มีนาคม 2552 : รัฐบาลสอบผ่าน อภิปรายไม่ไว้วางใจ ส.ส. รัฐบาล-พรรคร่วม โหวตไว้วางใจนายกฯ กับ 5 รมต. ม็อบเสื้อแดงขับไล่รัฐบาล เพิ่มงบฯ กระตุ้น ศก. เป็น 1.56 ล. หนี้สาธารณะปี ‘53 พุ่ง 4.46 ล้านล้าน ผู้ประกันตนได้เช็คช่วยชาติคนละ 2 พันบาท ทุ่มงบลงทุน 7.6 หมื่นล้าน ดับไฟใต้ สภาเห็นชอบกู้เงินสร้างรถไฟสายสีแดง ครม. ผ่านร่าง กม.จัดการที่ดิน-กม.แผนที่ รัฐเตรียมเงินจ่าย ขรก. เออร์ลี่ฯ กอ.รมน. ได้งบ 1 พันล้าน แก้วิกฤต ล้มแผนห้ามขายเหล้าช่วงสงกรานต์ ส.ส. รัฐบาล-พรรคร่วม โหวตไว้วางใจ เมื่อวันที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมา ภายหลังจากที่รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ทำการบริหารประเทศมา 3 เดือน พรรคฝ่ายค้านเพื่อไทยได้ยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีอีก 5 คนเป็นรายบุคคล ประธานสภาได้กำหนดวันอภิปรายระหว่างวันที่ 19-20 มีนาคม และลงคะแนนในวันที่ 21 มีนาคม ปรากฏว่าในวันนั้น ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติไว้วางใจด้วยคะแนนเสียงเกินกว่าครึ่งหนึ่ง ทำให้รัฐมนตรีทั้งหมดสามารถปฏิบัติงานต่อไปได้ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 158 และ 159 ที่กำหนดว่า รัฐมนตรีจะพ้นจากตำแหน่งต้องมีสมาชิกไม่ไว้วางใจเกินกึ่งหนึ่ง ซึ่งเท่ากับ 233 เสียง ดังนั้นในการประชุมครั้งนี้ที่มี ส.ส. เข้าประชุม 465 จากจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 480 คน และผู้ถูกอภิปรายทุกคนได้รับคะแนนเสียงไว้วางใจมากกว่า 233 เสียง ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรี 15 คน ได้งดไม่ลงคะแนน โดยรัฐมนตรีแต่ละคนได้รับคะแนนเสียงแตกต่างกันดังนี้ นายกรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับคะแนนไว้วางใจ 246 ไม่ไว้วางใจ 176 งดออกเสียง 12 ไม่ลงคะแนน 15 นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้รับคะแนนไว้วางใจ 246 ไม่ไว้วางใจ 174 งดออกเสียง 12 ไม่ลงคะแนน 15 นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้รับคะแนนไว้วางใจ 246 ไม่ไว้วางใจ 174 งดออกเสียง 12 ไม่ลงคะแนน 15 นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้รับคะแนนไว้วางใจ 237 ไม่ไว้วางใจ 184 งดออกสียง12 ไม่ลงคะแนน 13 นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้รับคะแนนไว้วางใจ 246 ไม่ไว้วางใจ 167 งดออกเสียง 20 ไม่ลงคะแนน 14 นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้รับคะแนนไว้วางใจ 246 ไม่ไว้วางใจ 168 งดออกเสียง 18 ไม่ลงคะแนน 15 สำหรับข้อกล่าวหาต่อนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอีก 5 คน คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ : ในการส่งเอสเอ็มเอสไปยังประชาชนหลังได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีความผิด 7 ประเด็น คือ 1. ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาใช้อำนาจหน้าที่มิชอบ 2. เรียกร้องรับผลประโยชน์เกิน 3,000 บาท 3. ละเมิดสิทธิคนใช้มือถือ 4. ร่วมกันนำข้อมูลส่วนบุคคลให้บริษัทเอกชนโดยที่ไม่ได้รับความยินยอม 5. ร่วมกับเอกชนหลีกเลี่ยงภาษี 6. ทำให้รัฐขาดรายได้ และ 7. ฉ้อโกงเอกชนเพราะไม่จ่ายค่าจ้างตามที่ตกลง นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง : บริหารงบประมาณแก้ปัญหาเศรษฐกิจล้มเหลว และร่วมกับนายกฯ อภิสิทธิ์ ขอให้บริษัทเอกชนที่ให้บริการโทรศัพท์มือถือส่งข้อความเอสเอ็มเอสฟรี (หลังได้รับการโหวตในสภาให้เป็นนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ ได้ส่งข้อความแสดงความขอบคุณประชาชนผ่านทางโทรศัพท์มือถือ) นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ มีพฤติการณ์กระทำผิดร่วมกับนายอภิสิทธิ์ จงใจใช้อำนาจขัดต่อ พ.ร.บ.