มิถุนายน 2553 : พระบรมราโชวาทให้ ครม. ชุดใหม่ “ซื่อสัตย์ เสียสละ สามัคคี” ทรงแนะ ครม. ชุดใหม่ให้ ซื่อสัตย์-เสียสละ รัฐบาลสอบผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจ มาตรการภาษีช่วยผู้เดือดร้อนจากการชุมนุม ป.ป.ช. รับคำร้องสอบนายกฯ สลายชุมนุม ตั้งคณะ กก.ปรองดอง-ปฏิรูปประเทศ แก้หนี้นอกระบบเดินหน้า ต่ออายุมาตรการช่วยลดค่าครองชีพถึงสิ้นปี ศาลฎีการับฟ้องคดีทักษิณแจ้งทรัพย์สินเท็จ เลือกตั้งซ่อมเขต 6 กทม. จีดีพีไตรมาส 2 ดี -หนี้สาธารณะ ลด เตรียมใช้มาตรการภาษีกระตุ้นการอ่านหนังสือ ทรงแนะ ครม. ชุดใหม่ให้ ซื่อสัตย์-เสียสละ เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2553 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ ห้องประชุมชั้น 14 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นำรัฐมนตรีซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งใหม่ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ในโอกาสนี้ ทรงพระราชทานพระบรมราโชวาทเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่ว่า ขอให้ทำงานด้วยความตั้งใจ ซื่อสัตย์ สุจริตและเสียสละเพื่อส่วนรวม โดยไม่มีการแตกแยก แก่งแย่ง หากทำได้เช่นนี้ประชาชนก็จะมีความสุขอยู่ได้ ก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรีได้นำรายชื่อรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งและรัฐมนตรีที่แต่งตั้งใหม่ขึ้นทูลเกล้าฯ ดังนี้ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช พ้นจากตำแหน่ง รมว. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง พ้นจากตำแหน่ง รมว. อุตสาหกรรม นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ พ้นจากตำแหน่ง รมช.ศึกษาธิการ นายธีระ สลักเพชร พ้นจากตำแหน่ง รมว.วัฒนธรรม นพ.พฤติชัย ดำรงรัตน์ พ้นจากตำแหน่ง รมช. คลัง นายไพฑูรย์ แก้วทอง พ้นจากตำแหน่ง รมว.แรงงาน ร.ต.หญิง ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี พ้นจากตำแหน่ง รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร นายวีระชัย วีระเมธีกุล พ้นจากตำแหน่ง รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายจุติ ไกรฤกษ์ เป็น รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เป็น รมว.แรงงาน นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ เป็น รมว.อุตสาหกรรม นายไชยยศ จิรเมธากร เป็น รมช.ศึกษาธิการ นายนิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ เป็น รมว.วัฒนธรรม นายมั่น พัธโนทัย เป็น รมช.คลัง นายวีระชัย วีระเมธีกุล เป็น รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ เป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่พรรคฝ่ายค้านเพื่อไทยได้ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งปรากฏว่ามี ส.ส.บางคนในพรรคร่วมรัฐบาล คือ เพื่อแผ่นดิน ได้ “โหวตสวน” ไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทย คือ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย และนายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ทำให้มีการปรับรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อแผ่นดินซีกที่โหวตสวนออกไป และนายกรัฐมนตรีได้ถือโอกาสปรับคณะรัฐมนตรีในโอกาสนี้ด้วย รัฐบาลสอบผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในวันที่ 2 มิถุนายน 2553 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญ ได้ลงมติข้อพิจารณาญัตติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและคณะเป็นรายบุคคล ปรากฏผลดังต่อไปนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้รับคะแนนไว้วางใจ 246 ต่อไม่ไว้วางใจ 186 งดออกเสียง 11 ไม่ลงคะแนน 21 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ได้รับคะแนนไว้วางใจ 245 ต่อไม่ไว้วางใจ 187 งดออกเสียง 11 ไม่ลงคะแนน 21 นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้รับคะแนนไว้วางใจ 244 ต่อไม่ไว้วางใจ 187 งดออกเสียง 12ไม่ลงคะแนน 22 นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้รับคะแนนไว้วางใจ 