พฤษภาคม 2553 : นปช. สลาย-จุดไฟเผาบ้าน เผาเมือง แกนนำ นปช. เข้ามอบตัว ก่อนเกิดจลาจลเผาบ้านเผาเมือง ความเสียหายทางเศรษฐกิจจากการชุมนุม กฎหมายอุ้มบุญ ศาล รธน. วินิจฉัย “กษิต” ไม่ผิด ป.ป.ช. ชี้ “ทักษิณ” แจ้งบัญชีทรัพย์สินเท็จ ทนายยื่นอุทธรณ์คดียึดทรัพย์ ห้ามรถตู้เกิน 10 ปีวิ่ง 400 ล้านเพื่อกิจการโรงจำนำรัฐ ต่ออายุกระตุ้นอสังหาฯ เว้นภาษีนิติบุคคลต่างชาติ เผาบ้านเผาเมือง การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2553 ยังคงต่อเนื่องยาวนานเกินสองเดือนเต็มจนถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 สร้างความเสียหายแก่ภาคธุรกิจต่างๆ ในบริเวณสี่แยกราชประสงค์เนื่องจากต้องปิดทำการ นอกจากนั้นได้ลามขยายไปถึงถนนสีลมและสาทรบางส่วนด้วย แม้ว่านายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะเสนอมาตรการปรองดอง 5 แนวทาง และสัญญาว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2553 แต่แกนนำ นปช. ก็มีเงื่อนไขต่างๆ จนไม่สามารถจะตกลงกันได้ ในที่สุดรัฐบาลได้ใช้มาตรการปิดล้อมพื้นที่เพื่อตัดการส่งเสบียงอาหารและการนำคนเข้ามาเพิ่ม ทำให้เกิดการปั่นป่วน มีการยิงระเบิดเอ็ม 79 จากจุดต่างๆ ในบริเวณรอบนอก ติดตามด้วยแนวร่วม นปช. นำยางรถยนต์มาปิดกั้นถนนล้อมเจ้าหน้าที่ไว้อีกชั้นจนถึงขั้นจุดไฟเผา รัฐบาลประกาศวันหยุดยาวตั้งแต่ 17 ถึง 21 พฤษภาคม และปฏิบัติการปิดล้อมบริเวณราชประสงค์ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม เป็นต้นไป ตัวแทนกลุ่ม ส.ว. เสนอตัวเป็นคนกลางการเจรจาและเข้าไปพบแกนนำ นปช. ในคืนวันที่ 18 พฤษภาคม แต่ไม่ได้ข้อตกลงจากทั้งสองฝ่าย การปฏิบัติการกระชับพื้นที่ราชประสงค์ก็เริ่มตั้งแต่เช้าตรู่วันที่ 19 พฤษภาคม และดำเนินการต่อเนื่องจนถึงเวลาเที่ยงวัน แกนนำ นปช. ที่เวทีราชประสงค์ประกาศยุติการชุมนุมและเข้ามอบตัว หลังจากนั้นเกิดความรุนแรงอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งคืน มีผู้นำถังแก๊สและน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปจุดไฟเผาอาคารต่าง ๆ ทั้งในบริเวณราชประสงค์ สยามสแควร์ และพื้นที่อื่นๆ รวมทั้งสิ้น 39 แห่ง ส่วนในต่างจังหวัดมีคนเสื้อแดงที่โกรธแค้นไปชุมนุมตามที่ต่างๆ เผาศาลากลางจังหวัดถึง 4 แห่ง และโรงเรียน ตรงตามที่แกนนำบางคนได้กล่าวไว้ก่อนหน้าว่าจะมีเหตุการณ์ดังกล่าว 1 พฤษภาคม คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเรียกร้องให้ทั้งรัฐบาลและผู้ชุมนุมยุติการใช้ความรุนแรงละเมิดสิทธิมนุษยชนและการเผชิญหน้า พร้อมเปิดการเจรจาอีกครั้งอย่างจริงใจ พร้อมเสนอว่ารัฐต้องเร่งแก้ไขความเหลื่อมล้ำของชนชั้น ความไม่เป็นธรรมในสังคม และความเดือดร้อนของผู้มาชุมนุม 3 พฤษภาคม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตอบรับโดยประกาศโรดแม็ป 5 ข้อสร้างความปรองดองแห่งชาติมีประเด็นสำคัญ พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรียังได้ประกาศว่าจะให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2553 มาตรการทั้ง 5 ได้แก่ ให้ทุกฝ่ายไม่ดึงสถาบันสูงสุดมาสู่ความขัดแย้งทางการเมือง ปฏิรูปประเทศ แก้ปัญหาความไม่เป็นธรรม ความยากจน ปฏิรูปสื่อทั้งของรัฐและไม่ใช่รัฐ สร้างกลไกกำกับดูแลสื่อ ไม่ให้เสนอข้อมูลข่าวสารสร้างความเกลียดชัง ตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุรุนแรงที่สี่แยกคอกวัว (10 เมษายน) ที่ดอนเมือง (28 เมษายน) และที่โรงพยาบาลจุฬาฯ (29 เมษายน) แก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายบางฉบับเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทางการเมือง 6 พฤษภาคม แกนนำ นปช. ได้ประกาศเห็นด้วย แต่ตั้งเงื่อนไขให้นายกฯ ประกาศวันยุบสภาที่ชัดเจน ต่อมาเมื่อ 7 พฤษภาคม แกนนำ นปช. จึงเพิ่มข้อเรียกร้องให้ยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและให้ทหารกลับเข้ากรมกองก่อน นปช. จึงจะกลับบ้าน ในคืนวันนั้นเองเกิดเหตุคนร้ายยิงใส่ตำรวจที่มารักษาความปลอดภัยบริเวณศาลาแดง ทำให้ตำรวจเสียชีวิต 1 นาย ตำรวจและประชาชนบาดเจ็บอีก 4 คน ต่อมาอีกครึ่งชั่วโมงก็มีระเบิดเอ็ม 79 จำนวน 3 ลูก ยิงลงไปยังด่านตรวจบนถนนพระรามที่ 4 ทำให้ตำรวจบาดเจ็บอีก 5 นาย 9 พฤษภาคม พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ประกาศไม่เห็นด้วยกับการปรองดอง อ้างว่าตนรับคำสั่งโดยตรงจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศว่าผู้ชุมนุมจะกลับบ้านเมื่อ 1. มีการยุบสภา 2. มีการออกหมายจับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา 3. เปิดพีเพิลชาแนล และ 4. นำทหารออกไปจากพื้นที่ และประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หากแกนนำ นปช. คนใดไม่เห็นด้วยตนพร้อมจะตั้งแกนนำรุ่นใหม่ ระหว่างนี้ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ได้นำญาติผู้เสียชีวิตในวันที่ 10 เมษายน ไปยื่นหนังสือต่อกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และต่อมาได้ยื่นร้องต่อกรมบังคับคดีพิเศษ ในวันที่ 11 พฤษภาคม แกนนำ นปช. จึงมีมติว่าจะยุติการชุมนุมและเข้ามอบตัวหากนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เข้ามอบตัวก่อน ในวันที่ 12 พฤษภาคม นายสุเทพ จึงเดินทางไปที่กองบังคับคดีพิเศษเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา แต่ในวันที่ 13 พฤษภาคม แกนนำ นปช. มีมติใหม่ว่าจะต้องให้ไปมอบตัวกับกองปราบฯ เท่านั้น นายกรัฐมนตรีจึงกล่าวว่า เมื่อไม่ยุติการชุมนุมก็เท่ากับการปฏิเสธข้อเสนอของรัฐบาล ดังนั้นข้อเสนอการยุบสภาและเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2553 จึงยกเลิกไป แต่รัฐบาลจะเดินหน้าการปฏิรูปด้านต่าง ๆ ตามแผนปรองดองต่อไป 13 พฤษภาคม ศอฉ. ประกาศจะกดดันการชุมนุมโดยการตัดบริการสาธารณูปโภค น้ำ กระแสไฟฟ้า สัญญาณโทรศัพท์มือถือ และปิดการจราจรโดยรอบเพื่อกระชับวงล้อมการชุมนุม ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป ส่วนการปฏิบัติการต่อผู้ชุมนุมนั้น จะยังคงใช้ 7 มาตรการจากเบาไปหนักเช่นเคย แต่จะมีการใช้กระสุนจริงในกรณีผู้ชุมนุมบุกยึดอาวุธหรือพยายามเข้าถึงตัวเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้รัฐบาลยังประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพิ่มในอีก 15 จังหวัดที่มีแนวโน้มว่าจะเกิดความรุนแรง 19.02 น. พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ถูกยิงที่ศีรษะขณะกำลังยืนให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวต่างประเทศในพื้นที่ด่าน นปช. (เสียชีวิตในเวลาต่อมาที่โรงพยาบาลในวันที่ 17 พฤษภาคม) ชั่วขณะนั้นมีระเบิดเอ็ม 79 ยิงมาตกทำให้มีผู้บาดเจ็บอีก 2-3 คน คืนนั้นผู้ชุมนุมเริ่มปะทะกับทหารมีผู้บาดเจ็บอีกและเสียชีวิตหนึ่งราย สถานการณ์รุนแรงขึ้นเป็นลำดับทำให้โรงเรียนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบตัดสินใจเลื่อนวันเปิดภาคเรียนออกไป หรือบางโรงเรียนก็หาสถานที่เรียนใหม่ทดแทน 14 พฤษภาคม ทหารปิดถนนทางเข้าสู่ราชประสงค์ ตัดเส้นทางที่จะนำคนจากนอกพื้นที่เข้ามาเพิ่ม การ์ด นปช. เริ่มตั้งด่านสกัดทหาร เผายาง รถบัสทหาร มีการปะทะตั้งแต่เช้า ลุกลามไปทั่วทั้งสวนลุมพินี ศาลาแดง บ่อนไก่ ประตูน้ำ กองกำลังชุดดำพร้อมอาวุธครบออกปฏิบัติการ ยิงกันสนั่นในสวนลุมพินีจนมีคนตายอีกหนึ่ง 16 พฤษภาคม การปิดกั้นการส่งเสบียงอาหารเข้าไปที่ราชประสงค์เริ่มส่งผล เกิดการจลาจลในบริเวณรอบนอกโดยเฉพาะที่บ่อนไก่และราชปรารภ ผู้ชุมนุมจุดไฟเผายางรถยนต์ พาหนะและทรัพย์สินของราชการในหลาย ๆ จุด จนหมอกควันกระจายฟุ้งมืดมิด บางจุดไฟลุกลามเผาไหม้อาคารใกล้เคียงแต่รถดับเพลิงเข้าไปดับไม่ได้ นายกรัฐมนตรีย้ำมีกองกำลังติดอาวุธยิงระเบิดเอ็ม 79 และใช้อาวุธปืนแทรกอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมใน 2-3 วันที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดการยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ทหารเป็นระยะ ๆ ตลอดทั้งวัน ผู้ชุมชุมปาระเบิดเพลิงใส่ทหาร ชาวบ้านในพื้นที่ปะทะเริ่มอพยพออก แกนนำที่ราชประสงค์ประกาศให้เด็ก คนชราและสตรีไปพักชั่วคราวที่วัดปทุมวนาราม และประกาศยินดีเจรจาหากยูเอ็นเป็นคนกลาง ในหลายจังหวัดเริ่มมีการจลาจลและจุดไฟเผา จนต้องประกาศใช้ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินเพิ่มอีกใน 5 จังหวัดอีสาน รัฐบาลประกาศให้วันจันทร์ 17 และอังคาร 18 พฤษภาคม เป็นวันหยุดราชการ และต่อมาได้ประกาศให้หยุดยาวไปจนถึงวันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม ศอฉ. อายัด 106 บัญชีทรัพย์สินบุคคลและนิติบุคคล (ต่อมาเพิ่มเป็นทั้งหมด 146 บัญชี) หากจะทำธุรกรรมเบิกถอนต้องรายงานก่อน กระทรวงศึกษาธิการประกาศเลื่อนวันเปิดเทอมออกไป 19 พฤษภาคม ทหารเริ่มปฏิบัติการกระชับพื้นที่จากบริเวณแยกศาลาแดงจนถึงสารสิน แนวร่วม นปช. นอกพื้นที่ราชประสงค์ปฏิบัติการเผายางสร้างกลุ่มควันบดบังทัศนวิสัยของเจ้าหน้าที่ทหารในหลายพื้นที่รอบนอกราชประสงค์ 06.30 น. วัยรุ่นจุดไฟเผาสำนักงาน ปปส. ที่สามเหลี่ยมดินแดง 07.10 น. ควันดำจากการเผายางที่ศาลาแดงและสารสินพัดเข้า โรงพยาบาลจุฬาฯ 08.10 น. รถหุ้มเกราะเริ่มทะลายแนวรั้วยางที่ศาลาแดง มีการขัดขวางด้วยระเบิด เอ็ม 79 สองลูก 08.30 น. เจ้าหน้าที่ฉีดน้ำสกัดไฟไม่ให้ลามเข้าโรงพยาบาลจุฬาฯ และย้ายผู้ป่วยจากตึก สก. และ ภปร. ไปยังตึกอื่นๆ (หลังย้ายผู้ป่วยออกทั้งหมดในวันที่ 30 เมษายน โรงพยาบาลจุฬาฯ เปิดให้บริการบางส่วนอีกครั้งในวันที่ 5 พฤษภาคม) แนวร่วม นปช. ยังจุดไฟเผาอีกหลายจุดบนถนนพระรามที่ 4 เช่น หน้าสถานีรถไฟใต้ดิน ธนาคารกสิกรไทยสาขาสวนลุมฯ รถดับเพลิงถูกต่อต้านไม่ให้เข้าไปดับไฟ ตอนสาย เจ้าหน้าที่ทหารผ่านด่านกีดขวางศาลาแดงได้ พบกระสุนเอ็ม 16 จำนวนมากถูกทิ้งไว้ที่ด่าน 11.06 น. เวทีราชประสงค์ปั่นป่วน แกนนำกลัวถูกลอบยิงจากทางรถไฟฟ้า เมื่อตรวจสอบกลายเป็นการ์ดแดงเอง 12.00 น. ทหารผ่านด่านสารสินได้อีกและพบอาวุธอีกจำนวนมาก 12.30 น. สไนเปอร์ทหารถูกสไนเปอร์ลึกลับยิงเจ็บ ต้องคุ้มกันนำส่งโรงพยาบาล 13.00 น. เอ็ม 79 มาอีก 6 ลูกซ้อน ทหารเจ็บอีก 6 นาย 13.23 น. แกนนำ นปช. ประกาศยุติการชุมนุม ขาดคำระเบิดลงทันทีที่ลานเซ็นทรัลเวิร์ด แกนนำบางคนรีบเดินไปมอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต่อมาถูกนำตัวไปควบคุมไว้ ยกเว้นจตุพร พรหมพันธุ์ ที่มีเอกสิทธิ์ ส.ส. คุ้มครอง เมื่อไร้แกนนำเกิดการจลาจล มีคนบุกเข้าไปจุดไฟเผาเซ็นทรัลเวิร์ด สยามพารากอน โรงหนังสยาม โจรกรรมทรัพย์สินในอาคารที่ถูกเผา ยังมีระเบิดและการยิงปะทะจนเจ้าหน้าที่ดับเพลิงก็ไม่สามารถเข้าไปได้ 14.00 น. แนวร่วม นปช. ในพื้นที่รอบนอกหลายๆ แห่ง จุดไฟเผายางรถยนต์และอาคารอีกหลายหลัง รวมทั้งอาคารมาลีนนท์ ที่ตั้งทีวีช่อง 3 สำนักงานการไฟฟ้า และตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น การต่อต้านของผู้ชุมนุมทำให้เจ้าหน้าที่เข้าดับเพลิงยาก 16.00 น. ประกาศเคอร์ฟิวใน กทม. และต่อมาประกาศเพิ่มอีก 22 จังหวัด หลังสลายเวที ผู้ชุมนุมส่วนน้อยเดินไปที่สนามศุภชลาศัยเพื่อเดินทางกลับบ้านตามที่รัฐบาลได้ประกาศไว้ ที่เหลืออีกหลายพันแยกย้ายไปรวมกันที่วัดปทุมวนาราม อาคารอมรินทร์พลาซ่า และโรงพยาบาลตำรวจเพื่อความปลอดภัย ศอฉ. แถลงในวันต่อมาว่า ในวันที่ 19 พฤษภาคม เจ้าหน้าที่หยุดปฏิบัติการเพียงที่สารสิน ไม่ได้เข้าไปในบริเวณราชประสงค์จนกระทั่งวันรุ่งขึ้น 18.00 น. ที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ราชประสงค์ ยังมีการยิงเป็นระยะต่อเนื่องตลอดทั้งคืนจนผู้ชุมนุมที่เข้าไปอยู่ในวัดปทุมวนารามไม่สามารถจะออกมาได้ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ดับเพลิงก็ไม่สามารถจะเข้าไปดับไฟที่เซ็นทรัลเวิร์ดและโรงหนังสยามได้เช่นกัน ส่วนที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภุมิ หลังจากที่ผู้ชุมนุมมีปากเสียงกับผู้ค้าในบริเวณนั้น ก็เริ่มจุดไฟเผาอาคารเซ็นเตอร์วันในตอนเย็น มีการขัดขวางไม่ให้รถดับเพลิงเข้าไปดับไฟ ตลอดทั้งคืนจนถึงวันที่ 20 พฤษภาคม มีอาคารที่ถูกเผาทั้งสิ้น 39 แห่งทั่วกรุงเทพฯ โดยอาคารหลายหลังถูกจุดไฟเผาหลังจากที่มีการประกาศเคอร์ฟิวแล้ว ในต่างจังหวัด นปช. จุดไฟเผาศาลากลางที่จังหวัดขอนแก่น อุดรธานี อุบลราชธานี และมุกดาหาร จนมอดทั้งหลัง โดยที่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถจะห้ามปรามหรือนำรถดับเพลิงมาดับไฟได้ ส่วนในจังหวัดอื่น ๆ มีการจุดไฟเผายางรถยนต์และสถานที่ราชการ เช่น โรงเรียน 20 พฤษภาคม 06.30 น. ผู้สื่อข่าวจำนวนหนึ่งเข้าไปที่วัดปทุมวนาราม พบว่ามีผู้ถูกยิงเสียชีวิต 6 ราย 08.30 น.เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปในวัดปทุมวนารามและพาผู้ชุมนุมทั้งหมดไปที่สนามศุภชลาศัยเพื่อขึ้นรถกลับบ้าน กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ได้จัดรถส่งกลับภูมิลำเนาพร้อมให้เงินค่าอาหารอีกรายละ 200 บาท 09.30 น. เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตรวจในวัดปทุมวนาราม พบอาวุธ ระเบิด และกระสุนทิ้งไว้เป็นจำนวนมาก และจากการที่เจ้าหน้าที่ กทม. เข้าเก็บกวาดตามจุดต่างๆ ในพื้นที่ที่มีการชุมนุมและก่อเหตุ ก็พบวัตถุระเบิด สารประกอบวัตถุระเบิด กระสุนและอาวุธอีกเช่นกัน เจ้าหน้าที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์พบว่าตามเต้นท์ต่างๆ มีระเบิดอีกเช่นกัน 21 พฤษภาคม เจ้าหน้าที่ทหารเข้าเคลียร์พื้นที่ทั้งหมดเพื่อส่งมอบให้เจ้าหน้าที่เทศกิจทำความสะอาดก่อนเปิดให้ประชาชนเข้าใช้ตามปกติ เจ้าหน้าที่พบอาวุธร้ายแรงจำนวนมากในพื้นที่ราชประสงค์และใกล้เคียง เช่น ในที่จอดรถอาคารเวิล์ดเทรด วัดปทุมวนาราม เต้นท์ของผู้ชุมนุม ในคลองแสนแสบ ตามกองขยะในพื้นที่ โดยนำวัตถุพยานมาแสดง เช่น เครื่องยิงและระเบิดเอ็ม 79 ปืนทราโว (ยึดจากทหารเมื่อ 10 เมษายน) ปืนอาร์การ์ ระเบิดมือ ระเบิดขว้าง ระเบิดเพลิง (ปืนอาร์การ์ไม่ใช่อาวุธที่กองทัพใช้) พบรถที่ติดระเบิด (คาร์บอมบ์) จอดอยู่ 4 จุด คือ ที่เพลินจิต ใกล้โรงเรียนมาร์แตร์ฯ สะพานชิดลม และเชิงสะพานเฉลิมลาภ แต่ยังมีอาวุธอีกมากที่ยังคงอยู่กับกองกำลังติดอาวุธ เช่น อาวุธ 68 รายการที่ยึดไปจากทหาร 22 พฤษภาคม ศอฉ. แถลงต่อตัวแทนทูตและสื่อมวลชนว่า การปฏิบัติการในวันที่ 19พฤษภาคม เป็นการกระชับวงล้อมแนวถนนสารสินเพื่อเข้าควบคุมสวนลุมพินี เนื่องจาก 1. มีการสะสมอาวุธในบริเวณนั้น 2. ใช้เป็นที่ยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่เจ้าหน้าที่ 3. มีสถานทูตจำนวนมากตั้งอยู่ใกล้เคียง 4. จะทำให้การปิดล้อมง่ายขึ้น จากนั้น ศอฉ. นำวิดีโอคลิป 7 ชิ้นแสดงว่าแกนนำบางคนได้ปลุกระดมบนเวทีให้มวลชนเผาบ้านเมืองหากมีการสลาย และยังแสดงภาพนิ่งกองกำลังติดอาวุธที่แต่งกายคล้ายทหาร ตำรวจ เช่น ใส่เสื้อกั๊กกันกระสุนที่เขียนว่า อาร์มี [ARMY] หรือชุดพราง หลังเหตุการณ์สงบ นางรัชฎาภรณ์ แก้วสนิท ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การชุมนุมครั้งนี้คนเสื้อแดงแพ้ตั้งแต่วันแรก เพราะต่อสู้ผิดหลักทฤษฎีแก้ว 3 ประการ คือ 1. ไม่มีการต่อสู้เพื่อมวลชนส่วนรวม 2. พรรคการเมืองที่มีส่วนร่วมไม่ได้มีความคิดชี้นำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนส่วนรวม และ 3. กองกำลังปลดแอกประชาชนไม่มีวินัย หากกลายเป็นผู้ก่อการร้าย อย่างไรก็ตาม แม้การชุมนุมที่แยกราชประสงค์จะยุติ แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่กลุ่มคนเสื้อแดงบางส่วนจะเล่นเกมใต้ดิน หากยังมีปัจจัยสำคัญ คือ ท่อน้ำเลี้ยง ซึ่งตรงกับที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวในต่างประเทศเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมว่า ต่อไปคงจะเกิดการต่อต้านรัฐในลักษณะของสงครามกองโจรย่อยๆ ในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศไทย พร้อมปฏิเสธว่าเรื่องทั้งหมดตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง 22 พฤษภาคม สื่อต่างประเทศรายงานโดยอ้างสมาชิกพรรคฝ่ายค้านว่า ก่อนหน้านี้ไม่กี่สัปดาห์ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ติดต่อกับกลุ่มนายทหารนอกรีต ที่มีการฝึกกองกำลังประชาชนติดอาวุธในลักษณะจรยุทธ์ โดยใช้ชื่อ “กองทัพประชาชน” เพื่อให้มีการโจมตีกำลังทหารและทำให้กรุงเทพฯ เป็นเขตสงครามกลางเมือง แต่นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนไม่สนับสนุนการเคลื่อนไหวของขบวนการใต้ดินตามที่แกนนำ นปช. บางคนกล่าว และเห็นว่า หาก ส.ส.เพื่อไทยทำผิดก็ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม นายจาตุรนต์ ยังเสนอแนะให้พรรคเพื่อไทยยึดการต่อสู้ตามกระบวนการรัฐสภา ไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรง หากจะชุมนุมต้องอยู่ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ และยอมรับว่าการชุมนุมครั้งนี้คนเสื้อแดงพลาดโอกาสที่ประสบความสำเร็จเพราะไม่ยอมยุติการชุมนุม โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า จะมีการเดินหน้าฟื้นฟูเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบควบคู่ไปกับการเดินหน้ากระบวนการปรองดอง เพื่อนำชาติไปสู่ความสมานฉันท์และการอยู่ร่วมกันบนความคิดเห็นที่แตกต่าง คนไทยจะต้องยุติวงจรความขัดแย้งและการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาทางการเมือง จึงจะนำไปสู่สังคมเสรีภาพและประชาธิปไตยที่แท้จริง 23 พฤษภาคม ผู้ว่าฯ กทม. นำเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครหลายพันคนช่วยกันเก็บกวาดขยะ ล้างทำความสะอาดถนนและสาธารณสมบัติที่ถูกวางเพลิงเผาเสียหาย ตั้งแต่เริ่มการชุมนุมทางการเมืองที่ปราศจากอาวุธ สันติ และอหิงสา ในวันที่ 12 มีนาคม 2553 ที่ยกระดับสู่ความวุ่นวายและรุนแรงจนถึงขั้นเผาบ้านเผาเมือง ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เป็นเวลา 68 วันเต็ม มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 88 และบาดเจ็บ 1,895 ราย ในจำนวนผู้เสียชีวิต 88 ราย เป็นทหาร 9 ตำรวจ 2 สื่อ 2 และเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ชีพ 2 บุคคลเหล่านี้คือผู้เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ 24 พฤษภาคม คณะรัฐมนตรีอนุมัติความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้ค้าที่ประสบปัญหาไฟไหม้และไม่มีสถานที่ค้าขายรายละ 50,000 บาท และการช่วยเหลือเรื่องพื้นที่ค้าขาย ให้ธนาคารเอสเอ็มอี ปล่อยเงินกู้เสริมสภาพคล่องอีกรายละ 1 ล้านบาท 3 แสนบาทแรก ปลอดดอกเบี้ยและไม่ต้องชำระเงินต้น 1 ปี อีก 7 แสนบาท ปลอดเงินต้น 2 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ส่วนลูกจ้างตกงานในระบบประกันสังคมได้เงินชดเชยเดือนละ 