สิงหาคม 2554 : นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย โปรดเกล้าฯ ครม.ยิ่งลักษณ์ นโยบายค่าแรงวันละ 300 บาท น้ำมันลดราคาตามนโยบายหาเสียง เพิ่มเงินชดเชยผู้ประสบภัยน้ำท่วม ส.ส. เพื่อไทยประกันตัว นปช. กกต. แจกใบแดง “บุญจง” แกนนำ นปช. ได้ตำแหน่งทางการเมือง ศาลรับฟ้องคดีรถดับเพลิง กทม. ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องคุณหญิงพจมาน กรมสรรพากรคืนทรัพย์สินที่อายัด “โอ๊ค-เอม” ใบอนุญาตแรกวิทยุชุมชน ปชป. เลือกอภิสิทธิ์ เป็นหัวหน้าพรรคซ้ำ ธปท. กลัวหนี้สาธารณะพุ่ง เวิล์ดแบงก์ยกระดับฐานะไทย การจ้างงานปี 54 ดีขึ้น โปรดเกล้าฯ ครม. ยิ่งลักษณ์ แล้ว เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2554 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย และทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2554 ดังรายชื่อต่อไปนี้ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีคุมตำรวจ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรีคุมความมั่นคง นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายชุมพล ศิลปอาชา รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา น.ส.กฤษณา สีหลักษณ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายภูมิ สาระผล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายชูชาติ หาญสวัสดิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฐานิสร์ เทียนทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นางสุกุมล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นางบุญรื่น ศรีธเรศ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และ ก่อนหน้านี้ หลัง กกต. ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการครบ 496 คน (ส.ส.บัญชีรายชื่อ 124 คน และแบ่งเขต 372 คน) ซึ่งเกินร้อยละ 95 ตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดแล้ว ได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดแรกเพื่อเลือกประธานและรองประธานสภาในวันที่ 2 สิงหาคม ปรากฏว่า นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภา โดยมีนายเจริญ จรรย์โกมล ส.ส.ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย และนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.พะเยา พรรคเพื่อไทย ดำรงตำแหน่งประธานสภาคนที่ 1 และ 2 ตามลำดับ 1 สิงหาคม 2554 กกต. มีมติ 4 ต่อ 1 รับรองการเป็น ส.ส. ของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ผู้สมัครระบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย มีผลให้นายจตุพร ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ ก่อนหน้านั้นนายจตุพรได้ถูกตั้งข้อหาว่ากระทำผิดฐานหมิ่นสถาบันในการปราศรัยบนเวที นปช. เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2554 เนื่องในโอกาสครบ 1 ปีหลังเหตุการณ์นองเลือดวันที่ 10 เมษายน 2553 และถูกคุมตัวไว้ชั่วคราวในเรือนจำโดยไม่ได้รับการประกันตัว ในระหว่างที่ถูกคุมตัว นายจตุพร ได้รับการเสนอชื่อในบัญชีรายชื่อผู้สมัครลำดับที่ 8 ของพรรคเพื่อไทย และเมื่อได้รับเลือกเข้าสู่สภา กกต. จึงต้องพิจารณาว่านายจตุพร จะมีคุณสมบัติความเป็น ส.ส. ด้วยหรือไม่ เนื่องจากไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวให้ไปลงคะแนนเสียง และหลังจากที่ กกต. มีมติรับรองนายจตุพร แล้ว จึงได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองในฐานะ ส.ส. และปล่อยตัวจากเรือนจำ หลังจากที่ กกต. ได้รับรองผู้สมัคร ส.ส. ครบแล้ว ปรากฏว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้ กกต. ได้แจกใบเหลือง 2 ใบ และไม่มีใบแดงเลย 5 สิงหาคม 2554 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรลงมติเลือก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยคะแนน 296 ต่อ 3 และงดออกเสียง 197 น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 คณะรัฐมนตรีที่เป็น ส.ส.แบบระบบบัญชีรายชื่อ สามารถจะลาออกจากการเป็น ส.ส. เพื่อทำหน้าที่บริหารแต่เพียงอย่างเดียว โดย กกต. จะเลื่อนผู้ที่อยู่ในลำดับต่อๆ ไปขึ้นมาแทน แต่จะไม่มีสิทธิอภิปรายในสภา แต่หากไม่ลาออกและยังคงดำรงตำแหน่ง แม้จะมีสิทธิอภิปรายในสภาฯ แต่ก็ไม่สามารถจะลงคะแนนเสียงได้ ทั้งนี้ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.คมนาคม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เป็นบุคคลแรกที่ได้ลาออกในวันที่ 25 สิงหาคม 2554 23 สิงหาคม 2554 น.ส.ยิ่งลักษณ์ แถลงนโยบายรัฐบาลต่อที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ว่ารัฐบาลมีจุดมุ่งหมาย 3 ประการ คือ นำประเทศไทยไปสู่โครงสร้างเศรษฐกิจที่สมดุล มีความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายในประเทศมากขึ้น นำประเทศไทยไปสู่สังคมที่มีความปรองดองสมานฉันท์ อยู่บนพื้นฐานหลักนิติธรรมที่เป็นมาตรฐานสากลเดียวกัน มีหลักปฏิบัติที่เท่าเทียมกันต่อประชาชนคนไทยทุกคน นำประเทศไทยไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี 2558 อย่างสมบูรณ์ โดยสร้างความพร้อมและความเข้มแข็ง ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การเมืองและความมั่นคง สำหรับนโยบายที่จะดำเนินการแยกออกเป็นสองส่วน คือ นโยบายเร่งด่วนในระยะ 1 ปีแรก และนโยบายต่อเนื่อง 4 ปี ตามอายุของรัฐบาล นโยบายเร่งด่วน แบ่งเป็นนโยบายเศรษฐกิจ และนโยบายสังคม-การต่างประเทศ 16 ข้อ เช่นกัน ได้แก่ นโยบายเศรษฐกิจ แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนโดยการชะลอการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบางประเภทชั่วคราวเพื่อให้ราคาน้ำมันลดลงทันที จัดให้มีบัตรเครดิตพลังงานสำหรับรถโดยสารสาธารณะ แก้ปัญหาค่าครองชีพโดยดูแลราคาสินค้า ป้องกันและแก้ไขการผูกขาดทางการค้า ยกระดับคุณภาพชีวิต เพิ่มกำลังซื้อในประเทศ พักหนี้ครัวเรือนเกษตรกรรายย่อยและผู้มีหนี้ต่ำกว่า 5 แสนบาท อย่างน้อย 3 ปี ปรับโครงสร้างหนี้ผู้มีหนี้มากกว่า 5 แสนบาท เพิ่มรายได้ไม่น้อยกว่า 300 บาทต่อวัน รายได้ของผู้จบปริญญาตรีเป็น 15,000 บาทต่อเดือน จัดเบี้ยยังชีพผู้มีอายุ 60-69 ปี รับ 600 บาทต่อเดือน 70-79 ปี 700 บาท 80-89 ปี 800 บาท และอายุ 90 ปีขึ้นไป 1,000 บาท ลดภาษีบ้านหลังแรกและรถยนต์คันแรก ปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลให้เหลือร้อยละ 23 ในปี 2555 และลดลงเหลือร้อยละ 20 ในปี 2556 ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งทุน เช่น เพิ่มเงินกองทุนหมู่บ้านหมู่บ้านละ 1 ล้านบาท และงบกองทุนพัฒนาศักยภาพเอสเอ็มแอลอีก 3-5 แสนบาท ตามลำดับโดยขนาดของหมู่บ้าน ยกระดับราคาสินค้าเกษตร โดยนำระบบรับจำนำสินค้าเกษตรมาใช้ รับจำนำข้าวเปลือกและข้าวหอมมะลิความชื้นไม่เกิน 15% ราคาเกวียนละ 15,000 บาท และ 20,000 บาท เร่งเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว ประกาศให้ปี 2554-2556 เป็นปี “มหัศจรรย์ไทยแลนด์” สนับสนุนการพัฒนาศิลปหัตถกรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชน ด้วยโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ เร่งรัดขยายพื้นที่เขตชลประทาน นโยบายสังคม-การต่างประเทศ สร้างความปรองดองสมานฉันท์ตามแนวทางของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) และฟื้นฟูให้ประชาชน เจ้าหน้าที่รัฐและผู้ประกอบการภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากความเห็นที่แตกต่างและความรุนแรงที่ก่อตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายของการใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 กำหนดให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐอย่างจริงจัง ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริต นำสันติสุขและความปลอดภัยมาสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ขจัดความยากจน ยาเสพติด และอิทธิพลอำนาจมืด เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ เร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์และพัฒนาความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและนานาประเทศ พัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพระบบประกันสุขภาพ 30 บาทรักษาทุกโรค จัดหาคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตให้แก่โรงเรียนนำร่อง สำหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2555 เร่งรัดและผลักดันการปฏิรูปการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง โดยมีสภาร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นอิสระ ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทั้งนี้ ให้ประชาชนเห็นชอบผ่านการออกเสียประชามติ นโยบายต่อเนื่อง 4 ปี นโยบายความมั่นคง เทิดทูนสถาบันกษัตริย์ พัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพกองทัพ นโยบายด้านเศรษฐกิจ แบ่งเป็น ขยายเศรษฐกิจมหภาคสร้างรายได้ ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตร ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน ปรับโครงสร้างภาษีอากรทั้งระบบ ส่งเสริมและรักษาวินัยการคลัง พัฒนาระบบรางเพื่อขนส่งมวลชน ศึกษาและพัฒนารถไฟความเร็วสูงจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ นครราชสีมาและหัวหิน เร่งรัดโครงการรถไฟฟ้า 10 สายในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ให้เริ่มก่อสร้างได้ครบใน 4 ปี โดยเก็บค่าบริการ 20 บาทตลอดสายทั้งระบบ เพิ่มความสามารถท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจากการรองรับผู้โดยสาร 45 ล้านคน เป็น 65 ล้านคนต่อปี นโยบายกระจายโอกาสทางการศึกษาให้เข้าถึงทุกกลุ่ม จัดโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษา เพิ่มประสิทธิภาพประกันสังคม พัฒนาคุณภาพชีวิตตั้งแต่ในครรภ์ถึงวัยชรา นโยบายที่ดิน อนุรักษ์และฟื้นฟูป่าไม้ และลดความเหลื่อมล้ำในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ นโยบายวิทยาศาสตร์ เร่งรัดสร้างนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย ครูวิทยาศาสตร์ สนับสนุนการวิจัยและพัฒนา นโยบายการต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เร่งส่งเสริมและพัฒนาความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน ส่งเสริมผลประโยชน์ของชาติในองค์กรระหว่างประเทศ นโยบายการบริหารบ้านเมืองที่ดี พัฒนาระบบราชการเสริมสร้างมาตรฐานด้านคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาล ปฏิรูประบบกฎหมายและพัฒนากระบวนการยุติธรรมให้ทันสมัย