มีนาคม 2553 : “เสื้อแดง” เรียกร้อง “ยุบสภา” “เสื้อแดง” เรียกร้องยุบสภา ฝ่ายค้านบอยคอตประชุมสภา ให้ส่ง 46,000 ล้าน เข้ากรมบัญชีกลาง ครม. เห็นชอบข้อตกลงอาเซียน ประกาศ พ.ร.บ.มั่นคง ระหว่างประชุมแม่น้ำโขง คนไร้สัญชาติ-กลุ่มน้อย ได้รักษาฟรี เศรษฐกิจเริ่มฟื้น –ว่างงานลดลง วุฒิสภาไม่ถอดถอน “สมชาย” ศาลฎีกายกฟ้อง “หวยออนไลน์” กรณี จีที 200 และเรือเหาะ ทบ. “เสื้อแดง” เรียกร้อง “ ยุบสภา” กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ชุมนุมยืดเยื้อในกรุงเทพฯ ตั้งประเด็น “ไพร่ขับไล่อำมาตย์” เรียกร้องนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ ยุบสภาเพื่อการเลือกตั้งใหม่ แต่ละสัปดาห์มีการเคลื่อนที่ไปตามจุดต่างๆ สร้างความปั่นป่วนและเดือนร้อนให้ชาวกรุงเทพฯ แม้รัฐบาลจะยอมเจรจาตอบรับข้อเสนอยุบสภา ขอเลื่อนเวลาจาก 2 สัปดาห์เป็น 9 เดือน แต่ถูกปฏิเสธ นับตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2553 เป็นต้นมา กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้ยื่นข้อเรียกร้องให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภาภายใน 3 วัน โดยขู่ว่าจะจัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 14 มีนาคม 2553 หากนายอภิสิทธิ์ ไม่ทำตามข้อเรียกร้อง รัฐบาลจึงประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงใน กทม. และ 7 จังหวัดโดยรอบ เพื่อป้องปรามมิให้คนเสื้อแดงเดินทางมาจากต่างจังหวัดตามคำเรียกร้องของแกนนำ แต่ปรากฏว่าคนเสื้อแดงจากทั่วประเทศก็ได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ และเริ่มต้นการชุมนุมที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2553 เป็นต้นไป โดยที่แกนนำกล่าวว่า เป็นการชุมนุมตามสิทธิในรัฐธรรมนูญแบบสันติและอหิงสา กลุ่ม นปช. ได้ตั้งเวทีปราศรัยขึ้น ณ สะพานผ่านฟ้าลีลาศบนถนนราชดำเนิน มีผู้ชุมนุมค้างคืนเป็นจำนวนมากจนปิดการจราจรในบริเวณนั้นตลอดทั้งวัน รัฐบาลได้ตั้งศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) โดยมอบให้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้อำนวยการรับผิดชอบ มีศูนย์บัญชาการตั้งอยู่ในกองพันทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ บางเขน โดยตัวนายกรัฐมนตรีเองพร้อมทีมงานและรองนายกรัฐมนตรีนายสุเทพ ก็ได้ไปพักเป็นการชั่วคราวที่บ้านพักในราบ 11 ด้วยเพื่อความปลอดภัย ในวันที่ 15 มีนาคม 2553 เวลา 10.00 น. นายกรัฐมนตรีได้เรียกประชุมแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อหารือเรื่องข้อเรียกร้องของ นปช. ซึ่งผลการประชุมปรากฏว่า ไม่เห็นด้วยว่าการยุบสภาคือทางออกของปัญหาข้อขัดแย้งทางการเมืองที่มีอยู่ในปัจจุบัน หลังจากที่ประชุมเลิกและนายกรัฐมนตรีได้นั่งเฮลิคอปเตอร์ออกไปแล้ว ในเวลาเที่ยงวัน นปช. นับหมื่นคนได้เคลื่อนขบวนไปที่กรมทหารราบที่ 11 บางเขน แต่เมื่อทราบว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้อยู่ในที่นั้น จึงเดินทางกลับพร้อมบอกว่าจะยกระดับการชุมนุม โดยการนำเลือดของผู้ชุมนุม 1 ล้าน ซี.ซี. ไปราดที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ และบ้านพักนายอภิสิทธิ์ ระหว่างที่ชุมนุมอยู่ที่ราบ 11 มีผู้ยิงระเบิดเอ็ม 79 จำนวน 6 ลูกเข้าไปในกรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ (ร.1 รอ.) ทำให้ทหารบาดเจ็บ 2 นาย ในวันที่ 16 มีนาคม 2553 ตั้งแต่เช้า คนเสื้อแดงได้ทยอยเจาะเลือดกันคนละ 10 ซี.