มกราคม 2554 : ร่างแก้ไข รธน. รอลงมติวาระ 3 รัฐสภาเตรียมลงมติวาระ 3 แก้รัฐธรรมนูญ 2 ประเด็น รัฐบาลพร้อมเลือกตั้งก่อนครบวาระ ดีเอสไอ เผยผลสอบ 89 ศพ ครม. อนุมัติงบ ปี' 55 วงเงิน 2.25 ล้านล้านบาท เปิดตัวนโยบายประชาวิวัฒน์ ศาลกัมพูชาให้รอลงอาญา ส.ส.พนิช โจมตีฐานปฏิบัติการทหารที่นราธิวาส วุฒิสภาไฟเขียวขึ้นเงินเดือนตำรวจ สรุปยอดเงินบริจาคพรรคการเมืองปี 53 ดัชนีการเมืองไทย 4.74 จาก 10 คะแนน เศรษฐกิจปี 2553 โต 8.1% ประกันสังคมรายได้พุ่งจากการลงทุนปี 53 บัตรประชาชนใหม่เริ่มแต่แรกเกิด เตรียมแก้ กม. เช่าที่นา รัฐวิสาหกิจอื่นรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะได้ ร่างแก้ไข รธน. รอลงมติวาระ 3 เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2554 ที่ประชุมรัฐสภามีมติเสียงข้างมาก 298 ต่อ 211 งดออกเสียง 35 ไม่ลงคะแนน 3 เสียง เห็นชอบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 93 ที่กำหนดให้มี ส.ส.ระบบเขตเดียวเบอร์เดียว 375 คน และบัญชีรายชื่อ 125 คน โดยนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ได้กำหนดให้วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 เป็นวันลงมติในวาระ 3 หากผ่านก็จะมีผลบังคับใช้ต่อไป ก่อนหน้านี้ คือในวันที่ 25 มกราคม 2554 ที่ประชุมรัฐสภามีมติเสียงข้างมาก 343 ต่อ 205 เสียง งดออกเสียง 4 และไม่ลงคะแนน 2 เสียง เห็นชอบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 เกี่ยวกับการทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ โดยประธานรัฐสภาได้กำหนดวันลงมติวาระ 3 ไว้ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2554 สำหรับบทบัญญัติมาตรา 190 ดังกล่าวมีสาระสำคัญคือ การทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตหรือพื้นที่นอกอาณาเขต หรือมีผลกระทบต่อความมั่งคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง หรือมีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญจะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา โดยมีกำหนดระยะเวลาที่รัฐสภาจะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 60 วันนับแต่วันที่ได้รับเรื่องดังกล่าว และให้ดำเนินการจัดให้มีกฎหมายตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญนี้ภายใน 1 ปีนับแต่วันที่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ รัฐบาลพร้อมเลือกตั้งก่อนครบวาระ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์ ว่ารัฐบาลมีความพร้อมที่จะยุบสภาและประกาศการเลือกตั้งทั่วไปโดยไม่ต้องรอให้ครบวาระ หากรัฐสภาให้ความเห็นชอบแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 190 และมาตรา 93 – มาตรา 98 ดีเอสไอ แถลงผลสอบคนตายเสื้อแดงชุมนุม เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2554 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงผลสอบกรณีมีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ความไม่สงบอันเนื่องมาจากการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อเดือนเมษายน – พฤษภาคม 2553 จำนวน 89 ศพ ซึ่งเบื้องต้นผลการสืบสวนสอบสวนแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ 1. การเสียชีวิตที่น่าเชื่อว่าเป็นการกระทำของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) มี 12 ราย 2. การเสียชีวิตซึ่งการสืบสวนสอบสวนพบพยานหลักฐานเบื้องต้นว่า อาจเกิดขึ้นโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยรวม 8 คดี มีผู้เสียชีวิต 13 ราย และ 3. การเสียชีวิตซึ่งสอบสวนแล้วยังไม่พบตัวผู้กระทำผิด จำนวน 18 คดี มีผู้เสียชีวิต 64 ราย ซึ่งดีเอสไอจะพยายามสืบสวนสอบสวนต่อไป โดยจะแถลงให้ประชาชนทราบเป็นระยะๆ ทั้งนี้ ดีเอสไอได้ดำเนินการสอบสวนร่วมกับอัยการและเจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์ จากการรวบรวมพยานหลักฐานและพยานบุคคลที่เห็นเหตุการณ์, เจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ ตลอดจนภาพนิ่ง-ภาพเคลื่อนไหวที่ได้จากสื่อมวลชนและประชาชน หลังจากทราบผลสอบของดีเอสไอ ในวันที่ 23 มกราคม คนเสื้อแดงได้ชุมนุมใหญ่อีกครั้งโดยการเดินขบวนจากสี่แยกราชประสงค์ ไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยการชุมนุมครั้งนี้เป็นการชุมนุมครั้งที่สองในรอบเดือนหลังจากที่ได้จัดชุมนุมไปแล้วเมื่อวันที่ 9 มกราคม จนทำให้กลุ่มนักธุรกิจ พ่อค้าแม่ค้าและพนักงานในย่านราชประสงค์กว่า 300 คน ออกมาชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2554 เวลา 11.30 น. เรียกร้องรัฐบาลให้จัดหาที่ชุมนุมให้คนเสื้อแดง และหากจำเป็นต้องชุมนุมในย่านราชประสงค์ก็ต้องไม่ปิดการจราจร และเรียกร้องให้ตั้งกรรมการสามฝ่ายเพื่อหาทางออกร่วมกัน ให้ออกกฎหมายจัดระเบียบการชุมนุมสาธารณะ โดยขอให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการร่าง พ.ร.บ. และขอความเห็นใจจากกลุ่มคนเสื้อแดง นายกสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจย่านราชประสงค์เปิดเผยถึงความเสียหายจากการชุมนุมใหญ่ของ นปช. ระหว่างเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม 2553 ว่ามีร้านค้าได้รับผลกระทบ 2,088 ร้าน ความเสียหาย 11,200 ล้านบาท กระทบถึงความมั่นคงในการงานของลูกจ้างกว่า 30,000 คน โรงแรม 3 แห่งเสียหาย 500 ล้านบาท ยังไม่รวมการท่องเที่ยวและค่าเสียหายจากการเผาอาคารร้านค้า ครม. อนุมัติงบปี 55 วงเงิน 2.25 ล้านล้านบาท เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2554 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี อนุมัติกรอบงบประมาณรายจ่ายปี 2555 อยู่ที่ 2.25 ล้านล้านบาท และงบประมาณรายได้อยู่ที่ 1.9 ล้านล้านบาท ซึ่งยังคงเป็นการจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลที่ระดับ 3.5 แสนล้านบาท ลดลงจากที่ตั้งเป้าหมายว่าจะขาดดุล 3.9 แสนล้านบาท และถือว่าขาดดุลลดลง 7 หมื่นล้านบาท เมื่อเทียบปี 2554 เพื่อเดินหน้าเข้าสู่การจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลให้ได้ภายใน 5 ปี สำหรับโครงสร้างงบประมาณรายจ่าย 2.25 ล้านบาท เพิ่มจากปีงบฯ 2554 จำนวน 1.8 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 8.7% แยกเป็นรายจ่ายประจำ 1.82 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2554 1.58 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 9.6% และคิดเป็นสัดส่วน 80.9% ของงบประมาณรวม ทั้งนี้ ไม่ได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดเชยเงินคงคลังไว้ในปีงบประมาณ 2555 เพราะได้เสนอตั้งไว้ในรายจ่ายเพิ่มเติมของปีงบประมาณ 2554 เปิดตัวนโยบายประชาวิวัฒน์ เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2554 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” ถึงนโยบายประชาวิวัฒน์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการปฏิรูปประเทศไทยว่าได้แยกวาระเร่งด่วนเป็น 3 เรื่อง คือ เศรษฐกิจนอกระบบ ค่าครองชีพ และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เปรียบได้กับของขวัญ 9 ชิ้น ที่จะมอบให้แก่ประชาชน คือ เปิดโอกาสให้แรงงานนอกระบบจดทะเบียนสมาชิกประกันสังคม โดยจ่ายเงินสมทบคนละ 100 บาทต่อเดือน และรัฐบาลจ่ายให้อีก 50 บาทต่อเดือน สินเชื่อพิเศษเพื่อแท็กซี่ มอเตอร์ไซด์รับจ้างและหาบเร่แผงลอย สามารถกู้เพื่อนำเงินไปลงทุนได้ ขึ้นทะเบียนมอเตอร์ไซด์รับจ้าง ให้มีบัตรประจำตัว แจกเสื้อวิน โดยไม่ต้องจ่ายค่าวิน เพิ่มจุดผ่อนผันสำหรับผู้ค้าหาบเร่แผงลอย โดยไม่ต้องจ่ายค่าเช่าหรือเซ้งแผง ตรึงราคาก๊าซแอลพีจีที่ใช้หุงต้มในครัวเรือนและภาคขนส่ง แต่เลิกอุดหนุนก๊าซสำหรับภาคอุตสาหกรรมลอยตัว ให้ครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าต่ำกว่า 90 หน่วยต่อเดือนได้ใช้ฟรีต่อไป ลดต้นทุนการเกษตร ราคาอาหารสัตว์ เพื่อเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร ลดราคาไข่ไก่ด้วยการทดลองนำระบบขายแบบชั่งกิโลมาใช้ เพิ่มความปลอดภัยให้แก่ประชาชน ติดตั้งกล้องวงจรปิดในจุดเสี่ยงอีก 200 จุด ศาลกัมพูชาให้รอลงอาญา ส.ส.พนิช เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2554 ศาลกัมพูชาได้มีคำพิพากษาคนไทย 5 คน คือ นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ นายตายแน่ มุ่งมาจน นายกชพลธร ชุสนะเสวี และน.ส.นฤมล จิตรวะรัตนา ให้ปรับคนละ 1 ล้านเรียล และจำคุกคนละ 9 เดือน แต่ให้รอลงอาญาไว้ คนไทยทั้งห้าได้ถูกจับตัวไปยังกรุงพนมเปญเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2553 และส่งตัวไปคุมขังไว้ในเรือนจำเปรยซอว์เป็นเวลาครึ่งเดือนก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้ประกันตัวออกมาเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2554 และศาลได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 มกราคม ภายหลังจากที่ได้รับการปล่อยตัว คนไทยทั้ง 5 ได้เดินทางกลับมาถึงประเทศไทยในวันที่ 22 มกราคม 2554 ส่วนนายวีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ ที่ถูกจับพร้อมกันนั้น เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ศาลได้มีคำพิพากษา ให้จำคุกเป็นเวลา 8 ปี ปรับ 1.8 ล้านเรียล และจำคุก 6 ปี ปรับ 1.2 ล้านเรียล ตามลำดับ ทั้งนี้โดยไม่มีการรอลงอาญาและทั้งคู่ถูกส่งตัวเข้าเรือนจำเปรยซอว์ในทันที นายวีระ และ น.ส.ราตรี ถูกตั้งข้อกล่าวหา 3 เรื่อง คือ 1. เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย 2. เข้าพื้นที่ทหารโดยไม่ได้รับอนุญาต และ 3. จารกรรมข้อมูล ทั้งนี้ทั้งคู่ปฏิเสธข้อกล่าวหาจารกรรม โดยอ้างว่ากล้องวิดีโอมีไว้เพื่อบันทึกการทำงาน และนายวีระยืนยันว่าถูกจับในดินแดนไทยด้วย โจมตีฐานปฏิบัติการทหารที่นราธิวาส เมื่อคืนวันที่ 19 มกราคม 2554 ผู้ก่อเหตุไม่สงบจำนวนไม่ต่ำกว่า 40 คนได้ใช้อาวุธสงครามถล่มฐานปฏิบัติการพระองค์ดำ สังกัดกองร้อย ร.15121 ฉก.นราธิวาส ริมถนนสายมะรือโบตก-รือเสาะ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เป็นเหตุให้ทหารเสียชีวิต 4 นายและบาดเจ็บอีก 13 นาย และได้วางเพลิงเผาอาคาร งัดคลังอาวุธนำปืนและกระสุนจำนวนมากไปด้วย หลังเกิดเหตุกำลังทหาร ตำรวจและฝ่ายปกครองกว่า 300 นาย พร้อมสุนัขสงครามได้กระจายกำลังโอบล้อมเทือกเขาบูโดซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังฐาน พบรอยเลือดหยดตามเส้นทางมุ่งขึ้นสู่เขา วุฒิสภาไฟเขียวขึ้นเงิน ตร. ที่ประชุมวุฒิสภามีมติเห็นชอบร่างหลักการในวาระที่ 1 ร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติด้วยคะแนน 110 ต่อ 1 เสียง งดออกเสียง 1 เสียง และมีมติเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.เงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งด้วยคะแนนเสียงเอกฉันท์ 109 เสียง พร้อมกับให้คณะกรรมาธิการการยุติธรรมและตำรวจพิจารณาพร้อมกัน กำหนดวันแปรญัตติเป็นเวลา 3 วัน โดยมีสาระสำคัญอยู่ที่การพิจารณาขึ้นค่าตอบแทนให้กับข้าราชการตำรวจ โดยเฉพาะชั้นประทวนจากเพดานเงินเดือน 22,500 บาท ขึ้นเป็น 33,450 บาท โดยมีผลบังคับใช้ย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2553 เพื่อให้สอดรับกับสภาพเศรษฐกิจ และขยับให้เท่ากับการขึ้นเงินเดือนของทหารที่ขยับขึ้นไปก่อนหน้านี้ ยอดบริจาคพรรคการเมืองปี 53 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยสำนักกิจการพรรคการเมืองฯ ได้สรุปยอดการรับบริจาคพรรคการเมืองในปี 2553 โดยเมื่อรวมยอดเงินบริจาคพรรคการเมืองตั้งแต่เดือนมกราคม - ธันวาคม 2553 ปรากฏว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้รับยอดเงินบริจาคมากที่สุด 22,119,851 บาท ตามด้วย พรรคภูมิใจไทย 19,210,000 บาท พรรคเพื่อไทย 15,016,585 บาท พรรคเพื่อแผ่นดิน 8,224,000 บาท พรรคการเมืองใหม่ 7,767,436 บาท พรรคชาติไทยพัฒนา 4,950,000 บาท พรรคมาตุภูมิ 3,894,425 บาท พรรครวมชาติพัฒนา 2,721,000 บาท ดัชนีการเมืองไทยสอบตก สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ได้จัดทำดัชนีการเมืองไทยซึ่งในเดือนมกราคม 2554 ได้สำรวจดัชนีการเมืองดังกล่าวจากประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 4,225 คน โดยประชาชนให้คะแนนดัชนีการเมืองไทย ภาพรวมคะแนนเต็ม 10 ได้ 4.74 คะแนน ทั้งนี้ตัวชี้วัดต่างๆ ประกอบด้วย การบริหารงานของรัฐบาล ฝ่ายค้าน ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน บทบาทสื่อมวลชนและอื่นๆ รวม 25 ประเด็น ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่จะบอกได้ว่าการเมืองไทยดีขึ้น แย่ลง หรือเหมือนเดิม เศรษฐกิจปี 53 ทะลุ 8% สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 ปี 2553 ขยายตัวมากกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ขยายตัว 4.5% ต่อปี จากที่คาดไว้ที่ 3.5% ต่อปี และส่งผลให้เศรษฐกิจในปี 2553 ขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 8-8.1% สูงกว่าที่คาดไว้ว่าจะขยายตัวได้ 7.8% ขณะที่จีดีพีในปี 2554 คาดว่าจะมีการปรับเพิ่มขึ้น จากที่ประมาณการณ์ไว้ว่าจะขยายตัว 4-5% สำหรับเศรษฐกิจในปี 2554 มีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า ปัญหาการเคลื่อนย้ายเงินทุน ราคาน้ำมันผันผวน อัตราเงินเฟ้อสูงแต่คาดว่าไม่เกิน 3% ต่อปี ประกันสังคมมีรายได้จากการ สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เปิดเผยว่า สปส. มีผลตอบแทนการลงทุนปี 2553 เป็นจำนวน 33,750 ล้านบาท ประกอบด้วยดอกเบี้ยรับจากเงินฝาก พันธบัตรและหุ้นกู้ 25,772 ล้านบาท เงินปันผลและกำไรจากหลักทรัพย์ 8,028 ล้านบาท เทียบกับปี 2552 ซึ่งมีผลตอบแทนอยู่ที่ 26,634 ล้านบาท ถือว่ามีสัดส่วนเพิ่มขึ้นถึง 26.71% ขณะที่ผลตอบแทนเฉลี่ยทุกปีอยู่ที่ 7.54% สำหรับการลงทุนในปี 2554 จะใช้วงเงิน 1.5 แสนล้านบาท โดยขณะนี้อยู่ระหว่างขออนุมัติแผนการลงทุนจากคณะกรรมการ สปส. โดยเน้นการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจที่มีความมั่นคงสูงไม่ต่ำกว่า 70% ส่วนอีก 10% ลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ทั้งนี้ ในส่วนของเงินกองทุนประกันสังคมปัจจุบันมีเงินทั้งสิ้น 789,181 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินกองทุนกรณีสงเคราะห์บุตรและชราภาพ 635,077 ล้านบาท ที่เหลือเป็นเงินกองทุนกรณีเจ็บป่วย ตาย ทุพพลภาพ คลอดบุตร 102,250 ล้านบาทและเงินกองทุนกรณีว่างงาน 51,854 ล้านบาท บัตรประชาชนใหม่เริ่มแต่แรก เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2554 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติผ่านร่าง พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชนในวาระ 3 หลังจากผ่านการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการวิสามัญ ด้วยคะแนนเสียง 240 ต่อ 106 เสียงงดออกเสียง 1 ไม่ลงคะแนนเสียง 7 เสียง โดยร่างกฎหมายฉบับนี้มีสาระสำคัญคือกำหนดให้ประชาชนตั้งแต่อายุ 1-14 ปี ต้องทำบัตรประชาชนทุกคน ทั้งนี้ ตัวแทนจากกรมการปกครอง ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้ชี้แจงว่า การให้เด็ก 1 ขวบ ทำบัตรประชาชนโดยเฉพาะสมาร์ทการ์ด จะสามารถใช้แทนบัตรทองในการรักษาโรคโรคได้ ใช้แทนบัตรนักเรียน หรือพัฒนาไปสู่การใช้เป็นบัตรผ่านเข้าร้านเกม หรือสถานที่อื่นได้อีกด้วย ในขณะนี้กรมการปกครองได้ออกบัตรประชาชนแบบสมาร์ทการ์ดไปแล้วประมาณ 26 ล้านใบ แต่ปรากฏว่ามีรายละเอียดไม่ตรงกับบัตร 9 ล้านใบที่กระทรวงไอซีทีได้ว่าจ้างเอกชนผลิต จึงทำให้ต้องมีการแก้ไขกฎกระทรวงเพื่อรองรับบัตร 26 ล้านใบทั้งที่ออกไปแล้ว บัตรที่ผลิตออกมาแล้วแต่ยังไม่ได้ใช้ 9 ล้านใบ และบัตรที่ว่าจ้างให้ผลิตแล้วอีก 17 ล้านใบ ซึ่งขณะนี้ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำหรับประชาชนที่ต้องทำบัตรประชาชนในขณะนี้ กรมการปกครองได้ออกบัตรเหลืองให้ใช้เป็นการชั่วคราวไปก่อน เตรียมแก้ กม. เช่าที่นา นายชวลิต ชูขจร รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานการประชุมปัญหาการเช่าที่นา เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีความเห็นว่าควรมีการแก้กฎหมายในเรื่องการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมที่ออกมาตั้งแต่ปี 2524 เพื่อให้คุ้มครองต่อเกษตรกรผู้เช่าที่นาในอีก 2 ประเด็น คือ 1. เพื่อให้มีการกำหนดอัตราค่าเช่าที่นาที่แน่นอน และ 2. เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมระหว่างผู้ให้เช่าและผู้เช่า ผู้เช่ามีความมั่นคงไม่ถูกบอกเลิกสัญญาการเช่าง่ายเกินไป ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากเกษตรกรในหลายพื้นที่ประสบปัญหาค่าเช่านาสูงเกินจริง สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร จึงได้ไปสำรวจปัญหาการเช่าที่นาจากเกษตรกรกว่า 1,000 รายใน 16 จังหวัด ทำให้ได้แนวทางแก้ไขปัญหาอันสืบเนื่องมาจากการที่เจ้าของที่นาสามารถบอกเลิกการเช่าและนำที่นาไปให้รายใหม่เช่าในราคาที่แพงขึ้น รัฐวิสาหกิจอื่นรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะได้ เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2554 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... โดยจะเปิดให้รัฐวิสาหกิจอื่นที่ให้บริการสาธารณะเป็นประจำและตั้งราคาต่ำกว่าความเป็นจริง ได้รับสิทธิในการได้รับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ (PSO) ได้เช่นเดียวกับ 3 รัฐวิสาหกิจที่ได้รับเงินอุดหนุน PSO จากรัฐบาล ได้แก่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก. การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และการประปา สำหรับในปีงบประมาณ 2553 รัฐบาลได้จ่ายเงิน PSO ไปแล้ว 4,650 ล้านบาท และในปีงบประมาณ 2554 มีหน่วยงานที่เสนอได้ รฟท. ของบฯ 2,285 ล้านบาท, ขสมก. เสนอขอ 1,251 ล้านบาท และการประปาของบ 382 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของ ครม.