แม่น้ำ คือ เจ้าพระยา ลพบุรี ป่าสัก และแม่น้ำน้อย ทำให้พื้นที่ทั้งจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจมบาดาลในที่สุด คันกั้นน้ำที่ตัวเมืองพระนครศรีอยุธยาแตก น้ำเข้าท่วมเกาะเมืองทั้งพื้นที่ หลายพื้นที่มีปริมาณน้ำสูงกว่า 2 เมตร ถนนหลายสายถูกตัดขาด วัด โรงเรียน โรงพยาบาล น้ำท่วมได้ขยายพื้นที่ออกไปมากขึ้นทุกที จนในที่สุดเมื่อท่วมทางรถไฟสายเหนือสูงถึง 50 เซนติเมตร การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ประกาศหยุดการเดินรถอย่างไม่มีกำหนด ภาพความโกลาหลของชาวเมืองอยุธยาที่อพยพหนีน้ำกันจ้าละหวั่น ภาพน้ำทะลักท่วมโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยากลางดึก สูงเกือบ 2 เมตร มีการขนย้ายผู้ป่วยกว่า 200 คน ด้วยรถทหารและเฮลิคอปเตอร์ รวมทั้งภาพนักโทษในเรือนจำที่นั่งแช่น้ำรอการอพยพย้ายเรือนจำ ทำให้ชาวกรุงเทพฯ เริ่มตระหนักว่าน้ำอาจจะท่วมกรุงเทพฯ ได้เช่นกัน เจ็ดนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ที่น้ำผ่านค่อย ๆ ทยอยถูกน้ำล้อมและเข้าท่วมทีละแห่งจนมิดพื้นที่ ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมสหรัตนคร โรจนะ บางปะอิน แฟคตอรีแลนด์ บางหว้า (ไฮเทค) นวนคร และบางกระดี ในจังหวัดปทุมธานี เป็นรายสุดท้าย บางนิคมถูกน้ำเข้าโจมตีกะทันหันจนต้องปิดโรงงานขนสินค้าหนีกันจ้าละหวั่น คนงานและผู้อาศัยอยู่โดยรอบพากันอพยพหนีน้ำท่วม บ้างกลับภูมิลำเนาในต่างจังหวัด บ้างไปอาศัยในศูนย์พักพิง แต่ก็มีบางส่วนที่ยังคงอยู่ที่เดิมในสภาพติดเกาะ เมื่อน้ำเข้าใกล้จังหวัดปทุมธานี ผู้ว่าฯ ปทุมธานี ร้องขอกระสอบทรายเพื่อทำกำแพงป้องกันน้ำท่วม กองทัพบกได้ส่งส่งทรายจากจังหวัดกาญจนบุรีไปให้ ทางจังหวัดระดมนักโทษไปช่วยใส่ทรายจำนวน 1 แสนกระสอบ แต่น้ำก็เข้าท่วมในพื้นที่นอกเมืองจนได้ ในที่สุดประชาชนจาก 10 จังหวัดที่น้ำท่วมก็อพยพไปอาศัยตามศูนย์พักพิงต่างๆ นายวีระ แสงนาค ที่ปรึกษาอธิบดีกรมชลประทานให้ข่าวเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2554 ว่า ขณะนั้นมี “น้ำทุ่ง” อยู่เหนือกรุงเทพฯ ประมาณหนึ่งหมื่นล้านลูกบาศก์เมตร ศปภ. เริ่มจะกังวลว่าน้ำจะมาถึง กทม. หรือไม่ 14 ตุลาคม นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดแถลงข่าวเองว่า น้ำกำลังจะท่วมพื้นที่จังหวัดปทุมธานี ขอให้ชาวปทุมฯ อพยพด่วน แต่หลังจากนั้น ศปภ. ก็ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการว่าสถานการณ์ไม่น่าเป็นห่วง เพราะรัฐบาลยังสามารถ “เอาอยู่” แต่เมื่อน้ำกระชั้นรุกคืบเข้ามาทุกที เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ศปภ. จึงประกาศ 5 มาตรการในการแก้ไขป้องกันน้ำท่วม คือ ซ่อมประตูระบายน้ำขนาดใหญ่ที่เสียหาย กู้ทางหลวงสายสำคัญให้กลับมาใช้งานใหม่ได้ ระบายน้ำออกอ่าวไทยโดยการขุดลอกคลอง ขุดคลองลัด ใช้เรือดันช่วยส่งน้ำ เพิ่มได้ 3 เท่าตัว จากวันละ 150 ล้าน ลบ.ม. เป็น 500 ล้าน ลบ.