กรกฎาคม 2554 : เพื่อไทยชนะเลือกตั้ง ได้ 265 เสียง เพื่อไทยได้ 265 เสียง “ยิ่งลักษณ์” จับมือ 6 พรรคตั้งรัฐบาล อภิสิทธิ์ลาออกหัวหน้าพรรค ปชป. ข้อวิพากษ์นโยบายรัฐบาล ศาลโลก ออกมาตรการชั่วคราวปราสาทพระวิหาร ป.ป.ช. ยื่นฟ้องเองคดีทุจริตดับเพลิง กทม. แรงงานภาคเกษตรไทยถดถอย 6 ภาคีร่วมต้านคอร์รัปชั่น เพื่อไทยชนะเลือกตั้ง ได้ 265 เสียง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ประกาศผลการเลือกตั้ง ส.ส. เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554ว่า มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 46,939,548 คน มีผู้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ 35,220,370 คน และแบบแบบแบ่งเขต 35,220,537 คน ในจำนวนนี้มีผู้ไม่ประสงค์จะเลือกพรรคใด 1.4 ล้านคะแนน และบัตรเสียอีก 2 ล้านใบ จังหวัดลำพูนมีผู้ออกมาใช้สิทธิร้อยละ 88.61 มากที่สุดในประเทศ รองลงมาคือเชียงใหม่ ร้อยละ 83.13 และตรัง ร้อยละ 82.65 ผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ปรากฏว่า ผู้สมัครพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกมากเป็นอันดับหนึ่ง 265 คน รองลงไปคือพรรคประชาธิปัตย์ 159 คน นอกจากนั้นคือพรรคภูมิใจไทย 34 คน พรรคชาติไทยพัฒนา 19 คน พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน 7 คน พรรคพลังชล 7 คน พรรครักประเทศไทย 4 คน พรรคมาตุภูมิ 2 คน ขณะที่พรรครักษ์สันติ พรรคมหาชน และพรรคประชาธิปไตยใหม่ได้พรรคละ 1 คน ในการเลือกตั้งครั้งนี้ กกต. ได้รับคำร้องเรียนคัดค้านเป็นจำนวนมาก แต่หลังจากพิจารณาแล้ว ได้แจกใบเหลืองคือสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ในสองพื้นที่คือ เขต 2 จ.หนองคาย และเขต 3 จ. อุตรดิตถ์ ซึ่งได้จัดการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2554 และได้สั่งให้นับคะแนนใหม่อีกครั้งในเขต 2 จังหวัดยะลา ตามที่ผู้สมัครพรรคเพื่อไทยได้ร้องขอ ทันทีที่รู้ผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ พรรคเพื่อไทยได้ประกาศจัดตั้งรัฐบาล 300 เสียง ประกอบด้วย เพื่อไทย ชาติไทยพัฒนา ชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน พลังชล มหาชน และประชาธิปไตยใหม่โดยมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัครอันดับหนึ่งในระบบบัญชีรายชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 นอกจากนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังจะเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย และเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงที่มีอายุน้อยที่สุดในโลกด้วย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ประกาศว่ารัฐบาลมี 7 ภารกิจเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องทำทันที คือ การสร้างสามัคคีปรองดองของคนในชาติ โดยให้ นายคณิต ณ นคร เป็นประธาน คอป. ทำงานอย่างเป็นอิสระและนำไปสู่การปรองดองให้เร็วที่สุด เตรียมจัดงานเฉลิมฉลองในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษาครอบ 7 รอบ 84 พรรษา พลิกฟื้นเศรษฐกิจด้วยการลดค่าครองชีพและเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน พร้อมกับการลงทุนภาครัฐ เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วขึ้น เร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์กับต่างประเทศและประเทศเพื่อนบ้านทั้งเวทีทวิภาคีและพหุพาคี เร่งพัฒนาขวัญและกำลังใจข้าราชการเพื่อเป็นกำลังใจในการแก้ปัญหาให้กับประชาชน เร่งแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นปัญหาเร่งด่วนที่สร้างปัญหากับระบบเศรษฐกิจและระบบข้าราชการในปัจจุบัน โดยจะเร่งตรวจสอบทุกอย่างด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรม เตรียมผลักดันทุกนโยบายที่เสนอไว้ตามที่ได้กล่าวไว้เมื่อ 1 กรกฎาคม 2554 ที่ราชมังคลากีฬาสถาน โดยจะเร่งรัดภายในระยะเวลาที่กำหนด “อภิสิทธิ์” ลาออกหัวหน้าพรรค ปชป. เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2554 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค เนื่องจากผลการเลือกตั้งออกมาพรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส. 159 คน ซึ่งน้อยกว่าจำนวน ส.ส. ในการเลือกตั้งปี 2550 การลาออกของนายอภิสิทธิ์ ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ต้องเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ และข้อบังคับพรรคกำหนดให้ต้องมีประชุมใหญ่เพื่อเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ภายใน 90 วัน และสำหรับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีผลให้ต้องพ้นจากตำแหน่งไปด้วยนั้น ได้แสดงเจตจำนงว่าไม่ต้องการจะกลับมาเป็นเลขาธิการพรรคอีก ข้อวิพากษ์นโยบายรัฐบาล ทันทีที่รู้ผลว่าพรรคเพื่อไทยจะเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ ก็มีคำวิพากษ์ในประเด็นต่างๆ ที่พรรคได้ประกาศไว้เป็นนโยบายในระหว่างการหาเสียง เช่น ในเรื่องการลดราคาเบนซินและดีเซลที่จะยกเลิกการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องชี้แจงเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2554 ว่า พรรคไม่ได้มีนโยบายจะยุบกองทุนน้ำมัน แต่จะยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนชั่วคราวในรายการน้ำมันเบนซิน 95 เบนซิน 91 และดีเซล ส่วนก๊าซเอ็นจีวีและแอลพีจีนั้น ในช่วงต้นจะนำเงินจากกองทุนน้ำมันที่ยังเหลือไปอุดหนุน แต่ในระยะยาวถ้ากองทุนน้ำมันลดลงไป ก็ต้องเป็นหน้าที่ของรัฐบาลรับภาระ นโยบายที่มีผู้สนใจมากที่สุดคือเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาททั่วประเทศ และเงินเดือนขั้นต่ำผู้จบปริญญาตรี 15,000 บาท ซึ่งพรรคเพื่อไทยเคยประกาศในระหว่างหาเสียงว่าจะเริ่มต้นในวันที่ 1 มกราคม 2555 นั้น นายกงกฤช หิรัญกิจ ประธานฝ่ายนโยบายสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย แสดงความกังวลว่าจะมีผลต่อกลุ่มธุรกิจบริการที่ต้องใช้แรงงานมาก เช่น ธุรกิจท่องเที่ยวซึ่งปกติแล้วต้นทุนด้านแรงงานเป็นร้อยละ 15-20 ของต้นทุนรวม ในขณะที่นายเจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว มีความเห็นว่า ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท จะไม่กระทบต่อภาคธุรกิจท่องเที่ยวมากนัก เพราะส่วนใหญ่เป็นแรงงานงานคุณภาพที่มีอัตราค่าจ้างเกินอยู่แล้ว แต่ที่จะมีผลกระทบคือเงินเดือนปริญญาตรีจบใหม่ 15,000 บาทต่อเดือน เพราะธุรกิจท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะจ้างแรงงานวุฒิปริญญาตรี เมื่อเด็กจบใหม่ฐานเงินเดือนสูงขึ้น ก็จะต้องขยับฐานของพนักงานเก่าด้วย จึงถือเป็นภาระที่หนักมาก นายทวีกิจ จตุรเจริญคุณ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า หากมีการปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทจริง รัฐบาลควรมีมาตรการชดเชยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เพราะการลดภาษีนิติบุคคลเหลือร้อยละ 23 ไม่ส่งผลต่อเอสเอ็มอี เนื่องจากเอสเอ็มอีส่วนใหญ่มีกำไรไม่มาก บางส่วนไม่มีกำไรและไม่ต้องเสียภาษีอยู่แล้ว ขณะนี้เริ่มมีแรงงานประท้วงให้ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำแล้ว ทางออกควรจะทยอยปรับแบบขั้นบันได เพราะถ้าปรับพร้อมกันหมดจะกระทบทั้งภาคการผลิต เกษตร และบริการ ทั้งยังจะทำให้แรงงานต่างด้าวลักลอบเข้ามาทำงานมากขึ้น ปัญหาการค้ามนุษย์จะตามมา นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า นโยบายขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท จะเป็นปัจจัยลบที่ทำให้การส่งออกสินค้าในปี 2555 ชะลอตัว เพราะศักยภาพการแข่งขันของผู้ส่งออกจะลดลง ทำให้แข่งกับสินค้าจากประเทศคู่แข่ง เช่นเวียดนาม จีน ลำบากมากขึ้น จากผลการศึกษาทั้งในเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท และเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท พบว่าต้นทุนการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 28 แบ่งเป็นภาคการผลิตร้อยละ 31.52 และภาคบริการ 26.51 โดยกลุ่มที่มีต้นทุนค่าแรงงานเพิ่มมากที่สุดคือ อาหาร เครื่องดื่ม ยาสูบ เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.02 รองลงมาคือสิ่งทอ และเครื่องแต่งกาย ร้อยละ 34.45 และกระดาษ ผลิตภัณฑ์จากกระดาษ และการพิมพ์ ร้อยละ 22.39 “ค่าแรงขั้นต่ำถือเป็นปัจจัยลบที่กระทบกับการส่งออกมากที่สุด มากกว่านโยบายทำเงินบาทให้แข็งเพื่อลดราคาสินค้าในประเทศ เพราะเชื่อว่าอัตราแลกเปลี่ยนรัฐบาลบิดเบือนไม่ได้มาก และต้องปล่อยให้เป็นไปตามกลไกการตลาด ดังนั้น ควรทยอยปรับขึ้นค่าแรง และต้องทำให้สอดคล้องกับการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับภาคแรงงานเพื่อให้ผู้ผลิตสินค้าปรับตัว โดยกลุ่มที่คาดว่าจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้เร็วเป็นกลุ่มอาหาร สิ่งทอ และเครื่องใช้ไฟฟ้า” นายอัทธ์กล่าว นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่าคณะกรรมการบริหาร ส.อ.