นายอภิสิทธิ์ หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน ได้อภิปรายโดยตั้งข้อสังเกตในเรื่องนโยบายรับจำนำข้าวว่า หากควบคุมไม่รัดกุมจะมีช่องทางทุจริต ทั้งกรณีสต๊อกลม โควตาผี ข้าวปลอมปน ฯลฯ และอีกเรื่องที่ขอความชัดเจนคือ รายได้วันละ 300 บาท ซึ่งต่างไปจากค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท ที่พรรคเพื่อไทยประกาศในช่วงหาเสียง ต่อมานายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ได้ยืนยันว่าจะให้แรงงานมีรายได้ไม่น้อยกว่า 300 บาทต่อวัน และจะทำให้ทันในปีงบประมาณ 2555 นี้ หลังเข้าทำงานแล้วรัฐมนตรีหลายคนได้ให้สัมภาษณ์ถึงการทำงานตามนโยบายที่จะดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ เช่น นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง กล่าวว่า จะขับเคลื่อน 5 มาตรการ ประกอบด้วย มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ มาตรการด้านการคลังที่จะปรับปรุงโครงสร้างภาษีทุกประเภทให้มีประสิทธิภาพและเป็นธรรมกับทุกภาคส่วนในสังคม มาตรการด้านการเงิน จะหารือร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำกับดูแลระบบการเงินให้มีความมั่นคง มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการในการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต มาตรการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน สำหรับนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่ได้หาเสียงไว้ เช่น การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล การเพิ่มเงินกองทุนหมู่บ้าน บัตรเครดิตเกษตรกรนั้น ได้ขอให้แต่ละหน่วยงานนำแต่ละนโยบายไปศึกษาและเสนอความคิดเห็นได้อย่างอิสระ โดยมอบให้กระทรวงการคลังหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อให้การกำหนดนโยบายและทิศทางเศรษฐกิจไปในทิศทางเดียวกัน นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมช. คลัง กล่าวถึงนโยบายรถคันแรกมีส่วนลดพิเศษไม่เกิน 100,000 บาท ว่า อาจจะลดภาษีสรรพสามิตที่เก็บหน้าโรงงานให้ หรืออาจจะให้ผู้ซื้อนำเงิน 100,000 บาทไปลดค่าผ่อนชำระในแต่ละเดือนจนกว่าจะผ่อนหมดก็ได้ แต่มีเงื่อนไขว่าต้องเป็นรถใหม่ป้ายแดง ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท จะเป็นรถนั่งหรือกระบะที่ใช้เชิงพาณิชย์ก็ได้ แต่ผู้ซื้อต้องถือครองให้ครบ 5 ปีก่อนจึงจะขายกรรมสิทธิ์ได้ ส่วนเรื่องบ้านหลังแรกนั้น ธนาคารอาคารสงเคราะห์กำลังพิจารณาอยู่ และอาจจะเปิดให้ธนาคารเอกชนเข้าร่วมโครงการด้วยก็ได้ แต่โครงการนี้ไม่เกี่ยวกับโครงการอัตราดอกเบี้ย 0% นาน 2 ปีที่ปิดไปแล้ว และเรื่องบัตรเครดิตพลังงานและบัตรเครดิตเกษตรกรนั้น นอกจากจะมีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเป็นผู้ดำเนินการแล้ว ยังมีธนาคารเฉพาะกิจอื่นๆ และธนาคารพาณิชย์เอกชนเข้าร่วม โดยกระทรวงการคลังจะมีเงื่อนไขพิเศษหรือสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้แก่ธนาคารเอกชน พล.อ.อ. สุกำพล สุวรรณทัต รมว.คมนาคม เปิดเผยถึงนโยบายตามที่หาเสียงไว้ว่า จะเร่งแก้ไขปัญหาแอร์พอร์ตลิงค์ และเดินหน้าในนโยบายสร้างรถไฟฟ้า 10 สาย และเก็บค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสาย ส่วนเรื่องรถเมล์-รถไฟฟรีที่เป็นนโยบายของรัฐบาลก่อนที่จะสิ้นสุดในสิ้นเดือนกันยายนนี้ จะต้องทบทวนใหม่เนื่องจากเป็นภาระที่ต้องใช้เงินอุดหนุนมาก แต่มีผู้ใช้บริการน้อย นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า งานเร่งด่วนคือการพิจารณาเพิ่มวงเงินชดเชยเกษตรกรที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากปัจจุบันจ่ายในอัตราไร่ละ 606 บาทเท่านั้น นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมว.ศึกษาธิการ กล่าวถึงการแจกแท็บเล็ตให้กับเด็กนักเรียนว่า ได้มอบให้ ดร.สุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการอุดมศึกษา (กกอ.) ไปจัดทำรายละเอียดการดำเนินการ โดยจะให้มหาวิทยาลัยเข้าไปรับผิดชอบในรายโรงเรียน คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้หลังปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 แต่ทุกโรงเรียนต้องมีความพร้อมในการใช้โดยเฉพาะภาษาอังกฤษก่อน เพราะหากไม่คล่องภาษาอังกฤษก็จะเป็นอุปสรรคในการใช้งานจริง ตนจะไม่เป็นผู้กำหนดว่าจะแจกแท็บเล็ตให้แก่โรงเรียนใด ส่วนนโยบายเรียนดีเรียนฟรี 15 ปีของรัฐบาลชุดก่อนนั้น ตนยืนยันว่าจะคงต่อไปตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ สิทธิเดิมจะไม่ลดลง แต่จะเพิ่มในเรื่องใดขอศึกษาและสำรวจความคิดเห็นของเด็กและผู้ปกครองด้วย และต่อมานายวรวัจน์ ยังบอกว่า ครูทุกคนที่อยู่ในระบบการเรียนการสอนก็จะต้องมีแท็บเล็ตเช่นกัน เพื่อใช้ในการตรวจสอบและสื่อสารกับนักเรียน ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดี สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ได้ให้ความเห็นว่า นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลไม่ได้ตอบโจทย์ปัญหาเศรษฐกิจภายนอกประเทศทั้งของสหรัฐฯ และยุโรป ที่กำลังเป็นปัญหาสำคัญ คือทำอย่างไรจะไม่ให้ตลาดเงินตลาดทุนของไทยติดร่างแหไปกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปที่กำลังเผชิญปัญหาหนัก