ธันวาคม 2552 : พระบรมราโชวาทปีใหม่ : ยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก ในหลวงพระราชทานพรปีใหม่ รัฐบาลแถลงผลงานครบรอบ 1 ปี คนไทยใช้พลังงานเพิ่ม สวนกระแสเศรษฐกิจติดลบ ถอนมติ ครม. หนุนเขาพระวิหาร ครม. เร่งตามงบไทยเข้มแข็ง ลูกจ้างเฮ ครม. ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ วิทยา ลาออกจาก รมต.สาธารณสุข โทลล์เวย์แจงเหตุขยายสัมปทาน-ปรับค่าผ่านทาง ยอดหนี้สาธารณะ ต.ค. 45.83% ศาลฎีกาสอบเพิ่มคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ครม. เห็นชอบ กม.ค้าปลีกฯ สุรยุทธ์ ปัดตัวกลางคุย พ.ต.ท.ทักษิณ ครม. ต่ออายุ 5 มาตรการ แค่ 3 เดือน ครม. ให้หยุดสงกรานต์-วันแม่เพิ่ม พระราชทานอภัยโทษ ศิวรักษ์ ทุ่มงบ 4 พันล้าน ผลิตครูพันธุ์ใหม่ ครม. ไฟเขียว ขสมก. กู้กว่าพันล้าน ในหลวงพระราชทานพรปีใหม่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพรเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ประจำปี พ.ศ. 2553 ผ่านทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ เมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2552 แก่ประชาชนชาวไทย ความว่า “ประชาชนชาวไทยทั้งหลาย บัดนี้ถึงวาระจะขึ้นปีใหม่ ข้าพเจ้าขอส่งความปรารถนาดีมาอวยพรแก่ท่านทุกๆ คน ทั้งขอขอบใจท่านเป็นอย่างมากที่วิตกห่วงใยในการเจ็บป่วยของข้าพเจ้าและแสดงออกโดยประการต่างๆ จากใจจริง ที่จะให้ข้าพเจ้าหายเจ็บป่วยและมีความสุขสวัสดี ความสุขสวัสดีนี้ เป็นสิ่งที่พึงปรารถนาอย่างยิ่งของคนเรา แต่จะสำเร็จผลเป็นจริงได้มากน้อยเพียงใด ย่อมขึ้นอยู่กับความสามารถและสติปัญญา ในการประพฤติปฏิบัติงานของแต่ละบุคคล ในปีใหม่นี้ จึงขอให้ชาวไทยทุกคนได้ตั้งจิตตั้งใจให้เที่ยงตรงแน่วแน่ ที่จะประพฤติตัวปฏิบัติงานให้เต็มกำลังความสามารถ โดยมีสติรู้ตัวและปัญญารู้คิดกำกับอยู่ตลอดเวลา กล่าวคือจะคิดจะทำสิ่งใด ต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดีให้รอบคอบ ทำให้ดี ให้ถูกต้อง ข้อสำคัญจะต้องระลึกรู้โดยตระหนักว่าประโยชน์ส่วนรวมนั้น เป็นประโยชน์ที่แต่ละคนพึงยึดถือเป็นเป้าหมายหลัก ในการประพฤติตัวและปฏิบัติงาน เพราะเป็นประโยชน์ที่ยั่งยืนแท้จริง ซึ่งทุกคนมีส่วนได้รับทั่วถึงกัน ความสุขสวัสดีจักได้เกิดมีขึ้น ทั้งแก่บุคคล ทั้งแก่ชาติบ้านเมืองไทย ดังที่ทุกคนทุกฝ่ายได้ตั้งใจปรารถนา ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวไทยเคารพบูชา จงอภิบาลรักษาท่านทุกคน ให้ปราศจากทุกข์ ปราศจากโรคภัย ให้มีความสุขกายสุขใจและความสำเร็จสมประสงค์ ตลอดศกหน้านี้โดยทั่วกัน” รัฐบาลแถลงผลงานครบรอบ 1 ปี เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2552 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงผลงานรัฐบาลรอบ 1 ปี โดยสรุปดังนี้ 1. พิทักษ์ระบบสถาบันสูงสุด โดยรัฐบาลได้ทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้สถาบันเข้ามามีส่วนในความขัดแย้งทางการเมือง 2. นำพาบ้านเมืองพ้นวิกฤต โดยเปรียบเทียบ พบว่า ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาอย่างชัดเจน 1 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลสามารถรักษาความสงบในบ้านเมืองได้ 3. วิกฤตเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลสามารถทำให้พ้นจากจุดต่ำสุดด้วยมาตรการต่างๆ จนทำให้เศรษฐกิจกลับมาบวกอีกครั้ง 4. ปัญหาเรื่องความแตกแยกที่เกิดจากปัญหาทางการเมือง