ท. ไม่เห็นด้วยกับการปรับค่าแรงให้เท่ากันทั่วประเทศ เพราะจะมีผลต่อภาคอุตสาหกรรมโดยรวม ควรปล่อยให้ขึ้นไปตามกลไกตลาด หากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยต้องการดำเนินการจริง ควรจะหาเงินสนับสนุนมาชดเชยส่วนต่างที่ปรับเพิ่มให้แก่นายจ้าง ในมุมมองของนักวิชาการ มีผู้สนับสนุนนโยบายค่าแรง 300 บาท เช่น นายแล ดิลกวิทยรัตน์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ที่ให้ความเห็นว่า ต้นทุนการผลิตโดยเฉลี่ยมาจากค่าจ้างไม่เกินร้อยละ 10 ที่เหลือมาจากอื่นๆ ดังนั้นการที่กล่าวว่าเมื่อขึ้นค่าจ้างจะทำให้เงินเฟ้อจึงเป็นเรื่องที่ไม่เป็นธรรม เกาหลีใต้และไต้หวันเติบโตมาพร้อมกับไทย แต่ค่าจ้างขั้นต่ำสูงกว่าและยังสามารถแข่งขันได้ การปรับค่าแรงเป็น 300 บาท เป็นการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม อาจแก้ปัญหาบ้านเมืองได้อย่างสันติวิธี ในขณะที่นายดิเรก ปัทมสิริวัฒน์ อาจารย์คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กล่าวว่า การปรับค่าแรงเป็น 300 บาท แม้จะเสี่ยงแต่ก็คุ้มค่า รัฐบาลใหม่ควรจะดำเนินการเพราะมีแต่ได้ แต่นายจ้างต้องปรับตัว คนรวยต้องเฉือนเนื้อตัวเองบ้าง และไม่เห็นด้วยที่จะเอาภาษีประชาชนมาชดเชยให้นายทุน รัฐบาลชุดใหม่ควรตั้งคณะกรรมการศึกษาวิจัยให้ชัดเจนเพื่อมีข้อมูลวิชาการมารองรับไม่ใช่ให้นายจ้างพูดแต่ฝ่ายเดียว ด้านนายณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังจะเป็นสังคมชราภาพ กำลังแรงงานลดลง คนงาน 1 คนต้องรับภาระทั้งลูกและคนชรา จึงต้องได้ค่าจ้างเพิ่ม ขณะนี้ประสิทธิภาพของคนงานมากกว่าค่าจ้างอยู่แล้ว การเพิ่มค่าจ้างจะทำให้พัฒนาประสิทธิภาพเร็วขึ้น หากเพิ่มค่าจ้างเป็น 300 บาทต่อวัน ต้นทุนจะเพิ่มเพียง 3 บาทเท่านั้น รัฐบาลชุดใหม่ควรตั้งกองทุนให้เอสเอ็มอีกู้ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1-2 และยังบอกว่า ประเทศอินโดนีเซีย เกาหลีใต้ มาเลเซีย ล้วนมีค่าแรงขั้นต่ำสูงกว่าไทยทั้งนั้น การเพิ่มค่าจ้างจึงน่าจะเป็นผลบวก และจะมีผลต่อการบริโภค ทำให้จีดีพีเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 1 และสำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่ เช่น เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล รองประธานคณะกรรมการบริหารการเงินและกรรมการการลงทุน กล่าวว่า เครือซีพีพร้อมจะสนับสนุนนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน เพราะจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับกลุ่มผู้ใช้แรงงานให้ใกล้เคียงกับอุตสาหกรรมอื่นและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ค่าแรงขั้นต่ำของไทยพบว่าเพิ่มจาก 157 บาทในปี 2540 เป็น 206 บาทในปี 2553 เท่ากับเพิ่ม 1.31 เท่าในขณะที่ดัชนีราคาสินค้าในระยะเวลาเดียวกันเพิ่ม 1.42 เท่า แต่ในการขึ้นค่าแรงนี้ ภาครัฐควรเข้ามาช่วยเหลือผู้ประกอบการ เช่น ลดภาษีนิติบุคคล หรือใช้มาตรการอื่นๆ เช่น การให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ หรือให้เงินอุดหนุนแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เป็นต้น ศาลโลกออกมาตรการชั่วคราวกรณีปราสาทพระวิหาร เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2554 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ศาลโลก