ขณะเดียวกันยังมีเรื่องที่เงินทุนจากทั้งสองแห่งที่จะไหลเข้ามาทำให้เงินบาทแข็งตัวเกินไปจนอาจจะกระทบการส่งออก ดูจากตัวเลขแล้วอาจไม่จำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาลไม่จำเป็นต้องนำนโยบายที่หาเสียงไว้หรือนโยบายประชานิยมมาบรรจุไว้ทุกเรื่องเป็นนโยบายเร่งด่วนทั้งหมดในคราวเดียวกัน ต้องจัดลำดับความสำคัญ ดูทิศทางเศรษฐกิจโลก และปัญหาที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยให้ดีก่อน แต่สิ่งที่ต้องเร่งเตรียมความพร้อมคือการรองรับการเปิดเสรีการค้าประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 ที่จะเปิดเสรีการค้าเต็มระบบทั้งสินค้าและบริการ หากประเทศใดในภูมิภาคขีดความสามารถต่ำก็จะเสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้าน สินค้าจะมีราคาแพงเพราะต้นทุนสูง ขณะที่สินค้าราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้านจะทะลักเข้ามา ในหลายนโยบายเห็นว่าไม่จำเป็นต้องทำเร่งด่วน เช่น การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท โดยหลักการแล้วไม่คัดค้าน แต่รัฐบาลจำเป็นต้องฟังผู้มีส่วนได้เสียให้ครบทุกด้าน และควรมีมาตรการรองรับ นโยบายค่าแรงวันละ 300 บาท สืบเนื่องจากนโยบายปรับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท และเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท ล่าสุดรัฐบาลได้มีข้อสรุปว่า จะเพิ่มค่าครองชีพให้แก่ข้าราชการบรรจุใหม่ที่จบปริญญาตรีอีกคนละ 4,360 บาทต่อเดือน ทำให้มีรายได้ 15,000 บาทต่อเดือน โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป สำหรับข้าราชการที่จบปริญญาโทและมีรายได้ไม่ถึง 15,000 บาท ก็จะได้รับการปรับขึ้นเป็น 15,000 บาท เช่นกัน ปัจจุบันนี้ข้าราชการจบปริญญาตรีบรรจุใหม่ได้เงินเดือน 9,140 บาท และค่าครองชีพอีกเดือนละ 1,500 บาท ทำให้มีรายได้เดือนละ 10,640 บาท นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ขณะนี้กำลังเตรียมข้อมูลเพื่อหารือกับรัฐบาลถึงการขึ้นค่าแรงเป็นวันละ 300 บาท แต่ตนมีแนวคิดว่าควรจะทยอยปรับแบบขั้นบันไดใน 3-4 ปี โดยผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการไตรภาคี ทั้งในระดับจังหวัดและส่วนกลาง ซึ่งต้องนำเรื่องค่าครองชีพ อัตราเงินเฟ้อมาเป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณาด้วย นอกจากนี้รัฐบาลควรช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบถึงขั้นปิดกิจการหรือเลิกจ้างแรงงาน จากผลสำรวจของภาคเอกชนพบว่า คงจะมีการปรับตัวโดยนำเทคโนโลยีเครื่องจักรเข้ามาแทนแรงงานคนเพิ่มขึ้น การบริหารลดต้นทุนต่างๆ เช่น ต้นทุนวัตถุดิบ ขนส่ง ลดการจ้างงาน และพัฒนาแรงงานให้มีความหลากหลาย ไปจนถึงการลดกำลังการผลิต และย้ายฐานการผลิตไปในประเทศเพื่อนบ้านเป็นลำดับสุดท้าย บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ประกาศว่า จะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้กับพนักงานหัวจ่ายน้ำมัน (เด็กปั๊ม) ทุกคนเป็นวันละ 300 บาทตั้งแต่เดือนมกราคม 2555 เป็นต้นไป ปัจจุบันเด็กปั้มได้รับค่าแรงวันละ 250 บาท นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงกรณีที่นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวว่าการขึ้นค่าแรงวันละ 300 บาทจะทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นรอบเดียว และผู้ประกอบการส่วนหนึ่งจะสามารถรับกับผลกำไรที่ลดลงได้ว่า ส.อ.ท. และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้สำรวจความเห็นกับสมาชิกแล้ว พบว่า สมาชิกส่วนใหญ่เห็นว่าค่าจ้างวันละ 300 บาท จะทำให้ต้นทุนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 12-16 และจะต้องส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปให้แก่ผู้บริโภค ทำให้สินค้าที่ต้องแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านในตลาดโลกจะมีราคาสูงจนไม่สามารถแข่งขันได้ ส่วนธุรกิจขนาดกลางและเล็ก (เอสเอ็มอี) ที่มีจำนวนถึงร้อยละ 70 ของผู้ผลิตนั้น ส่วนใหญ่มีกำไรไม่มากพอจะแบกรับภาระได้ น้ำมันลดราคาตามนโยบายหาเสียง 27 สิงหาคม 2554 ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นประธาน มีมติชะลอเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเป็นการชั่วคราวไม่เกิน 1 ปี มีผลให้ราคาดีเซลลดลงลิตรละ 3 บาท เบนซิน 95 ลดลงลิตรละ 8.20 บาท และเบนซิน 91 ลดลงลิตรละ 7.17 บาท ทำให้เชื้อเพลิงทั้งสามประเภทมีราคาขายปลีกอยู่ที่ประมาณลิตรละ 26.99 บาท 39.52 บาท และ 34.77 บาท ตามลำดับ การชะลอการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายหาเสียงพรรคเพื่อไทยที่ประกาศไว้ว่าจะยกเลิกกองทุนน้ำมัน ซึ่งจะทำให้รายรับของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลดลงเดือนละ 6,160 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับรายรับอื่นๆ แล้ว จะทำให้วงเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงหายไปประมาณเดือนละ 3,000 ล้านบาท ขณะนี้กองทุนฯ มีเงินหมุนเวียนทั้งสิ้นประมาณ 15,000 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอจะใช้ไปถึงเดือนมกราคม 2555 หลังจากนั้นจะพิจารณาอีกครั้งว่าจะนำเงินจากแหล่งใดมาใช้ในการอุดหนุนราคาก๊าซเอ็นจีวีและแอลพีจีที่ใช้ในครัวเรือนและการขนส่ง ส่วนก๊าซที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรมนั้น รัฐบาลชุดที่แล้วได้ปล่อยให้ปรับราคาไปแล้ว การลดราคาน้ำมันเบนซิน 95 และเบนซิน 91 ทำให้มีราคาต่างกับแก๊สโซฮอลล์เล็กน้อย เช่นราคาขายปลีกของแก๊สโซฮอลล์ 91 จะต่ำกว่าเบนซิน 91 เพียงลิตรละ 23 สตางค์ ทำให้ภายในสามวันยอดขายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ตกลงถึง 25 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ในวันที่ 30 สิงหาคมรัฐบาลต้องมีมติเพิ่มเติมให้งดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันสำหรับแก๊สโซฮอลล์ 91 ในอัตรา 1.60 บาท กลายเป็นได้เงินชดเชย 1.50 บาทต่อลิตร เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยและมันสำปะหลังเพื่อการผลิตเอทานอลที่นำมาผลิตแก๊สโซฮอลล์ การปรับราคานี้ทำให้เงินเข้ากองทุนฯ หายไปเดือนละ 3 พันล้านบาท จึงคาดว่าจะทำให้เงินกองทุนน้ำมันหมดลงในเดือนธันวาคม 2554 เนื่องจากต้องใช้ในการอุดหนุนราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) และก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในรถยนต์ (เอ็นจีวี) อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความแน่นอนว่าการลดราคาน้ำมันทั้งสามประเภทนี้จะมีต่อหลังหมดระยะทดลอง 6 เดือนหรือไม่ เพิ่มเงินชดเชยผู้ประสบภัยน้ำท่วม จากเหตุอุทกภัยในจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือทำให้เกษตรกรได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2554 ได้อนุมัติวงเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยกรณีพิเศษในกรอบวงเงินช่วยเหลือรวม 8,174,545 ล้านบาท แยกเป็น ด้านพืช ข้าว เพิ่มจากไร่ละ 606 บาทเป็น 2,222 บาท พืชไร่ ไร่ละ 3,150 บาท พืชสวนและอื่นๆ ไร่ละ 5,098 บาท กรณีเสียหายสิ้นเชิง ช่วยเหลืออัตราร้อยละ 55 ของต้นทุนการผลิต ด้านประมง ปลาทุกชนิดไร่ละ 4,225 บาท รายละไม่เกิน 5 ไร่ กุ้ง หอย ปู ไร่ละ 10,920 บาท รายละไม่เกิน 5 ไร่ กระชังบ่อซีเมนต์ อื่นๆ ตารางเมตรละ 315 บาท รายละไม่เกิน 80 ตร.ม. ด้านปศุสัตว์ ช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติปลีกย่อยเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือด้านเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ทั้งนี้ เกษตรกรผู้ได้รับความเสียหายสามารถแจ้งขอรับความช่วยเหลือตามแบบยื่นความจำนงขอรับความช่วยเหลือ (กษ01) ภายในระยะเวลาการยื่นตามที่จังหวัดประกาศ ส.ส.เพื่อไทย ประกันตัว นปช. ในวันที่ 16 สิงหาคม 2554 ศาลประจำจังหวัดอุดรธานีได้มีคำสั่งปล่อยตัวชั่วคราวคนเสื้อแดง หรือ นปช. จำนวน 22 คนที่ถูกคุมตัวหลังเกิดเหตุการณ์เผาศาลกลางจังหวัดอุดรธานีในเดือนพฤษภาคม 2553 โดยมีหลักทรัพย์คือตำแหน่ง ส.ส. ของ ส.ส.พรรคเพื่อไทย จำนวน 11 คน และหลักทรัพย์อีกคนละ 1 ล้านบาท รวมเป็นเงินสด 22 ล้านบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามไปก่อความวุ่นวายอีก และห้ามเดินทางออกนอกประเทศ การประกันตัวครั้งนี้ถือเป็นการริเริ่มโดยแกนนำคนเสื้อแดง นายขวัญชัย สาราคำ หรือไพรพนา หลังจากที่พรรคเพื่อไทยประสบชัยชนะในการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลแล้ว นายขวัญชัยได้ชักชวนให้บรรดา ส.ส. ของพรรคใช้ตำแหน่งในการยื่นขอประกันตัวคนเสื้อแดงที่ยังถูกคุมขัง โดยเริ่มต้นจากจังหวัดอุดรธานีเป็นจังหวัดแรก และจะขยายผลไปยังจังหวัดอื่นๆ อีก เช่น กทม. 30 คน อุบลราชธานี 21 คน จนครบ 132 คน สำหรับผู้ที่เสียชีวิตจากการชุมนุมในเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553 จำนวนทั้งสิ้น 91 คนนั้น นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. ได้เสนอว่า รัฐควรจะจ่ายเงินเยียวยารายละ 10 ล้านบาท ซึ่ง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม มีความเห็นว่า จะต้องมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียดอีกครั้ง ซึ่งต้องรอความเห็นและข้อมูลจากอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพก่อน ส่วนกรอบเงินชดเชยนั้น จะต้องพิจารณาไปตามความเหมาะสม ในตอนเช้าวันที่ 19 สิงหาคม 2554 นายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ และแกนนำคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งที่เป็น ส.ส. พรรคเพื่อไทย ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญากรุงเทพฯ เพื่อขอประกันตัวคนเสื้อแดงที่ถูกคุมขังอยู่จำนวน 29 คน แบ่งเป็นที่ศาลอาญา 9 คน ศาลอาญากรุงเทพใต้ 8 คน ศาลจังหวัดสมุทรปราการ 2 คน ศาลจังหวัดมีนบุรี 4 คน ศาลจังหวัดพระโขนง 4 คน และศาลจังหวัดนนทบุรี 2 คน โดยจะใช้ตำแหน่ง ส.ส.