ซี. ในเวลาสายประกาศว่าได้เลือดแล้ว 3 แสน ซี.ซี. จึงเคลื่อนขบวนไปที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์และบ้านพักนายกฯอภิสิทธิ์ ที่ถนนสุขุมวิท เป็นลำดับ ในแต่แห่งคนเสื้อแดงได้เทเลือดจำนวนหนึ่งที่ประตูทางเข้าก่อนจะกลับไปชุมนุมที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าตามเดิม การชุมนุมของ นปช. ไม่สามารถจะระดมคนให้ได้ 1 ล้านคนตามที่แกนนำประกาศ เนื่องจากผู้ชุมนุมจากต่างจังหวัดเดินทางกลับบ้านในช่วงกลางสัปดาห์ แกนนำจึงเปลี่ยนยุทธวิธีจากการกดดันให้ยุบสภาภายใน 3 วัน เป็นการชุมนุมที่ยืดเยื้อและมีการเคลื่อนขบวนไปตามจุดต่างๆ ในกรุงเทพฯ ทุกๆ สุดสัปดาห์ เพื่อเรียกร้องให้คนกรุงเทพฯ ร่วมกดดันรัฐบาล หลังการชุมนุมใหญ่ครั้งแรกในวันที่ 15 และ 16 มีนาคม 2553 กลุ่มภาคส่วนต่างๆ ของสังคมได้เสนอแนวคิดในการแก้ไขปัญหาครั้งนี้ เช่น นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช เสนอให้ตั้งรัฐบาลแห่งชาติ นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส เสนอให้ตั้งคณะกรรมการเพื่อความเป็นธรรมแห่งชาติ วุฒิสภาเสนอให้ใช้เวทีวุฒิสภาในการพูดจาและหาทางออก นายโคทม อารียา ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี เสนอให้มีการเจรจาระหว่างแกนนำ นปช. กับรัฐบาล ต่อมาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ก็ได้สานต่อในเรื่องการเจรจา แต่ในที่สุด กสม. ได้ปฏิเสธการทำหน้าที่เป็นคนกลางเพราะถูกวิจารณ์ว่าเข้าข้างรัฐบาล อีกทั้งแกนนำ นปช. ยังเรียกร้องว่าจะต้องคุยกับนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว ระหว่างการชุมนุมของคนเสื้อแดง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้วิดีโอลิงค์เข้ามาเรียกร้องให้คนเสื้อแดงสู้ต่อไปจนกว่าจะได้ชัยชนะ ในวันเสาร์ที่ 20 มีนาคม 2553 คนเสื้อแดงได้เคลื่อนขบวนไปบนถนนหลายสายใน กทม. โดยใช้จักรยานยนต์เป็นกองหน้าตามด้วยขบวนรถยาวกว่า 30 กิโลเมตร การจราจรในเมืองหลวงติดขัดเป็นอัมพาตหลายจุด นอกจากนั้นบรรดาร้านค้าระหว่างทางยังปิดหนีม็อบเป็นจำนวนมาก หลังการชุมนุมใหญ่ในวันนี้ คนเสื้อแดงจากต่างจังหวัดส่วนใหญ่ได้เดินทางกลับบ้านเช่นเคย แกนนำได้นัดชุมนุมใหญ่อีกครั้งในวันที่ 27 มีนาคม 2553 วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม 2553 กลุ่มคนเสื้อแดงได้ไปปิดล้อม 8 จุดสำคัญในวัด โรงเรียน สวนสัตว์ดุสิตและสนามม้านางเลิ้ง ที่กองกำลังทหารได้เข้าไปตั้งอยู่ หลังจากเจรจานานนับชั่วโมง กองทหารได้ออกจากที่ตั้งทั้งหมด ในเวลา 14.00 น. กลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งได้ไปที่รัฐสภาเพื่อจะเข้าไปดูว่ามีกองทหารอยู่หรือไม่ เมื่อไม่พบกองทหาร คนเสื้อแดงได้นำรัฐธรรมนูญฉบับปี 50 จำลองมาเผาที่หน้าพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และในวันเดียวกันนี้ได้มีเหตุระเบิดที่บริเวณทางเข้าสถานีโทรทัศน์ช่อง 5 แห่งที่สอง สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที และอาคาร 120 ปี กรมศุลกากรย่านคลองเตย วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม เวลา 04.00 น. คนร้ายยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้ามาในพื้นที่รวมพลในกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ซึ่งเป็นที่ตั้ง ศอ.