7,500 บาท รัฐบาลจ่ายสมทบให้อีกเดือนละ 7,500 บาท จนกว่าจะได้งานใหม่ แต่ไม่เกิน 6 เดือน ลูกจ้างนอกระบบประกันสังคมรัฐบาลจ่ายชดเชยเดือนละ 7,500 บาท เป็นเวลา 3-6 เดือน 24 พฤษภาคม พรรคเพื่อไทยยื่นญัตติขออภิปรายไม่ไว้วางใจและถอดถอนนายกรัฐมนตรีและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ โดยกล่าวหาว่า นายกรัฐมนตรีบริหารงานผิดพลาดในการจัดการกับผู้ชุมนุม นปช. ส่วนรัฐมนตรีอีก 4 รายนั้น บางรายก็จะอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างเดียว โดยการยื่นญัตติครั้งนี้จะเป็นการอภิปรายในสมัยประชุมวิสามัญหลังจากที่อภิปรายงบประมาณปี 2554 เสร็จสิ้นแล้ว 25 พฤษภาคม ศาลอาญามีคำสั่งอนุมัติหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในข้อหาคดีก่อการร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 135/2 และ 135/3 เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษยื่นคำร้อง ความเสียหายทางเศรษฐกิจจากการชุมนุม หลังการชุมนุมจบ แม้จะยังไม่มีการประเมินตัวเลขความเสียหายทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน แต่ก็เป็นที่ทราบว่านอกจากความเสียหายที่เป็นตัวเงินจากอาคารและทรัพย์สินต่างๆ ของทั้งรัฐและเอกชน ทั้งใน กทม. และต่างจังหวัดแล้ว ยังมีความเสียหายที่เกิดจากการสูญเสียโอกาสในการทำธุรกิจของภาคเอกชนทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่ รายย่อย ตลอดไปจนถึงผู้ค้าขายตามท้องถนน และลูกจ้างทั้งรายเดือนและรายวันที่ไม่ได้รับค่าจ้างตามปกติหรือตกงาน ในชั้นต้น เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2553 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวทุกสาขาและแรงงานอีกหลายแสนคน และเกรงว่าธุรกิจขนาดเล็กอาจจะต้องทยอยปิดกิจการลง ส่วนภาคอุตสาหกรรมอื่น เช่น อุตสาหกรรมอัญมณี คงจะได้รับความเสียหายหลายพันล้านบาท เพราะเป็นสินค้าที่ไม่จำเป็น อุตสาหกรรมสิ่งทออาจจะมีผลไม่มากนักเพราะยอดส่งออกยังคงไม่ลด แต่ก็คาดว่าคำสั่งซื้อจากต่างประเทศในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ จะลดลงเนื่องจากผู้ซื้อต่างประเทศเกรงความเสี่ยงเพราะไม่มั่นใจว่าผู้ผลิตจะส่งมอบสินค้าได้ครบ และเกรงว่าเหตุการณ์จลาจลจะส่งผลให้นักลงทุนมองว่าความเชื่อมั่นในประเทศไทยเป็น 0% ซึ่งยากจะฟื้นฟู กรุงเทพมหานครเปิดให้ผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมลงทะเบียนเพื่อขอรับความช่วยเหลือ ระหว่างวันที่ 24-31 พฤษภาคม มีผู้มาลงทะเบียนทั้งสิ้น 27,752 ราย ซึ่งมีทั้งผู้ได้รับผลกระทบจากการวางเพลิงและผู้ที่ได้รับความเสียหายจากเรื่องอื่นๆ กฎหมายอุ้มบุญ เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2553 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. .... หรือ “กฎหมายอุ้มบุญ” ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอมา มีสาระสำคัญ คือ ห้ามหญิงที่รับตั้งครรภ์แทนใช้ไข่ของตนเองมาผสมกับอสุจิของพ่อโดยกฎหมาย เพื่อป้องกันการเกิดความรู้สึกผูกพัน และกำหนดให้หญิงที่รับตั้งครรภ์แทนต้องเป็นหญิงที่มีสามีที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น และต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากสามีและภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย ศาล รธน. วินิจฉัย “กษิต” ไม่ผิด เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2553 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไม่ได้กระทำการขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 268 และมาตรา 226(1) อันเป็นเหตุให้ต้องพ้นจากตำแหน่ง ตามที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีที่นายกษิต