239 ต่อไม่ไว้วางใจ 190 งดออกเสียง 15 ไม่ลงคะแนน 21 นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้รับคะแนนไว้วางใจ 236 ต่อไม่ไว้วางใจ 194 งดออกเสียง 14 ไม่ลงคะแนน 22 นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้รับคะแนนไว้วางใจ 234 ต่อไม่ไว้วางใจ 196 งดออกเสียง 13 ไม่ลงคะแนน 22 ผลการลงมติทำให้ผู้ที่ถูกยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจและถอดถอนทั้งหมดสามารถดำรงตำแหน่งต่อไปได้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญมาตรา 158 วรรคสาม ระบุว่า มติไม่ไว้วางใจจะส่งผลให้รัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งหากที่ประชุมมีมติไม่ไว้วางใจเกินกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกที่มีอยู่ ในวันนั้น มี ส.ส.เข้าประชุมทั้งสิ้น 475 คน แยกเป็นพรรคร่วมรัฐบาล 275 เสียง 6 พรรค ได้แก่ ประชาธิปัตย์ 172 ภูมิใจไทย 32 เพื่อแผ่นดิน 32 ชาติไทยพัฒนา 25 รวมชาติพัฒนา 9 และกิจสังคม 5 ส่วนฝ่ายค้านมี 200 เสียง 3 พรรค ได้แก่ เพื่อไทย 189 ประชาราช 8 และมาตุภูมิ 3 ดังนั้นหากเสียงที่ไม่ไว้วางใจจะต้องมากกว่า 238 จึงจะถอดถอนได้ แต่อย่างไรก็ตาม ส.ส. ที่เป็นคณะรัฐมนตรีไม่สามารถจะลงคะแนนได้ ดังเช่น 21 เสียงที่ไม่ลงคะแนนให้แก่นายกรัฐมนตรี เป็นต้น ก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยได้ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ต่อนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2553โดยตั้งข้อกล่าวหาว่า นายอภิสิทธิ์ ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล มีพฤติการณ์ไม่น่าไว้วางใจให้บริหารราชการแผ่นดิน ขณะที่ญัตติขอเปิดอภิปรายฯ รัฐมนตรี 5 ราย ต้องการชี้ประเด็นเรื่องการบริหารราชการแผ่นดินโดยไร้ประสิทธิภาพ โดยเหตุที่รัฐบาลได้ขอเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 ในวันที่ 24-26 พฤษภาคม 2553 ดังนั้น ประธานสภาฯ จึงได้ให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันที่ 31 พฤษภาคม ถึง 1 มิถุนายน 2553 และมีการลงคะแนนในวันที่ 2 มิถุนายน 2553 สำหรับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 ที่มีวงเงิน 2.07 ล้านล้านบาทนั้น ได้ผ่านการพิจารณาในวาระที่ 1 ด้วยคะแนน 250 ต่อ 172 งดออกเสียง 2 ไม่ลงคะแนน 21 จากนั้นได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ จำนวน 63 คน และแปรญัตติ 30 วัน มาตรการภาษีช่วยผู้เดือดร้อนจากการชุมนุม เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2553 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติความช่วยเหลือผู้ประกอบการและผู้เดือดร้อนจากการชุมนุมทางการเมืองเพิ่มอีก 4 เรื่อง คือ มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนธุรกิจท่องเที่ยว เบื้องต้นคาดว่ามีความเสียหายจากการสูญเสียรายได้ประมาณ 4,000 ล้านบาท จึงมีมาตรการช่วยเหลือดังนี้ ก. ให้บุคคลธรรมดาผู้เดินทางท่องเที่ยวในประเทศที่ซื้อแพคเกจท่องเที่ยวจากบริษัททัวร์ในประเทศที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ที่เดินทางระหว่างวันที่ 7 มิถุนายน 2553 จนถึงสิ้นปี สามารถนำหลักฐานมาหักลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินคนละ 15,000 บาท ข. ให้บริษัทท่องเที่ยวที่ไปออกร้านหรือเข้าร่วมนิทรรศการ แสดงสินค้า หรือออกบูธโชว์ โรดโชว์ ทั้งในและต่างประเทศ นำรายจ่ายมาหักค่าใช้จ่ายได้ 2 เท่า โดยมีผลบังคับไปจนถึงสิ้นปี 2554 ค. ให้ภาคเอกชนที่จัดฝึกอบรมสัมมนาภายในให้แก่ลูกจ้างสามารถนำค่าใช้จ่าย ค่าห้องสัมมนา ห้องพัก ค่าจัดการ ค่าขนส่ง ค่าอาหาร หรือรายจ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง มาหักค่าใช้จ่ายได้ 2 เท่า เป็นระยะเวลา 2 รอบบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2553 ง. ให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยว สามารถนำรายจ่ายจากการซื้อทรัพย์สิน ประเภทอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์ แต่ไม่รวมถึงยานพาหนะ มาหักค่าเสื่อมได้ 60% ในปีแรก มีผลจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2554 จ. เพิ่มสิทธิประโยชน์ในการหักค่าเสื่อมของรถยนต์นั่งหรือรถโดยสารไม่เกิน 10 ที่นั่ง ในธุรกิจท่องเที่ยวสามารถหักค่าเสื่อมได้เต็มราคา จากเดิมที่หักได้เพียง 1 ล้านบาท แต่หากเอกชนได้เช่ารถมาแล้วก็นำค่าเช่ารถยนต์มาหักได้เต็มจำนวน จากเดิมหักรายจ่ายได้ไม่เกินเดือนละ 36,000 บาท มาตรการภาษีเกี่ยวกับการประกันภัย กำหนดให้บริษัทประกันภัยสามารถนำค่าใช้จ่ายจากการจ่ายเงินทดแทนที่จ่ายให้กับผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุการณ์ชุมนุมมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิในการเสียภาษี รวมทั้งให้ยกเว้นภาษีจากค่าสินไหมหรือเงินที่ได้จากบริษัทประกันภัยในส่วนที่เกินจากมูลค่าทรัพย์สินที่เสียหายด้วย เพิ่มวงเงินสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการที่เดือดร้อนอีกรายละ 3 ล้านบาท จากเดิม 1 ล้านบาท โดยผ่านทางธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือเอสเอ็มอีแบงก์ โดยส่วนที่เพิ่ม กำหนดอัตราดอกเบี้ยที่เอ็มแอลอาร์ลบ 3% และต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน อนุมัติเงินช่วยเหลือให้แก่ผู้ประกอบการย่านสยามสแควร์โดยผ่านทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยผู้เป็นเจ้าของที่ดิน 88 ล้านบาท หากมีการช่วยเหลือมากกว่านี้ จุฬาฯ จะรับผิดชอบเอง ป.ป.ช. รับคำร้องสอบนายกฯ สลายชุมนุม เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2553 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีมติให้รับเรื่องไว้เพื่อตรวจสอบเบื้องต้น ตามที่พรรคเพื่อไทยได้ยื่นร้องขอให้ไต่สวนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ข้อหาปฏิบัติหน้าที่มิชอบ กรณีสั่งการสลายการชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง เมื่อวันที่ 10 เมษายน 28 เมษายน และ 19 พฤษภาคม 2553 จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก โดย ป.ป.ช. จะเข้าไปดูว่าเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจการตรวจสอบของ ป.ป.ช. หรือไม่ ตั้งคณะ กก.ปรองดอง-ปฏิรูปประเทศ ตามที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้ประกาศแผนปรองดอง หรือ โรดแมป 5 ประการ เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปประเทศนั้น เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2553 นายกรัฐมนตรีได้แถลงว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบเรื่องการปฏิรูปประเทศ โดยให้มีคณะกรรมการ 2 ชุด เป็นผู้รับผิดชอบ ได้แก่ คณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูป ที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน และคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป ที่มี นพ.ประเวศ วะสี เป็นประธาน โดยมีหน่วยงานหนึ่งในสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ทำหน้าที่ฝ่ายเลขา ฯ มีกรอบการทำงาน 3 ปี โดยประธานทั้งสองคนจะไปแต่งตั้งคณะกรรมการเอง ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2553 คณะรัฐมนตรีได้มีมติแต่งตั้งนายคณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด เป็นประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) โดยมอบให้นายคณิต มีอำนาจในการคัดเลือกคณะกรรมการได้เอง และต่อมาก็ได้แต่งตั้ง ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ เป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2553 ดร.สมบัติ ได้แถลงว่า จะนำข้อเสนอ 6 ประเด็นของคณะกรรมการสมานฉันท์ ที่มีนายดิเรก ถึงฝั่ง เป็นประธาน มาพิจารณาใหม่อีกครั้ง ในระหว่างนี้เปิดช่องให้ประชาชนร่วมแสดงความคิดเห็นได้ทางรายการโทรทัศน์ช่อง 11 และเว็บไซต์ http://www.thaiporeform.go.th มีกำหนดระยะเวลาการทำงานเอาไว้ภายใน 6 เดือน เมื่อถึงกำหนดแล้วจะส่งให้รัฐบาลพิจารณา โดย 6 ประเด็นดังกล่าว ได้แก่ การทำหนังสือสัญญากับต่างประเทศที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา (มาตรา 190) การห้ามมิให้ ส.ส. ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เช่น เป็นเลขาฯ หรือที่ปรึกษาของ รมต. (มาตรา 265) การห้าม ส.ส. และ ส.ว. เข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงการทำงานของข้าราชการประจำ ซึ่งทำให้ ส.ส. และ ส.ว. ไม่สามารถเข้าไปติดตามแก้ปัญหาของประชาชนได้ (มาตรา 266) ที่มาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือระบบเลือกตั้งแบบระบบใหญ่เรียงเบอร์ (มาตรา 93 ถึง 98) ที่มาของ ส.ว. ที่มีทั้งเลือกตั้งและแต่งตั้ง (มาตรา 111 ถึง 121) การยุบพรรคการเมือง และตัดสิทธิคณะกรรมการบริหารพรรคทุกคนเป็นเวลา 5 ปี นอกจากนี้ยังได้มีการตั้งคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ โดยมอบให้ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร เป็นประธาน โดยมีหลักว่าจะไม่ให้มีการกระทบกระเทือนตัวองค์กรมากนัก แต่จะติดตามและตรวจสอบการทำงานของข้าราชการตำรวจ เพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบการทำงานของข้าราชการตำรวจ แก้หนี้นอกระบบเดินหน้า ตามที่รัฐบาลได้ดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินนอกระบบให้แก่เกษตรกร โดยมอบให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) รับผิดชอบดูแลนั้น ธ.ก.ส. ได้เปิดเผยว่า มีผู้มาขึ้นทะเบียนทั้งหมด 608,468 ราย คิดเป็นมูลหนี้ 64,540 ล้านบาท ขณะนี้ธนาคารได้เจรจาประนอมหนี้ได้สำเร็จแล้ว 355,797 ราย คิดเป็น 58.47% เจรจาไม่สำเร็จ 33,448 ราย คิดเป็น 5.66% เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ผู้ขึ้นทะเบียนหรือเจ้าหนี้ไม่มาเจรจา เป็นต้น ขอยุติเรื่อง 116,030 ราย คิดเป็น 19.07% เนื่องจากความเข้าใจผิดคิดว่ารัฐบาลจะชำระหนี้แทน เป็นต้น อีก 102,193 ราย คิดเป็น 16.80% อยู่ระหว่างขอรับผลการเจรจาจากคณะกรรมการระดับอำเภอ สำหรับผู้ที่เจรจาประนอมหนี้สำเร็จและประสงค์จะกู้เงินกับ ธ.ก.ส. มีจำนวน 350,704 ราย มูลหนี้ 42,266 ล้านบาท ในจำนวนนี้ ธ.ก.ส. ได้อนุมัติเงินกู้ไปแล้ว 120,581 ราย จำนวนเงินกู้ 8,427 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้ เช่น ที่มาของรายได้ ผู้ค้ำประกัน และรายละเอียดด้านสัญญา เป็นต้น ต่ออายุมาตรการช่วยลดค่าครองชีพถึงสิ้นปี เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2553 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบขยายเวลามาตรการลดค่าครองชีพของประชาชนออกไปอีก 6 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 31 ธันวาคม 2553 ได้แก่ รัฐบาลจ่ายค่าไฟฟ้าให้แก่ครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน รัฐบาลจ่ายค่าบริการรถโดยสารประจำทางไม่ปรับอากาศของ ขสมก. รัฐบาลจ่ายค่าโดยสารรถไฟชั้นสาม หลังจากต่ออายุครบ 6 เดือนแล้ว จะมีการพิจารณาว่าบริการใดเป็นข่ายบริการสังคมบ้าง ซึ่งอาจจะกำหนดให้เป็นมาตรการถาวร โดยปรับเข้าสู่ระบบของรัฐวิสาหกิจที่มีบริการทางสังคมอยู่แล้ว นอกจากนี้ ครม. ยังเห็นชอบให้ตรึงราคาแก๊สหุงต้ม (แอลพีจี) และเอ็นจีวี ต่อไปจนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2554 ทั้งนี้ การใช้มาตรการช่วยลดค่าครองชีพทั้งหมดดังกล่าวข้างต้น รัฐบาลจะต้องใช้เม็ดเงินอุดหนุนรวมมากกว่า 30,874 ล้านบาท ศาลฎีการับฟ้องคดีทักษิณแจ้งทรัพย์สินเท็จ เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2553 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งประทับรับฟ้องคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นผู้ร้อง กล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ คดีนี้สืบเนื่องมาจากการพิจารณาคดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งไม่ได้แสดงไว้ในบัญชีทรัพย์สิน ดังนั้น ป.ป.ช. จึงถือว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีความผิด เลือกตั้งซ่อมเขต 6 กทม. ตามที่นายทิวา เงินยวง ส.ส. กทม.เขต 6 พรรคประชาธิปัตย์ได้ถึงแก่กรรม และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้กำหนดให้มีการเลือกตั้งซ่อมในวันที่ 25 กรกฎาคม 2553 นั้น พรรคการเมืองใหญ่สองพรรค คือ ประชาธิปัตย์และเพื่อไทย ได้ส่งผู้สมัครลงแข่งขัน คือ นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พรรคประชาธิปัตย์ และนายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ซึ่งขณะนี้ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ หลังจากที่ได้เข้ามอบตัวกับทางการหลังจากที่ นปช. สลายการชุมนุมในวันที่ 19 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ ศาลได้อนุญาตให้นายก่อแก้ว เดินทางออกจากเรือนจำไปยื่นใบสมัคร เนื่องจากเห็นว่านายก่อแก้ว ยังอยู่ระหว่างการถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด คดียังอยู่ในชั้นสอบสวน ยังไม่ได้มีการยื่นฟ้อง ทำให้นายก่อแก้ว ยังไม่ได้ตกเป็นจำเลย จึงมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่จะลงรับสมัคร ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญ มาตรา 102(4) ห้ามมิให้ผู้ถูกพิพากษาให้จำคุกหรือถูกคุมขังโดยหมายของศาลลงสมัครรับเลือกตั้ง และมาตรา 100(3) ห้ามมิให้ผู้ถูกคุมขังไปใช้สิทธิเลือกตั้ง จีดีพีไตรมาส 2 ดี-หนี้สาธารณะ ลด ธนาคารแห่งประเทศไทยเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือจีดีพีในไตรมาส 2 ว่า โตไม่น้อยกว่า 4% ถือว่ายังอยู่ในตัวเลขที่ใช้ได้ เพราะมีแรงส่งทางเศรษฐกิจในสองไตรมาสที่ผ่านมาดี สภาพคล่องในประเทศมีสูง การส่งออกมีอย่างต่อเนื่อง แต่หลังจากนี้จะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับตัวเลขเศรษฐกิจในเดือนมีนาคมและเมษายน สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 30 เมษายน 2553 ว่ามีจำนวน 4,108,982 ล้านบาท หรือ 42.23% ของจีดีพี แบ่งเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 2,773,936 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน 1,083,725 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกัน 189,159 ล้านบาท และหนี้กองทุนเพื่อฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 62,112 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อน หนี้สาธารณะลดลงสุทธิ 15,730 ล้านบาท เตรียมใช้มาตรการภาษีกระตุ้นการอ่านหนังสือ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2553 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้กระทรวงการคลังนำมาตรการทางภาษีเชิงรุกมาสนับสนุนการอ่าน โดยมีแนวทาง 3 ประเด็น คือ ให้ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับค่าใช้จ่ายในการบริจาคหนังสือและสื่อเพื่อการศึกษาให้แก่หน่วยราชการ สถานศึกษา หรือองค์กรการกุศล ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล โดยกรณีบุคคลธรรมดาให้ยกเว้นเป็นจำนวน 2 เท่าของรายจ่าย แต่ต้องไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมินหลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนแล้ว ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับค่าใช้จ่ายในการซื้อหนังสืออ่านเพื่อพัฒนาตนเอง ครอบครัว องค์กร โดยบุคคลธรรมดาให้ยกเว้นตามจำนวนจ่ายจริง ไม่เกินปีละ 10,000 บาท นิติบุคคลให้หักเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ 2 เท่า ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีให้แก่ธุรกิจหนังสือ รวมนิตยสารและหนังสือพิมพ์ เข้าอยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 0 % ทำให้ต้นทุนและราคาหนังสือต่ำลง กระตุ้นการอ่านมากขึ้น ธุรกิจหนังสือขยายตัวได้ง่าย ก่อนหน้านี้ สำนักทดสอบทางการศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้รายงานผลการประเมินเรื่อง “การอ่านออก เขียนได้ คิดคำนวณได้” ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ในโรงเรียนสังกัด สพฐ. ทั่วประเทศประจำปีการศึกษา 2552 จำนวน 502,469 คน ที่จัดทำเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ว่า นักเรียน 37,813 คน หรือ ร้อยละ 7.22 ไม่ผ่านเกณฑ์การอ่านออกเสียง นักเรียน 93,880 คน หรือร้อยละ 17.74 ไม่ผ่านเกณฑ์ทางการเขียน นักเรียน 119,374 คน หรือร้อยละ 22.29 ไม่ผ่านเกณฑ์ทางการคิดคำนวณ