เมษายน 2553 : ยกระดับการชุมนุมสู่ขั้น อนิติรัฐ พระบรมราโชวาทแก่คณะผู้พิพากษา ยกระดับการชุมนุมสู่ขั้น อนิติรัฐ เพื่อไทยไม่ยอมซักฟอก ให้ทบทวนสัญญาไทยคม การชุมนุมกระทบเศรษฐกิจ จีดีพีไตรมาสแรกพุ่ง งบปี 54 ขาดดุล 4.2 แสนล้าน ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ ศาล รธน. รับวินิจฉัยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ พระบรมราโชวาทแก่คณะผู้พิพากษา เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2553 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่คณะผู้พิพากษา จำนวน 101 คนที่เข้าเฝ้า ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช เนื่องในโอกาสถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนรับหน้าที่ มีใจความสรุปว่า ขอให้ทุกคนปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตั้งใจจริง ช่วยกันพยุงความยุติธรรม ความเรียบร้อยของประเทศ หากทำได้เคร่งครัดเช่นนี้ประเทศชาติจะมีความเรียบร้อยอย่างแน่นอน และสำหรับประชาชนทั่วไปขอให้ปฏิบัติงานของตนอย่างซื่อสัตย์สุจริต ยกระดับการชุมนุมสู่ขั้น อนิติรัฐ การชุมนุมของคนเสื้อแดงยืดเยื้อเข้มข้นตลอดทั้งเดือนเมษายน 2553 เกิดความวุ่นวายทั่วประเทศทั้งในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด มีเหตุการณ์รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต 3 ครั้ง ตายเกือบ 30 บาดเจ็บเกือบพัน จับอาวุธสงครามได้มากมาย มีเหตุระเบิดมากกว่า 40 ครั้ง ทั้งใน กทม. และต่างจังหวัด เกิดกลุ่มต่อต้านแดง ที่ถูก เอ็ม 79 ยิงถล่มถึง 5 ลูก ที่สีลม ท้ายที่สุดแดงบุกค้นหาทหารในโรงพยาบาลจุฬา จนต้องย้ายผู้ป่วยออกจนหมด จากวันที่ 14 มีนาคม 2553 ที่คนเสื้อแดงจากต่างจังหวัดเข้ามาร่วมชุมนุมทุกสุดสัปดาห์ในกรุงเทพฯ ตามคำเรียกร้องของทั้งแกนนำและทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนเป็นต้นไป จึงเกิดกลุ่มต่อต้านเล็กๆ ที่ประกอบด้วยนักวิชาการและนักธุรกิจที่หวุดหวิดจะปะทะกับคนเสื้อแดงในวันที่ 2 เมษายน ต่อมากลุ่มต้านแดงได้กลายเป็นกลุ่มเสื้อหลากสีและกลุ่มเฟสบุ้ค คัดค้านการยุบสภา ในวันที่ 4 เมษายน ศาลได้อนุมัติหมายจับแกนนำคนเสื้อแดงกลุ่มแรก 5 คน คือ วีระ มุสิกพงศ์ จตุพร พรหมพันธุ์ ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ เหวง โตจิราการ และอดิศร เพียงเกษ แต่ไม่สามารถสร้างความหวาดหวั่นให้กลุ่มคนเสื้อแดงได้ โดยในวันที่ 5 เมษายน คนเสื้อแดงได้เคลื่อนพลไปทั่วกรุงเทพฯ ถึง 11 จุด รวมทั้งที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อไปทวงถามความคืบหน้าในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ด้วย ในวันที่ 6 เมษายน ตั้งแต่รุ่งเช้า เจ้าหน้าที่ชุดปราบจลาจลจึงเตรียมอุปกรณ์รถฉีดน้ำ กระบอง โล่ และแก๊สน้ำตาเพื่อจะสลายคนเสื้อแดงบนเส้นทางสู่ราชประสงค์ แต่ปฏิบัติการไม่สำเร็จ หลังการประจันหน้า