พฤษภาคม 2554 : 3 กรกฎาคม 2554 วันเลือกตั้งทั่วไป 3 ก.ค. 54 เลือกตั้งทั่วไป การปฏิรูปกฎหมาย สิทธิในการตาย โอนภารกิจ ศอ.รส. ให้ตำรวจนครบาล หนี้สาธารณะลดลง นโยบายรีไฟแนนซ์ลูกหนี้บัตรเครดิต กัมพูชายื่นศาลโลกตีความคดีเขาพระวิหารใหม่ ทีโอที-กสท.ฯ เตรียมเปิดบริการเครือข่าย 3 จี ญี่ปุ่นลดเงินเดือนข้าราชการเพื่อฟื้นฟูประเทศ 3 ก.ค. 54 เลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2554 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะมีผลบังคับใช้หลังประกาศในพระราชกิจจานุเบกษาในวันที่ 10 พฤษภาคม 2554 หลังจากนั้นคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ประกาศให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ในการรับสมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ในระหว่างวันที่ 19-23 พฤษภาคมนั้น มีพรรคการเมืองมาสมัครทั้งสิ้น 40 พรรค รวมผู้สมัครทั้งสิ้น จำนวน 1,410 คน โดยพรรคเพื่อไทยจับสลากได้หมายเลข 1 และพรรคประชาธิปัตย์ได้หมายเลข 10 ผู้ที่มีรายชื่อในอันดับแรกของพรรคเพื่อไทย คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพรรคประชาธิปัตย์ คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทั้งนี้การเลือก ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ ส.ส.เขตจะใช้หมายเลขเดียวกันทั่วประเทศ หลังการเปิดรับสมัคร ส.ส.เขต ในระหว่างวันที่ 24-28 พฤษภาคม ในวันที่ 30 พฤษภาคม กกต. ได้แถลงว่ามีผู้สมัครทั้งสิ้น 2,422 คน จาก 34 พรรคการเมือง การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นไปตามกฎเกณฑ์จากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะมีการเลือกตั้งล่วงหน้า แต่ผู้ประสงค์จะเลือกตั้งล่วงหน้าจะต้องลงทะเบียนขอใช้สิทธิล่วงหน้า ณ ที่ว่าการอำเภอและที่ทำการทะเบียนท้องถิ่น การเลือกตั้งล่วงหน้าสามารถทำได้ทั้งในและนอกเขตเลือกตั้งของตน การเลือกตั้งล่วงหน้าทั้งในและนอกเขตต้องไปใช้สิทธิที่สถานที่เลือกตั้งกลางซึ่งมีอยู่ทุกจังหวัดๆ ละ 1 แห่ง ยกเว้น กทม. ที่มีทุกเขต และการเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตต้องอยู่ในจังหวัดที่ทำงานหรืออยู่อาศัยเท่านั้น ในการเลือกตั้งครั้งนี้ กกต. ได้กำหนดวงเงินค่าใช้จ่ายในการหาเสียงไว้ที่คนละ 1.5 ล้านบาท โดยให้เหตุผลว่าแม้ค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้น แต่เขตเลือกตั้งมีขนาดเล็กลงเนื่องจากเป็นการเลือกแบบเขตเดียวเบอร์เดียว วงเงินเท่านี้จึงไม่น่าจะมีปัญหา คณะ กก. ปฎิรูปกฎหมาย เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2554 ราชกิจจานุเบกษาได้ประกาศรายชื่อคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย 11 รายแล้ว ดังนี้ 1. ศาสตราจารย์คณิต ณ นคร เป็นประธานกรรมการ 2. นางสุนี ไชยรส เป็นรองประธานกรรมการ 3. นายไพโรจน์ พลเพชร 4. นายสมชาย หอมลออ 5. นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ 6. ศาสตราจารย์เสาวนีย์ อัศวโรจน์ 7. รองศาสตราจารย์กำชัย จงจักรพันธ์ 8. นายชัยสิทธิ์ สุขสมบูรณ์ 9. รองศาสตราจารย์บรรเจิด สิงคะเนติ 10. นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ 11. รองศาสตราจารย์วิระดา สมสวัสดิ์ รัฐธรรมนูญปี 2550 กำหนดให้มีการจัดตั้งองค์กรเพื่อการปฏิรูปและจัดทำกฎหมาย และมาตรา 6 และมาตรา 21 ใน พ.