มีหนังสือลับมากและด่วนที่สุด ถึงนายกรัฐมนตรี เสนอแนวทางการดำเนินการกับปัญหาความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา โดยระบุตอนหนึ่งว่า ขอให้เร่งการพิจารณาคดีต่าง ๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ยังคั่งค้างอยู่ ซึ่งข้อเสนอดังกล่าว นายเรืองไกร เห็นว่า ไม่สามารถทำได้ เพราะการพิจารณาคดีต่างๆ เป็นอำนาจตุลาการ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วเห็นว่า การมีหนังสือดังกล่าวของนายกษิต เป็นการทำตามหน้าที่บริหารราชการตามมาตรา 12 ของ พ.ร.บ.กระทรวงการต่างประเทศ ที่ระบุให้กระทรวงการต่างประเทศมีภาระหน้าที่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่การต่างประเทศ ซึ่งประการหนึ่งของการปฏิบัติหน้าที่การต่างประเทศคือการวิเคราะห์สถานการณ์ของประเทศนั้นๆ ที่จะมีผลกระทบเกี่ยวเนื่องกับประเทศไทย ซึ่งในขณะนั้นไทยกำลังมีปัญหาความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ดังนั้น การที่นายกษิต มีหนังสือเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาไทย-กัมพูชา ถึงนายกรัฐมนตรี จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ เช่นเดียวกัน การที่มีข้อความในหนังสือขอให้นายกรัฐมนตรีเร่งรัดหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินคดีคั่งค้างของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่ถือว่าเป็นการใช้อำนาจบริหารเข้าแทรกแซงการพิจารณาคดีของศาล เพราะศาลจะต้องพิจารณาและพิพากษาคดีโดยอิสระตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด อีกทั้งหนังสือดังกล่าวก็ไม่ได้มีเค้ามูลว่าเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวหรือพวกพ้อง ศาลรัฐธรรมนูญจึงเห็นว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายกษิต ไม่สิ้นสุด ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 วรรค 1(7) ป.ป.ช. ชี้ “ทักษิณ” แจ้งเท็จบัญชีทรัพย์สิน ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชุดใหญ่มีมติชี้มูลความผิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กรณีแจ้งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ ในสมัยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รมว.ศึกษาธิการ และ ส.ส. ตั้งแต่ปี 2544-2549 ซึ่งได้จากการไต่สวน พบว่า ในช่วงเวลาดังกล่าว พ.ต.ท.ทักษิณ มีการแจ้งบัญชีทรัพย์สินเท็จหลายครั้ง แต่หลายคดีหมดอายุความไปแล้ว อย่างไรก็ดี มีการแจ้งบัญชีทรัพย์สินเท็จของ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่สามครั้ง ที่ยังไม่หมดอายุความและสามารถเอาผิดได้ ดังนั้น ป.ป.ช. จึงมีมติชี้มูลความผิดดังกล่าว พร้อมกับส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุดและศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปีต่อไป และสำหรับคดีอื่นๆ เช่น คดีแก้สัญญาสัมปทานดาวเทียมไอพีสตาร์มีการแจ้งข้อกล่าวหากับผู้เกี่ยวข้องแล้ว คดีแก้สัญญาโทรศัพท์มือถือระบบพรีเพด และคดีแก้สัญญาการใช้โครงข่ายร่วม [Roaming] อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหากับผู้เกี่ยวข้องต่อไป สำหรับความคืบหน้าในการไต่สวนกรณีทุจริตโครงการก่อสร้างระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและสถานีรับส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมือง (โครงการแอร์พอร์ตลิงค์) มูลค่า 25,000 ล้านบาทนั้น นายภักดี โพธิสิริ กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า ที่ประชุม ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดวินัยร้ายแรงและความผิดทางอาญากับอดีตผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และอดีตหัวหน้าสำนักงานกองกฎหมาย