พฤศจิกายน 2552 : เขมรไม่ส่ง ทักษิณ ให้ไทย เขมรไม่ส่งทักษิณให้ไทย วุฒิคว่ำ กม. ตรวจเงินแผ่นดิน ผู้เสียภาษีบริจาคให้พรรคน้อยมาก ศาลปกครองแก้ไขคำสั่งระงับโครงการมาบตาพุด ติดกล้อง CCTV ณ จุดผ่านแดนทั่วประเทศ รัฐเก็บภาษีเดือน ต.ค.ได้เกินเป้า โครงการแก้ไขหนี้นอกระบบ ขยายวงเงินรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ไทยได้ที่ 84 ด้านความโปร่งใส "สมัคร" ถึงแก่อสัญกรรม เขมรไม่ส่งทักษิณให้ไทย เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2552 รัฐบาลกัมพูชาได้ยื่นจดหมายการทูตอย่างเป็นทางการให้แก่เจ้าหน้าที่ไทยประจำกรุงพนมเปญ ปฏิเสธที่จะส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตามที่รัฐบาลไทยได้มีคำขอร้องให้ทางการกัมพูชาจับกุมตัวชั่วคราวเพื่อส่งกลับไปดำเนินคดีที่ประเทศไทย ตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ก่อนหน้านี้ ประเทศกัมพูชาได้แต่งตั้งให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจและ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เดินทางไปยังประเทศนั้นในระหว่างวันที่ 11 - 14 พฤศจิกายน 2552 หลังจากที่ยื่นหนังสือปฏิเสธการส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว ในวันเดียวกัน ทางการกัมพูชาได้จับกุมตัวนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ เจ้าหน้าที่ในบริษัทแคมโบเดีย แอร์ทราฟฟิก เวอร์วิสเซส จำกัด หรือ CATS ซึ่งเป็นบริษัทในเครือสามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในข้อหาเป็นสายลับและกระทำจารกรรมเนื่องจากส่งตารางการบินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้แก่สถานทูตไทย และในวันต่อมาทางการกัมพูชาได้เชิญตัวนายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย เจ้าหน้าที่สถานทูตให้ออกนอกประเทศ เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ทางการไทยมีดำริจะยกเลิกหนังสือสัญญา [MOU: Memorandum of Understanding] ที่ทั้งสองประเทศมีต่อกัน ดังนั้นในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2552 นายกอย กวง โฆษกกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา จึงแถลงว่า กัมพูชาจะไม่รับเงินกู้จำนวน 1,400 ล้านบาท จากไทยตามที่ได้ตกลงกันไว้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2552 เพื่อนำไปใช้สร้างถนนหลวงจากชายแดนของไทย โดย นายกวง ให้เหตุผลว่ากัมพูชามีงบประมาณมากพอที่จะใช้ในการสร้างถนนได้เอง ระหว่างที่นายศิวรักษ์ ถูกคุมขัง ทางการกัมพูชาได้อนุญาตให้นางสิมารักษ์ ณ นครพนม และ นายพงษ์สุรีย์ ชุติพงษ์ มารดาและน้องชายเข้าเยี่ยมได้ และมีข่าวว่าศาลกัมพูชาจะมีคำพิพากษาในเร็วๆ นี้ วุฒิฯ คว่ำ กม. ตรวจเงินแผ่นดิน เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2552 ที่ประชุมวุฒิสภาได้ลงมติเห็นชอบด้วยคะแนน 70 ต่อ 53 งดออกเสียง 16 และไม่ลงคะแนน 2 เสียง ทำให้คะแนนเสียงเห็นชอบไม่ถึงกึ่งหนึ่งตามที่กฎหมายกำหนด จึงมีผลให้ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. .... ตกไป ในการพิจารณาของวุฒิสภามีข้อคิดเห็นว่าร่างกฎหมายฉบับนี้ให้อำนาจคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินและสำนักงานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินมากเกินไป จึงทำให้มีผู้ไม่เห็นด้วยถึง 53 เสียง แต่อย่างไรก็ตาม หากสภาผู้แทนฯ มีมติยืนยันร่างเดิมด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของ ส.ส. ทั้งหมดที่มีอยู่ ให้ถือว่าร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา และให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ ภายใน 20 วัน ผู้เสียภาษีบริจาคให้พรรคการเมืองน้อยมาก เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2552 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แจ้งว่า ในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษี 2551 นั้น มีผู้เสียภาษีแสดงเจตนาที่จะบริจาคเงินภาษีให้แก่พรรคการเมืองต่างๆ รวม 66 พรรคเป็นจำนวน 69,451 ราย หรือประมาณ 0.7% ของผู้ที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทั้งหมด 9.7 ล้านราย โดยที่ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 กำหนดว่า ผู้ที่เสียภาษีเงินได้สามารถบริจาคเงินให้พรรคการเมืองได้ปีละ 100 บาท/ราย โดยหักจากจำนวนเงินที่เสียภาษีประจำปี และรัฐจะสนับสนุนเงินสมทบอีกร้อยละ 5 ของเงินบริจาคนั้น ดังนั้นในปีภาษีที่ผ่านมา จึงมียอดเงินบริจาคจากผู้เสียภาษี 6,945,100 บาท และมีเงินสมทบจากรัฐอีก 347,255 บาท ทำให้มีเงินบริจาคเข้าพรรคการเมืองต่างๆ ทั้งสิ้น 7,292,355 บาท ซึ่งในจำนวนนี้ 59,768 ราย หรือประมาณ 86% ระบุว่าบริจาคให้แก่พรรคประชาธิปัตย์ และอีก 7,941 ราย หรือประมาณ 11.43% บริจาคให้พรรคเพื่อไทย การบริจาคเงินภาษีให้แก่พรรคการเมืองสามารถกระทำได้โดยการระบุชื่อพรรคลงในแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ศาลปกครองแก้ไขคำสั่งโครงการมาบตาพุด เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2552 ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้แก้ไขคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวที่ศาลปกครองกลางสั่งให้ระงับโครงการลงทุน 76 โครงการในมาบตาพุดไว้ก่อนจนกว่าจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น โดยศาลปกครองสูงสุดได้มีมติ 6 ต่อ 1 ให้ 11 โครงการดำเนินการต่อไปได้ เนื่องจากเห็นว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เรื่องนี้มีมูลเหตุมาจากการที่นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนและประชาชนชาวมาบตาพุด รวม 43 ราย ได้ยื่นฟ้องคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และหน่วยงานของรัฐอีกหลายแห่งว่าร่วมกันออกคำสั่งโดยไม่ถูกต้องตามขั้นตอนวิธีการที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย และละเลยต่อหน้าที่ ตามมาตรา 67 วรรค 2 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ที่กำหนดว่า โครงการซึ่งจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจะต้องจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียก่อน และให้องค์กรอิสระจัดทำการศึกษาและประเมินผลกระทบต่อชุมชนทั้งด้านสุขภาพอนามัยและสิ่งแวดล้อม ในวันที่ 29 กันยายน 2552 ศาลปกครองกลางจึงมีคำสั่งให้บรรเทาทุกข์ชั่วคราวโดยการระงับ 76 โครงการ ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนรวมทั้งสิ้น 400,000 ล้านบาท เอาไว้ก่อน แต่เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อทั้งเศรษฐกิจ การลงทุน และความเชื่อมั่นของต่างประเทศ รัฐบาลจึงยื่นคำร้องไปยังศาลปกครองสูงสุด ซึ่งศาลได้มีคำสั่งให้ 11 โครงการที่ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และคุณภาพชีวิตของประชาชนสามารถเดินหน้าได้ เนื่องจากเป็นโครงการประเภทการคมนาคม, พลังงานสะอาด และโครงการที่ปรับปรุงคุณภาพสิ่งแวดล้อมหรือลดมลภาวะ เป็นต้น ส่วนอีก 65 โครงการที่เหลือ ซึ่งมีทั้งโครงการที่กำลังดำเนินอยู่ โครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และโครงการที่อยู่ระหว่างการยื่นคำขอประกอบกิจการ ให้ระงับไว้ก่อนตามคำสั่งเดิม เพราะเชื่อว่าจะเป็นโครงการที่ส่งผลกระทบรุนแรง เนื่องจากเป็นโครงการประเภทปิโตรเคมี, ท่อส่งฯ, เหล็ก, โรงไฟฟ้า และกำจัดของเสีย เป็นต้น ปัญหาเรื่องมาบตาพุดทำให้รัฐบาลตั้งคณะทำงาน 4 ฝ่าย ประกอบด้วย ภาคประชาชน นักวิชาการ เอกชน และภาครัฐ เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาในนิคมอุตสาหกรรม โดยมีนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน คณะกรรมการนี้มีอำนาจหน้าที่ ตรวจสอบการดำเนินโครงการทั้ง 76 โครงการว่าโครงการใดส่งผลกระทบรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน หากโครงการใดไม่มีผลกระทบก็สามารถดำเนินการต่อไปได้ ตรวจสอบโครงการทั้งหมดในนิคมมาบตาพุดว่ามีโครงการใดก่อปัญหามลพิษหรือไม่ จัดทำข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2552 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบกลาง จำนวน 400 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือชุมชนในพื้นที่ดังกล่าว โดยจะเร่งรัดดำเนินการจัดการปัญหาขยะ และพื้นที่ขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค ตลอดจนการปรับปรุงโรงพยาบาลเพื่อให้เป็นหน่วยงานดูแลรักษาสุขภาพที่ได้มาตรฐาน ติด CCTV จุดผ่านแดนทั่วประเทศ กรมศุลกากรได้ติดตั้งระบบโทรทัศน์วงจรปิดจำนวน 1,212 จุดทั่วประเทศ งบประมาณทั้งสิ้น 740 ล้านบาท ที่บริเวณจุดผ่านแดนถาวร ด่านศุลกากรท่าเรือ ท่าอากาศยานนานาชาติ ซึ่งจะเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายด้วยวงจรสื่อสารความเร็วสูงมายังศูนย์ควบคุม เพื่อประโยชน์ในการอำนวยความสะดวกทางการค้า ป้องกันและรักษาความปลอดภัย ควบคุมจุดนำเข้า-ส่งออกชายแดน ป้องกันและปราบปรามการลักลอบหนีศุลกากร รวมทั้งใช้เป็นข้อมูลให้กับหน่วยงานต่างๆ เช่น กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานข่าวกรอง เพื่อตรวจสอบย้อนหลังได้ โครงการนี้เป็นไปตามแผนปฏิรูปกรมศุลกากร เพื่ออำนวยความสะดวกทางด้านการค้า ซึ่งกรมฯ ดำเนินโครงการดังกล่าวตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 17 กรกฎาคม 2550 โดยมีบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินการเป็นเวลา 5 ปี รัฐเก็บภาษีเดือน ต.ค. ได้เกินเป้า สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลในเดือนตุลาคม 2552 ซึ่งเป็นเดือนแรกของปีงบประมาณ 2553 สามารถจัดเก็บรายได้สุทธิ 111,052 ล้านบาท ซึ่งสูงเกินเป้า 16.2% หรือคิดเป็นเงินจำนวน 15,484 ล้านบาท โดยเป็นผลพวงจากการฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจ ทำให้การนำเข้าและการบริโภคภายในประเทศเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น รวมทั้งการปรับเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทำให้การจัดเก็บรายได้ของ 3 กรมหลักสูงกว่าเป้าหมายในอัตราที่สูง โครงการแก้หนี้นอกระบบ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2552 รัฐบาลได้เปิดให้ผู้ที่เป็นหนี้นอกระบบได้ลงทะเบียนเพื่อขอรับความช่วยเหลือจากรัฐตามโครงการแก้ไขหนี้นอกระบบ โดยเปิดให้ผู้ที่มีหนี้ไม่เกิน 2 แสนบาทต่อราย ไปขึ้นทะเบียนที่ธนาคารออมสินหรือธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรได้ภายในวันที่ 1 ถึง 30 ธันวาคม 2552 โดยมีเป้าหมายว่าหลังจากนั้นจะให้มีการเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อประนอมหนี้และโอนหนี้มายังธนาคารที่เข้าร่วมโครงการเพื่อจะได้เสียดอกเบี้ยถูกลง โครงการนี้สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call center โทรศัพท์หมายเลข 02-555-0555 ขยายวงเงินรถไฟฟ้าสายน้ำเงิน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2552 มีมติเห็นชอบให้ขยายกรอบวงเงินค่าก่อสร้างงานโยธาโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ อีกจำนวน 3,639 ล้านบาท ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น จากเดิม 48,821 ล้านบาท เป็น 52,460 ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมไปหารือในรายละเอียดร่วมกับสำนักงบประมาณ และกรมบัญชีกลาง แล้วนำกลับมาเสนอที่ประชุมฯ พิจารณาครั้งต่อไป ไทยโปร่งใสอันดับที่ 84 องค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย (Transparency Thailand) เปิดเผยผลการจัดอันดับดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชั่นประจำปี พ.ศ. 2552 พบว่า ประเทศไทยได้ 3.4 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน อยู่อันดับที่ 84 จากการจัดอันดับทั้งหมด 180 ประเทศทั่วโลก และอยู่อันดับที่ 10 จาก 23 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย สำหรับประเทศที่ครองตำแหน่งสามอันดับแรก คือ นิวซีแลนด์ (9.4 คะแนน) เดนมาร์ก (9.3) และสิงคโปร์ (9.2) "สมัคร"ถึงแก่อสัญกรรม นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี วัย 74 ปี ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2552 ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ หลังเข้ารับการรักษาอาการป่วยด้วยโรคมะเร็งตับ หลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 และการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 พรรคพลังประชาชนซึ่งได้รับคะแนนเสียงมากที่สุดได้เสนอชื่อนายสมัคร เป็นนายกรัฐมนตรี และดำรงตำแหน่งนายกฯ คนที่ 25 ในระหว่างเดือนมกราคมถึงกันยายน 2551 นายสมัคร ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าขาดคุณสมบัติการเป็นนายกฯ เนื่องจากได้รับค่าตอบแทนจากรายการโทรทัศน์ที่ตนเป็นพิธีกร จึงต้องพ้นจากตำแหน่ง และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จากพรรคเดียวกัน ได้รับการโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อมา ก่อนหน้านี้ นายสมัคร เคยดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมือง อาทิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (ดำรงตำแหน่ง 29 มกราคม พ.ศ. 2551 - 9 กันยายน พ.ศ. 2551) หัวหน้าพรรคพลังประชาชน อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้ก่อตั้งพรรคประชากรไทย