ร.บ. คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย พ.ศ. 2553 บัญญัติให้มีคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายจำนวน 11 คน ก่อนหน้านี้ได้มีการเปิดรับสมัครผู้เป็นคณะกรรมการ มีผู้มาสมัครทั้งสิ้น 234 คน และคณะกรรมการคัดสรรได้เลือกดังรายนามข้างต้นโดยยึดหลักเกณฑ์จากผู้ที่มีความรู้ความสามารถในด้านกฎหมายต่างๆ หลากหลายสาขา สิทธิในการตาย นับตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2554 เป็นต้นไป กฎกระทรวงในเรื่องสิทธิในการตายได้มีผลบังคับใช้แล้ว โดยผู้ป่วยมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับการรักษาพยาบาล เพียงเพื่อยืดการตาย และให้ถือว่าบุคคลที่ได้ปฏิบัติตามเจตนาของผู้ป่วยไม่มีความผิด กฎกระทรวงฉบับนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า กฎกระทรวงในการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุข ได้มีการดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2551 หลังจากที่ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 มีผลบังคับใช้ นพ.อำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า การปฏิเสธไม่รับการรักษาพยาบาลเป็นสิทธิของบุคคลมาแล้วตั้งแต่เกิดและสามารถร้องขอได้ แต่ต้องมิใช่การบังคับ บุคคลทั่วไปที่มีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ สามารถจะทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ต้องการยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย อย่างไรก็ตาม น.อ. (พิเศษ) นพ.อิทธพร คณะเจริญ รองเลขาธิการแพทยสภา กล่าวว่า เห็นด้วยกับหลักการ แต่ควรมีวิธีการที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดแนวทางปฏิบัติให้สอดคล้องกับความเป็นจริง และป้องกันช่องทางที่จะก่อปัญหากับผู้ปฏิบัติ หรือนำไปสู่ความขัดแย้ง ทั้งในครอบครัวผู้ป่วย หรือแพทย์กับผู้ป่วย ซึ่งเรื่องนี้ควรมีหน่วยงานรับผิดชอบที่เหมาะสมด้วย หนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์รับบริการสาธารณสุขมี 2 แบบ แต่ละแบบจะมีข้อความสำคัญ อาทิ แบบที่ 1 ระบุว่า ในกรณีที่ข้าพเจ้าตกอยู่ในสภาวะ เช่น ไม่รู้สึกตัวอย่างถาวร ข้าพเจ้าไม่ต้องการอยู่ในสภาพเช่นนั้น โปรดให้การรักษาตามความประสงค์ดังต่อไปนี้ เช่น การฟื้นฟูการเต้นของหัวใจและการหายใจให้กลับเต้นขึ้นใหม่ โดยมีช่องให้ระบุว่าจะยอมรับหรือไม่ หากไม่ยอมรับก็หมายความว่าปล่อยให้สิ้นลมโดยสงบ และแบบที่ 2 เป็นข้อความที่ระบุชัดเจน เช่น ไม่ต้องการให้เจาะคอเพื่อใส่ท่อช่วยหายใจ หรือไม่ต้องการให้ใช้เครื่องช่วยหายใจ รวมทั้งการให้สารอาหารและน้ำทางสายยาง การรักษาในห้องไอซียู การฟื้นชีพเมื่อหัวใจหยุดเต้น เป็นต้น หลังจากที่มีมติว่าจะประกาศกฎกระทรวงฉบับนี้ นพ.วิสุทธิ์ ลัจฉเสวี ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภาได้ให้ความเห็นว่า ควรมีการพิจารณาให้ถ้วนถี่ว่าการออกกฎกระทรวงฉบับนี้เกินขอบเขตอำนาจหน้าที่ที่ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ มาตรา 12 บัญญัติไว้หรือไม่ เนื่องจากมาตรา 8 พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2540 ระบุว่า หากผู้รับบริการอยู่ในภาวะที่เสี่ยงอันตรายถึงชีวิตและมีความจำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือเป็นการรีบด่วน จะปฏิเสธไม่ได้ นอกจากนั้น นพ.วิสุทธิ์ ยังมีความเห็นว่า การปล่อยให้ผู้ป่วยเสียชีวิตลงโดยงดเว้นไม่ให้การรักษาพยาบาล หรือใช้เครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์บางอย่างช่วยเหลือตามมาตรฐานวิชาชีพก็มีค่าเท่ากับการกระทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตโดยผู้ที่งดเว้นนั่นเอง และเรื่องนี้อาจทำให้บุคลากรทางการแพทย์เสี่ยงต่อการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 คือ ฆ่าผู้อื่น มาตรา 289 (4) ฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน มาตรา 291 ประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นตาย มาตรา 307 ทอดทิ้งผู้ป่วยเจ็บเกิดอันตรายต่อชีวิต มาตรา 374 ช่วยได้แต่ไม่ช่วยผู้ตกอยู่ในอันตรายต่อชีวิต ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ละเมิดถึงแก่ชีวิต ซึ่งกรณีแพทย์ปฏิบัติตามหนังสือแสดงเจตนาฯ ของผู้ป่วย และตามหลักศักดิ์ของกฎหมาย (Hierarchy) กฎหมายฉบับนี้สามารถยกเว้นความรับผิดชอบตามประมวลกฎหมายอาญาและประมวลกฎหมายแพ่งฯ ดังที่กล่าวข้างต้นได้ทั้งหมดหรือไม่ ปิด ศอ.รส. ให้ บช.น. ทำงานแทน พล.ต.อ. พงศพัศ พงษ์เจริญ ในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) แถลงว่า ตั้งแต่มีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ในบางพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ จนถึง 24 พฤษภาคม 2554 เป็นต้นมา ขณะนี้เหตุการณ์เข้าสู่ความสงบ ไม่มีความจำเป็นต้องใช้กฎหมายพิเศษ แม้จะมีการชุมนุมอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าสถานการณ์เบาบางลง ศอ.รส. จึงมีมติไม่ขอคณะรัฐมนตรีต่ออายุ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ทำให้ปิด ศอ.รส. และจะมีการมอบหมายงานให้กองบัญชาการตำรวจนครบาลดูแลต่อไป โดยจะประเมินสถานการณ์ วางกำลังในการดูแลสถานที่ บุคคลสำคัญ รวมทั้งติดตามความเคลื่อนไหวในการชุมนุม หนี้สาธารณะลดลง สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเปิดเผยยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2554 มีจำนวน 4,246,114.68 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 41.28 ของ GDP โดยเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 2,988,845.39 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน 1,065,872.13 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกัน 160,340.27 ล้านบาท และหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 31,056.89 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า หนี้สาธารณะลดลงสุทธิ 11,295.13 ล้านบาท นโยบายรีไฟแนนซ์หนี้บัตรเครดิต ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ขานรับนโยบายกระทรวงการคลัง ร่วมกันเปิดโครงการลดภาระดอกเบี้ยบัตรเครดิต วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2554 ลูกหนี้บัตรเครดิตที่จะเข้าโครงการนี้ ต้องเป็นหนี้บัตรเครดิตสถานะปกติตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2554 มีความสามารถในการชำระหนี้ตามเกณฑ์ของธนาคาร ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์หรือบุคคลค้ำประกัน และที่สำคัญลูกหนี้ต้องมีหนังสือแสดงเจตจำนงกับธนาคารว่าจะไม่ก่อภาระหนี้บัตรเครดิตใบดังกล่าวเพิ่มเติมในระยะเวลา 1 ปี ขณะที่เงื่อนไขของการปล่อยกู้ จะให้กู้ไม่เกิน 5 เท่าของเงินเดือน หรือไม่เกินรายละ 3 แสนบาท ผ่อนชำระตั้งแต่ 1-3 ปี คิดอัตราดอกเบี้ยเอ็มแอลอาร์ บวก 3.5% หรือ 10% ต่อปี ซึ่งหากได้รับการอนุมัติเงินกู้แล้วธนาคารจะจ่ายเป็นเช็คเงินสด สั่งจ่ายสถาบันการเงิน หรือบริษัทบัตรเครดิต ที่ลูกหนี้ต้องการรีไฟแนนซ์ กัมพูชายื่นศาลโลกตีความคดีปราสาทพระวิหาร เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2554 กระทรวงการต่างประเทศเปิดเผยถึงกรณีที่ประเทศกัมพูชาได้ยื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก ให้ตีความเกี่ยวกับคำพิพากษาในปี 2505 ที่เคยตัดสินว่าตัวปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในจุดแดนอธิปไตยกัมพูชา แต่ไม่ได้วินิจฉัยว่าเขตแดนของพื้นที่อยู่ที่ใด ดังนั้นศาลโลกจึงนัดหมายไทยเข้าให้ข้อมูลในวันที่ 30 พฤษภาคม 2554 คาดว่าศาลโลกจะขอให้ไทยและกัมพูชาจัดทำข้อมูลเป็นลายลักษณ์อักษรส่งมายังศาลโลกภายในเดือนกันยายน – ตุลาคมปีนี้ และอาจจะใช้เวลาพิจารณา 1-2 ปี ระหว่างนี้กัมพูชาได้ขอให้ศาลโลกออกมาตรการชั่วคราว เพื่อให้ไทยถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ อีก 3 เดือน คนไทยได้ใช้ 3 จี ทีโอที เปิดเผยว่า อีก 3 เดือนข้างหน้า ประชาชนไทยทั่วประเทศจะได้ใช้บริการ 3 จี ทั้งนี้ เนื่องจากทีโอทีได้ลงนามสัญญากู้เงินกับธนาคารกรุงศรีอยุธยา และธนาคารยูโอบี เป็นจำนวน 10,000 และ 5,000 ล้านบาท ตามลำดับ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2554 โดยมีระยะเวลา 10 ปี มีระยะเวลาปลอดหนี้ 2 ปีแรก และระยะเวลาผ่อนชำระคืนหนี้ 8 ปี ซึ่งต้องชำระคืนเงินต้นทุก 6 เดือน รวมทั้งหมด 16 งวด โครงการ 3 จีนี้ จะเริ่มดำเนินการติดตั้งโครงข่ายได้ภายใน 45 วันนับจากวันเซ็นสัญญา โดยจะทยอยติดตั้งโครงข่ายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ 5,000 สถานีฐาน สามารถรองรับลูกค้าได้กว่า 7 ล้านเลขหมาย ญี่ปุ่นลดเงินเดือน ขรก. 10% 3 ปี นำไปฟื้นฟูประเทศ คณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเห็นชอบนโยบายลดเงินเดือนข้าราชการพลเรือนลง 10% เป็นเวลา 3 ปี เพื่อนำเงินไปช่วยฟื้นฟูประเทศหลังประสบภัยพิบัติแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อเดือนมีนาคม 2554 โดยจะมีผลตั้งแต่ปีนี้ไปจนถึงปี 2556 ซึ่งนโยบายดังกล่าวจะช่วยประหยัดงบประมาณได้ประมาณปีละ 3 แสนล้านเยน