ในข้อหาเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ เนื่องจากพบว่ามีการแก้ไขสัญญาในเอกสารประกวดราคาระหว่าง รฟท. กับเอกชน เอื้อประโยชน์ให้เอกชน เป็นเหตุให้ รฟท. เสียหาย แต่สำหรับนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมนั้น ไม่พบหลักฐานว่ากระทำความผิด ทนายยื่นอุทธรณ์คดียึดทรัพย์ ตามที่ทนายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาหลังจากที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำพิพากษาให้ทรัพย์สิน 46,373 ล้านบาท ตกเป็นของแผ่นดินนั้น เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2553 ประธานใหญ่ศาลฎีกาได้เรียกประชุมใหญ่ผู้พิพากษาในศาลฎีกา 142 คน เพื่อลงมติเลือกองค์คณะพิจารณาเอกสารคำอุทธรณ์ ได้ผู้พิพากษา 5 คน คือ นายพีรพล พิชยวัฒน์ รองประธานศาลฎีกา นายสมศักดิ์ จันทรา ประธานแผนกคดีล้มละลายในศาลฎีกา นายมานัส เหลืองประเสริฐ ประธานแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจในศาลฎีกา นายดิเรก อิงคนินันท์ ประธานแผนกคดีแรงงานในศาลฎีกา และนายฐานันท์ วรรณโกวิท ประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ห้ามรถตู้เกิน 10 ปีวิ่ง อธิบดีกรมการขนส่งทางบกเปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2553 เจ้าของรถตู้โดยสารประจำทางที่มีอายุการใช้งานเกิน 10 ปี นับจากวันที่จดทะเบียนครั้งแรก จะต้องจัดหารถคันใหม่มาจดทะเบียนทดแทนคันเดิม โดยต้องใช้รถใหม่หรือมีอายุใช้งานไม่เกิน 2 ปี นับจากวันจดทะเบียนครั้งแรก เป็นรถตู้หลังคาสูงและใช้ก๊าซธรรมชาติอัด [CNG] เป็นเชื้อเพลิง หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย โดยผู้โดยสารที่พบเห็นรถตู้สภาพเก่าน่าสงสัยว่าจะใช้งานเกิน 10 ปี แจ้งศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารสาธารณะ 1584 400 ล้าน เพื่อกิจการโรงจำนำรัฐ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2553 มีมติอนุมัติให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พ.ม.) กู้เงินจำนวน 400 ล้านบาท เพื่อใช้ในกิจการสำนักงานธนานุเคราะห์ ทั้งนี้ เป็นการกู้เพื่อนำเงินมาใช้รองรับนโยบายการปรับลดอัตราดอกเบี้ยรับจำนำตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 30 กันยายน 2553 สำหรับการกู้เงินดังกล่าว แม้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะเห็นชอบ แต่ไม่ได้มีการค้ำประกันโดยกระทรวงการคลัง ต่ออายุกระตุ้นอสังหาฯ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2553 เห็นชอบให้ขยายเวลามาตรการลดหย่อนภาษีอสังหาริมทรัพย์กรณีจดจำนอง กับธรรมเนียมการโอนออกไปอีก 1 เดือน จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2553 และยังอนุมัติยกเว้นค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการควบรวมกิจการอีกด้วย เว้นภาษีนิติบุคคลต่างชาติ เพื่อเป็นการดึงนักลงทุนให้เข้ามาในประเทศมากขึ้น นับแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2553 เป็นต้นไป รัฐจะยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทที่เข้ามาตั้งสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคในประเทศไทย [ROH] เป็นเวลา 15 ปี โดยไม่ต้องชำระภาษีเงินได้ที่ได้รับจากต่างประเทศจากการให้บริการของสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคในประเทศไทย และจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลเพียง 10% จากรายได้ที่เกิดในประเทศไทย นอกจากนี้ชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคของไทย จะเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตรา 15% เป็นเวลา 8 ปี