ได้มีคำสั่งออกมาตรการชั่วคราวในคดีข้อพิพาทปราสาทพระวิหาร ระหว่างไทย-กัมพูชา ใน 6 ประเด็น คือ ให้ทั้งฝ่ายไทย-กัมพูชา ถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ปลอดทหารชั่วคราวที่กำหนดโดยทันที ให้ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชา หลีกเลี่ยงการเข้าไปของกำลังทหารในพื้นที่ดังกล่าว และหลีกเลี่ยงการมีกิจกรรมทางทหารในพื้นที่ดังกล่าว ห้ามฝ่ายไทยขัดขวางการเข้าออกพื้นที่ปราสาทพระวิหารและพื้นที่ปลอดทหารของเจ้าหน้าที่ที่มีใช่ทหารของกัมพูชา เพื่อส่งกำลังบำรุง ให้ไทยและกัมพูชาร่วมมือกับอาเซียนต่อไป และอนุญาตให้คณะผู้สังเกตการณ์ที่ได้รับการแต่งตั้งเข้าไปในพื้นที่ปลอดทหารชั่วคราวดังกล่าว ไทยและกัมพูชาควรหลีกเลี่ยงการกระทำใดๆ ที่อาจทำให้สถานการณ์รุนแรง หรือมีความขัดแย้งมากขึ้น จนทำให้การแก้ไปปัญหาได้ยากขึ้น ไทยและกัมพูชาต้องแจ้งผลการปฏิบัติตามคำสั่งของศาล ศาลยังคงอำนาจพิจารณาเรื่องคำสั่งมาตรการชั่วคราวต่อไป จนกว่าศาลจะมีคำตัดสินเกี่ยวกับการตีความคำพิพากษาเดิม สำหรับพื้นที่ปลอดทหารชั่วคราวที่ศาลโลกกำหนดนั้นมีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมคางหมู มีพื้นที่ทั้งหมด 17.3 ตร.กม. อยู่ในเขตไทย 8.5 ตร.กม. กัมพูชา 8.8 ตร.กม. และอีก 4.6 ตร.กม. เป็นพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิบนพื้นที่จนเป็นกรณีพิพาท บนพื้นที่ 4.6 ตร.กม. นี้ ในปี 2541 ฝ่ายกัมพูชาได้สร้างวัดแก้วสิขาคีรีสวาระเพื่อเป็นที่ประกอบศาสนพิธีของชุมชนชาวเขมรที่อยู่ในบริเวณรอบๆ ในวันที่ 1 สิงหาคม 2551 ชาวกัมพูชาได้จัดงานทำบุญใหญ่ โดยมีพระสังฆราชของกัมพูชามาเป็นประธาน ในวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 ทหารไทยส่วนหนึ่งจึงได้เข้าไปอ้างสิทธิและตรึงกำลังอยู่เป็นเวลานานถึง 2 ปี ก่อนจะถอนออกไปเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2553 ดังนั้นในวันที่ 31 มกราคม 2554 กระทรวงการต่างประเทศของไทยจึงออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้กัมพูชาปลดธงชาติกัมพูชาและรื้อถอนวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระออกไป ต่อมาในวันที่ 28 เมษายน 2554 กัมพูชาจึงยื่นคำร้องต่อศาลโลกขอให้ตีความเกี่ยวกับคำพิพากษาในปี 2505 อนึ่ง เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2505 ศาลโลกได้ตัดสินว่าปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในจุดแดนอธิปไตยกัมพูชา ทางการไทยจึงทำรั้วลวดหนามกันแนวตัวปราสาทออกไป แต่ยังคงครอบครองพื้นที่โดยรอบเนื่องจากคำพิพากษามิได้มีการวินิจฉัยว่าเขตแดนของพื้นที่อยู่ที่ใด หลังจากนั้นไม่นานเกิดสงครามกลางเมืองในเขมร เรื่อยไปจนกระทั่งยุคเขมรแดงปกครองประเทศในปี พ.