รส. และเป็นที่พักค้างคืนของนายกรัฐมนตรี ทำให้มีทหารบาดเจ็บ 4 นาย ในตอนสายกลุ่มคนเสื้อแดงได้ไปที่ราบ 11 อีกครั้ง รัฐบาลจึงตอบรับการเจรจาและม็อบจึงกลับไปยังสะพานผ่านฟ้าฯ ในตอนบ่าย 16.00 น. แกนนำคนเสื้อแดง 3 คน คือ นายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายเหวง โตจิราการ ได้เดินทางมาถึงสถานที่เจรจาคือสถาบันพระปกเกล้า ฝ่ายรัฐบาลประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ และนายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ การเจรจาเริ่มต้นเมื่อ 16.30 น. และมีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ ฝ่ายแกนนำ นปช. ได้ยื่นข้อเสนอให้ยุบสภาภายใน 15 วัน เพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ที่จะนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ฝ่ายรัฐบาลเสนอว่าให้มีการทำประชามติเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนจึงจะยุบสภา โดยมีกรอบระยะเวลาดำเนินการประมาณ 9 เดือน หลังการเจรจาในวันแรกไม่ประสบผล จึงมีการเจรจากันอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2553 แต่ปรากฏว่าทั้งสองฝ่ายยังคงยืนยันในจุดยืนเดิม คือ แกนนำ นปช. ต้องการให้ยุบสภาทันทีภายใน 15 วัน ส่วนรัฐบาลเสนอให้มีการทำประชามติว่าต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ ในประเด็นใด เมื่อแก้รัฐธรรมนูญแล้วจึงค่อยยุบสภาซึ่งคาดว่าจะดำเนินการได้ในเวลาประมาณ 9 เดือน ก่อนสิ้นสุดการเจรจาในวันที่สอง นายกรัฐมนตรีเสนอให้มีการเจรจารอบสาม แต่นายจตุพร พรหมพันธุ์ กล่าวปฏิเสธว่า จะไม่มีการคุยกันอีก คนเสื้อแดงจะกลับไปยืน ณ จุดเดิมคือชุมนุมเรียกร้องให้มีการยุบสภาภายในเวลา 15 วัน โดยกำหนดวันชุมนุมใหญ่ครั้งต่อไปคือ วันที่ 3 เมษายน 2553 โดยที่ทั้งเดือนมีนาคม 2553 มีการยิง-ปา-วางระเบิดใส่สถานที่ราชการ บ้านบุคคลสำคัญ สถานที่อันเป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองและสัญลักษณ์ของเป้าหมายการต่อสู้ เช่น มูลนิธิรัฐบุรุษของพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ รวมทั้งสิ้นมากกว่า 30 ครั้ง รัฐบาลจึงต่ออายุการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ออกมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงวันที่ 31 มีนาคม แต่ได้ลดพื้นที่ลงเหลือเพียง 3 จังหวัด คือ กทม. นนทบุรี และสมุทรปราการ โดยในสองจังหวัดหลังนี้ประกาศเฉพาะในบางอำเภอเท่านั้น ฝ่ายค้านบอยคอตประชุมสภา เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2553 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่จัดขึ้นระหว่างที่มีการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ที่สะพานผ่านฟ้าฯ รัฐบาลได้ระดมทหาร ตำรวจหลายกองร้อยมารักษาความปลอดภัยและปิดการจราจรโดยรอบ พร้อมทั้งนำแท่งคอนกรีตและลวดหนามมาปิดกั้นทางเข้าออก อนุญาตให้แต่เฉพาะ ส.ส. เข้าไปในสภาได้เท่านั้น เนื่องจากเกรงว่าผู้ชุมนุมเสื้อแดงจะมาปิดล้อมสภา และอาจเกิดเหตุรุนแรงขึ้น การป้องกันนี้สร้างความไม่พอใจให้แก่ ส.ส. พรรคเพื่อไทย จนทำให้กลุ่ม ส.ส. ประมาณ 80 คนบอยคอตไม่เข้าประชุม อย่างไรก็ตาม การประชุมสามารถเปิดเมื่อเวลา 10.00 น. ได้เนื่องจากมี ส.