รัฐบาลสามารถดำเนินการด้วยการไม่แบ่งแยกประชาชนด้วยวิธีการต่างๆ ทุกรูปแบบ รวมทั้งหาข้อยุติโดยให้ประชาชนทำประชามติ 5. ผลักดันนโยบายหลักของพรรคไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนฟรี เบี้ยยังชีพ ไทยเข้มแข็ง และอื่นๆ 6. เสริมสร้างความเข้มแข็งและรักษาระบบประชาธิปไตย โดยหนุนให้มีการทำงานในระบบรัฐสภา เพื่อแก้ปัญหาประเทศชาติและสังคม ไม่เข้าไปแทรกแซงองค์กรอิสระ คนไทยใช้พลังงานเพิ่มสวนกระแสเศรษฐกิจติดลบ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า ตลอดปี 2552 ประเทศไทยใช้พลังงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน เนื่องจากราคาน้ำมันอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก ยกเว้นพลังงานน้ำที่มีการใช้ลดลง เนื่องจากปีที่ผ่านมามีปริมาณน้ำในการนำมาผลิตไฟฟ้าน้อยลง ขณะที่การใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.1 ทั้งนี้ การใช้ไฟฟ้าในแต่ละปี จะเป็นตัวชี้วัดภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ถอนมติ ครม. หนุนเขาพระวิหาร เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2552 ศาลปกครองกลางพิพากษาให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2551 สมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี ในการเห็นชอบให้นายนพดล ปัทมะ ลงนามในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทยและกัมพูชา พร้อมแผนที่แนบท้าย ซึ่งร่วมลงนามเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2551 ในการขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งจัดทำขึ้นโดยรัฐบาลกัมพูชา ทั้งนี้ ขณะที่คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลปกครองกลางและศาลปกครองสูงสุด ห้ามไม่ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและคณะรัฐมนตรีในขณะนั้น นำมติคณะรัฐมนตรีมาใช้ในการดำเนินการใดๆ และยังมีผลคุ้มครองชั่วคราวต่อไปจนกว่าคดีนี้จะถึงที่สิ้นสุด ครม.เร่งตามงบไทยเข้มแข็ง ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินโครงการลงทุนไทยเข้มแข็ง 5 มาตรการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1. กำหนดเป้าหมายการเบิกจ่ายต้องไม่น้อยกว่า 100% ของวงเงินตามที่ได้รับอนุมัติในงบประมาณปี 53 2. ให้หน่วยงานส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาขอจัดสรรเงินให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2553 และ ให้สำนักงบประมาณดำเนินการอนุมัติภายใน 15 วันทำการ โดยหลังจากได้รับอนุมัติแล้วหน่วยงานจะต้องลงนามในสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 8 เมษายน 2553 3. ให้หน่วยงานที่ได้รับเงินโครงการลงทุนในปีงบประมาณ 2553 บันทึกข้อมูลแผนงาน และรายงานความสำเร็จในแต่ละเดือน และรายไตรมาส เพื่อเป็นข้อมูลในการติดตามในการเบิกจ่ายต่อไป 4. ให้นำอัตราการเบิกจ่ายเงินโครงการลงทุนภายใต้ไทยเข้มแข็งตามเป้าหมายที่ ครม. ได้กำหนด เป็นตัวชี้วัดในคำรับรองการปฏิบัติราชการของหน่วยงาน 5. ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับเงินลงทุนอย่างเคร่งครัดและปฏิบัติตามแผนงานให้ชัดเจน ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2552 มีมติให้ปรับเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปี 2553 ตั้งแต่วันละ 1 บาท สูงสุดวันละ 8 บาท ใน 71 จังหวัด ขณะที่มี 5 จังหวัดไม่ได้รับการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ได้แก่ แม่ฮ่องสอน สุโขทัย เชียงราย เพชรบูรณ์ และอุทัยธานี ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี เห็นว่า ควรมีการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำพร้อมกันทั้งหมดทั่วประเทศ อย่างน้อยวันละ 1 บาท จึงสั่งการให้กระทรวงแรงงานและคณะกรรมการค่าจ้างกลับไปศึกษาเรื่องการปรับเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในจังหวัดที่ไม่ได้รับการปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ 5 จังหวัดดังกล่าว วิทยา ลาออก รมต.สาธารณสุข นายวิทยา แก้วภราดัย ได้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขแล้ว หลังจากที่คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงการทุจริตโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ที่มีนายแพทย์บรรลุ ศิริพาณิช เป็นประธาน สรุปผลสอบว่า รัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ส่อเจตนาไม่สุจริตในการอนุมัติโครงการ ซึ่งการลาออกจะมีผลในวันที่ 30 ธันวาคม 2552 โทลล์เวย์แจงเหตุขยายสัมปทาน-ปรับค่าผ่านทาง เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2552 บมจ.ทางยกระดับดอนเมือง ผู้รับสัมปทานโครงการทางยกระดับอุตราภิมุข (ดอนเมืองโทลล์เวย์) ระบุว่า การแก้ไขสัญญาสัมปทานในอดีตเป็นเพราะฝ่ายรัฐทำผิดสัญญา ส่งผลให้การปรับอัตราค่าผ่านทางไม่เป็นไปตามสัญญา ซึ่งนำมาสู่การแก้ไขสัญญาในปี 2539 และปี 2550 รวมถึงการขยายโครงสร้างการปรับค่าผ่านทางเพื่อชดเชยภาระขาดทุนที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ได้มีการปรับขึ้นค่าผ่านทาง จากสูงสุด 55 บาท เป็น 85 บาท (สำหรับรถยนต์ 4 ล้อ) โดยมีผลตั้งแต่ 22 ธันวาคม 2552 จนถึงวันที่ 21 ธันวาคม 2557 ยอดหนี้สาธารณะ ตุลาคม 45.83% สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือน ตุลาคม 2552 มีจำนวน 3.993 ล้านล้านบาท คิดเป็น 45.83% ของ GDP ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 8,898.23 ล้านบาท สำหรับยอดหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมด แยกเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 2.584 ล้านล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน 1.103 ล้านล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกัน 209,596 ล้านบาท และหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 96,182 ล้านบาท เป็นสัดส่วนหนี้ต่างประเทศ 379,163 ล้านบาท คิดเป็น 9.50% และหนี้ในประเทศ 3.613 ล้านล้านบาท คิดเป็น 90.50% เป็นหนี้ระยะยาว 3.630 ล้านล้านบาท คิดเป็น 90.92% และหนี้ระยะสั้น 362,520 ล้านบาท คิดเป็น 9.08% ศาลฎีกาสอบเพิ่มคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2552 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไต่สวนพยานอัยการ 2 ปากสุดท้าย ประกอบด้วย นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีต รมว.ต่างประเทศ และนายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นอดีต คตส. ในคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำนวน 7.6 หมื่นล้านบาทเศษ ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ฐานมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยนายสุรเกียรติ์ เบิกความเกี่ยวกับประเด็นการปล่อยกู้เงินจำนวน 4 พันล้านบาท แก่รัฐบาลพม่า ผ่านธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า หรือ เอ็กซิมแบงก์ เพื่อการพัฒนาประเทศพม่า เมื่อปี 2547 ขณะที่นายกล้านรงค์ เบิกความ เหตุที่ต้องดำเนินคดี พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะใช้อำนาจหน้าที่ สร้างผลประโยชน์ขัดกันระหว่างส่วนตัวและส่วนรวมในการออกนโยบาย ขณะที่ดำรงตำแหน่งนายกฯ 5 เรื่อง 1. การออก พ.ร.ก.ภาษีสรรพสามิต ในกิจการโทรคมนาคม 2. การแก้ไขสัญญาสัมปทาน การให้บริการโทรศัพท์ระบบบัตรเติมเงิน 3. การแก้ไขสัญญาการลงทุน สร้างโครงข่ายสัญญาณร่วม หรือโรมมิ่ง 4. การลงทุนดาวเทียม และ 5. การปล่อยกู้ให้กับรัฐบาลพม่า 4,000 ล้านบาท ทั้งนี้ หลังศาลได้ไต่สวนพยานเสร็จสิ้น ศาลฎีกาจึงได้นัดสอบพยานเพิ่มอีก 2 ครั้ง คือ ในวันที่ 12 และ 14 มกราคม 2553 ร่าง พ.ร.บ. ค้าปลีกค้าส่ง ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2552 มีมติเห็นชอบหลักการร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง และมอบหมายให้คณะกรรมการกฤษฎีกานำไปจัดทำรายละเอียดถ้อยคำต่างๆ โดยให้ใช้ร่างฯ ฉบับของกระทรวงพาณิชย์เป็นหลัก คาดว่าขั้นตอนของกฤษฎีกาจะใช้เวลาไม่เกิน 6 เดือน ก่อนเสนอกลับมายัง ครม. อีกครั้ง สาเหตุที่ต้องออกกฎหมายเพื่อควบคุมการค้าปลีกค้าส่ง ก็เพราะธุรกิจขนาดใหญ่ขยายสาขาอย่างรวดเร็วเข้าไปสู่พื้นที่ระดับตำบลหรือชุมชนเล็กๆ ทำให้เกิดผลกระทบต่อร้านค้าปลีกดั้งเดิม (โชห่วย) เพราะไม่สามารถจะแข่งขันได้ ที่ผ่านมาต้องใช้กฎหมายผังเมืองในการควบคุมการขยายพื้นที่เพียงอย่างเดียว ซึ่งไม่สามารถจะควบคุมการประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งได้ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องออกกฎหมายเพื่อจัดระเบียบเพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม ธุรกิจทุกขนาดทุกประเภทจะสามารถอยู่ร่วมกันได้ตามความเหมาะสมของสภาพเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมในแต่ละท้องถิ่น โดยมีกระบวนการพัฒนา และมีมาตรการป้องกันบรรเทาผลกระทบต่อธุรกิจชุมชน สิ่งแวดล้อม และให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการซื้อและบริโภคสินค้าตามความเหมาะสม สุรยุทธ์ ปัดตัวกลางคุยทักษิณ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนภายหลังถูกนำเสนอข่าวว่าเป็นคนกลางในการเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า ไม่เคยปฏิเสธที่จะพูดคุย เพราะเคยคุยด้วยกันแม้กระทั่งในงานศพมารดาของพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่หน้าที่ของตนเองที่จะเป็นคนกลางในการเจรจาเพื่อความสมานฉันท์ เพราะคนกลางที่ควรจะเป็นผู้เจรจาคือผู้ที่มีอำนาจในขณะนี้ ก็คือ รัฐบาล และสื่อก็ควรจะพิจารณาด้วยความรอบคอบ เพราะข่าวที่ออกมาทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ทั้งนี้ จากกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ยื่นข้อเสนอขอกลับคืนสู่สถานะเดิมก่อน 19 กันยายน 2552 ภายใต้เงื่อนไข 3 ข้อ คือ 1.ให้กลับไปใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 2.ยุบสภา และ 3.