ตำรวจ-ทหารต้องกลับกรมกอง และบ่ายวันนั้นมีระเบิดยิงเข้าไปในที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้ตำรวจเจ็บ 1 นาย ตกเย็นกลุ่มคนเสื้อแดงในต่างจังหวัดรวมตัวกันขู่จะบุกศาลากลาง 8 เมษายน ทีวีพีเพิลชาแนลจอดับแต่เช้าตรู่ คนเสื้อแดงจึงไปล้อมสถานีถ่ายทอดสัญญาณไทยคมที่ลาดหลุมแก้วเพื่อทวงสัญญาณคืน 9 เมษายน ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ประกาศมาตรการ 7 ขั้นในการสลายผู้ชุมนุม ได้แก่ 1) ชี้แจง 2) แสดงกำลัง 3) ผลักดันด้วยโล่และกระบอง 4) น้ำฉีด 5) ใช้เครื่องขยายเสียง 6) แก๊สน้ำตาชนิดขว้าง และ 7) กระสุนยาง และได้นำมาใช้ครบในวันนั้นเองเพื่อจะสลายผู้ชุมนุมที่ปิดล้อมสถานีไทยคมลาดหลุมแก้ว หลังปะทะกัน 20 นาที คนเสื้อแดงไล่ทหารไปหมดและยึดอาวุธรวมทั้งปืน เอ็ม 16 มาได้จำนวนหนึ่ง จบวันด้วยสถานีพีทีวีสามารถออกอากาศได้อีกครั้ง สำนักข่าวต่างประเทศตำหนิรัฐบาลปิดกั้นสื่อ อาจส่งผลความตึงเครียดรุนแรงขึ้น ในขณะที่ 3 สมาคมสื่อไทยแถลงการณ์ประณามการใช้สื่อบิดเบือนข้อเท็จจริง ยั่วยุให้เกลียดชัง และใช้ความรุนแรงละเมิดสิทธิ 10 เมษายน ทหารปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ถนนราชดำเนินตั้งแต่บ่าย ประกาศและโปรยใบปลิวให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องออกจากพื้นที่ก่อนยิงปืนขึ้นฟ้าขู่ ตกเย็นรถหุ้มเกราะและกองกำลังเข้าพื้นที่ปิดถนน เฮลิคอปเตอร์โปรยแก๊สน้ำตาลงกลางผู้ชุมนุม ทหารยิงกระสุนยางตอบโต้การขว้างด้วยขวดแก้ว ตั้งแต่บ่ายจนเย็นก็ยังไม่สำเร็จ แกนนำสั่งระดมคนหนุนเข้าพื้นที่ปะทะทหารอย่างดุเดือด สี่แยกคอกวัวกลายเป็นแดนมิคสัญญี ตกค่ำมีกองกำลังเสื้อดำไม่ทราบฝ่ายมาช่วยคนเสื้อแดงถล่มทหาร มีทั้งระเบิด เอ็ม 79 อาวุธสงคราม ทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์เสียหายหนักจนต้องล่าถอย ยอดผู้ตายทั้งสองฝ่าย 25 เจ็บอีก 863 คนเสื้อแดงบุกชิง 2 ศพจากโรงพยาบาลเพื่อแห่ ส่วนการขอคืนพื้นที่ที่เพลินจิตก็ไม่สำเร็จ ตำรวจต้องถอนกำลังกลับ เสื้อแดงชนะอีก ที่ต่างจังหวัดฮึกเหิม รวมพลล้อมศาลากลาง ปิดถนน ตั้งเวทีปราศรัยดูถ่ายทอดสดพีทีวี ขู่พร้อมเผาหากคนเสื้อแดงถูกปราบ หลังการปะทะในวันที่ 11 เมษายน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ พระราชทานเงินช่วยเหลือผู้ล้มตายรายละ 5 หมื่นบาท และบาดเจ็บทุกคนที่รักษาตัวในโรงพยาบาล ในขณะที่หลายชาติเตือนห้ามมาไทย และเจ้าหน้าที่พบว่ามีการลอบวางระเบิดเสาส่งไฟฟ้าแรงสูงที่อยุธยา และต่อมาวันที่ 20 เมษายน มีการลอบยิงระเบิดใส่ถังเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงขนาดใหญ่ที่คลังน้ำมันในจังหวัดปทุมธานี 14 เมษายน แกนนำ นปช. ยุบพื้นที่ชุมนุมที่ราชดำเนิน ให้ไปรวมกัน ณ จุดเดียวที่ราชประสงค์ ประกาศเพิ่มแรงกดดันรัฐบาล เกิดกลุ่มคนเสื้อหลากสีชุมนุมให้กำลังใจรัฐบาลทุกเย็น ภาคประชาสังคมเสนอทางออก