ตุลาคม 2551 : ทักษิณ เจอคุก 2 ปี คดีที่ดินรัชดาฯ ศาลตัดสินจำคุก "ทักษิณ" 2 ปี - คุณหญิงพจมาน รอด คดีซื้อที่ดินย่านรัชดาฯ ตำรวจสลายม็อบ พธม. ตาย 2 เจ็บ 443 ราย เพิร์คชี้ไทยเสี่ยงทางการเมือง อันดับ 2 รองจากอินเดีย ครม. เร่งแก้รัฐธรรมนูญ ให้ร่างเสร็จใน 120 วัน ลดจ่ายเงินประกันสังคม เพื่อรับมือวิกฤตเศรษฐกิจ ครม. อนุมัติ 9.7 หมื่นล้าน พยุงราคาข้าว แผนลงทุนสภาพัฒน์ฯ 4.99 ล้านล้านบาท ผ่าน ครม. กกต. มีมติรับรองอภิรักษ์ ผู้ว่าฯ กทม. จัดงบฯ 127 ล้านบาท ช่วยน้ำท่วม ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ภาคใต้ 3 เดือน นับเป็นครั้งที่ 13 เพิ่มค่าครองชีพพนักงานรัฐวิสาหกิจให้เท่าข้าราชการ แรงงาน ชัยภูมิ อุตรดิตถ์ สุโขทัย ได้ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ไทยเตรียมกรอบสันติวิธีเจรจาเขมร นัดแรก 10-14 พ.ย.นี้ จำคุก "ทักษิณ" 2 ปี คดีซื้อที่ดินย่านรัชดาฯ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาให้จำคุก พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 2 ปี แต่ยกฟ้องคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา ในความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ในการประมูลซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก คดีนี้ อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน เป็นจำเลยที่ 1-2 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและคู่สมรส มีส่วนได้ส่วนเสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ ในการประมูลซื้อที่ดิน 33 ไร่ย่านถนนรัชดาภิเษกจากกองทุนฟื้นฟู ซึ่งจำเลยทั้งสองได้แก้ข้อกล่าวหาว่า หนึ่ง คตส. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นหลังการทำรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ จึงไม่มีสิทธิที่จะตรวจสอบเรื่องนี้และส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดเพื่อทำการฟ้อง สอง กองทุนฟื้นฟูไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ และผู้จัดการกองทุนฟื้นฟูไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐ สาม พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่ได้มีอำนาจในการกำกับดูแลกองทุนฟื้นฟู และไม่เคยใช้อำนาจในการควบคุมกองทุนฟื้นฟู สี่ การซื้อที่ดินดังกล่าวไม่ได้ทำให้กองทุนฟื้นฟูเสียหาย การประมูลซื้อที่ดินกระทำโดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน จึงไม่ผิดกฎหมาย ห้า ที่ดินดังกล่าวไม่สมควรถูกริบ ซึ่งองค์คณะผู้พิพากษาได้มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าข้อแก้ตัวข้อที่หนึ่ง และสอง ฟังไม่ขึ้น ส่วนข้อที่สามนั้น มีมติ 6 ต่อ 3 ว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีอำนาจในการกำกับกองทุนฟื้นฟู ในข้อที่สี่มีมติ 5 ต่อ 4 ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ฝ่าฝืนกฎหมาย ป.ป.ช. และข้อที่ห้า มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ที่ดินดังกล่าวไม่ใช่ทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำผิด จึงไม่ต้องถูกริบ เนื่องด้วยขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่นอกประเทศ อัยการจะทำเรื่องขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน เพื่อนำผู้กระทำผิดมารับโทษ และคดีนี้มีอายุความ 10 ปี ตำรวจสลายม็อบ พันธมิตรฯ ตาย 2- เจ็บ 443 ราย ในวันอังคารที่ 7 ตุลาคม เวลาประมาณ 06.20 น. บริเวณหน้ารัฐสภา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ปิดล้อมถนนรอบรัฐสภาตั้งแต่กลางคืนวันที่ 6 ตุลาคม เพื่อไม่ให้นายกรัฐมนตรี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นำคณะรัฐบาลเข้าไปแถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภา ทำให้เกิดความวุ่นวาย เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บเป็นจำนวนมากตั้งแต่บาดเจ็บเล็กน้อยจนถึงขั้นขาขาด หลังการประชุมรัฐสภาเสร็จสิ้นลงเมื่อเวลาประมาณ 14.00 น. ผู้ชุมนุมยังคงปิดล้อมอยู่ ทำให้นายกรัฐมนตรีและบุตรสาว น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ ต้องปีนรั้วออกไปเพื่อไปขึ้นเฮลิคอปเตอร์ที่จอดรออยู่ในบริเวณใกล้เคียง ระหว่างนั้นได้เกิดการปะทะกันระหว่างกำลังเจ้าหน้าที่กับพันธมิตรฯ บางคนในบริเวณใกล้เคียง และมีรถจี๊ปเชโรกีที่จอดไว้บนถนนหน้าที่ทำการพรรคชาติไทยระเบิด ทำให้มีผู้เสียชีวิตหนึ่งราย เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสลายการชุมนุมที่ปิดล้อมรัฐสภาอีกครั้งในเวลาประมาณ 17.00 น. เพื่อเปิดทางให้บรรดาสมาชิกรัฐสภาที่เหลือออกไปได้ การสลายการชุมนุมครั้งนี้ทำให้มีผู้บาดเจ็บเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง เหตุการณ์ในตอนเช้าและเย็นทำให้พันธมิตรฯ กลุ่มหนึ่งไปชุมนุมที่หน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสลายการชุมนุมอีกครั้งทำให้มีผู้บาดเจ็บเพิ่มและเสียชีวิตหนึ่งราย โดยหน่วยพยาบาลได้นำผู้บาดเจ็บทั้งหมดทยอยส่งโรงพยาบาลหลายแห่งในบริเวณใกล้เคียง หลังเหตุการณ์ปะทะกันในตอนเช้า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวนสามแสนบาทแก่โรงพยาบาลเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล สถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน (ศูนย์นเรนทร) ได้แถลงสรุปเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม ว่า มีผู้เสียชีวิต 2 ราย เป็นชาย 1 ราย หญิง 1 ราย ได้รับบาดเจ็บทั้งสิ้น 443 ราย มี 8 รายสูญเสียอวัยวะ เจ้าหน้าที่ตำรวจบาดเจ็บทั้งหมด 20 นาย ในจำนวนนี้มีอาการบาดเจ็บรุนแรง 6 นาย โดยทางฝ่ายตำรวจยืนยันว่าใช้เพียงแก๊สน้ำตาในการสลายการชุมนุม เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติเงินจำนวน 56 ล้านบาท เพื่อช่วยประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ครั้งนี้ โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นผู้ดูแลการจ่ายเงินตามหลักเกณฑ์ หลังการสลายการชุมนุมในวันที่ 7 ตุลาคม กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยังคงปักหลักชุมนุมอยู่ในทำเนียบรัฐบาลต่อไป เพิร์คชี้ไทยเสี่ยงทางการเมืองสูงเป็นที่ 2 ของเอเชีย บริษัทที่ปรึกษาความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและการเมือง หรือเพิร์ค ในฮ่องกง ประเมินความเสี่ยงทางการเมืองของ 16 ประเทศในเอเชีย-แปซิฟิกในปี 2552 ระบุ อินเดีย ไทย และมาเลเซีย ครองอันดับหนึ่ง สอง และสาม สูงสุดของประเทศที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงทั้งทางการเมืองและสังคม โดยประเมินจากปัจจัยต่างๆ อาทิ ความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างเฉียบพลัน ภัยคุกคามจากลัทธิเคลื่อนไหวเชิงสังคม ความเปราะบางจากผลกระทบที่ได้รับจากการเปลี่ยนนโยบายของรัฐบาลประเทศอื่นๆ สำหรับสาเหตุที่ไทยอยู่ในอันดับสองเพราะความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศมีแนวโน้มว่าจะยืดยาวไปจนถึงปี 2552 ครม. เร่งร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ใน 120 วัน คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ให้ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ 3 (สสร. 3) เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน โดยมีสมาชิก สสร.