พรรคเพื่อไทยรวม 20 คน และหลักทรัพย์เงินสดจำนวนหนึ่ง แต่ปรากฏว่าศาลอาญาได้อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวเพียง 5 คน เนื่องจากถูกฟ้องในข้อหามีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครอง โดยศาลได้ตีราคาประกัน 3 แสนบาท ส่วนผู้ที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์นั้น ได้ส่งต่อให้ศาลอุทธรณ์พิจารณา และผู้ที่ถูกกล่าวหาในคดีเผาศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิล์ดนั้น ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัวเนื่องจากศาลมีความเห็นว่าพฤติกรรมกระทำผิดรุนแรงไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย หากอนุญาตให้ปล่อยตัวไปเกรงว่าจะหลบหนี วันที่ 24 สิงหาคม 2554 ศาลจังหวัดอุบลราชธานีได้มีคำพิพากษากลุ่มคนเสื้อแดงฐานร่วมกันฝ่าฝืน พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน บุกรุกสถานที่ราชการ ร่วมกันทำลายทรัพย์สินและวางเพลิงเผาอาคารศาลากลาง จำนวน 21 คน โดยศาลสั่งจำคุกตลอดชีวิต 4 คน แต่ลดโทษให้ในฐานที่ให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 33 ปีกับ 4 เดือน และให้จำคุก 3 ปี ลดโทษเหลือ 2 ปี จำนวน 4 คน จำคุก 1 ปี ลดโทษเหลือ 8 เดือน จำนวน 3 คน และยกฟ้องอีก 9 คน ส่วนอีกคนหนึ่ง คือ นายพิเชษฐ์ ทาบุดดา ซึ่งถูกฟ้องข้อหาเป็นผู้ก่อการร้าย ศาลมีคำพิพากษาว่า พฤติกรรมนายพิเชษฐ์ ไม่มีหลักฐานชี้ให้เห็นว่าเป็นผู้ก่อการร้าย หรือเป็นผู้ปลุกปั่นให้เกิดการวางเพลิงเผาศาลากลาง แต่มีการกระทำผิดฐานโฆษณาออกอากาศชักชวนให้มีการชุมนุม ให้จำคุก 1 ปี อนึ่ง อาคารศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานีที่ถูกเผานั้น มีมูลค่าความเสียหายสูงถึง 95 ล้านบาท กกต. แจกใบแดง บุญจง เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2554 นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต. ด้านสืบสวนสอบสวนได้แถลงว่าในการประชุม กกต. เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมการการเลือกตั้งได้มีมติ 3 ต่อ 2 ให้เสนอศาลฎีกาแผนกเลือกตั้ง ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ส.ส. จังหวัดนครราชสีมา เขต 10 พรรคภูมิใจไทย เป็นระยะเวลา 5 ปี ในกรณีถูกร้องว่าทำผิดกฎหมายการเลือกตั้งในการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2553 โดยให้พัฒนาการจังหวัดนครราชสีมา นำผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน 300 คน ไปอบรมที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งในจังหวัดระยอง และมีการจัดเลี้ยงแจกสิ่งของเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า หากศาลฎีกาแผนกเลือกตั้งรับคำร้องไว้พิจารณา นายบุญจง จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. ทันทีจนกว่าจะมีคำพิพากษา หากศาลพิพากษาว่านายบุญจง มีความผิดจริง กกต. ก็จะส่งเรื่องถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการสิ้นสุดสมาชิกภาพของนายบุญจง แต่หากศาลฎีกาพิจารณาว่านายบุญจง ไม่ได้กระทำผิด นายบุญจง ก็จะคงสถานภาพ ส.ส. ไว้ต่อไป แกนนำ นปช. ได้ตำแหน่งทางการเมือง วันที่ 25 และ 30 สิงหาคม 2554 คณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้งข้าราชการการเมืองหลายตำแหน่ง ได้แก่รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่ปรึกษารัฐมนตรี เลขานุการรัฐมนตรี กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี และประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในจำนวนนี้มีแกนนำ นปช. หรือคนเสื้อแดงได้รับแต่งตั้งเกือบ 30 คน อาทิเช่น นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด เป็นรองโฆษกรัฐบาล นายวิสา คัญทัพ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี นายประแสง มงคลศิริ เป็นที่ปรึกษา รมว.ศึกษาธิการ นายเพชรวรรต วัฒนพงษ์ศิริกุล เป็นที่ปรึกษา รมว.การพัฒนาสังคมฯ นายนาวิน บุญเสรฐ เป็นเลขานุการ รมว.ต่างประเทศ นายชินวัตร หาบุญพาด เป็นที่ปรึกษา รมว.การพัฒนาสังคมฯ นายอารี ไกรนรา เป็นเลขาฯ รมว.มหาดไทย และนายยศวริศ ชูกล่อม (เจ๋ง ดอกจิก) เป็นผู้ช่วยเลขาฯ รมว.มหาดไทย เป็นต้น ด้วยเหตุที่มีเสียงวิพากษ์กันมากในเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่บางคนยังมีคดีติดตัว นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีจึงชี้แจงว่า บุคคลเหล่านั้นมีความเหมาะสมเนื่องจากบางคนเคยสมัครรับเลือกตั้งและเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย แม้จะแพ้ ก็แพ้ไม่กี่คะแนน ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญห้ามมิให้ ส.ส. เป็นข้าราชการการเมือง จึงต้องนำบุคคลเหล่านี้มา ทั้งนี้ คนที่ผ่านการสมัครรับเลือกตั้งแล้วถือว่าผ่านการกลั่นกรองจาก กกต. มาแล้ว และบางคนก็เคยทำงานภาคประชาชนมาก่อน จึงสามารถเข้าใจหัวอกประชาชนที่เดือดร้อนได้ดี ศาลรับฟ้องคดีรถดับเพลิง กทม. เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2554 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีมติรับคำร้องของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่เป็นโจทก์ฟ้องนายโภคิน พลกุล อดีต รมว.มหาดไทย นายประชา มาลีนนท์ อดีต รมช.มหาดไทย นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พาณิชย์ พล.ต.ต.อทิลักษณ์ ตันชูเกียรติ อดีต ผอ.สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. บริษัท สไตเออร์ เดมเลอร์ พุค สเปเชียล ฟาห์รซอยย์ จำกัด และนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯ กทม. เป็นจำเลยที่ 1-6 ความผิดฐานก่อให้เกิดความเสียหายต่อหน่วยงานของรัฐ กรณีทุจริตจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงมูลค่า 6,687,489,000 บาท และนัดให้พิจารณาคดีครั้งแรกในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2554 ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องคุณหญิงพจมาน ในวันที่ 24 สิงหาคม 2554 ศาลอุทธรณ์ได้อ่านคำพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 และ 3 คุณหญิงพจมาน ดามาพงษ์ และนางกาญจนาภา หงส์เหิน เลขานุการส่วนตัว ในข้อหาร่วมกันแจ้งความเท็จฯ เพื่อหลีกเลี่ยงการชำระภาษีอากรหุ้น บริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) มูลค่าหุ้น 738 ล้านบาท และภาษีที่หลีกเลี่ยงจำนวน 546 ล้านบาท แต่ลงโทษจำคุก 2 ปี และปรับอีก 1 แสนบาท จำเลยที่ 1 นายบรรณพจน์ ดามาพงษ์ โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญา 1 ปี คดีนี้สืบเนื่องมาจากที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องและศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ 1 และ 2 คนละ 3 ปี ส่วนจำเลยที่ 3 จำคุก 2 ปี และปรับคนละ 5 ล้านบาท จำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ กรมสรรพากร คืนทรัพย์สินที่อายัด “โอ๊ค-เอม” เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2554 กรมสรรพากร ได้คืนเงินสด 200 ล้านบาท รวมทั้งหุ้นและที่ดินที่เคยอายัดไว้รวมกว่า 1 หมื่นล้านบาทแก่นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่เมื่อเดือนมิถุนายน 2554 ที่ผ่านมา กรณีที่ต้องเสียภาษีจากการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปของบริษัท แอมเพิลริช อินเวสต์เมนท์ แต่เนื่องจากพิจารณาแล้วว่าจะไม่อุทธรณ์คำสั่งของศาลภาษีอากรกลาง โดยศาลภาษีอากรกลางเห็นว่านายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ไม่ใช่เจ้าของหุ้นชินคอร์ปที่แท้จริง โดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำตัดสินไปแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน เป็นเจ้าของหุ้นตัวจริง ใบอนุญาตแรกวิทยุชุมชน เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 ที่ประชุมคณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศฯ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้อนุมัติใบอนุญาตประกอบกิจการวิทยุชุมชนชั่วคราว 1 ปี ให้กับสถานีวิทยุชุมชนคนแปลงยาว อ.แปดริ้ว จ.ฉะเชิงเทรา ถือเป็นใบอนุญาตใบแรกอย่างถูกต้อง ส่วนที่เหลืออีก 5,300 แห่งกำลังตรวจสอบคุณสมบัติและรายละเอียด คาดว่าภายใน 1-2 เดือนข้างหน้าจะมีการออกใบอนุญาตเพิ่มอีก วิทยุชุมชนเป็นสื่อสาธารณะที่เกิดขึ้นตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 และมีต่อมาในฉบับปี 2550 ที่ให้สิทธิชุมชนมีสื่อของตนเองเพื่อทำการกระจายเสียงในรายการและเนื้อหาที่เกี่ยวกับชุมชน จากแรกเริ่มก่อตั้งไม่กี่แห่งด้วยเงินทุนดำเนินการจำนวนไม่มากและใช้เสาส่งที่ไม่สูงนัก สถานีวิทยุชุมชนได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนที่จะมีกฎหมายและองค์กรควบคุมดูแลโดยเฉพาะ โดยเฉพาะในเรื่องของการโฆษณา กำลังส่งของคลื่น และความสูงของเสาอากาศ ดังนั้น หลังจากที่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการ กสทช. แล้ว จึงได้ออกใบอนุญาตทำให้การประกอบกิจการวิทยุชุมชนถูกต้องตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ภายใต้ข้อบัญญัติมาตรา 48 แห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ได้มีการจำกัดสิทธินักการเมืองไม่ให้เป็นเจ้าของหรือถือหุ้น หรือให้ผู้อื่นเป็นเจ้าของฯ แทนในกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมวิทยุชุมชน ปชป. เลือก “อภิสิทธิ์” เป็นหัวหน้าพรรคอีกสมัย เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2554 ที่ประชุมใหญ่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้จัดประชุมใหญ่วิสามัญเพื่อเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดยที่ประชุมพรรคร้อยละ 96.038 ลงคะแนน โดยใช้วิธีเข้าคูหาลงคะแนนลับ เลือกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรคต่อ ถือว่าคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง ทำให้นายอภิสิทธิ์ได้เป็นหัวหน้าพรรคอีกสมัย สำหรับรองหัวหน้าพรรค 3 คน ประกอบด้วย นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน นายจุติ ไกรฤกษ์ และนายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ สำหรับตำแหน่งเลขาธิการพรรค ได้แก่ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ธปท. กลัวหนี้สาธารณะเพิ่ม แหล่งข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานว่า ธนาคารฯ ได้ประเมินภาพหนี้สาธารณะของประเทศในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า พบว่า มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงจากปัจจุบันที่อยู่ประมาณร้อยละ 44 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศกลายเป็นร้อยละ 60 ทั้งนี้เพราะในช่วงสิ้นปีงบประมาณ 2556 เป็นต้นไป ประเทศไทยจะเริ่มมีหนี้สาธารณะสูงกว่ากรอบวินัยการคลัง และในปีงบประมาณ 2559 มีโอกาสที่หนี้สาธารณะจะสูงถึงร้อยละ 70 ของผลิตภัณฑ์มวลรวม ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงและเป็นอันตรายต่อเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ ธปท. ได้ประเมินนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล พบว่า มาตรการที่เป็นภาระชัดเจนต่องบประมาณทันที ได้แก่ โครงการรับจำนำข้าว มาตรการลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน เป็นต้น มาตรการที่เป็นภาระผูกพันต่อเนื่องในงบประมาณ ได้แก่ การปรับเพิ่มเงินเดือนข้าราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นโยบายสวัสดิการสังคม เช่น การปรับขึ้นเบี้ยคนชรา เบี้ยคนพิการ ฯลฯ มาตรการที่ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ ได้แก่ การปรับลดภาษีนิติบุคคล การคืนเงินภาษีและการเพิ่มค่าลดหย่อนให้กับผู้ซื้อบ้านหลังแรก หรือรถคันแรก มาตรการที่เพิ่มโครงการลงทุนของประเทศ นอกจากนี้ ยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็นภาระโดยนัยต่องบประมาณ คือ นโยบายที่ดำเนินการผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ประเมินจาก 4 โครงการหลัก ต้องใช้เงิน 442,000 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 20 ของงบประมาณภาครัฐ ประกอบด้วย โครงการสินเชื่อบัตรเครดิตสำหรับเกษตรกร วงเงิน 174,000 ล้านบาท โครงการพักหนี้เกษตรกร วงเงิน 210,000 ล้านบาท โครงการรีไฟแนนซ์หนี้ส่วนบุคคล 10,000 ล้านบาท โครงการบ้านหลังแรก ดอกเบี้ย 0% ระยะเวลา 5 ปี วงเงิน 48,000 ล้านบาท ซึ่งโครงการเหล่านี้หากมีปัญหาหนี้เสียจำนวนมาก สุดท้ายจะเป็นภาระของงบประมาณภาครัฐอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อพิจารณาโครงสร้างรายรับ-รายจ่ายและงบประมาณภาครัฐแล้ว พบว่า อัตราการขยายตัวของงบประมาณรายจ่ายประเทศในช่วงปี 2550-2554 เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 ของจีดีพี เทียบกับช่วงปี 2540-2549 รายจ่ายของประเทศเพิ่มเพียงร้อยละ 4.9 ขณะที่รายได้ของรัฐในปี 2550-2554 เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.2 ของจีดีพี เทียบกับช่วงปี 2540-2549 ที่รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 4.7 ธปท. มีข้อเสนอแนะให้มีการจัดลำดับความสำคัญของรายจ่ายภาครัฐ โดยเน้นที่รายจ่ายที่จะเพิ่มศักยภาพของประเทศ และควรมีมาตรการที่เฉพาะแต่ละกลุ่มเป้าหมายเพื่อให้เกิดการใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยยึดกรอบวินัยการคลังอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ การดำเนินมาตรการต่างๆ ควรทยอยทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบรุนแรงต่อเงินเฟ้อ และมีเวลาให้ภาคธุรกิจและประชาชนปรับตัว รวมทั้งเพิ่มรายได้ภาครัฐและลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นลง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความไม่สมดุลทางการเงินในภาคต่างๆ ของประเทศที่อาจนำไปสู่อัตราเงินเฟ้ออย่างรุนแรงและภาวะฟองสบู่ของประเทศ รวมทั้งปัญหาหนี้สาธารณะในที่สุด สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผย ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2554 มีจำนวน 4.26 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 40.69 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) โดยเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 3 ล้านล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน 1.07 ล้านล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกัน 1.58 แสนล้านบาท และหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 3.05 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า หนี้สาธารณะลดลงสุทธิ 1.58 หมื่นล้านบาท โดยหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง และหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ลดลง 1.62 หมื่นล้านบาท และ 56 ล้านบาท ตามลำดับ เวิล์ดแบงก์ยกระดับฐานะไทย เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2554 ธนาคารโลกหรือเวิล์ดแบงก์ ได้ยกระดับฐานะของประเทศไทย จากระดับ “รายได้ปานกลางระดับล่าง” ขึ้นเป็น “รายได้ปานกลางระดับสูง” เนื่องจากล่าสุดพบว่าประเทศไทยมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวเท่ากับ 4,210 เหรียญสหรัฐต่อปี (ประมาณ 125,756 บาท) จึงถือว่าประเทศไทยได้ก้าวข้ามขั้นจากปานกลางระดับล่างมาสู่ปานกลางระดับสูงแล้ว สำหรับประเทศที่ถือว่าเป็นระดับปานกลางค่อนข้างสูงนั้น จะต้องมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวอยู่ระหว่าง 3,076-12,275 เหรียญสหรัฐต่อปี การจ้างงานไทยปี 54 ดีขึ้น เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2554 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงภาวะสังคมในไตรมาสที่ 2 ปี 2554 ว่า การจ้างงานในไตรมาสที่ 2 ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 เมื่อเทียบช่วงเดียวกับปีก่อน โดยการจ้างงานในภาคเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.28 ส่วนอัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 0.56 เป็นผู้ว่างงาน 2.16 แสนคน ลดลงร้อยละ 1.3 ขณะที่ค่าจ้างแรงงานและเงินเดือนภาคเอกชนที่ยังไม่รวมผลประโยชน์ตอบแทนเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 แต่อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเป็นร้อยละ 4.1 ส่งผลให้ค่าจ้างแท้จริงเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.4 ถือว่าชะลอตัวอย่างมากหากเทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีร้อยละ 6.0