มกราคม 2553 : ปชป. กลับลำเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ส.ส. ปชป. โหวต ไม่แก้ รธน. แดงเคลื่อนไหวใกล้วันศาลตัดสิน เสนองบปี 54 - 2.05 ล้านล้าน แก้ กม. ให้ดำเนินคดีอดีต ขรก. สิทธิในการแก้ กม. - รธน. ขสมก.กู้ อีก 2.16 พันล้าน คาดส่งออกไทยขยายตัว แก้ กม.อัยการ ทุนการศึกษาให้ลูก จนท. ดับไฟใต้ หยุดออกใบอนุญาตวิทยุชุมชนชั่วคราว ข้าวไทยช่วยเฮติแผ่นดินไหว ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินชายแดนใต้อีก ส.ส. ปชป. โหวต ไม่แก้ รธน. เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2553 ที่ประชุม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ มีมติ 82 ต่อ 48 เสียงเห็นควรไม่สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่ 5 พรรคร่วมรัฐบาล ได้แก่ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคภูมิใจไทย พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา พรรคกิจสังคม และพรรคเพื่อแผ่นดิน ได้ยื่นเสนอต่อประธานรัฐสภาขอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญใน 2 มาตรา คือ มาตรา 94 และมาตรา 190 นอกจากนี้พรรคประชาธิปัตย์ยังไม่ยอมให้มีการฟรีโหวตในสภาอีกด้วย ทั้งที่ก่อนหน้านี้พรรคประชาธิปัตย์เคยประกาศว่าจะร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญ พรรคร่วมรัฐบาลต้องการให้แก้ไขมาตรา 94 เพื่อให้มีการเลือกตั้งแบบเขตเดียวเบอร์เดียว และมาตรา 190 ซึ่งเป็นเรื่องของการทำสนธิสัญญากับต่างประเทศที่รัฐธรรมนูญกำหนดว่าจะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาเสียก่อน ความเห็นของพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่ต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ตรงกับความเห็นของพรรคฝ่ายค้าน เพื่อไทย โดยบังเอิญ แดงเคลื่อนไหวใกล้วันศาลตัดสิน ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 ศาลคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะอ่านคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทำให้ในช่วงเวลานี้กลุ่มคนเสื้อแดงที่สนับสนุนทักษิณ ได้ออกมาเคลื่อนไหวถี่ขึ้นในลักษณะที่เป็นการชุมนุมย่อยเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม โดยยกกรณีการครอบครองเขายายเที่ยงของพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และสนามกอล์ฟเขาสอยดาว จ.จันทบุรี ของผู้บริหารธนาคารกรุงเทพฯ มาเป็นข้ออ้างว่าทั้งคู่บุกรุกป่าสงวนแต่ไม่มีการดำเนินคดี นอกจากนี้ยังมีการปล่อยข่าวลือว่าจะมีการลอบทำร้ายบุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับคดียึดทรัพย์ และท้ายที่สุดก็มีการยิงกระสุนลูกระเบิดเอ็ม 79 เข้าไปในห้องทำงานของผู้บัญชาการกองทัพบก พลเอกอนุพงศ์ เผ่าจินดา ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2553 จึงมีมติตามข้อเสนอของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้ใช้กำลังทหารเข้าเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานตำรวจในการควบคุมดูแลความสงบกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองนับตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2553 เป็นต้นไป เสนองบฯ ปี 54 - 2.05 ล้านล้าน เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2553 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณประจำปีงบประมาณ 2554 ตามที่สำนักงบประมาณ และกระทรวงการคลังเสนอ โดยกำหนดวงเงินงบประมาณรายจ่ายทั้งสิ้น 2.05 ล้านล้านบาท และเป็นการจัดทำงบประมาณที่ขาดดุล 4 แสนล้านบาท เนื่องจากกระทรวงการคลังคาดการณ์ว่าในปี 2553 นี้ รัฐจะสามารถจัดเก็บรายได้ทั้งสิ้น 1.65 ล้านล้านบาท สำหรับงบประมาณรายจ่าย 2.05 ล้านล้านบาทนี้ เป็นยอดเงินที่เพิ่มขึ้นจากรายจ่ายในปีงบประมาณ 2553 ถึง 0.35 ล้านล้านบาท เนื่องจากยอดงบประมาณรายจ่ายในปี 2553 ที่อยู่ที่ 1.7 ล้านล้านบาท กระทรวงการคลังคาดว่าในปี 2553 นี้ จะสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น 8% จากยอดรายได้จริงในปี 2552 จำนวน 1.52 ล้านล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม งบลงทุนในปีงบประมาณ 2554 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 1 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 16.5-17.0% ของงบประมาณรายจ่ายทั้งหมด แก้ กม. ให้ดำเนินคดีอดีต ขรก. เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2553 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบผ่านร่าง พ.ร.บ.มาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ที่มีสาระสำคัญ กำหนดให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ปปท.) มีอำนาจรับหรือพิจารณาเรื่องที่มีผู้กล่าวหาในขณะที่ผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐไปแล้วไม่เกิน 5 ปี และหากมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงได้ก็สามารถจะรับเรื่องพิจารณาได้ในระยะเวลาที่เกินกว่านี้ แต่ต้องเริ่มดำเนินการภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยที่ร่างกฎหมายฉบับนี้ได้ผ่านการตรวจพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว ในลำดับต่อไป ต้องส่งให้คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาลนำเสนอที่ประชุมสภา สิทธิในการแก้ กฎหมาย-รธน. เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2553 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ที่มีสาระสำคัญ กำหนดให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 10,000 คน สามารถเข้าชื่อเสนอร่าง พ.