พรรคการเมือง และ พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ มีส่วนร่วมปกปิด ซ่อนเร้นเงินบริจาคสนับสนุนพรรคการเมือง 258 ล้านบาท ที่ได้รับบริจาคจากบริษัทพีทีไอโพลีน นายกษิต ภิรมย์ รมว. ต่างประเทศ มีพฤติกรรมเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย ร่วมกับกลุ่มพันธมิตรฯ ยึดสนามบินสุวรรณภูมิ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย มีพฤติกรรมส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย กรณีโยกย้ายข้าราชการระดับสูงในกระทรวงมหาดไทย ไม่เป็นไปตามหลักคุณธรรม มีการแทรกแซงทางการเมือง รวมทั้งมีพฤติการณ์ขัดต่อกฎหมายในกรณีไปตรวจราชการที่จังหวัดอุดรธานี แจกจ่ายใบสมัครพรรคภูมิใจไทยให้ประชาชนสมัครเป็นสมาชิก นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย กระทำการขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญในการก้าวก่ายแทรกแซงการบริหารงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อประโยชน์ของตนและพวกพ้อง ม็อบเสื้อแดงขับไล่รัฐบาล เมื่อวันที่ 25 มีนาคม กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง ได้เริ่มปักหลักชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อขับไล่นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และเรียกร้องให้จัดการเลือกตั้งใหม่ โดยมีการตั้งเวทีอภิปรายระดมคนให้เข้าร่วม และในตอนกลางคืน พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีได้โฟนอินหรือใช้วิดีโอลิงค์เข้ามาร่วมปราศรัยด้วย บนเวทีปราศรัยได้พาดพิงถึงพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีว่าอยู่เบื้องหลังการทำรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549 จึงเริ่มมีการเรียกร้องให้ทั้งสองท่านลาออก ต่อจากนั้นกลุ่มคนเสื้อแดงในต่างจังหวัดได้เริ่มต้นเคลื่อนไหวนัดชุมนุมที่หน้าศาลากลาง และบางส่วนได้เดินทางมากรุงเทพฯ เข้าร่วมชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ในคืนวันที่ 30 มีนาคม พ.ต.ท.ทักษิณ ได้วิดีโอลิงค์เข้ามาเรียกร้องให้กลุ่มคนเสื้อแดงร่วมกันล้มล้างระบอบอำมาตยาธิปไตย และกล่าวว่าหากมีการปฏิวัติเมื่อใดขอให้คนเสื้อแดงเดินทางเข้ากรุงเทพฯ พร้อมๆ กัน โดยตนเองจะเข้ามาร่วมด้วย เพิ่มงบฯ กระตุ้น ศก. เป็น 1.56 ล. เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีมติเห็นชอบกรอบวงเงินลงทุนตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ รอบ 2 ระยะเวลา 3 ปี (2553-2555) จำนวน 1,566,867 ล้านบาท จากเดิม 1.4 ล้านล้านบาท แยกเป็นปี 2553 ลงทุน 486,142 ล้านบาท ปี 2554 จำนวน 510,562 ล้านบาท และปี 2555 จำนวน 570,163 ล้านบาท ทั้งนี้ หลังจากอัดฉีดเม็ดเงินจำนวนนี้เข้าสู่ระบบแล้ว จะช่วยทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) เพิ่มขึ้น 5% ก่อให้เกิดการจ้างงานใหม่ 1.6 ล้านคน ภายใน 3 ปี ซึ่งหากสภาให้ความเห็นชอบงบประมาณ 2553 ก็สามารถเริ่มโครงการได้ในเดือนตุลาคม 2552 สำหรับแหล่งเงิน จะมาจากงบประมาณแผ่นดิน 613,855 ล้านบาท หรือร้อยละ 39.2 ของวงเงินลงทุนทั้งหมด เงินกู้ 692,244 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 44.2 รายได้อื่นๆ 260,768 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 16.6 งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.56 ล้านบาท แบ่งออกได้เป็น 7 แผนงาน คือ แผนงานปรับปรุงประสิทธิภาพระบบการกระจายน้ำและพัฒนาแหล่งน้ำ วงเงิน 230,645 ล้านบาท แผนงานปรับปรุงและการบริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน วงเงิน 1,140.016 ล้านบาท แผนงานเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว วงเงิน 6,637 ล้านบาท แผนงานพัฒนาศักยภาพของเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ วงเงิน 20,134 ล้านบาท แผนงานยกระดับการศึกษาและการเรียนรู้ทั้งระบบ วงเงิน 60,145 ล้านบาท แผนงานปฏิรูปคุณภาพระบบสาธารณสุข วงเงิน 9,290 ล้านบาท แผนงานการลงทุนเพื่อยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตในระดับชุมชนและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ วงเงิน 100,000 ล้านบาท เช็คช่วยชาติ 2 พันบาท/คน เมื่อวันที่ 26 มีนาคมนี้ รัฐบาลได้เริ่มจ่ายเช็คเงินสดงวดแรกให้แก่ผู้ประกันตนในโครงการประกันสังคมที่มีรายได้ต่ำกว่าเดือนละ 15,000 บาท ตามโครงการเช็คช่วยชาติเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยคาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ 0.2 เปอร์เซ็นต์ หรือมีผลต่อการจ้างงาน 8 หมื่นถึง 1 แสนคน ผู้ที่มีสิทธิรับเช็คมูลค่า 2 พันบาท จะต้องเป็นผู้ที่อยู่ในบัญชีรายชื่อผู้ประกันตน ตามมาตรา 33 (ผู้ที่อยู่ในระบบประกันสังคม) และมาตรา 39 (ผู้ประกันตนแบบสมัครใจ) โดยเช็คที่ได้รับนี้มีค่าเหมือนเงินสด สามารถเปลี่ยนมือได้ นำไปเบิกเงินสดได้จากธนาคารที่ออกเช็คทุกสาขา หรือนำไปใช้จ่ายแทนเงินสดตามร้านที่ประกาศรับ หนี้สาธารณะปี 53 สูง 4.46 ล้านล้าน" เมื่อวันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้รายงานแนวโน้มหนี้สาธารณะคงค้างในปีงบประมาณ 2552-2553 ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบ โดยคาดการณ์ว่าเมื่อถึงสิ้นปีงบประมาณ 52 (30 กันยายน 52) หนี้สาธารณะของประเทศจะอยู่ที่ 4,063,011 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็น 4,460,401 ล้านบาท เมื่อสิ้นปีงบประมาณ (30 กันยายน 53) โดยหนี้สาธารณะต่อจีดีพี เมื่อสิ้นปีงบประมาณ 52-53 จะมีสัดส่วนที่ร้อยละ 42.73 และ 44.67 ตามลำดับ ส่วนของภาระหนี้ต่องบประมาณจะอยู่ที่ร้อยละ 10.20 ในปีงบประมาณ 52 และ 12.20 ในปีงบประมาณ 53 ทั้งนี้ เนื่องจากมีการก่อหนี้ใหม่ของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ เพราะรัฐบาลฟื้นฟูเศรษฐกิจและกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มการใช้จ่ายและการลงทุนที่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่จะส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศสามารถขยายตัวได้ ทุ่มงบลงทุน 7.6 หมื่นล้าน ดับไฟใต้ เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีพัฒนาพื้นที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ร่วมกันพิจารณาแผนพัฒนา โดยลงทุนในระยะ 3 ปี (2552-2554) เป็นเงินประมาณ 7.6 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้าว่ารายได้ของประชาชนในพื้นที่ต่อครัวเรือนเฉลี่ยจะต้องเพียงพอต่อการดำรงชีวิต คาดหวังว่าการพัฒนาดังกล่าวจะช่วยลดระดับความรุนแรงในพื้นที่ลงได้ ทั้งนี้ ที่ประชุมยืนยันจะใช้นโยบายตามแนวทางการเมืองและมุ่งสร้างความสงบเรียบร้อยโดยให้ความสำคัญกับเรื่องเศรษฐกิจ เพราะถือเป็นประโยชน์โดยตรงของประชาชน ถ้ามีความเป็นอยู่ที่ดีก็จะพัฒนาพื้นที่โดยรวมได้ สภาเห็นชอบกู้เงินสร้างรถไฟสายสีแดง ที่ประชุมรัฐสภาให้ความเห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนว่าด้วยความร่วมมือทางการเงินระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น และร่างสัญญาเงินกู้ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เสนอแล้ว โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม 391 คน เห็นชอบ 298 คน ไม่เห็นชอบ 65 คน งดออกเสียง 16 คน ไม่ลงคะแนน 12 คน ทั้งนี้ สาระสำคัญของร่างหนังสือดังกล่าว คือ รัฐบาลญี่ปุ่นตกลงจะให้กระทรวงการคลังกู้เงิน โดยผ่านองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (ไจก้า) จำนวน 63,018 ล้านเยน เพื่อใช้ก่อสร้างโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิต ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยมีอัตราดอกเบี้ย 1.4% ต่อปี ระยะเวลาชำระคืนเงินกู้ 25 ปี รวมระยะปลอดหนี้ 7 ปี ครม. ผ่านร่าง กม.จัดการที่ดิน-กม.แผนที่ เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ทำหน้าที่กำหนดนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรดินและที่ดินของประเทศ วินิจฉัยชี้ขาดข้อขัดแย้งการใช้กฎหมายระหว่างหน่วยงาน เป็นต้น นอกจากนี้ ครม.ยังอนุมัติร่าง พ.ร.บ.มาตรฐานการจัดทำแผนที่ในที่ดินของรัฐ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยตั้งคณะกรรมการมาตรฐานการจัดทำแผนที่ในที่ดินของรัฐ ทำหน้าที่วินิจฉัยชี้ขาดเกี่ยวกับเขตที่ดินของรัฐ โดยถือเป็นที่สุด รวมทั้งมีหน้าที่จัดทำแผนที่แสดงเขตที่ดิน รัฐเตรียมเงินจ่าย ขรก. แห่เออร์ลี่ฯ เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ (โครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนด) ในปีงบประมาณ 2553 ตามที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เสนอ โดยให้คงหลักการและสาระสำคัญของโครงการเออร์ลี่ รีไทร์ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2550 ไว้ อาทิ การจ่ายเงินขวัญถุงให้ 8-15 เท่า ฯลฯ แต่มีการปรับปรุงรายละเอียดบางส่วน คือการเพิ่มเติมคุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการต้องไม่เป็นจำเลยในคดีอาญา ซึ่งไม่ใช่ความผิดลหุโทษ หรือความผิดที่กระทำโดยประมาท ทั้งนี้ พบว่ามีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 13,883 ราย รัฐต้องรับภาระงบประมาณถึง 13,959 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการจ่ายงบก้อนให้เพื่อเป็นเงินขวัญถุง 7,590 ล้านบาท จ่ายบำเหน็จให้ 1,579 ล้านบาท จ่ายบำนาญ 2,072 ล้านบาท/ปี จ่ายบำเหน็จดำรงชีพ 2,718 ล้านบาท กอ.รมน. ได้งบ 1 พันล้าน แก้วิกฤต เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบกลาง 1,000 ล้านบาท ให้กับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) นำไปปฏิบัติตามโครงการ "ชุมชนพอเพียง" ตามที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง เป็นผู้เสนอ เป้าหมายคือนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปเผยแพร่และอบรมคนในหมู่บ้านและชุมชน เพื่อสร้างความเข้าใจและจิตสำนึกให้คนในชุมชนทำงานด้วยความสามัคคี โดยหลักๆ เป็นการสร้างภูมิคุ้มภัยให้ชาวบ้านในพื้นที่ที่ กอ.รมน. มองว่าเป็นพื้นที่เสี่ยงภัย มีระยะเวลาดำเนินการ 6 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงเมษายน โดยเป็นการอนุมัติในหลักการ ส่วนรายละเอียดโครงการ กอ.รมน.เป็นผู้รับผิดชอบ ล้มแผนห้ามขายเหล้าช่วงสงกรานต์ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ มีมติ 8 ต่อ 2 ไม่เห็นด้วยกับมาตรการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยได้มีมติให้ออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนา ที่คณะรัฐมนตรีกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการ ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่มีข้อยกเว้น คือ วันวิสาขบูชา วันมาฆบูชา วันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา ในขณะที่ยังจำหน่ายได้ปกติตามกฎหมายกำหนดในเทศกาลสงกรานต์ แต่จะทำการรณรงค์ให้เข้มงวดมากขึ้น ก่อนหน้านี้ กระทรวงสาธารณสุขได้เสนอห้ามการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ด้วยเหตุผลว่าเพื่อลดการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ แต่ที่ประชุมไม่เห็นด้วย เพราะเห็นว่าจะกระทบต่อการท่องเที่ยว และถึงห้ามก็จะมีปัญหาสุราเถื่อนมากขึ้น ดังนั้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ก็จะสามารถจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้เหมือนเดิม คือ ระหว่างเวลา 11.00-14.00 น. และ 17.00-24.00 น.