ไม่เกิน 120 คน มาจากการเลือกตั้งใน 76 จังหวัด ๆ ละ 1 คน มาจากผู้ทรงวุฒิ 3 สาขา คือ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ จำนวน 24 คน และผู้แทนองค์กรวิชาชีพที่เป็นนิติบุคคลเลือกกันเองเหลือ 20 คน การเลือกตั้งสมาชิก สสร. ให้เสร็จภายใน 90 วัน และให้ร่างเสร็จภายใน 120 วัน หลังร่างเสร็จแล้วเสนอให้รัฐสภาเห็นชอบ โดยทั้ง 2 สภาต้องมีมติมากกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีจึงจะผ่าน แต่ถ้าไม่ถึงกึ่งหนึ่งให้ประชาชนลงประชามติ ถ้ามีผู้มีสิทธิออกเสียงไม่ถึง 1 ใน 5 ให้ร่างรัฐธรรมนูญตกไป ทั้งนี้แม้มีการยุบสภาก็ไม่กระทบต่อสภาร่างรัฐธรรมนูญ นายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภา ยืนยันว่า การตั้ง สสร. 3 ไม่ใช่การซื้อเวลาเพื่ออยู่ในอำนาจของรัฐบาล แต่เป็นการตอบสนองความต้องการของทุกฝ่ายที่เคลื่อนไหวทางการเมืองในขณะนี้ ลดจ่ายเงินประกันสังคม เพื่อรับมือวิกฤตเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม กระทรวงแรงงานแถลงมาตรการรับมือวิกฤตเศรษฐกิจที่คาดว่าจะมาถึงในปี 2552 ที่อาจจะทำให้เกิดการเลิกจ้างว่า จะลดการจ่ายเงินเข้ากองทุนประกันสังคมลง โดยฝ่ายนายจ้างและลูกจ้างจ่ายเพียงร้อยละ 3.5 จากเดิมที่เก็บร้อยละ 5 และรัฐบาลจ่ายเพียงร้อยละ 2.25 จากเดิมที่เคยจ่ายเข้าร้อยละ 2.75 ซึ่งวิธีนี้จะทำให้มีเงินคืนเข้าระบบเศรษฐกิจสูงถึง 27,000 ล้านบาทต่อเดือน อนุมัติ 9.7 หมื่นล้านพยุงราคาข้าว เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเงินดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือก รวมวงเงิน 9.7 หมื่นล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินทุนจากธนาคารพาณิชย์ของรัฐและเอกชนไปปล่อยกู้ให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) นำไปใช้ในการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ฤดูกาลผลิต 2551/2552 นอกจากากนี้ ครม. ยังมีมติเห็นชอบกำหนดราคารับจำนำสินค้าเกษตร 2 ชนิด คือ ข้าวโพดและมันสำปะหลัง โดยมีระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 51 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 52 สำหรับข้าวโพด และตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 51 - 30 เมษายน 52 สำหรับมันสำปะหลัง ครม. ผ่านแผนลงทุนสภาพัฒน์ ฯ 4.99 ล้านล้านบาท ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม มีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ในแผนงานโครงการลงทุนที่มีความสำคัญต่อนโยบายรัฐบาลในช่วงปี 2552-2554 ซึ่งมีวงเงิน 4,990,606.67 ล้านบาท มีแผนงานลงทุนโครงการเมกะโปรเจ็คต์รวม 1,609,426.43 ล้านบาท แยกเป็นการศึกษารวม 22,182.13 ล้านบาท สาธารณสุขรวม 78,611.56 ล้านบาท การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 208,344.35 ล้านบาท การขนส่งโลจิสติคส์ 875,773.33 ล้านบาท พลังงาน 367,153.99 ล้านบาท การสื่อสารโทรคมนาคม 52,194.14 ล้านบาท และการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้รวม 5,166.93 ล้านบาท กกต. รับรองอภิรักษ์ ผู้ว่าฯ กทม. เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม ที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติให้ประกาศรับรองการเป็นผู้ว่าฯ กทม. ของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ตามผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2551 การเลือกตั้งครั้งนี้ นายอภิรักษ์ ถูกร้องเรียนว่าป้ายประชาสัมพันธ์ผิดกฎหมาย ซึ่งขณะนี้ กกต. กทม. กำลังทำการสรุปคำร้องอยู่เพื่อให้เสร็จใน 30 วันตามที่กฎหมายกำหนด ส่วนอีก 3 เรื่อง คือ หนึ่ง การแจกการ์ด WiFi สอง ป้ายหาเสียงมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และสาม เรื่องสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวีแพร่ภาพการหาเสียงของนายอภิรักษ์ในวันเลือกตั้ง ทั้งสามเรื่องกำลังอยู่ระหว่างการสืบสวนของอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนของ กกต. กทม. หลังจากประกาศรับรองผลการเป็นผู้ว่าฯ กทม. แล้ว หากสอบสวนพบว่านายอภิรักษ์ ทำผิดจริงและต้องสั่งให้เลือกตั้งใหม่ กกต. จะทำคำร้องส่งให้ศาลอุทธรณ์พิจารณา จัดงบฯ กลาง 127 ล้าน ช่วยน้ำท่วม เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบฯ กลางจำนวน 127,168,700 บาท เพื่อนำมาใช้บรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประสบภัยน้ำท่วมใน 17 จังหวัด โดยแบ่งออกเป็น 498 โครงการ ส่วนใหญ่นำไปใช้ในการก่อสร้างและซ่อมแซมสิ่งสาธารณประโยชน์ นอกจากนี้ รัฐบาลยังเตรียมรับมือกับภัยหนาวในปลายปีนี้ โดยจัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจต้านภัยหนาวในแต่ละจังหวัด เพื่อสำรวจและจัดทำบัญชีผู้ประสบหรือคาดว่าจะประสบภัยหนาว พร้อมประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมการป้องกันภัยหนาว และประชาสัมพันธ์ให้ระวังอัคคีภัย เนื่องจากอากาศแห้งด้วย ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ภาคใต้ 3 เดือน ผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ที่ประชุมเห็นชอบการขยายการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไปอีก 3 เดือน ซึ่งเป็นการต่ออายุตามปกติ ครั้งนี้เป็นการต่ออายุครั้งที่ 13 เพิ่มค่าครองชีพพนักงานรัฐวิสาหกิจให้เท่าข้าราชการ เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้จ่ายเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจให้เท่ากับข้าราชการ คือจากเดิมที่ได้รับค่าตอบแทน ไม่เกิน 1.7 หมื่นบาทต่อเดือน ให้ได้รับเพิ่มอีก 1.5 พันบาทต่อเดือน แต่รวมแล้วต้องไม่เกิน 1.7 หมื่นบาทต่อเดือน ในส่วนที่ได้รับอยู่ไม่เกิน 8.2 พันบาทต่อเดือน ให้เพิ่มถึง 8.2 พันบาทต่อเดือน โดยมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ให้แต่ละรัฐวิสาหกิจใช้งบฯ ของตนเอง แต่เงินที่เพิ่มไม่ถือเป็นค่าจ้าง และเป็นการจ่ายแบบชั่วคราว ไม่ต้องนำไปรวมเป็นฐานในการคำนวณสิทธิประโยชน์ต่างๆ การเพิ่มค่าครองชีพนี้ หาก ครม. ยกเลิกในส่วนของข้าราชการก็ให้ยกเลิกสำหรับพนักงานรัฐวิสาหกิจด้วย 3 จังหวัดได้ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม มีมติปรับอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ใน 3 จังหวัด คือ ชัยภูมิ อุตรดิตถ์ และสุโขทัย จาก 148 บาท เป็น 152 บาท จาก 149 บาท เป็น 152 บาท และ จาก 151 บาท เป็น 153 บาทต่อหัวต่อวันตามลำดับ ไทยเตรียมกรอบสันติวิธีเจรจาเขมร เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงกรอบการเจรจาคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) ที่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาว่า จะเน้นการเจรจา หลีกเลี่ยงการปะทะ ทั้งนี้ทั้งสองประเทศจะประชุมนัดแรกในวันที่ 10-14 พฤศจิกายนนี้ โดยมั่นใจว่าข้อมูลการพบทุ่นระเบิดในพื้นที่พิพาท จะไม่ส่งผลต่อการปักปันเขตแดน สำหรับกรณีพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหาร ต้องเป็นไปตามอนุสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศส สนธิสัญญาระหว่างพระเจ้าแผ่นดินสยามกับฝรั่งเศส ปี ค.ศ. 1907 และแผนที่สยามอินโดจีน