ส. จำนวน 245 คน รวมทั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีด้วย ที่ประชุมได้เห็นชอบร่าง พ.ร.บ. สำคัญในวาระสองและสาม จำนวน 3 ฉบับ คือ ร่าง พ.ร.บ.การเกษตรแห่งชาติ พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม และ พ.ร.บ.เวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างทางพิเศษสายรามอินทรา-วงแหวนรอบนอกฯ ก่อนหน้านี้ในวันที่ 16 มีนาคม 2553 การประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณากรอบการเจรจาระหว่างประเทศจำนวน 9 ฉบับ และการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 17 มีนาคม 2553 ต้องเลื่อนออกไปโดยไม่มีกำหนดเนื่องจากมีผู้มาประชุมเพียง 20 จากทั้งหมด 625 คน (วันที่ 16 มีนาคม) และ 37 คน (วันที่ 17 มีนาคม) ให้ส่ง 46,000 ล้านเข้ากรมบัญชีกลาง คณะทำงานอัยการที่รับผิดชอบคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว จำนวน 46,000 ล้าน จากเงินได้จากการขายหุ้นชินคอร์ปทั้งหมด 76,000 ล้าน กล่าวว่า กระทรวงการคลังมีอำนาจที่จะดำเนินการติดตามบังคับคดี ตามที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษา โดยสามารถติดตามให้ธนาคารพาณิชย์เจ้าของบัญชีดังกล่าวนำเงินส่งมาที่กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลังได้ทันที อนึ่งก่อนหน้านี้อัยการเคยยื่นคำร้องขอให้ศาลออกคำบังคับคดีแล้ว แต่ศาลเห็นว่าสามารถจะดำเนินการได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องออกคำบังคับอีก สำหรับเงินส่วนที่เหลือ 30,000 ล้านบาท ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ได้มีคำสั่งถอนอายัดนั้น เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2553 นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับรายงานว่ามีการทยอยถอนเงินสดออกจากบัญชีต่างๆ แห่งละ 10-100 ล้านบาท รวมกว่า 800-1,000 ล้านบาท แต่ยังไม่พบว่ามีการนำเงินออกนอกประเทศ ในขณะที่นายนภดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า เป็นสิทธิที่เจ้าของบัญชีจะกระทำได้ และไม่ได้นำเงินไปใช้ในการสนับสนุนการชุมนุมของคนเสื้อแดงแต่ประการใด ครม. เห็นชอบข้อตกลงอาเซียน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 30 มีนาคม มีมติเห็นชอบเอกสารที่จะมีการลงนามหรือรับรองในระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 16 ระหว่างวันที่ 8-9 เมษายน 2553 ที่ประเทศเวียดนาม จำนวน 5 ฉบับ ได้แก่ ร่างแถลงการณ์อาเซียนว่าด้วยการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่มีสาระสำคัญคือ การเรียกร้องให้รับภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั้งหมด ดำเนินการเพื่อบรรลุฉันทามติในความตกลงระหว่างประเทศว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย ร่างพิธีสารว่าด้วยกลไกระงับข้อพิพาทของกฎบัตรอาเซียน ที่มีสาระสำคัญในการกำหนดกลไกและขั้นตอนที่เหมาะสมที่อาเซียนจะดำเนินการเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศสมาชิก อันเนื่องมาจากกฎบัตรอาเซียนและความตกลงต่างๆ ของอาเซียน ได้แก่ การใช้คนกลางที่น่าเชื่อถือ การไกล่เกลี่ย การประนีประนอม และกระบวนการอนุญาโตตุลาการ ร่างแนวทางในการพิจารณาการภาคยานุวัติสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในอาเซียตะวันออกเฉียงใต้ พ.