ศ. 2535 ทำให้ไม่มีการท่องเที่ยวที่ปราสาทพระวิหาร จนกระทั่งเมื่อเหตุการณ์ในประเทศกัมพูชาสงบลง ปราสาทพระวิหารจึงเปิดให้มีการท่องเที่ยวอีกครั้ง แต่นักท่องเที่ยวจะขึ้นชมปราสาทจากฝั่งไทยเนื่องจาการเดินทางสะดวก ทำให้ทั้งสองประเทศมีผลประโยชน์จากนักท่องเที่ยวร่วมกัน จนกระทั่งเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2551 พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ได้ประท้วงนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ได้เห็นชอบในร่างคำแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชาในการขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ว่าแผนที่การจัดการบริหารมีพื้นที่ล้ำดินแดนไทยอยู่ 4.6 ตร.กม. ต่อมา พธม. ได้ยื่นเรื่องนี้ต่อศาลปกครองและศาลปกครองได้มีคำสั่งให้เพิกถอนมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 17 มิถุนายน 2551 ที่เห็นชอบร่างคำแถลงการณ์ร่วม ฯ และพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งขณะนั้นเป็นพรรคการเมืองฝ่ายค้านได้ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความข้อตกลงกับกัมพูชาว่าเข้าข่ายเป็นหนังสือสัญญาหรือไม่ ซึ่งในวันที่ 8 กรกฎาคม ศาลรัฐธรรมนูญได้ชี้ขาดว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นหนังสือสัญญาซึ่งจะต้องผ่านการเห็นชอบของรัฐสภาก่อน สำหรับปราสาทพระวิหารนั้น องค์กรยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 ตามข้อเสนอของประเทศกัมพูชา ป.ป.ช. ยื่นฟ้องเองคดีทุจริตรถดับเพลิง เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2554 คณะกรรมการป้องกันและปรามปราบการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มอบหมายให้ทนายความนำสำนวนหลักฐานเป็นโจทก์เข้ายื่นฟ้องนายโภคิน พลกุล อดีต รมว.มหาดไทย นายประชา มาลีนนท์ อดีต รมช.มหาดไทย นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พาณิชย์ พล.ต.ต.อทิลักษณ์ ตันชูเกียรติ อดีต ผอ.สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. บริษัท สไตเออร์ เดมเลอร์ พุค สเปเชียล ฟาห์ชอยย์ จำกัด และ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีต ผู้ว่าฯ กทม. เป็นจำเลยที่ 1-6 ในคดีทุจริตจัดซื้อรถ-เรือดับเพลิง และอุปกรณ์ป้องกันบรรเทาสาธารณภัย กทม. มูลค่า 6,687 บาท ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยศาลจะเปิดประชุมใหญ่ศาลฎีกา เพื่อเลือกผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน และองค์คณะผู้พิพากษา เพื่อพิจารณาจะรับฟ้องคดีไว้หรือไม่ต่อไป และจะนัดฟังผลในวันที่ 24 สิงหาคม 2554 เวลา 10.00 น. การฟ้องครั้งนี้ ป.ป.ช. เป็นผู้ดำเนินการเอง หลังจากที่อัยการได้ยกคำร้องไปครั้งหนึ่งแล้ว แรงงานภาคเกษตรไทยถดถอย นายอภิชาต จงสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า ทิศทางของแรงงานภาคเกษตรไทยเริ่มเข้าสู่ภาวะวิกฤติ แรงงานส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ มีอายุเฉลี่ย 49.3 ปี สูงกว่าอายุแรงงานรวมเฉลี่ยที่มีค่า 48.6 ปี ในขณะที่คนรุ่นใหม่เข้ามาทำอาชีพนี้ลดลง เห็นได้จากการที่ในปี 2553 สัดส่วนแรงงานงานภาคเกษตรต่อกำลังแรงงานรวมเหลือเพียงร้อยละ 38.2 ในขณะที่ในปี 2520 มีร้อยละ 68 สาเหตุปัจจัยเนื่องมาจากเกษตรกรรมเป็นงานหนัก มีความเสี่ยงสูง แต่ผลตอบแทนต่ำ รายได้ไม่แน่นอน