เลิกวัฒนธรรมตีนตบมือตบ สร้างการเมืองใหม่ที่ไม่แสดงออกยั่วยุ แต่ยังมีการลอบวางระเบิดอย่างต่อเนื่องจนรัฐบาลขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับคดีก่อความไม่สงบเป็นคดีพิเศษ 18 เมษายน หัวหน้าฝ่ายสำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช วอนคนเสื้อแดงหันลำโพงออกพ้นทางโรงพยาบาลจุฬา เพราะสมเด็จพระสังฆราชประทับรักษาตัวอยู่ที่นั่น 19 เมษายน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เปิดแถลงข่าวขอพระบรมราชานุญาติเข้าเฝ้าแก้ไขสถานการณ์ อ้างกลัวทหารฆ่าประชาชนเพิ่ม เกิดข่าวลือทหารจะเข้าสลายการชุมนุม เสื้อแดง ขู่บุกสีลม แกนนำไฟเขียวให้จับผู้ว่าฯ เป็นตัวประกัน 20 เมษายน เสื้อแดงเปลี่ยนใจไม่ไปสีลมแต่ตั้ง 6 ด่านรอบราชประสงค์สกัดทหาร เตรียมถังแก๊สยางรถยนต์ ไม้ไผ่ บั้งไฟ รับมือ แดงต่างจังหวัดเข้ากรุงเพิ่ม ในขณะที่ทหารเข้าควบคุมบริเวณถนนสีลมป้องกันคนเสื้อแดงบุก ส่วนคนสีลมชุมนุมต้านคนเสื้อแดง แดงขอนแก่นสกัดรถไฟขนทหารและยุทโธปกรณ์เกรงเข้ากรุงสลายการชุมนุม เกิดขอนแก่นโมเดลคนเสื้อแดงชุมนุมบนถนนปิดกั้นกองกำลังทหาร-ตำรวจเข้ากรุง เจ้าหน้าที่ศูนย์แพทย์ฉุกเฉินเอราวัณถอนกำลังจากพื้นที่ หลังอริสมันต์ ขู่จะยึดรถพยาบาล ตกค่ำที่สีลมตึงเครียด ต่างฝ่ายขว้างสิ่งของเข้าหากัน หลังทุ่มครึ่งมีระเบิดเอ็ม 79 ตกบนสีลม 5 ลูก ประชาชนตาย 1 เจ็บ 78 คน นปช. ประกาศไม่เกี่ยวข้องเรื่องระเบิด ยืนยันการชุมนุมสันติ อหิงสา 24 เมษายน แดงแปลงกายเป็นม็อบไร้สี แจกเสื้อทุกสีให้ผู้ชุมนุมที่ราชประสงค์ แกนนำสั่งทุกจังหวัดสกัดรถทหาร-ตำรวจ ความรุนแรงลุกลามไปยังภูมิภาค ฝ่ายรัฐเล็งปิดวิทยุชุมชน ศอฉ. ระดมตั้งด่านสกัด แต่ไม่สามารถต้านขบวนแดงเข้ากรุงได้ ในขณะที่ นปช. เตรียมยึดพื้นที่อีสานและเหนือ แดงต่างจังหวัดตั้งด่านบ้าง แถมแดงอุบลยังปิดล้อมราชธานีอโศก เผาเรือประท้วงที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง หนุนใช้ทหารสลายชุมนุม 26 เมษายน แดงปทุมตั้งด่านที่หน้าโรงกษาปณ์บนถนนพหลโยธิน ยึดรถตำรวจหลายคันที่อยุธยา ปากน้ำ แปดริ้ว อุดร ขอนแก่น พิษณุโลกสกัดทหาร-ตำรวจสำเร็จทั้งหมด มีเพียง ตชด. กลุ่มเดียวแหวกวงล้อมออกจากพิษณุโลกเข้ากรุงได้ 27 เมษายน กล้องวงจรปิดสถานีบีทีเอสถูกคลุมหมด ไร้หลักฐานใครเอายางรถยนต์ปิดรางรถไฟฟ้า เสียเวลาหลายชั่วโมงกว่าจะเดินรถใหม่ได้ 28 เมษายน ขวัญชัย ไพรพนา นำคนเสื้อแดงจากราชประสงค์จะไปตลาดไท เจอด่านทหารสกัดที่บริเวณอนุสรณ์สถานบนถนนพหลโยธิน ดวลกระสุนยางกับระเบิดปิงปองจนชาวบ้านวิ่งหนีอุตลุด เสื้อแดงเจ็บนับสิบแต่ทหารเสียชีวิตหนึ่งนาย โดนยิงจากระยะไกลเข้าหัว ไม่ทราบว่าเป็นผลงานของใครอีกตามเคย เย็นนั้นจับลูกระเบิด เอ็ม 79 ได้อีกล็อตใหญ่ ตอนนี้หลายชาติห้ามเดินทางมาประเทศไทย สำนักงานศาลยุติธรรมอธิบายความหมาย “ก่อการร้าย” คือเจตนาขู่เข็ญบังคับรัฐ สร้างความเสียหายร้ายแรงหรือปั่นป่วนจนประชาชนหวาดกลัว ก่อเหตุอันตรายต่อการขนส่งสาธารณะ ทรัพย์สินของรัฐ ทำความเสียหายแก่เศรษฐกิจอย่างสำคัญ มีโทษประหาร-จำคุกตลอดชีวิต เบาสุด 3-20 ปี ปรับ 6 หมื่นถึง 1 ล้านบาท 29 เมษายน แดงผวากลัวทหารซุ่มดักยิงจากโรงพยาบาลจุฬา พายัพ ปั้นเกตุ นำทีมบุกค้นบนตึก ภปร. และ สก. คนไข้-พยาบาลตกใจ 30 เมษายน โรงพยาลจุฬาย้ายผู้ป่วยในออกหมด สมเด็จพระเทพรัตน์ฯ ทูลเชิญสมเด็จพระสังฆราชไปประทับรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช เพื่อไทยไม่ยอมซักฟอก เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2553 ที่ประชุมพรรคเพื่อไทยได้มีมติเป็นเอกฉันท์ไม่ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เนื่องจากเห็นว่าการยื่นญัตติดังกล่าวเท่ากับเป็นการรับรองความเป็นประชาธิปไตยให้แก่รัฐบาล ก่อนหน้านี้มีการถกเถียงกันว่าสมควรจะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่ เนื่องจากทางพรรคเชื่อว่ามีข้อมูลมากพอ แต่เมื่อพรรคมีมติดังกล่าวออกมาทำให้ ส.ส.ร้อยเอ็ด นายศักดา คงเพชร ให้ความเห็นว่าคงเป็นเพราะพรรคต้องการเดินเป็นแนวทางเดียวกับกลุ่ม นปช. คนเสื้อแดงเพื่อให้เกิดพลังในการขับไล่รัฐบาล อย่างไรก็ตาม หากพรรคเพื่อไทยยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อใด รัฐบาลก็จะไม่มีสิทธิยุบสภาจนกว่าจะมีการอภิปรายและออกเสียง ซึ่งคาดว่าก็คงจะไม่สามารถชนะฝ่ายรัฐบาลที่มีคะแนนเสียงมากกว่าได้ ให้ทบทวนสัญญาไทยคม เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2553 คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อพิจารณาหาทางยกเลิกสัญญาโทรคมนาคมกับบริษัทไทยคม แล้วนำกลับมารายงานให้คณะรัฐมนตรีรับทราบ สัญญาสัมปทานโทรคมนาคมข้อ 43 ระบุว่า ในกรณีจำเป็นเพื่อความมั่นคงของชาติหรือเพื่อดำเนินการตามหน้าที่ของกฎหมาย กระทรวงมีสิทธิจะทำการที่จะขัดขวางหรือกระทำการใดๆ ที่จะกระทบต่อการใช้สิทธิของบริษัทได้ ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่มีการออกอากาศในลักษณะปลุกระดมให้มีการต่อต้านการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ รัฐบาลได้ขอร้องให้ไทยคมหยุดแพร่ภาพของสถานีทีวีดาวเทียมของกลุ่มคนเสื้อแดงหลายครั้ง แต่ไทยคมไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ได้ การชุมนุมกระทบเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2553 หลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และตัวแทนจากสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวไทย กับคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ที่อาคารศาสนสถาน ภายในกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้แถลงว่า การชุมนุมมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก โดยมีการประเมินตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม ว่า หากการชุมนุมยืดเยื้อ 1 เดือน จะเสียหาย 70,000-1,000,000 ล้านบาท จีดีพีจะลดลงร้อยละ 0.3-0.5 ก่อนหน้านี้ นายธนิต โสรัตน์ รักษาการรองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้กล่าวว่า จากการหารือกับภาคเอกชนด้วยกัน มองว่าความเสียหายที่เกิดกับธุรกิจการท่องเที่ยว การบริการ ร้านอาหาร โรงแรม ภัตตาคาร ห้างสรรพสินค้า ตลอดจนร้านค้าย่อย ได้รับความเสียหายไม่ต่ำกว่า 35,000 ล้าบาท สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจในครั้งนี้ รัฐบาลและหน่วยงานเกี่ยวข้องได้ออกมาตรการระยะสั้นในการช่วยเหลือทั้งผู้ประกอบการและลูกจ้างหลายประการ เช่น ลูกจ้างได้รับค่าชดเชยตามหลักการประกันสังคมในกรณีนายจ้างเลิกกิจการหรือหยุดงานชั่วคราว นายจ้างสามารถขอความช่วยเหลือเมื่อขาดสภาพคล่อง นิติบุคคลได้ขยายเวลาในการยื่นงบการเงินออกไป 1 เดือน จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2553 เป็นต้น และกรุงเทพมหานครได้ประกาศลดหย่อนภาษีโรงเรือนและที่ดินแก่ผู้ประกอบการที่ต้องปิดหรือหยุดการประกอบการ ให้สามารถผ่อนชำระค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินได้ และยังจัดพื้นที่เป็นถนนคนเดินและตลาดกลางคืนให้แก่ผู้ค้ารายย่อยในเขตบางรักและปทุมวัน รวม 1,895 ราย ในระหว่างวันที่ 5-28 พฤษภาคม 2553 เวลา 18.00-24.00 น. รวมทั้งยังได้ประสานให้ธนาคารออมสินปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ค้ารายย่อยอีกด้วย จีดีพีไตรมาสแรกพุ่ง กระทรวงการคลังเปิดเผยการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาส 1/2553 ว่าขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน สูงถึง 8-9 % เป็นอันดับ 3 ในเอเชีย รองจากประเทศจีนและสิงคโปร์เท่านั้น การจัดเก็บรายได้สุทธิของรัฐบาลในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2553 จัดเก็บได้กว่า 675.5 พันล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 130 พันล้านบาท ทำให้กระทรวงคลังได้เสนอให้รัฐบาลยกเลิกเสนอร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 4 แสนล้าน ซึ่งขณะนี้คณะรัฐมนตรีได้ยกเลิกแล้ว โดยจะไม่ยืนยันร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนวุฒิสภา อย่างไรก็ดี ปัญหาการเมืองที่มีอยู่ในปัจจุบันทำให้การท่องเที่ยวลดลง เห็นได้จากก่อนการชุมนุมมีนักท่องเที่ยวต่างชาติผ่านสุวรรณภูมิวันละ 3 หมื่นราย แต่หลังจากเกิดการชุมนุมเหลือนักท่องเที่ยวผ่านเพียงวันละ 2.1 หมื่นราย งบปี 54 ขาดดุล 4.2 แสนล้าน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2553 มีมติเห็นชอบแผนการจัดทำงบประมาณปี 2554 วงเงิน 2.07 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นการจัดทำงบประมาณที่เพิ่มจากปี 2553 ถึง 21.8% หรือเท่ากับ 370,000 ล้านบาท และมีการขาดดุลถึง 420,000 ล้านบาท โดยงบประมาณรายจ่ายทั้ง 2.07 ล้านล้านบาท ประกอบด้วยรายจ่ายประจำ 1.66 ล้านล้านบาท รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง 30,346.1 ล้านบาท รายจ่ายเพื่อการลงทุน 344,495.1 ล้านบาท และรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ 32,554.6 ล้านบาท ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าในปี 2554 รัฐจะมีรายได้สุทธิ 1.65 ล้านล้านบาท ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2553 ที่ประชุมคณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้รับคดีเรื่องการล้มสถาบันเป็นคดีพิเศษ โดยมี 13 หน่วยงานร่วมกันสอบสวน คือ ดีเอสไอ สำนักงานอัยการสูงสุด กระทรวงกลาโหม กรมพระธรรมนูญ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ สภาความมั่นคงแห่งชาติ กองทัพบก ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติของกองบัญชาการตำรวจสันติบาล กองบังคับการตำรวจนครบาล กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ตำรวจภูธรภาค และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งนี้ ตามที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นผู้เสนอมา นอกจากนี้ ดีเอสไอ ยังได้รับทำคดี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ซุกหุ้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ได้ส่งหนังสือกล่าวโทษมา โดยให้เหตุผลว่าคดีนี้ไม่มีอะไรยุ่งยากซับซ้อน เพราะศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ตัดสินแล้ว โดยดีเอสไอคาดว่าจะสามารถสรุปสำนวนส่งอัยการได้ในไม่ช้า ศาล รธน. รับวินิจฉัยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2553 คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติรับพิจารณาวินิจฉัยคดีเงินบริจาค 258 ล้านของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และคดีพรรคประชาธิปัตย์ใช้เงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ตามที่อัยการสูงสุดส่งมา โดยหลังจากนี้จะให้ผู้ถูกร้องใช้สิทธิในการยื่นคำชี้แจงแก่ข้อกล่าวหาภายในเวลา 15 วันนับตั้งแต่วันที่พรรคประชาธิปัตย์ได้รับหนังสือจากศาลรัฐธรรมนูญ หากครบกำหนดแล้วผู้ถูกร้องสามารถจะยืดเวลายื่นคำชี้แจงได้อีก 30 วัน ก่อนหน้านี้ ในวันที่ 13 เมษายน คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้มีมติชี้มูลความผิดว่าการที่ ปชป. นำเงินบริจาค 258 ล้านบาท ไปจ้างทำสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์นั้น เป็นการทำนิติกรรมอำพราง และการใช้เงิน 29 ล้านบาทเป็นการใช้ผิดวัตถุประสงค์ โดย กกต. ได้ส่งเรื่องไปให้อัยการสูงสุด (อสส.) และ อสส. ได้ส่งสำนวนของคดีทั้งสองให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ทางด้านพรรคประชาธิปัตย์ได้มอบให้นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค เป็นประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายเพื่อกำหนดแนวทางในการต่อสู้คดีที่อาจมีโทษถึงขั้นยุบพรรค