ศ. 2519 ซึ่งเป็นแนวนโยบายที่ตกลงกันระหว่างประเทศสมาชิกเพื่อใช้พิจารณาคำขอของประเทศนอกอาเซียน หรือองค์การระหว่างประเทศอื่นๆ ที่จะเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาฯ ร่างแผนการสื่อสารระหว่างประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ซึ่งเป็นแนวทางในการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมต่อสาธารณชนในลักษณะเดียวกับแผนประชาสัมพันธ์ของประชาคมการเมือง-ความมั่นคงและประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่ได้รับความเห็นชอบแล้ว ร่างขอบเขตอำนาจหน้าที่ของที่ประชุมประสานงานด้านประชาสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญที่กำหนดบทบาทหน้าที่ องค์ประกอบ กำหนดการจัดประชุม และการรายงานผลการประชุม ทั้งนี้ อนุมัติให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศร่วมลงนาม หรือรับรองร่างเอกสารดังกล่าวได้ในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 16 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญ หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีก ประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคงระหว่างประชุมแม่น้ำโขง คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2553 เห็นชอบตามที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เสนอให้ประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงในพื้นที่ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี และ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ระหว่างวันที่ 2-6 เมษายน 2553 เนื่องจากประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ 1 ที่จะมีผู้นำสูงสุดจากประเทศ ลาว กัมพูชา เวียดนาม และไทย พร้อมประเทศคู่เจรจาอีก 2 ประเทศ คือ พม่าและจีน ที่จะจัดขึ้นเพื่อแสวงหาความร่วมมือและรับผิดชอบร่วมกันในการบริหารจัดการทรัพยากรแม่น้ำโขงที่ประเทศต่างๆ ทั้งที่อยู่ตอนบนและตอนล่าง เนื่องจากสภาพที่แห้งขอดอันเนื่องมาจากสภาพอากาศที่แปรปรวนในปัจจุบัน จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2552 ที่ม็อบเสื้อแดงได้บุกเข้าไปในโรงแรมที่กำลังมีการประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา +3 และ +6 ที่พัทยา จนทำให้การประชุมต้องยุติกลางคัน ทำให้รัฐบาลเกรงว่าจะเกิดเหตุวุ่นวายเช่นนั้นอีกเนื่องจากในขณะนี้คนเสื้อแดงกำลังชุมนุมเรียกร้องให้ยุบสภาอยู่ที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าฯ บนถนนราชดำเนิน ทำให้รัฐบาลต้องประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ และจัดกองกำลัง 5 หน่วยเฉพาะกิจในการดูแลพื้นที่เช่นเดียวกับที่เคยปฏิบัติเมื่อครั้งที่ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 15 เมื่อเดือนตุลาคม 2552 ที่ อ.หัวหิน และ อ.ชะอำ คนไร้สัญชาติ-กลุ่มน้อย ได้รักษาฟรี ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2553 มีมติอนุมัติงบประมาณกลางจำนวน 472 ล้านบาท ให้แก่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขจัดสรรให้แก่โรงพยาบาลตามแนวชายแดนจำนวน 15 จังหวัด เพื่อนำเงินไปใช้จ่ายดูแลสุขภาพและการรักษาพยาบาลแก่กลุ่มคนไร้สัญชาติและชนกลุ่มน้อยเพื่อให้สอดรับกับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ หลักมนุษยธรรม และลดปัญหาการแพร่ระบาดของโรคร้ายต่างๆ ตามแนวชายแดน สำหรับบุคคลที่เข้าข่ายจะได้รับสิทธิการรักษาพยาบาลนี้แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1. บุคคลที่ ครม. รับรองให้อยู่ในประเทศไทยถาวร ประมาณ 90,000 คน 2. บุคคลที่ ครม. ผ่อนผันให้อยู่ชั่วคราวเพื่อรอพิสูจน์สถานะและมีแนวโน้มที่จะได้สัญชาติไทย 296,863 คน 3. นักเรียนที่ได้รับสิทธิเรียนฟรีตามนโยบายของรัฐบาล มีการทำทะเบียนและประวัติที่ชัดเจนแล้ว แต่ยังไม่ได้รับบริการด้านการรักษา 70,513 คน งบประมาณ 472 ล้านบาท จะจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายจ่ายให้เป็นรายหัว หัวละ 2,067 บาท มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน -30 กันยายน 2553 เศรษฐกิจเริ่มฟื้น –ว่างงานลดลง สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติแถลงเมื่อสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสที่ 4 ปี 2552 ขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 5.8 เป็นการขยายตัวเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 4 ไตรมาสที่ผ่านมา ส่งผลให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจตลอดทั้งปี 2552 อยู่ที่ติดลบร้อยละ 2.3 ต่ำกว่าตัวเลขที่โพลหลายสำนักคาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้าว่าจะติดลบสูงถึงร้อยละ 4-7 หัวใจสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นคือภาคการส่งออก ประกอบกับนโยบายต่างๆ ที่ไปกระตุ้นการบริโภคให้เพิ่มสูงขึ้นจากที่ติดลบมาตลอดตั้งแต่ช่วงต้นปี เหตุผลคือประชาชนเริ่มมีความมั่นใจ รายได้การเกษตรที่ดี การท่องเที่ยวก็เริ่มกลับมาดี ทำให้มีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ภาวะเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้อัตราการว่างงานในช่วงไตรมาส 4/2552 ลดลงเหลือเพียงร้อยละ 1 ในขณะที่การว่างงานทั้งปี 2552 อยู่ที่ร้อยละ 1.5 โดยมีการจ้างงานเฉลี่ย 37.7 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่อัตราการว่างงานมีจำนวนกว่า 380,000 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 1 ของอัตราแรงงานทั้งหมด ตามภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น วุฒิสภาไม่ถอดถอน “สมชาย” เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2553 ที่ประชุมวุฒิสภามีมติโดยใช้วิธีการลงคะแนนลับด้วยการกดบัตร ด้วยคะแนนเสียง 76 (ไม่ถอดถอน) ต่อ 49 เสียง (ถอดถอน) และ งดออกเสียง 6 เสียง กับบัตรเสียอีก 3 ใบ มีผลให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 273 หลังจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติ ชี้มูลความผิดกรณีการสลายการชุมนุมหน้ารัฐสภาเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ทั้งนี้ เนื่องจากกฎหมายกำหนดว่าการลงมติจะต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด ( 150 เสียง) แม้นายสมชาย จะพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว แต่หากถูกถอดถอน ก็จะถูกตัดสิทธิ์ในการดำรงตำแหน่งใดๆ ในทางการเมืองหรือในการรับราชการเป็นเวลา 5 ปี ศาลฎีกายกฟ้อง “หวยออนไลน์” เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2553 ศาลฎีกามีคำพิพากษายกฟ้อง ในคดีที่บริษัท จาโก้ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ได้รับสิทธิจำหน่ายสลากการกุศล หรือสลากอัตโนมัติ หรือหวยออนไลน์ ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำบังคับให้สำนากงานสลากกินแบ่งรัฐบาลปฏิบัติตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 2,508,593,781 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม 2543 เนื่องจากการประทำผิดสัญญา คดีนี้ศาลแพ่ง มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2547 ให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ปฏิบัติตามคำชี้ขาดของอนุญาโตฯ ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บริษัท จาโก้ 2,508 ล้านบาท แต่สำนักงานสลากฯ ยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณมีคำพิพากษายืน จึงมีการยื่นฎีกา ปรากฏว่าเมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยแล้วเห็นว่าสัญญาที่สำนักงานสลากฯ แต่งตั้ง บริษัท จาโก้ ผู้ร้อง เป็นผู้แทนจำหน่ายสลากการกุศลนั้น ขัด พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงาน หรือดำเนินงานในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 ที่ระบุว่า การปฏิบัติการร่วมงานระหว่างรัฐและเอกชนที่มีมูลค่าหรือทรัพย์สินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป จะต้องได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่คู่สัญญายังไม่ได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง คือไม่ได้เสนอ ครม. พิจารณาอนุมัติ สัญญาดังกล่าวจึงทำขึ้นโดยมิชอบ ไม่มีผลบังคับทั้งฝ่าย บริษัท จาโก้ และสำนักงานสลากฯ ทำให้ข้อตกลงระงับข้อพิพาทด้วยวิธีอนุญาโตฯ ไม่มีผลบังคับใช้ การชี้ขาดของอนุญาโตฯ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงพิพากษาให้ยกคำร้อง กรณี จีที 200 และเรือเหาะ ทบ. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2553 ว่า ได้มีมติให้ทุกหน่วยงานที่จัดซื้ออุปกรณ์ จีที 200 ทำรายงานว่ามีการจัดซื้อจัดจ้างอย่างไร ปริมาณเท่าใด ช่วงระยะเวลาใด ราคาเท่าใด และกระบวนการเป็นอย่างไร โดยมอบให้นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ไปดูในเรื่องการรับผิดชอบของบริษัทในเชิงของข้อกฎหมายทั้งหลาย ซึ่งนายสาทิตย์ กล่าวว่า จะมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคไปตั้งคณะกรรมการขึ้นพิจารณาช่องทางทางกฎหมาย เพื่อให้บริษัทผู้จำหน่ายชดเชยความเสียหายเนื่องจากเครื่องจีที 200 ไม่มีประสิทธิภาพดังที่โฆษณาไว้ ส่วนกรณีเรือเหาะที่กองทัพบกซื้อมาเพื่อใช้ปฏิบัติภารกิจในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2553 ว่า ได้มีการทดลองฝึกบินจริงไปแล้วที่อู่ตะเภา โดยติดตั้งกล้องส่งสัญญาเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้เซ็นรับเนื่องจากเจ้าหน้าที่ยังไม่พอใจในเรื่องของการบิน อย่างไรก็ตาม จะจัดให้สื่อมวลชนไปดูการปฏิบัติการจริงในพื้นที่ และเปิดโอกาสให้มีการซักถามข้อสงสัยต่างๆ ในเรื่องนี้ หากชี้แจงได้ไม่ชัดเจนก็สามารถไปร้องกับสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน หรือสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติได้