“ร่าง พ.ร.บ. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ....” (ฉบับประชาชน) เสนอโดยสถาบันนโยบายศึกษา ลงทะเบียน เรื่องสิทธิมนุษยชนแม้จะได้มีการบรรจุรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยมีองค์กรอิสระ คือ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นองค์กรหลัก และยังมีหน่วยงานในกระทรวงยุติธรรมทำหน้าที่ส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน แต่ก็ยังนับว่าเป็นเรื่องใหม่ที่จำเป็นต้องใช้เวลาในการเผยแพร่ทั้งแนวคิดและแนวทางในการปฏิบัติ เพื่อให้เป็นมาตรฐานที่ถูกต้องทางสังคม สถาบันนโยบายศึกษา โดยการสนับสนุนของมูลนิธิคอนราด อาเดนาวร์ จึงจัดการประชุมระดมความคิดเพื่อรับฟังข้อคิดเห็นจากประชาชน เรื่อง “ร่าง พ.ร.บ.คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ....” (ฉบับประชาชน) เมื่อวันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2552 ณ ห้องทับทิม 2 โรงแรมไดมอนด์ พลาซ่า อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี โดยมีนักวิชาการ นักสิทธิมนุษยชน นักศึกษา ประชาชนพระสงฆ์และสามเณรให้ความสนใจเข้าร่วม จำนวน 101 คน บรรยากาศภายในห้องประชุม โดยมีคุณทิพย์พาพร ตันติสุนทร ผอ.ร่วม สถาบันนโยบายศึกษา กล่าวเปิดงาน โดยกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการประชุมระดมความคิดครั้งนี้ว่า เพื่อนำเสนอ “ร่าง พ.ร.บ. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ....” (ฉบับประชาชน) ต่อประชาชนในภูมิภาค เนื่องจากการรับรู้เรื่องสิทธิมนุษยชนที่เป็นรูปธรรมและการปกป้องสิทธิของตนเองยังมีน้อย และเพื่อหารือรับฟังข้อเสนอแนะมาพัฒนาปรับปรุงร่างดังกล่าวให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น คุณโสพล จริงจิตร ผู้อำนวยการกลุ่มตรวจสอบ เรื่องร้องเรียนศาล 3 สำนักงานคณะกรรมการ สิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จากนั้นคุณโสพล จริงจิตร ผอ.กลุ่มงานตรวจสอบเรื่องร้องเรียนศาล 3 สนง. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยมีคุณรัชฎาภรณ์ แก้วสนิท ส.ส. จังหวัดกาฬสินธุ์ พรรคประชาธิปัตย์ ผู้ทรงคุณวุฒิจากสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้แก่ คุณโสภณ ตะติโชติพันธุ์ คุณสุพจน์ เวชมุข พ.ต.อ.สมพล รัฐกาญจน์ ได้ร่วมนำเสนอความสำคัญของร่างฯ และรับฟังความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมประชุม คุณโสภณ ตะติโชติพันธุ์ ที่ปรึกษาประจำสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และ พ.ต.อ.สมพล รัฐกาญจน์ อนุกรรมการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน 4 ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้กล่าวถึงความสำคัญของร่างฯ ฉบับนี้ที่เขียนขึ้นมาโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก เพราะสิทธิมนุษยชน เป็นสิทธิที่ติดตัวของมนุษย์ ทุกคนมีสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคที่จะได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย สิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องของมนุษย์ทุกคนที่พึงมีสิทธิตั้งแต่พื้นฐาน อาทิ สิทธิในชีวิตและร่างกาย สิทธิในความคิด ไปจนกระทั่งสิทธิทางการเมือง สิทธิชุมชน ฯลฯ ซึ่งสิทธิต่างๆ มีการยอมรับทั้งในระดับประเทศ และระดับสากล ซึ่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจะทำหน้าที่เผยแพร่ความคิด ความเข้าใจสิทธิมนุษยชน เพื่อให้สังคม และบุคคลเคารพและปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศ คุณโสภณ ตะติโชติพันธุ์ ที่ปรึกษาประจำสำนักงาน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ต.อ.สมพล รัฐกาญจน์ อนุกรรมการคุ้มครองสิทธิ มนุษยชน 4 ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คุณสุพจน์ เวชมุข ผู้อำนวยการกลุ่มงาน ตรวจสอบเรื่องร้องเรียนศาล 2 สำนักงาน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คุณสุพจน์ เวชมุข ผอ.กลุ่มงานตรวจสอบเรื่องร้องเรียนศาล 2 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ได้นำความคิดเรื่องสิทธิมนุษยชนมาบัญญัติไว้ในมาตรา 4 เพื่อคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และมาตรา 26 เพื่อให้รัฐบาล ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่โดยคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ นอกจากนั้น รัฐธรรมนูญยังกำหนดให้มีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นหน่วยงานทำหน้าที่ตรวจสอบและรายงานการกระทำหรือละเลยการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน หากมีปัญหาหรือมีผู้ร้องเรียน สามารถเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง หรือฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมแทนผู้เสียหายได้ จะเห็นได้ว่างานการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนมีความสำคัญอย่างมาก และการมารับฟังความคิดเห็นของร่างฯ ในครั้งนี้ ก็เพื่อจะได้มีแนวทางในการปรับปรุงร่างฯ ให้มีความครอบคลุม เป็นรูปธรรม และเพื่อประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง คุณรัชฎาภรณ์ แก้วสนิท สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจังหวัดกาฬสินธุ์ พรรคประชาธิปัตย์ คุณรัชฎาภรณ์ แก้วสนิท สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกาฬสินธุ์ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเสริมว่า ประเทศไทยเราโชคดีที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้กำหนดให้มีการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางที่สุดฉบับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม สิทธิดังกล่าวเขียนไว้เป็นตัวหนังสือ ถ้ารัฐและสังคมไม่ยึดถือก็จะมีปัญหา ฉะนั้น สิ่งที่ตอกย้ำอีกครั้ง คือ เราต้องส่งเสริมความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม ความขัดแย้ง ความเอารัดเอาเปรียบก็จะน้อยลงแล้วแก้ไขได้ง่ายขึ้น ท้ายสุด ได้มีการแลกเปลี่ยนรับฟังความคิดเห็นจากผู้เข้าร่วมประชุมระดมความคิด เสียงส่วนใหญ่เสนอว่า อยากให้มีการสร้างเครือข่ายการปกป้องสิทธิมนุษยชน เพื่อไม่ให้มีการละเมิดเกิดขึ้น เพราะว่าประชาชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะที่อยู่ในชุมชนห่างไกลไม่มีความรู้เกี่ยวกับการป้องกันตัวเองจากการถูกละเมิดสิทธิ อยากให้มีแนวปฏิบัติระบุให้ชัดเจนลงใน พ.ร.บ.คณะกรรมการสิทธิฯ ที่จะช่วยประชาชนได้จริง เช่น การเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานหรือการรับบริการจากรัฐ มีสิทธิมากน้อยเพียงใด อยากให้ พ.ร.บ.คณะกรรมการสิทธิฯ ฉบับนี้มีส่วนทำหน้าที่สนับสนุนความเข้มแข็งของชุมชนด้วย ก็จะทำให้สิทธิชุมชนมีความยั่งยืน โดยการสนับสนุนให้เกิดเครือข่ายชุมชนพื้นที่ช่วยเหลือการทำงานด้านสิทธิมนุษยชนทุกพื้นที่ การให้ระบุ “สิทธิชุมชน” ให้ปรากฏในร่างฯ ฉบับนี้ เพื่อกำหนดความชัดเจนว่า สิทธิมนุษยชนมีความสำคัญ เพราะเป็นรากฐานทางสังคมของประเทศ ซึ่งได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแล้วตั้งแต่ฉบับ 2540-2550 ต้องการให้มีหน่วยงานหรือศูนย์สิทธิมนุษยชนระดับจังหวัด เพื่อป้องกันการละเมิดและช่วยเหลือกรณีที่เกิดการละเมิดขึ้นในพื้นที่ห่างไกลทั่วประเทศ พระสงฆ์ที่เข้าร่วมสัมมนาครั้งนี้ เสนอให้พระสงฆ์ควรมีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ข้อสังเกต นอกจากกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักสิทธิมนุษยชน แกนนำหรือผู้นำท้องถิ่น นักวิชาการ นักกฎหมาย แล้วยังมีประชาชนในระดับหมู่บ้านที่สนใจ และได้รับความเดือดร้อนจากกรณีที่ดิน กรณีสวนปาล์ม และกรณีบ่อขยะ มาร่วมประชุมจำนวนมาก และมีพระสงฆ์เข้าร่วมจำนวน 8 รูป