ทำให้ผู้ประกอบอาชีพนี้มีรายได้ต่ำกว่าภาคอื่นๆ ในปี 2552 ครัวเรือนลูกจ้างภาคเกษตรมีรายได้เฉลี่ยครัวเรือนละ 11,087 บาทต่อเดือน ขณะที่รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนไทยอยู่ที่ 20,903 บาทต่อเดือน จากการศึกษาแรงงานภาคเกษตรในปี 2553 ยังพบว่า และร้อยละ 75 ของแรงงานภาคเกษตรมีระดับการศึกษาเฉลี่ยที่ประถมศึกษาและต่ำกว่าสาขาอื่นๆ ปัญหาที่เกิดจึงเป็นในเชิงโครงสร้างที่สะสมมานาน แม้รัฐจะออกมาตรการช่วยเหลือหลายด้าน เช่น แจกทุนการศึกษาให้บุตรหลานเกษตรกรในเขต ส.ป.ก. หรือขยายพื้นที่เพาะปลูกยางพาราในภาคอีสาน แต่นโยบายที่ดำเนินอยู่ยังกระจัดกระจาย ไม่สามารถมองเห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม การขาดแคลนแรงงานในภาคเกษตรจึงอาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ทางแก้ไขคือต้องเดินหน้าอย่างจริงจัง ธนาคารแห่งประเทศไทยเปิดเผยว่า ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2554 มีผู้ที่ทำงานเป็นลูกจ้างทั้งสิ้น 17,310,300 คน แบ่งเป็นลูกจ้างในภาครัฐบาล 3,560,000 คน และภาคเอกชน 13,750,300 คน พบว่า ค่าแรงเฉลี่ยของลูกจ้างอยู่ที่เดือนละ 9,7751 บาท โดยกลุ่มที่มีค่าจ้างต่ำที่สุดคือภาคเกษตรกรรม 4,900 บาท ในขณะที่ในภาคอื่นๆ มีรายได้เฉลี่ยที่ 10,501 บาทต่อเดือน 6 ภาคีร่วมต้านคอร์รัปชั่น 6 ภาคีเครือข่าย ประกอบด้วย เครือข่ายข้าราชการและการเมือง เครือข่ายการศึกษา เครือข่ายชุมชน เครือข่ายศาสนา เครือข่ายสื่อสารมวลชนและเครือข่ายภาคธุรกิจ ได้ร่วมประกาศปฏิญญาเพื่อขับเคลื่อนคุณธรรมความซื่อตรงในสังคมไทย 6 ประการ คือ สร้างความตระหนักว่าคุณธรรมและความซื่อสัตย์ต้องเริ่มที่ตนเองและหน่วยงานของตนก่อน ร่วมกันสร้างสรรค์สังคมไทยเป็นสังคมแห่งความซื่อตรง ไม่ว่าจะเป็นสถาบันครอบครัว ชุมชน สถาบันการศึกษา สถาบันศาสนา ข้าราชการ นักการเมือง สื่อมวลชน ให้วันที่ 22 กรกฎาคมของทุกปีเป็นวันแห่งความซื่อตรง และจะยกย่องเชิดชูบุคคลและหน่วยงานให้เป็นต้นแบบ จะร่วมกันใช้มาตรการทางสังคมในการลงโทษและประณามผู้ฝ่าฝืนกฎกติกามารยาททางสังคมและกฎหมายบ้านเมือง ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นในทุกรูปแบบ ผลักดันให้เกิดการปรับปรุงระบบและกระบวนการติดตามและลงโทษผู้กระทำผิดให้เกิดประสิทธิผล ขยายเครือข่ายสังคมคุณธรรม รณรงค์ค่านิยมความซื่อตรงออกไปให้กว้างขวาง เพิ่มศักยภาพการขับเคลื่อนกิจกรรมและมาตรการภาคปฏิบัติอย่างจริงจัง ให้ปี 2555-2564 เป็นปีแห่งการขับเคลื่อนเครือข่ายสังคมคุณธรรม โดยดำเนินการตามแผนพัฒนาความซื่อตรงแห่งชาติ พ.ศ. 2555-2559 ก่อนหน้านี้ เอแบคโพลได้รายงานผลวิจัยเชิงสำรวจเรื่อง “ความต้องการของประชาชนต่อรัฐบาลชุดใหม่ในการสร้างชาติโปร่งใส สร้างไทยซื่อตรง” ปรากฏว่าคนไทยส่วนใหญ่ ร้อยละ 64.5 ยอมรับรัฐบาลทุจริตได้หากทำให้ประเทศรุ่งเรือง ประชาชนอยู่ดีกินดี โดยกลุ่มที่ยอมรับรัฐบาลทุจริตมากที่สุดถึง ร้อยละ 71.0 คือกลุ่มเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี และรองลงไป ร้อยละ 70.5 คือกลุ่มอายุ 20-29 ปี