ยอมรับผลการเลือกตั้งใหม่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในการเจรจานั้น จะต้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ รับผิดตามกฎหมายก่อน ครม. ต่ออายุ 5 มาตรการ แค่ 3 เดือน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอให้ต่ออายุ 5 มาตรการบรรเทาค่าครองชีพของประชาชนต่อไปอีก 3 เดือน แต่จะมีการปรับลดเงื่อนไขการใช้น้ำประปาฟรีลงมาจากเดิม คือ สูงสุดไม่เกิน 30 ยูนิต เหลือเพียง 20 ยูนิต สำหรับมาตรการอื่นๆ ยังคงเงื่อนไขเดิม อาทิ ค่าไฟฟรี สำหรับผู้ใช้ไฟไม่เกิน 90 หน่วย รถไฟชั้น 3 ฟรี รถโดยสารประจำทางขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ให้บริการฟรีในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 800 คัน รวม 73 เส้นทาง และตรึงราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) โดยรัฐบาลคาดว่า จะต้องใช้งบประมาณ 1 หมื่นล้านบาท หากต่ออายุมาตรการอีก 6 เดือน แต่เมื่อมีมติช่วยลดค่าครองชีพเพียง 3 เดือน งบประมาณก็จะลดลง ครม. ให้หยุดสงกรานต์-วันแม่เพิ่ม เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2552 ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเติมในปี 2553 เพื่อเป็นวันหยุดต่อเนื่อง ได้แก่ ช่วงวันสงกรานต์ให้หยุดเพิ่มในวันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2553 เพื่อให้หยุดต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 13-18 เมษายน 2553 และวันที่ 13 สิงหาคม 2553 เพื่อให้เป็นวันหยุดต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 12-15 สิงหาคม 2553 ในช่วงวันแม่ พระราชทานอภัยโทษศิวรักษ์ พระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี พระมหากษัตริย์กัมพูชา ได้พระราชทานอภัยโทษแก่ นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรชาวไทยที่ถูกศาลตัดสินจำคุก 7 ปี ในข้อหาจารกรรมข้อมูลที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของกัมพูชา โดยศาลกัมพูชาตัดสินจำคุก 7 ปี และปรับ 1 แสนบาท ในคดีจารกรรมข้อมูล ทั้งนี้ จะมีการปล่อยตัวนายศิวรักษ์ ในวันที่ 14 ธ.ค.นี้ ทุ่มงบ 4 พันล้าน ผลิตครูพันธุ์ใหม่ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีความเห็นชอบในโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่ ซึ่งเป็นโครงการที่ต้องการผลิตครูให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) โดยเฉพาะสาขาวิชาที่ขาดแคลน จำนวน 30,000 คน ภายใน 5 ปี โดยจะเริ่มตั้งแต่ปี 2553 -2558 ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 4,200 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือ หลักสูตรครู 5 ปี โดยการรับนักเรียนที่จบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายหรือนักเรียนที่จบการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ที่มีผลการเรียนเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3.00 เข้ามาเรียนในคณะครุศาสตร์หรือศึกษาศาสตร์ และหลักสูตร 4+1 โดยการนำผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีในสาขาวิชาที่ขาดแคลน อาทิ คณิตศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์ เข้ามาเรียนวิชาครูเพิ่มอีก 1 ปี สำหรับผู้ที่มีผลการเรียนสะสมไม่ถึง 3.00 แต่ต้องการเข้าร่วมโครงการสามารถเข้าร่วมโครงการได้ เพื่อไปบรรจุให้พื้นที่ที่ขาดแคลนครูหรือพื้นที่ที่ห่างไกล โดยมีหลักประกันว่าผู้เข้าร่วมโครงการทั้งหมดจะได้รับการบรรจุเป็นครูแน่นอน ครม. ไฟเขียว ขสมก. กู้กว่าพันล้าน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กู้เงินเพื่อนำมาสนับสนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2553 จำนวน 1,128 ล้านบาท โดยรัฐบาลจะเป็นผู้รับภาระคืนเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ใช้ในการกู้เงินครั้งนี้