ม. อพยพคนจากพื้นที่น้ำท่วมสูง ระดมเจ้าหน้าที่ทุกหน่วย รวมทั้งทหารและอาสาสมัครประชาชน มาช่วย นายกรัฐมนตรีสั่งการให้กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ดูแล 5 จังหวัดที่น้ำท่วมหนัก ได้แก่ นครสวรรค์ พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี ปทุมธานี และนนทบุรี ส่วนจังหวัดอื่น ๆ นอกจากนั้นให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหน้าบังคับบัญชาการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม แต่น้ำก็คืบคลานมาเรื่อยๆ จนถึง เขต กทม. ชั้นนอก เช่น ดอนเมือง สายไหม และบางพลัด น้ำที่ไหลลงมาตามถนนวิภาวดีฯ และพหลโยธินบรรจบเข้าท่วมสนามบินดอนเมืองจนมิดรันเวย์ ไม่เว้นแม้แต่ที่ทำการของ ศปภ. และศูนย์พักพิง ทำให้ต้องย้าย ศปภ. ไปที่กระทรวงพลังงานและส่งผู้อพยพไปอยู่ตามศูนย์ใหม่ในจังหวัดชลบุรี ราชบุรี นครนายก เป็นต้น หลังคันกั้นน้ำโดยรอบ กทม. แตกในหลายจุด ดอนเมือง สายไหมและบางพลัดเป็นเขตแรกๆ ของ กทม. ที่น้ำท่วมสูงจนต้องประกาศให้ประชาชนในพื้นที่อพยพออกไป รัฐบาลประกาศวันหยุดพิเศษ 27-31 ตุลาคม ทำให้ประชาชนอพยพออกไปต่างจังหวัดกันมาก แต่หลังจากนั้นก็เป็นวันทำงานอีกทำให้คนทำงานต้องกลับมาใช้ชีวิตอยู่กับน้ำต่อไป รวมทั้งคณะรัฐมนตรีด้วยที่มีการประชุมตามปกติและมีการพิจารณาอนุมัติแผนฟื้นฟูหลังน้ำท่วมที่เรียกกันว่า “นิวไทยแลนด์” 18-30 ตุลาคม 2554 เป็นช่วงอันตรายสำหรับ กทม. เพราะน้ำเหนือจากนครสวรรค์จะไหลมาถึงปทุมธานีและนนทบุรี จะมาถึง กทม. นอกจากนั้น วันที่ 28 ตุลาคม ยังเป็นช่วงที่น้ำทะเลหนุนสูงที่สุดในรอบเดือน กองทัพเรือคำนวณว่าระดับน้ำเจ้าพระยาจะสูงถึง 2.59 เมตร ในขณะที่คันกั้นน้ำสูงเพียง 2.50 เมตร นอกจากนี้ น้ำทะเลที่หนุนสูงจะดันน้ำในแม่น้ำท่าจีนให้ไหลเอ่อท่วมสู่คลองต่างๆ ในฝั่งตะวันตกของ กทม. ซึ่งคันกั้นน้ำฟันหลอ น้ำจึงอาจท่วมเขตธนบุรีและทวีวัฒนาได้ 20 ตุลาคม น้ำทะลักเข้าไหลลงไปในคลองประปาไปถึงสามเสนจนต้องเปิดประตูระบายออกแม่น้ำเจ้าพระยา สร้างความแตกตื่นให้ชาว กทม. ในเขตชั้นกลาง ปัญหาน้ำท่วมกลายเป็นประเด็นสังคมและการเมือง ในส่วนสังคมประชาชนสองฟากคันกั้นน้ำเกิดความขัดแย้งจนถึงขั้นยกพวกทำลายคันกั้นน้ำทำให้น้ำทะลักเข้ามาในกรุงเทพฯ มากขึ้นเรื่อยๆ แม้กำลังเจ้าหน้าที่ก็ไม่สามารถจะยับยั้งการทำลายคันกั้นน้ำในที่ต่างๆ ได้ วันที่ 31 ตุลาคม นายกรัฐมนตรีก็ใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 2550 สั่งเปิดประตูระบายน้ำคลองสามวา ทำให้น้ำทะลักเข้ามาในเขต กทม. มากขึ้นเรื่อยๆ ข่าวน้ำท่วมไทยเป็นที่สนใจของสื่อทั่วโลก โดยสื่อต่างประเทศได้ติดตามความคืบหน้าการแก้ปัญหาของรัฐบาลไทยและวิจารณ์อย่างหนัก บางสื่อทำนายว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ คงจะไปหลังน้ำลด ในขณะเดียวกันสื่อต่างชาติได้แสดงความชื่นชมในพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการเข้าใจปัญหาและทรงชี้แนวทางป้องกันแก้ไขน้ำท่วม กทม. ตั้งแต่เดือนกันยายน 2538 ที่มีผู้เอาเทปบันทึกภาพมาเผยแพร่ซ้ำในยูทูปและต่อมาบางสถานีโทรทัศน์ได้นำมาเผยแพร่ สรุปความเสียหายจากน้ำท่วมตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคมถึงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2554 มีรายงานผู้เสียชีวิตแล้ว 527 ราย สูญหาย 3 ราย และมีผู้ได้รับผลกระทบ 2.9 ล้านครัวเรือนหรือกว่า 9.5 ล้านคน โดยประเมินความเสียหายอยู่ที่ 156,700 ล้านบาท ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม 2.31 แสนล้านบาท ทั้งนี้ อุทกภัยดังกล่าวทำให้พื้นดินกว่า 150 ล้านไร่ ซึ่งในจำนวนนี้เป็นทั้งพื้นที่เกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ใน 63 จังหวัด 641 อำเภอ ตั้งแต่จังหวัดเชียงใหม่ สุโขทัย ตาก พิษณุโลก กำแพงเพชร ทางภาคเหนือ ไปจนถึงพิจิตร นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี ปทุมธานี นครนายก นนทบุรี พระนครศรีอยุธยา นครปฐม สมุทรสาคร ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ ปราจีนบุรี กรุงเทพมหานคร ในที่ลุ่มภาคกลาง ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี กาฬสินธุ์ นครราชสีมา ในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง มีน้ำท่วม บางจังหวัดมีน้ำท่วมทั้งพื้นที่ บางจังหวัดท่วมบางส่วน สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ( คปภ.) รายงานว่า เบื้องต้นมีรายงานความเสียหายจากการแจ้งความกับบริษัทประกันภัยว่า ณ วันที่ 25 ตุลาคม 2554 รวม 6,146,927,627 บาท แบ่งเป็น ความเสียหายจากค่าสินไหมรถยนต์ 2,004 คัน 211,521,285 บาท ความเสียหายต่อทรัพย์สิน จำนวน 2,862 ราย เป็นเงิน 5,924,312,735 บาท และผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต 58 ราย รวมเงินประกัน 11,093,652 บาท ความเสียหายจากนิคมอุตสาหกรรมทั้ง 7 แห่ง เบื้องต้นประเมินไว้ที่ 140,000 ล้านบาท ทั้ง 7 นิคมอุตสาหกรรมมีทุนประกันรวมกันกว่า 456,000 ล้านบาท คิดเป็น 4% ของจำนวนเงินเอาประกันภัยทั้งหมดทั่วประเทศ เป็นของบริษัทรับประกันภายในประเทศ 15% ส่วนที่เหลืออีก 85% เป็นการรับประกันภัยต่อของบริษัทต่างประเทศหรือ รีอินชัวรัน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยประเมินผลกระทบต่อการท่องเที่ยวว่าทำให้ประเทศไทยสูญเสียรายได้จากการท่องเที่ยวกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท และท้ายที่สุด บริษัทวิเคราะห์ความเสี่ยง เมเปิลครอฟท์ จัดอันดับใหม่ให้ไทยอยู่ในลำดับความเสี่ยงที่ 37 ของทั่วโลก งบฟื้นฟูหลังน้ำท่วม เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2554 คณะรัฐมนตรีเห็นชอบการปรับลดงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 ลงประมาณ 10% รวมเป็นเงิน 80,000 ล้านบาท โดยเป็นงบประมาณของราชการและรัฐวิสาหกิจรวม 70,000 ล้านบาท และงบประมาณจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอีก 10,000 ล้านบาท เมื่อรวมกับงบประมาณขาดดุลเพิ่มอีก 50,000 ล้านบาท จะทำให้มีวงเงินสำหรับใช้แก้ปัญหาอุทกภัยแบบบูรณาการรวมทั้งสิ้น 130,000 ล้านบาท โดยเป็นงบกลางในรายการสำรองจ่ายฉุกเฉินของรัฐบาล 120,000 ล้านบาท และท้องถิ่น 10,000 ล้านบาท ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2554 มีมติอนุมัติมาตรการทางการเงินเพื่อเยียวยาผลกระทบจากอุทกภัยวงเงิน 325,000 ล้านบาท ในวันที่ 27 ตุลาคม 2554 โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นางฐิติมา ฉายแสง แถลงผลการรับ-จ่ายเงินบัญชีกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรีว่า ณ วันที่ 26 ตุลาคม มียอดเงินรับยกมา 60,328,988.21 บาท รวมกับยอดบริจาคในปี 2554 อีก 753,294,322.98 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 813,623,311.19 บาท และดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารอีก 241,132.07 บาท รวมมีรายรับ 813,864,443.26 บาท สำหรับรายจ่ายแบ่งเป็น 3 รายการใหญ่ คือ จ่ายให้ทายาทผู้ประสบภัยเสียชีวิต รายละ 50,000 บาท จำนวน 356 ราย กรณีบ้านเสียหายหลังละ 240,000 บาท จำนวน 138 หลัง เป็นเงิน 50,920,000 บาท จัดหาเครื่องอุปโภคบริโภคและเครื่องใช้อื่นๆ เป็นเงิน 325,824,560 บาท สนับสนุนช่วยเหลือผ่านองค์กรและมูลนิธิช่วยเหลือต่างๆ 61,000,000 บาท รวมรายจ่ายทั้งสิ้น 437,744,560 บาท มียอดคงเหลือ ณ วันที่ 26 ตุลาคม เท่ากับ 376,119,883.26 บาท ณ เดือนตุลาคม ไทยได้รับความช่วยเหลือทั้งในรูปเงิน สิ่งของและความช่วยเหลืออื่น ๆ จากนานาประเทศรวม 21 ประเทศ และ 6 องค์กร คิดเฉพาะเงินเท่ากับ 745.2 ล้านบาท และยังมีเงินบริจาคของคนไทยในต่างประเทศผ่านสถานทูตอีก 4 ล้านบาท ลดภาษีเงินได้นิติบุคคล เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2554 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี พ.ศ. 2558 ดังนี้ ปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลให้คงจัดเก็บในอัตรา 23% ของกำไรสุทธิสำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีรอบระยะเวลาบัญชี 2555 ที่สิ้นสุดในหรือหลังวันที่ 31 ธันวาคม 2555 และให้ลดลงคงจัดเก็บในอัตรา 20% ของกำไรสุทธิ สำหรับรอบระยะเวลาลงบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2556 เป็นต้นไป ปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 5 ล้านบาท มีรายได้จากการประกอบกิจการขายสินค้าและการให้บริการไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อรอบระยะเวลาบัญชี โดยจะมีการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับกำไรสุทธิเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 150,000 บาท ให้เสียภาษีในอัตรา 15% ของกำไรสุทธิ สำหรับส่วนที่เกิน 150,000 บาท แต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป ให้เสียภาษีในอัตรา 23% ของกำไรสุทธิเฉพาะส่วนที่เกิน 1 ล้านบาท สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่สิ้นสุดในหรือหลังวันที่ 31 ธันวาคม 2555 และให้เสียภาษีในอัตรา 20% ของกำไรสุทธิสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2556 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม หากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นเอสเอ็มอี มีทุนชำระแล้วเกินกว่าที่กำหนดหรือมีรายได้เกินกว่าหลักเกณฑ์ที่กำหนดจะไม่ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ภาษี และในปีต่อๆ ไปต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราเดียวกับนิติบุคคลทั่วไป บ้านหลังแรกเพื่อคนจน เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 คณะรัฐมนตรีมีมติเพิ่มมาตรการในโครงการบ้านหลังแรก โดยให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ปล่อยเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยที่ยังไม่มีที่อยู่อาศัยของตนเอง ดังนี้ ผู้กู้จะต้องไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองมาก่อน ไม่เคยมีชื่อเป็นเจ้าของบ้านในทะเบียนบ้านที่นำมาแสดงเป็นหลักฐานในการขอกู้และต้องมีชื่อเป็นผู้อาศัยในทะเบียนบ้านไม่น้อยกว่า 3 ปี บ้านที่ซื้อจะเป็นบ้านใหม่หรือบ้านมือสองของ ธอส. ก็ได้ ลักษณะบ้านได้ทั้งห้องชุด บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ อาคารพาณิชย์ รวมไปถึงการกู้เพื่อปลูกสร้างอาคารหรือเพื่อซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้างอาคารก็ได้ ระยะเวลาในการกู้ไม่เกิน 30 ปี เงินกู้ทั้งหมดไม่เกิน 1 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 0% เป็นเวลา 3 ปีแรก อายุผู้กู้ต้องไม่เกิน 65 ปี ระยะเวลาในการขอกู้คือตั้งแต่ 11 ตุลาคม 2554 ถึง 30 กันยายน 2555 หรือเมื่อเต็มวงเงิน 20,000 ล้านบาทที่ ธอส. จัดไว้ และต้องทำนิติกรรมกับ ธอส. ให้เสร็จก่อน 31 ธันวาคม 2555 ทั้งนี้ รัฐบาลให้ ธอส. ลดจำนวนเงินส่งเข้ากระทรวงการคลัง 2,400 ล้านบาท ในช่วงปี 2554-2557 ค่าแรง 300 บาทเลื่อนไป 1 เม.ย. 55 วันที่ 17 ตุลาคม 2554 คณะกรรมการค่าจ้างกลางหรือบอร์ดค่าจ้างมีมติให้ปรับค่าจ้างเพิ่มขึ้น 40% ในทุกจังหวัดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป ทำให้ 7 จังหวัดมีค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาท ตามนโยบายที่รัฐบาลได้หาเสียงไว้ ส่วนจังหวัดอื่นๆ นอกจากนี้จะค่อยๆ ทยอยปรับแบบขั้นบันไดทีละ 40% จนกว่าจะครบภายใน 4 ปี ทั้งนี้เพื่อให้นายจ้างมีเวลาปรับตัว 7 จังหวัดที่จะมีค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ได้แก่ กรุงเทพฯ ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม สมุทรปราการ สมุทรสาคร และภูเก็ต อย่างไรก็ตามเนื่องจากภาวะน้ำท่วม จึงให้เลื่อนการปรับค่าแรงออกไปก่อนโดยจะมีผลในวันที่ 1 เมษายน 2555 บัตรเครดิตพลังงาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เตรียมออกบัตรเครดิตพลังงานตามนโยบายของรัฐบาล โดยจะจัดสรรให้กลุ่มผู้ขับรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ (เอ็นจีวี) จำนวน 58,000 ราย และรถตู้ร่วม ขสมก. เอ็นจีวี จำนวน 5,000-6,000 คัน ในวงเงิน 2,000-4,000 บาทต่อเดือน โดยกระทรวงพลังงานเป็นผู้ค้ำประกัน ผู้ถือบัตรสามารถใช้เป็นค่าพลังงานก่อนและจ่ายทีหลังเหมือนบัตรเครดิตทั่วไป และจะมีส่วนลดพิเศษเมื่อชำระเงิน คาดว่าจะต้องใช้เงินประมาณ 128-256 ล้านบาทต่อเดือน “นิวไทยแลนด์” แก้น้ำท่วม นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว. พลังงาน เปิดเผยหลังประชุมร่วมกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจากหลายกระทรวงว่า ที่ประชุมเห็นควรให้มีแผนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในระยะยาว ซึ่งจะต้องมีการแก้ไขทั้งระบบของทั้งประเทศ เพื่อพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยจะใช้ชื่อว่าแผนประเทศไทยใหม่ หรือ นิวไทยแลนด์ คาดว่าจะใช้งบประมาณ 6-8 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีรายละเอียดสำหรับนิวไทยแลนด์ เศรษฐกิจ กันยายนชะลอตัว เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2554 ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศแถลงภาวะเศรษฐกิจเดือนกันยายนว่า การขยายตัวชะลอลง โดยหลายภาคการผลิตหดตัวหลังได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก เช่น หมวดฮาร์ดดิสไดร์ สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม และหมวดอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ส่วนหมวดการผลิตอาหารและเครื่องดื่ม และยานยนต์ยังขยายตัวในเกณฑ์ดี สถานการณ์น้ำท่วมเริ่มส่งผลกระทบในบางสาขา เช่น การบริโภคและท่องเที่ยว การเกษตรและส่งออก พท. เดินหน้าแก้ พ.ร.บ.กลาโหม กลุ่มคนเสื้อแดง และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เสนอให้แก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกลาโหม พ.ศ. 2550 ที่แก้ไขว่าการโยกย้าย แต่งตั้ง ปลดผู้บัญชาการเหล่าทัพออกจากตำแหน่ง ต้องใช้มติสภากลาโหมชี้ขาด ทำให้ฝ่ายการเมืองทำงานลำบาก เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและรัฐมนตรีช่วยว่าการเป็นเพียง 2 ใน 7 เสียงเท่านั้น อีก 5 เสียง คือ ผบ.เหล่าทัพ บก-เรือ-อากาศ ปลัดกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารสูงสุด เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2554 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และแกนนำ น.ป.ช. ได้กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ได้ต้องการให้ฝ่ายการเมืองเข้าไปแทรกแซงอำนาจการแต่งตั้งโยกย้ายในกองทัพ เพราะมีการโปรดเกล้าฯ แล้ว แต่กฎหมายฉบับนี้เป็นหนึ่งใน 177 ฉบับที่ผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติโดยที่ประชุมไม่ถึงกึ่งหนึ่ง คือ 125 เสียงตามที่กำหนดไว้ ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยไว้ว่าหากองค์ประชุมไม่ถึงครึ่งมีอันให้กฎหมายนั้นตกไป และยังเป็นหนึ่งใน 211 ฉบับที่ออกใช้ในช่วงที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติและรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธิ์ จุลานนท์ แต่งตั้งโดย คมช. อย่างไรก็ดีในซีกของรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ยังไม่แสดงทีท่าในเรื่องนี้ แต่เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2554 นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทยยืนยันว่าหลังน้ำลดแล้วคงจะต้องมีการหารือกันในพรรคอย่างแน่นอน อัมสเตอร์ดัมหาหลักฐานเพิ่ม นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เดินทางมายังประเทศไทย เพื่อรวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินคดีผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของ 91 คนไทยในระหว่างการชุมนุมทางการเมืองปี 2553 ก่อนหน้านี้เขาเคยยื่นฟ้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ แต่ศาลไม่รับฟ้อง จึงต้องมาหาหลักฐานเพิ่มเติม เมื่อถึงเมืองไทย อัมสเตอร์ดัมได้ไปเยี่ยมผู้ต้องขังในเรือนจำและวิจารณ์ว่าสภาพความเป็นอยู่ไม่ได้มาตรฐานสากล อัยการไทยพยายามทำให้ผู้ต้องขังท้อแท้และยอมสารภาพ และยังกล่าวว่า การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ทำได้ยากเพราะมีมือที่มองไม่เห็นปกป้องอยู่ เขายังมีความเห็นว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยเพียงก้าวแรกเท่านั้น การกระทำของอัมสเตอร์ดัม ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์เป็นอย่างมากว่าก้าวก่ายการเมืองในประเทศไทยโดยสนับสนุนพรรคหนึ่งและโจมตีอีกพรรคหนึ่ง จนน่าเป็นห่วงว่าในอนาคตไทยจะต้องได้รับความเห็นชอบจากต่างชาติในเรื่องภายในหรือไม่ การนำบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทยเข้ามาเป็นสมาชิกหรือยอมให้กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อประโยชน์ของพรรค กรรมการบริหารพรรคจะต้องรับผิดชอบและมีโทษทางการเมืองหรือไม่ คัดร่าง กม.ค้างสภาเหลือ 24 ฉบับ เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2554 คณะรัฐมนตรีมีมติและร้องขอให้กฎหมายที่ยังค้างอยู่ในสภา 24 ฉบับสามารถเดินหน้าต่อไปได้โดยไม่ต้องนับหนึ่งใหม่ กฎหมายทั้ง 24 ฉบับนี้มิ อาทิเช่น ร่าง พ.ร.บ.สัญชาติ ร่าง พ.ร.บ.เงินเดือนเงินประจำตำแหน่งและผลประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินและผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประธานกรรมการและกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ร่าง พ.ร.บ.คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ร่าง พ.ร.บ.วิชาชีพสาธารณสุข ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ได้รับผลประทบจากระบบบริการสาธารณสุข ร่าง พ.ร.บ.ควบคุมการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬา ร่าง พ.ร.บ.สถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา เป็นต้น โดยที่ประชุมวิปรัฐบาลได้มีมติให้เสนอต่อประธานรัฐสภา ให้เรียกประชุมรัฐสภา เพื่อพิจารณากฎหมายที่รัฐบาลได้ให้ความเห็นชอบที่จะยืนยันให้รัฐสภาดำเนินการพิจารณาต่อ ในวันที่ 14 ตุลาคม 2554 รัฐธรรมนูญ 2550 ระบุว่า ถ้าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไป ร้องขอภายใน 60 วันนับแต่วันแรกที่เรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรก (คือวันที่ 29 กันยายน 2554) และรัฐสภามีมติเห็นชอบด้วย ให้กฎหมายที่ค้างการพิจารณาสามารถเดินหน้าพิจารณาต่อไปได้ในขั้นตอนที่ค้างพิจารณาอยู่ โดยไม่ต้องนับหนึ่งใหม่ หลังการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ พบว่ามีร่างกฎหมายจำนวนทั้งสิ้น 295 ฉบับค้างพิจารณาของรัฐสภา แบ่งเป็น ร่างกฎหมายที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการร่วม 2 สภา จำนวน 2 ฉบับ ร่างกฎหมายที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวุฒิสภา 6 ฉบับ ร่างกฎหมายที่คณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแล้วเสร็จ 5 ฉบับ อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎร 1 ฉบับ บรรจุระเบียบวาระเพื่อรอพิจารณาในวาระที่ 1 ของสภาผู้แทนราษฎร 280 ฉบับ ร่างกฎหมายที่รอการบรรจุระเบียบวาระการประชุมของสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 1 จำนวน 1 ฉบับ