ร.บ.หรือญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ แต่สำหรับการเสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญต้องมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อรวมกันไม่น้อยกว่า 50,000 คน ร่างกฎหมายฉบับนี้ได้ผ่านการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว ดังนั้นในลำดับต่อไป จะส่งให้คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อเสนอเข้าสู่ที่ประชุมสภาต่อไป ขสมก. กู้อีก 2.16 พันล้าน เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2553 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กู้เงินเพื่อนำไปชำระค่าดอกเบี้ยที่ครบกำหนดในปีงบประมาณ 2553 จำนวน 2,164 ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ พร้อมกำหนดวิธีการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่างๆ ปัจจุบัน ขสมก. มีค่าใช้จ่ายค้างชำระ 4,218 ล้านบาท แบ่งเป็นค้างกองทุนบำเหน็จพนักงาน 243 ล้านบาท ค่าน้ำมัน 2,817 ล้านบาท และค่าเหมาซ่อม 1,157 ล้านบาท และเมื่อเดือนที่แล้ว ขสมก. ก็ได้รับอนุมัติให้กู้เงินจำนวน 1.128 ล้านบาท เพื่อนำไปปรับปรุงการให้บริการ โดยการกู้ในครั้งนั้นรัฐบาลเป็นผู้รับภาระทั้งหมด คาดส่งออกไทยขยายตัว กรมส่งเสริมการส่งออก มั่นใจการส่งออกของไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ถึง 14% หรือคิดเป็นมูลค่าการส่งออกกว่า 1.73 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่จะขยายตัวขึ้น 3.1% แก้ กม.อัยการ เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2553 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎหมายจำนวน 4 ฉบับ ได้แก่ ร่าง พ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ ร่าง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ ร่าง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน และ ร่าง พ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม โดยที่ร่างกฎหมายทั้งหมดนี้ได้ผ่านการตรวจพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว จากนี้จะได้เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อเสนอเข้าที่ประชุมสภาต่อไป อนึ่ง การแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับองค์กรอัยการในครั้งนี้ มีสาระสำคัญที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการ ทุนการศึกษาให้ลูก จนท.ดับไฟใต้ เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2553 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติขออนุมัติงบกลางปี 2553 จำนวน 10 ล้านบาท ให้ความช่วยเหลือให้ทุนการศึกษาแก่บุตร ธิดาของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ดูแลความไม่สงบพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จนเป็นเหตุให้เสียชีวิตและทุพพลภาพ ทั้งนี้จะพิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์การให้ทุนใหม่อีกครั้ง หยุดออกใบอนุญาตวิทยุชุมชน ชั่วคราว คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช. เปิดเผยว่า จะงดให้ใบอนุญาตชั่วคราวแก่ผู้ประกอบการวิทยุชุมชน เนื่องจากในช่วงเดือนสิงหาคม 2553 กทช. ได้เปิดให้ยื่นขอมีใบอนุญาตชั่วคราว 1 ปีไปแล้ว และที่ผ่านมาก็ได้มีการประชาสัมพันธ์ให้ทราบอย่างทั่วถึง ข้าวไทยช่วยเฮติแผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2553 เกิดแผ่นดินไหวที่ระดับความลึกเพียง 8 กิโลเมตรใต้ดิน ห่างจากกรุงปอร์โตแปรงซ์เมืองหลวงของประเทศเฮติ 16 กิโลเมตร วัดความสั่นสะเทือนได้ในระดับ 7.3 ริกเตอร์ ทำให้เกิดความเสียหาย อาคารจำนวนมากพังทลาย มีผู้เสียชีวิตทันทีเพราะถูกอาคารถล่มทับและติดอยู่ในซากอาคารอีกเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นยังมีอาฟเตอร์ช็อคเกิดอีกหลายครั้ง ในชั้นต้นคาดว่ามีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1 แสนคน ในชั้นต้น ประเทศต่างๆ ได้ให้ความช่วยเหลือโดยส่งทีมกู้ภัยไปช่วยค้นหาผู้ที่เสียชีวิต และหลังจากนั้นก็ได้มีการส่งเงินและสิ่งของบรรเทาทุกข์ ได้แก่ อาหารและเต้นท์ที่พักชั่วคราวไปให้ ประเทศไทยได้ให้ความช่วยเหลือในทันทีเป็นเงิน 2 หมื่นดอลลาร์ และหลังจากนั้นได้ส่งเงินเพิ่มเติมให้อีก 30 ล้านบาท และข้าวสารอีก 2 ล้านตัน เพื่อบรรเทาการขาดแคลนอาหารที่มีความรุนแรงถึงขั้นที่ผู้รอดชีวิตหลายคนถึงกับออกมาปล้นแย่งชิงสิ่งของจากหน่วยช่วยเหลือ ต่อ พ.ร.ก. ฉุกเฉินชายแดนใต้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2553 มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไปอีก 3 เดือน โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2553 ถึงวันที่ 19 เมษายน 2553 ทั้งนี้ ในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมาการประกาศใช้พระราชบัญญัติบริหารราชการฉุกเฉินดังกล่าวส่งผลให้เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมผู้ต้องสงสัยได้รวม 171 คน