ตุลาคม 2553 : อุทกภัยใหญ่ในรอบ 50 ปี อุทกภัยครั้งใหญ่ในรอบ 50 ปี หุ้นทำพิษ 6 ส.ส.พ้นสภาพ ศาลปกครองยุติความขัดแย้ง “ พิศิษฐ์- คุณหญิงจารุวรรณ” คนสุราษฎร์ฯ เทคะแนนให้ สุเทพ กต. เพิ่งยกเลิกพาสปอร์ต 9 นปช. ศาล รธน. แจ้งความคดีคลิปฉาว สภาเห็นชอบกรอบเจรจารถไฟไทย - จีน ไทยมุ่งพัฒนาคนตามแผนฯ 11 อุทกภัยครั้งใหญ่ในรอบ 50 ปี จากการที่ตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม 2553 เป็นต้นมา ได้มีฝนตกลงมาอย่างหนักและต่อเนื่องในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้น้ำจากภูเขาไหลลงไปในอ่างเก็บน้ำต่าง ๆ เกินกว่าปริมาตรความจุจนต้องเร่งระบายออก ทำให้เกิดน้ำท่วมตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคมเป็นต้นไปในหลายพื้นที่ทั้งที่อยู่ริมแม่น้ำ พื้นที่ใต้เขื่อน ตลอดจนพื้นที่เกษตรกรรมและชุมชนที่สำคัญ เช่น เทศบาลเมืองนครราชสีมา และต่อมาตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน ฝนก็เริ่มตกหนักในภาคใต้ ทำให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ รวมทั้งในเขตเทศบาลเมืองหาดใหญ่ด้วย โดยที่บางพื้นที่มีระดับน้ำสูงมากเกือบ 3 เมตร ราษฎรต้องอพยพไปอาศัยอยู่ตามที่ดอน เช่น บนถนนสายหลัก สื่อมวลชนจึงเกาะติดสถานการณ์รายงานถึงสภาพน้ำท่วมกันอย่างกว้างขวาง ทำให้ประชาชนทั่วไปตระหนักถึงความรุนแรงและความเสียหายที่เกิดขึ้น จนทำให้ภาคเอกชนเริ่มระดมความช่วยเหลือในการส่งสิ่งของออกไปบรรเทาทุกข์ในทันที และต่อมารัฐบาลก็ได้ตั้งศูนย์ประสานการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย โดยมอบให้นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน) ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เป็นประธานศูนย์ฯ ดำเนินการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ในเบื้องต้น เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2553 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ได้สรุปภัยพิบัติด้านการเกษตร ว่ามีพื้นที่เกษตรกรรมเสียหาย 3,468,204 ไร่ ความเสียหายมีทั้งในด้านการเพาะปลูก ประมง และปศุสัตว์ และผลสรุปเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2553 ได้ยอดพื้นที่ประสบอุทกภัยใน 30 จังหวัด 208 อำเภอ 1,379 ตำบล 9,325 หมู่บ้าน มีประชาชนได้รับผลกระทบ 758,599 คน และมีผู้เสียชีวิต 223 คน ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2553 รัฐบาลจึงได้กำหนดมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากน้ำท่วมดังต่อไปนี้ ในเบื้องต้น จะให้เงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยครอบครัวละ 5,000 บาท กรณีเสียชีวิตจะได้เงินช่วยค่าทำศพเบื้องต้นรายละ 50,000 บาท และเพิ่มให้เป็น 75,000-100,000 หากเป็นหัวหน้าครอบครัวหรือคนในครอบครัว ในกรณีที่บ้านเสียหาย จะได้รับเงินช่วยเหลือ 2-3 หมื่นบาท เครื่องมือประกอบอาชีพเสียหายได้ชดเชย 10,000 บาท ให้เงินช่วยเหลือเขตพื้นที่การศึกษาเขตละ 2 แสนบาท และให้ตั้งงบประมาณซ่อมแซมสถานศึกษา นักเรียนในเขตพื้นที่น้ำท่วมได้รับค่าแบบเรียน และอุปกรณ์การเรียน เกษตรกรที่เสียหายจะได้รับเงินชดเชยร้อยละ 55 ของต้นทุนการผลิต โดยนาข้าวจะได้รับเงินชดเชยไร่ละ 2,098 บาท พืชไร่ชดเชยไร่ละ 2,921 บาท พืชสวนและอื่นๆ ไร่ละ 4,908 บาท บ่อเลี้ยงปลาไร่ละ 3,406 บาท รายละไม่เกิน 5 ไร่ กุ้ง ปู และหอย ไร่ละ 9,098 บาท ไม่เกิน 5 ไร่ สัตว์น้ำในกระชัง ตารางเมตรละ 257 บาท รายละไม่เกิน 80 ตารางเมตร เป็นต้น ผู้ที่ประสบอุทกภัยจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยให้หักจำนวนเงินที่ได้รับความเสียหายออกจากรายได้พึงประเมินก่อนการคำนวณภาษี ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ให้พักการชำระหนี้เป็นเวลา 3 ปี และงดคิดดอกเบี้ยตั้งแต่ปีบัญชี 2553-2555 และจัดสินเชื่อใหม่อัตราดอกเบี้ยพิเศษให้แก่เกษตรกรและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำหรับความร่วมมือจากภาคเอกชน ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ได้ยืดหนี้และลดอัตราดอกเบี้ยให้แก่ลูกค้าที่ประสบภัยน้ำท่วม พร้อมสนับสนุนสินเชื่อเพิ่มเพื่อการซ่อมแซมอาคาร และสินเชื่อหมุนเวียนเพื่อเสริมสภาพคล่อง นอกจากนี้ยังมีกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น กลุ่มรถยนต์และจักรยานยนต์ กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศ กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า กลุ่มอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก ธุรกิจประกันชีวิต ตลอดจนผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ยังร่วมมือร่วมใจกันให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ อีกมากมายตามขอบเขตและศักยภาพของตน อุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 50 ปีนี้ วิเคราะห์ว่ามาจาก 2 สาเหตุ คือ 1. สถานการณ์น้ำมากกว่าปกติอันเนื่องมาจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ ลานีญา 2. มีการก่อสร้างชุมชนและสิ่งก่อสร้างกีดขวางทางน้ำ เนื่องจากไม่มีการควบคุมตามหลักผังเมือง หุ้นทำพิษ “6 ส.ส.” พ้นสภาพ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2553 ที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 1 ให้ ส.ส. 6 คน ได้แก่ 1. นายสมเกียรติ ฉันทวานิช ส.ส. กทม. พรรคประชาธิปัตย์ 2. นายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคชาติไทยพัฒนา และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม 3. นางมลิวัลย์ ธัญญสกุลกิจ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อแผ่นดิน 4. นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ส.ส.นครราชสีมา พรรคภูมิใจไทย และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย 5. ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย 6. ม.ร.ว.กิติวัฒนา (ไชยันต์) ปกมนตรี ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อแผ่นดิน สิ้นสุดสถานภาพความเป็น ส.ส. ตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 106(6) และ 265 กำหนดไว้ มาตรา 106(6) กำหนดว่าสมาชิกภาพของ ส.ส. จะสิ้นสุดเมื่อกระทำการอันต้องห้ามตามมาตรา 265 และ 266 และมาตรา 265(2) ห้ามมิให้ ส.ส. และวุฒิสมาชิกถือครองหุ้นในบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญา กับรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ ดังนั้นด้วยเหตุผลว่า ส.ส. ทั้ง 6 ถือครองหุ้นหลังจากเป็น ส.ส. แล้วจึงต้องหมดสภาพการเป็น ส.ส. ในทันที่ที่ศาลมีคำวินิจฉัย ส่วน ส.ส. และ ส.ว. อีก 38 คนนั้น คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 2 ว่าไม่สิ้นสุดสมาชิกภาพ ส.ส. เนื่องจากถือครองหุ้นก่อนเป็น ส.ส. และ ส.ว. ทั้งนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดเลือกตั้งซ่อม ส.ส. ในวันที่ 12 ธันวาคม 2553 เลือกตั้งล่วงหน้าวันที่ 4-5 ธันวาคม 2553 กำหนดเปิดรับสมัครวันที่ 22-26 พฤศจิกายน 2553 ส่วนงบประมาณในการจัดเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ กกต. คาดว่าอยู่ที่ประมาณ 16 ล้านบาท ศาล ปค. ยุติความขัดแย้ง “พิศิษฐ์. – คุณหญิงจารุวรรณ” เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2553 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้พิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส รองผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน รักษาราชการแทนผู้ว่าการ สตง. ต่อไป และให้เพิกถอนคำสั่งของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่มีคำสั่งให้ยกเลิกการแต่งตั้งรักษาการผู้ว่าการ สตง. เนื่องจากเห็นว่าคุณหญิงจารุวรรณ ไม่มีอำนาจออกคำสั่ง เนื่องจากหมดวาระการดำรงตำแหน่งหลังจากอายุครบ 65 ปีแล้ว คดีนี้เป็นไปตามที่นายปราโมทย์ โชติมงคล ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ยื่นฟ้องคุณหญิงจารุวรรณ เพราะเห็นว่าการออกคำสั่งยกเลิกการแต่งตั้งนายพิศิษฐ์ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 34(2) ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2542 นายพิศิษฐ์ และคุณหญิงจารุวรรณ มีความขัดแย้งกันมานานหลายเดือนในเรื่องอำนาจหน้าที่ จนทำให้ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินได้ใช้อำนาจยื่นฟ้องเพื่อหาข้อยุติ คนสุราษฎร์ฯ เทคะแนนเลือก “สุเทพ” คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ประกาศผลว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้สมัครหมายเลข 2 จากพรรคประชาธิปัตย์ ชนะการเลือกตั้งซ่อมในเขต 1 ด้วยคะแนน 149,458 คะแนน เอาชนะนายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ์ ผู้สมัครหมายเลข 1 จากพรรคเพื่อไทย ที่ได้ 21,956 คะแนน การเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้ไปใช้สิทธิ 185,955 คน คิดเป็นร้อยละ 53 ของผู้มีสิทธิทั้งหมด ผลการนับคะแนนปรากฏว่ามีบัตรเสีย 2,481 ใบ และผู้ไม่ประสงค์ลงคะแนนหรือโนโหวตอีก 12,060 ใบ กต. ยกเลิกพาสปอร์ต 9 นปช. เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2553 กระทรวงการต่างประเทศ ได้ดำเนินการยกเลิกหนังสือเดินทาง ของแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ (นปช.) จำนวน 9 คน ได้แก่ 1. นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง 2. นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน 3. พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ 4. นายพายัพ ปั้นเกตุ 5. นายอดิศร เพียงเกษ 6. นายอารี ไกรนรา 7. นายชินวัฒน์ หาบุญพาด 8. นายสำเริง ประจำเรือ สมาชิกสภาจังหวัดจันทบุรี และ 9. นางกัญญภัค มณีจักร หรือดีเจอ้อม ทั้งนี้ ศาลอาญาได้ออกหมายจับแกนนำ นปช. ทั้ง 9 คน ตามข้อที่ถูกกล่าวหาในช่วงที่มีการชุมนุมประท้วงระหว่างเดือนมีนาคม - เมษายน 2553 และตามระเบียบของกระทรวงการต่างประเทศ ว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ. 2548 จะต้องยกเลิกหนังสือเดินทางของผู้ที่ถูกออกหมายจับ ศาล รธน. แจ้งความคดีคลิปฉาว ที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีมติมอบหมายให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่นำคลิปวีดีโอจำนวน 5 คลิป ที่เกี่ยวข้องกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ไปโพสต์ไว้บนเว็บไซต์ยูทูป และบุคคลอื่นๆ ที่นำไปเผยแพร่ต่อ รวมทั้งผู้ที่ให้ข่าวกับหนังสือพิมพ์ต่างๆ เพราะถือเป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท และดูหมิ่นศาล อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ก่อนหน้านี้ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม ได้มีผู้ใช้นามว่า “OHMYGOD 3009” แพร่ภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวซึ่งบางตอนมีเสียงด้วยลงในเว็บไซต์ยูทูป โดยหนึ่งในนั้นเป็นภาพ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นั่งอยู่ในแวดวงผู้ใหญ่หลายคน รวมทั้งนายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ อีกตอนเป็นคลิปภาพและเสียงที่ถ่ายในร้านอาหารมีนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เลขานุการของนายชัช นั่งคุยกับนายวิรัช ร่มเย็น ทีมกฎหมายคดียุบพรรคของพรรคประชาธิปัตย์ ที่เหลือเป็นคลิปภาพการประชุมคดีของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่เกี่ยวกับการจะเรียกนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งมาให้การ โดยที่คลิปเหล่านั้นก่อให้เกิดความสับสนและเคลือบแคลงทั้งต่อศาลรัฐธรรมนูญ พรรคประชาธิปัตย์ผู้ถูกกล่าวหาในคดียุบพรรค และพรรคฝ่ายค้านเพื่อไทย จนทำให้เกิดกระแสเรียกร้องให้นายชัช ลาออก รวมทั้งนายพสิษฐ์ เองก็ได้เดินทางออกนอกประเทศไปเพียง 2 วันก่อนหน้าที่จะมีการแพร่ภาพ จึงทำให้เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ นายเชาวนะ ไตรมาศ ตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อหาข้อเท็จจริง สำหรับภาพ พล.อ.เปรม นั้น สำนักงานเลขาธิการคณะองคมนตรีได้ชี้แจงว่าเป็นภาพในห้องรับรองเมื่อครั้ง พล.อ.เปรม ไปร่วมงาน วันสัญญา ธรรมศักดิ์ ประจำปี 2552 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน 2552 ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี โดย พล.อ.เปรม ไปในประธานในพิธีมอบรางวัลให้แก่นายชัช ชลวร นักกฎหมายดีเด่นประจำปีนั้น สภาเห็นชอบกรอบเจรจาพัฒนารถไฟไทย - จีน เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2553 ที่ประชุมร่วมรัฐสภามีมติ 295 ต่อ 10 เห็นชอบร่างกรอบเจรจาความร่วมมือด้านการพัฒนากิจการรถไฟระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามที่คณะรัฐมนตรีเสนอ ทั้งนี้ เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ที่กำหนดให้คณะรัฐมนตรีต้องเสนอกรอบการเจรจาเพื่อทำหนังสือสัญญาที่มีผลผูกพันทางการค้าหรือการลงทุนกับต่างประเทศให้รัฐสภาพิจารณาอนุมัติกรอบการเจรจาก่อน แล้วจึงนำเสนอรายละเอียดอีกครั้ง โครงการดังกล่าวจะเป็นการลงทุนแบบรัฐต่อรัฐ ไทยติดอันดับ 78 คอร์รัปชั่นโลก องค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย เปิดเผยผลการจัดอันดับดรรชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชั่นประจำปี พ.ศ. 2553 ขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ พบว่า ประเทศไทยได้ 3.5 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน อยู่อันดับที่ 78 จากการจัดอันดับทั้งหมด 178 ประเทศทั่วโลก โดยประเทศไทยได้คะแนนเท่ากับประเทศจีน โคลัมเบีย กรีซ เลโซโท เปรู เซอร์เบีย และอยู่อันดับที่ 9 จาก 23 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย 1 ซึ่งเป็นคะแนนและอันดับที่ดีขึ้นกว่าเมื่อปีที่แล้วที่ได้อันดับที่ 84 สำหรับประเทศที่ครองตำแหน่งที่หนึ่งซึ่งได้ 9.3 คะแนนเท่ากัน มีสามประเทศถือครองร่วมกันคือ เดนมาร์ก นิวซีแลนด์ และสิงคโปร์ ไทยชูแผนพัฒนาคน ในช่วงปี 2555-2559 เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2553 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความก้าวหน้าการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555 – 2559) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยทิศทางของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 11 จะมุ่งที่การพัฒนาภายใต้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยยึดคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา ให้ความสำคัญกับการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคม การพัฒนาประเทศสู่ความสมดุลในทุกมิติอย่างบูรณาการและเป็นองค์รวม โดยยึดวิสัยทัศน์ ปี พ.ศ. 2570 เป็นเป้าหมาย คือ “สังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขด้วยความเสมอภาค เป็นธรรม และมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลง”